ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จดหมายแทนใจแม่

    ลำดับตอนที่ #6 : ไฟไหม้: จุดเปลี่ยนของชีวิต

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 56


    ลูกรัก

    ชีวิตคนช่างไม่แน่นอน  ช่างเปลี่ยนแปลง แปรผันไปตามเหตุการณ์รอบข้าง   แม่มีวัยเด็กที่สนุก พร้อมกับความเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน และเรียนไปด้วย  แต่สิ่งเหล่านี้ ช่างให้ประสบการณ์ชีวิตแก่แม่อย่างมากมาย   ความเป็นเด็ก ถึงแม้ว่าต้องเรียน ต้องช่วยที่บ้านทำงาน  ต้องทำการบ้านมากมาย  แต่เราก็ยังไม่ต้องรับผิดชอบชีวิตตนเอง  ยังไม่ต้องมานั่งทุกข์ใจจากการหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง  ไม่ต้องมาอยู่ในสภาพขวัญผวาว่า เดือนนี้เราจะหาเงินใช้หนี้ทันหรือเปล่า  เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ทั้งสิ้น  แม่ก็มีหน้าที่เรียนไป ทำงานไป  ไม่ต้องคิดอะไรมาก

    บ้านเราในตลาด มีอยู่สองฝั่งซอยแคบๆ นั้น  โดยอยู่เยื้องกันเล็กน้อย  หลังหนึ่งใช้เป็นร้านค้า  อีกหลังหนึ่งใช้เป็นโกดัง  ทำอาหาร  ทานข้าว ฯลฯ   เราพักอยู่ในฝั่งที่เป็นร้านค้า   ซึ่งเป็นตึกแถว 3 ชั้นครี่ง  มีชั้นลอยที่อากงใช้ทำห้องแอร์เล็กๆ มีเครื่องเสียงไว้ฟังเพลง  และเด็กๆ มักเข้าไปเล่นกันที่นั่น   เรานอนกันบนชั้นสอง มีระเบียงปลูกต้นไม้ด้วย

    อยู่มาวันหนึ่ง  แม่ฝันร้าย ฝันเห็นไฟไหม้  มีเสียงร้องตะโกน “ไฟไหม้ ไฟไหม้!!!”   จนตกใจตื่น  แล้วพบว่า  ความฝันนั้น  มันคือความจริง   มีเสียงตะโกนไปทั่วซอย   “ไฟไหม้ ไฟไหม้!!!”   เสียงระงมไปหมด   คนทั้งบ้านตื่นขึ้นมารับรู้  และรีบเก็บของ อพยพออกจากบ้าน   เสียงรถดับเพลิงดังลั่น  หวอ....หวอ.......

    แล้วเราก็ตกใจเป็นอย่างมากเมื่อรู้ว่า  “บ้านที่ไฟไหม้ เป็นบ้านของเราเอง”  บ้านหลังที่เราไม่ได้นอนอยู่ในนั้น  หลังที่เราใช้เก็บของ    ต้นเพลิงเกิดจากบ้านติดกันนั่นเอง  มีเด็กสองคนพี่น้อง เล่นไม้ขีดไฟ  ทำให้ไฟไหม้ตึกแถวแถบนั้น  เสียหายไปประมาณ 4-5 หลัง  ข้าวของสินทรัพย์ในบ้านเราเสียหายมากมาย

    คืนนั้น  เราพากันวิ่งออกมาจากซอย  แม่วิ่งเตลิดออกมา  มุดเข้าไปในซอกแคบๆ ติดกับรถดับเพลิที่จอดอยู่  มุดออกมาไม่ได้  ก็กระเซอะกระเซิง วิ่งกลับออกมาทางเดิม  ออกมาสมทบกับคนในครอบครัว  พากันออกไปจากตลาด   เดินไปจนถึงถนนท่าแพ  ไปขอพักที่บ้านญาติที่ถนนท่าแพนั้น  เมื่อขึ้นไปข้างบนบ้านอาเหล่ากู๋นั่นเอง  มีระเบียงหลังบ้านมองเห็นมาถึงตลาดที่ไฟไหม้อยู่  แม่เห็นภาพไฟที่กำลังลุกโพลงขึ้นฟ้า  กองไฟกองใหญ่มาก  ติดตาแม่มาจนทุกวันนี้   เรียกได้ว่าหลับตานึกได้ทุกเมื่อ   และยังหวาดผวาเสียงรถดับเพลิงมาตลอด  เหมือนมันบีบหัวใจแม่ทุกครั้งที่ได้ยิน  เป็นดังตัวแทนที่หมายถึงความสูญเสียที่มากมายของหลายครอบครัว

    ตอนสายๆ ของวันต่อมา  เราพากันกลับเข้าไปในตลาด  เข้าไปดูความเสียหาย  กลิ่นของข้าวของที่ไหม้ไฟเหม็นติดจมูก  กลิ่นไฟไหม้ที่ไม่มีวันลืมเลือนไปจากใจแม่ได้เลย   กลางวันวันนั้นเอง  ในตลาดก็เกิดไฟไหม้อีกครั้งหนึ่ง  ที่ตึกแถวอีกหลังหนึ่งใกล้ๆ กัน  จนทำให้คนในตลาดขวัญผวา  ร่ำลือกันถึงอาถรรพ์ของตลาด  ว่าที่แห่งนั้น เป็นคุ้มเจ้าเก่า  ได้แก่คุ้มเจ้าแก้วนวรัฐ   ว่าที่เป็นคุ้มเจ้า  จึงเป็นที่ร้อน  อยู่ได้ไม่สบาย 

                หลังจากนั้น  แม่ก็ออกอาการ กินข้าวไม่ค่อยลง เหม่อลอย  หลอนนึกแต่เรื่องไฟไหม้  กลิ่นของไหม้ไฟที่ติดจมูกตลอดเวลา   จนอากงอาม่าเป็นห่วง  พาไปหาหมอเรียกขวัญให้  ผูกข้อมือเรียกขวัญ เป็นที่เอิกเกริก  แล้วจึงค่อยๆ ดีขึ้นเป็นลำดับ  เหลือแต่อาการตกค้างมาในปัจจุบันคือ  เมื่อได้ยินเสียงรถดับเพลิงจะใจหวิว  เหมือนบีบหัวใจ   และภาพไฟไหม้ยังติดตาติดใจอยู่จนทุกวันนี้

                แม่มารู้ภายหลังว่า วันที่ขนข้าวของหนีไฟไหม้นั้น  มีของหลายอย่างที่ขนออกมาได้  และส่งออกมาใส่รถสามล้อแดงของที่บ้าน  มีผู้หวังดีที่ฉวยโอกาสมารับของออกไป  และขี่รถหายไปเลยในเวลาฉุกละหุกนั้น  มีทั้งแสตมป์เก่าๆ ที่อากงสะสมไว้  มูลค่ามากมาย  รวมทั้งของอย่างอื่นอีกมาก   อีกทั้งก่อนหน้าไฟไหม้ครั้งนี้   ตอนแม่ยังเล็กมากๆ อากงขายของอยู่ในตลาดวโรรส  เกิดไฟไหม้ใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ที่ไฟไหม้ตลาดวโรรส ลูกไฟข้ามถนนมาไหม้ตลาดต้นลำไยด้วย  มีพ่อค้าแม่ค้าที่กิจการเสียหายมากมาย  เป็นที่กล่าวขวัญกันมาอีกนาน   ความลำบากที่ดูเหมือนจะกู้กลับมาได้นั้น  ก็กลับเกิดไฟไหม้อีกครั้ง ที่ถึงแม้ว่าจะมีประกันอัคคีภัยอยู่แล้ว  แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะกอบกู้ครอบครัวให้ฟื้นสมบูรณ์แบบดังเดิม  อากงก็ต้องกู้เงินธนาคารมากขึ้นๆ  แต่กิจการค้าก็ยังได้กำไรไม่มากนัก  จนในที่สุด  เราก็ต้องขายบ้าน ทั้งหลังใหม่ที่สร้างหลังไฟไหม้  และหลังเดิมที่เปิดร้านค้า   ย้ายบ้านไปอยู่หน้าวิทยาลัยครู  (ปัจจุบันเรียก มหาวิทยาลัยราชภัฏ) ข้างๆ ตลาดศิริวัฒนา หรือตลาดธานินทร์แทน  และจากการขายของส่งให้ร้านค้าในชนบทนำไปขาย  ก็ไปเซ้งร้าน เปิดขายขนม  น้ำดื่ม ผลไม้ดอง หน้าโรงหนังแทน

                ถึงตอนนี้  ครอบครัวเราก็เปลี่ยนแปลง  แต่สิ่งที่ยังอยู่ในใจทุกคนก็คือ  เราเป็นครอบครัวเดียวกัน  รักกัน ร่วมกัน ช่วยกันทำงาน  แม้ว่าจะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด  เพื่อให้ครอบครัวเราอยู่รอด  เราย้ายมาอยู่บ้านที่หน้าโรงหนังที่อากงอยู่ในปัจจุบันนี้แหละจ๊ะ

                ตอนหน้า เราจะว่ากันเรื่องชีวิตขายของหน้าโรงหนังนะจ๊ะ

     

                                                                                    รักนะ จุ๊บจุ๊บ    

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×