ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ชุลมุนวุ่นรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่1เหตุเกิดจากความเข้าใจผิด

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.ค. 59


                

    ตอนที่ 1  เหตุเกิดจากความเข้าใจผิด

                  "คุณวรรณแต่งตัวเสร็จหรือยัง เราจะไปรับเจ้าแฝดวันนี้นะไม่ใช่พรุ่งนี้" นั่นเป็นเสียงของเจ้าสัวธีรธรที่เร่งให้ภรรยาของตัวเองที่แต่งตัวอยู่ลงมาเร็วๆ  เมื่อสิ้นเสียงเรียกหรือจะว่าเร่งเลยก็ได้คุณวีรวรรณก็เดินลงบันใดมาอย่างรวดเร็ว  และถือโอกาสแซวสามีของตนเองที่รู้ว่าลูกแฝดชายหญิงจะกลับมาตามคำบัญชาของตน
                  "นี่คุณไม่ค่อยเห่อลูกเลยนะคะนั่น กว่าเครื่องจะลงอีกตั้งเป็นชั่วโมง"  เมื่อสิ้นเสียงของภรรยาสามีก็สอนขึ้นทันควัน "ก็ผมไม่อยากให้ลูกต้องรอเรานี่นา ไปกันเถอะขืนเรายืยคุยกันอยู่อย่างนี้ลูกคงได้รอเราแน่ๆ"  ว่าแล้วสองสามีภรรยาก็เดินตามกันไปขึ้นรถเพื่อออกเดินทางไปยังสนามบิน
                  ระหว่างที่ทั้งสองนั่งรถไปด้วยกันนั้นก็ได้ปรึกษากันถึงเรื่องที่ให้กัณตภัทรและกัณญาภัทรแต่งงานกับภูริวัฒน์และภูริษา  ลูกของสุทธินันท์และวิชุดาซึ่งเป็นเพื่อนกันมายาวนานเรียกได้ว่าเป็นทั้งเพื่อนกินและเพื่อนตายกันมาตั้งแต่ทั้งสองเริ่มก่อร่างสร้างตัวในการทำธุรกิจของตนเอง  เพราะทั้งสองก็ต่างช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอดจนได้มาเป็นนักธุรกิจใหญ่ที่ประสบความสำเร็จด้วยกันทั้งคู่  เพราะเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งสองตระกูลอยากให้ธุระกิจของตนอยู่ภายใต้การบริหารของทายาทรุ่นต่อไปซึ่งก็คือพวกเขาทั้งสี่คน

                   "เฮ้ยบัว ไปเข้าห้องน้ำหรือว่าไปลงสนามรบที่ไหนมาเนี่ย"  กัณตภัทรเอ่ยถามน้องสาวฝาแฝดของตนซึ่งได้บอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ  แต่เดินกลับมาในสภาพที่ข้อเท้าเจ็บ  "ก็ตอนที่บัวเดินออกมาจากห้องน้ำน่ะสิ มีไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้เดินมาชนบัวที่หน้าห้องน้ำ  ขอโทษซักคำก็ไม่มีแล้วยังมาว่าบัวซุ่มซ่ามเดินไปชนเขา  บอนลองคิดดูสิผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย"  ได้ทีกัณญาภัทรก็บ่นให้พี่ชายฟํงซะยาวยืด  จนกัณตภัทรต้องเป็นฝ่ายพูดให้น้องของตนใจเย็นลง  "เอาน่าถือซะว่าเป็นการฟ่ดเคราะห์ก่อนกลับเมืองไทยก็แล้วกัน  เข้ามานั่งได้แล้วมาอีกไม่ถึงครึ่งชั่งโมงเครื่องก็ลงแล้ว"  กัณตภัทรพูดปลอบใจน้องสาว  
                    แต่เมื่อเข้ามานั่งแล้วน้องสาวของเค้าก็ยังบ่นไม่หยุดจนเขาต้องเบนความสนใจไปยังสาวสวยที่นั่งถัดจากเขาไปล็อกหนึ่งที่มีเพียงทางเดินกั้นไว้เท่านั้น  แล้วชี้ให้น้องสาวเขาดูสาวสวยคนนั้น  "นี่บัวเห็นผู้หญิงคนที่นั่งเก้าอี้ถัดตรงนั้นมั้ย"  เขาเอ่ยถาม  "อืม ทำไมหรอหรือว่าบอนเกิดไปปิ๊งผูหญิงคนนั้นเข้า  นั่นแน่ไม่เบาเลยนะพี่ชายเราเนี่ย  ว่าแต่ว่าบอนรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเขาหรือยัง"  กัณตภัทรสั่นหัวดิกๆ  กัณญาภัทรนึกขำพี่ชายของตนที่ดันไปปิ๊งสาวสวยที่ไหนก็ไม่รู้  แม้แต่ชื่ก็ยังไม่รู้จักเค้าด้วยซ้ำ
                   ในเวลาต่อมาหลังจากที่กัณญาภัทรเดินออกจากหน้าห้องน้ำมาได้สักหนึ่ง  ภูรวัฒน์ซึ่งเป็นคู่กรณีของของเธอก็เดินมายังที่นั่งของตนแล้วทำหน้าเซ็งๆ กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนั่งลงข้างน้องสาวของตนจนน้องสาวของเขาต้องเอ่ยถาม
                   "นี่เฮียไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ยถึงได้ทำหน้าซะ"  ภูริษาเอ่ยถามพี่ชายของตนด้วยความอยากรู้ "ก็ยายซุ่มซ่ามที่ไหนก็ไม่รู้น่ะสิเดินมาชนเฮียที่หน้าห้องน้ำ  แล้วยังมาโวยวายหาว่าเฮียเป็นคนเดินไปชนเค้า  ทั้งๆ ที่เขานั่นแหละเป็นคนเดินมาชนเฮียก่อน พูดแล้วยังเจ็บใจไม่หาย"  เขาบ่นให้ผูที่เป็นน้องสาวฟังอย่างหัวเสีย
                    "อืม...แล้วเฮียจำหน้าผู้หญิงคนนั้นได้ไหม"  หญิงสาวเอ่ยถาม  "จำได้สิ  แม่นเลยล่ะให้เจออีกกี่ครั้งก็ยังจำได้ไม่มีวันลืม"น้องสาวของเขาได้ยินดังนั้นแล้วได้แต่นั่งส่ายศีรษะไปมาแล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ

                     สนามบินสุวรรณภูมิ
                     "บัวตื่นเถอะเครื่องลงถึงสนามบินแล้ว"  กัณตภัทรสกิดให้น้องสาวของตนตื่น  "เป็นยังไงบ้างเดินไหวมั้ย"  เขาเอ่ยถามน้องสาวด้วยความเป็นห่วง  "ไหวอยู่แล้ว บัวซะอย่าง"  ว่าแล้วก็ลุกขึ้นทันทีหมายจะเดินออกจากเครื่อง  แต่ก็ต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บจี๊ดขึ้นมาที่ข้อเท้าแล้วก็เซถลามาหากัณตภัทร  โดยที่ทั้งสองไม่รู้เลยว่ามีสายตาของใครบางคนลอบมองดูอยู่ข้างๆ
                     เมื่อเห็นดังนั้นภูริวัฒน์จึงสกิดน้องสาวของตนทันที  "คนนั้นไงยายไหมคนที่เฮียเล่าให้ฟัง"  เขาบอกกับน้องสาวของเขา
    "ดูท่าทางแล้วผู้หญิงคนนั้นน่าจะเจ็บที่ข้อเท้าหนักเอาการอยู่นะเฮีย  ไม่เข้าไปช่วยเขาหน่อยเหรอยังไงซะเฮียก็เป็นคนที่ทำให้เธอเจ็บตัวนะ  ถึงแม้ว่าเธอคนนั้นจะเป็นตนเดินมาชนเฮียก็เถอะ"  ภูริษาเอ่ยกับพี่ชายของตน  แต่เขาก็ยังหน้าไม่รู้ไม่ชี้แถมยังพูดจาประชดประชันอีก
                     "ทำไมเฮียจะต้องเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้นด้วย  ในเมื่อเขาก็มีบอดี้การ์ดส่วนตัวคอยช่วยอยู่แล้วนั่นไงไหมไม่เห็นหรือไง"
    ภูริวัฒน์พูดออกมาอย่างหัวเสีย  แต่ก็ต้องยอมทำตามที่น้องสาวเขาพูดอยู่ดีเพราะยังไงซะเขาก็เป็นคนที่ทำให้เธอต้องเจ็บตัว
                     "เอ่อ...ให้ผมช่วยไหมครับ"  เขาเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เอื้อเฟื้อ  แต่คำตอบที่เขาได้กลับมานั้นกลับเป็นคำพูดที่เอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจอย่างมากของคนที่ถูกเขากระทำมา  "ไม่เป็นไรค่ะ  ฉันมีคนคอยช่วยอยู่แล้วโดยที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งน้ำใจจากคุณ"
    หญิงสาวเอ่ยออกมา  ก่อนที่กัณตภัทรจะถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
                      "บัวรู้กเขาด้วยหรอ"  ผู้เป็นพี่ชายเอ่ยถาม  "ก็อีตาคนนี้นี่แหละที่เป็นคนเดินมาชนบัวที่หน้าห้องน้ำน่ะ  คำขอโทษซักคำก็ยังไม่มี"  กํณญาภัทรพูดขึ้นมาด้วยความโมโห   ได้ยินดังทั้งภูริษาและกัณตภัทรก็รีบห้ามทัพของทั้งสองคนก่อนที่เรื่องมันจะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้
                      "เอ่อ...แนต้องขอโทษแฟนของคุณแทน....."  ยังไม่ทันที่ภูริษาจะพูดจบกัณตภัทรก็เอ่ยขึ้นซะก่อน  "ไม่เป็นไรหรอกครับ  แค่คุณกับแฟนของคุณมีน้ำมาช่วยผมกับบัวก็ขอบคุณมากแล้วครับ"   "แตว่า...."  เมื่อภูริษากำลังจะบอกว่าภูริวัฒน์เป็นพี่ชายของตนไม่ใช่เป็นแฟนอย่างที่เขาเข้าใจ  กัณตภัทรก็เอ่ยขอตัวออกมาซะก่อน  "ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวพาบัวออกไปก่อนนะครับป่านนี้ป๊ากับม๊าคงจะมารอรับพวกเรากันแล้วไม่อยากให้ท่านต้องรอนาน  ต้องขอตัวก่อนนะครับ"  ว่าแล้วทั้งสองก็ประคองกันออกไปจากเครื่อง
                      
                      เมื่อคุณวีรวรรณเห็นลูกชายหญิงของตนเดินออกจากประตูผู้โดยสารขาเข้าก็ร้องบอกสามีด้วยความดีใจ  "นั่นไงคะคุณเจ้าแฝดเดินมานั่นแล้ว  แต่เอะทำไมยายบัวของเราถึงได้เดินขากะเผลกมาอย่างนั้นล่ะคุณ"  วีรวรรณเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจที่ได้เห็นภาพดังกล่าว  เธอจึงไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปหาลูกของตนทันทีด้วยความเป็นห่วง  "ตายแล้วยายบัวไปทำอะไรมาลูกถึงได้เจ็บเนื้อเจ็บตัวมาขนาดนี้"  นางเอ่ยถามทันทีที่เดินมาถึงตัวลูกสาว  แค่กัณตภัทรก็พูดแทรกขึ้นมาซะก่อน
                      "เอาไว้คุยกันที่บ้านนะครับม้า  แต่ตอนนี้ผมว่าพาน้องไปที่รถก่อนดีกว่านะครับ  เดี๋ยวผมเอากระเป๋าตามไปที่รถนะครับ"  เมื่อได้ยินดังนั้นทั้งสองก็พากณญาภัทรออกไปที่รถทันที
                      และอีกทางหนึ่งสองพี่น้องซึ่งเดินตามคู่ของกัณตภัทรออกมา  ซึ่งท่าทางสนิทสนมกันของพี่น้องคู่นั้นก็ได้ทำให้กัณตภัทรรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาไม่น้อย  เมื่อเห็นหญิงสาวที่ตนแอบหลงรักบนเครื่องบินเดินเคียงคู่กระหนุงกระหนิงมากับชายหนู่มรูปหล่อคนนั้น
                      เมื่อเขากำลังจะเดินออกไปจากที่ตรงนั้นเพราะไม่อยากเห็นภาพที่มันบาดตาบาดใจมากไปกว่านี้  แต่ก็ยังช้ากว่าคู่ของสองพี่น้องนั้นอยู่ดี  แล้วทั้งสองก็เดินเข้ามาทักกัณตภัทรทันทีโดยที่ภูรษาเป็นฝ่ายเอ่ยทักขึ้นก่อน
                      "อ้าวคุณ..."  "ผมกัณตภัทรครับ"  เขาเอ่ยแนะนำตนเองกับหญิงสาว  แต่ก็ยังที่จะถามไถ่ชื่อของหญิงสาวที่ตนแอบหลงรัก
    "แล้วคุณ..."  "ดิฉันภูริษาค่ะ"  หญิงสาวแนะนำตัวบ้าง
                      "แล้วแฟนของคุณไปไหนซะล่ะคะ  ตั้งแต่ออกมายังไม่เห็นเลย"  หญิงสาวเอ่ยถาม  "ผมให้ป๊ากับม้าพาไปรอที่รถแล้วล่ะครับ
    ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวก่อนนะครับ"  เขาตอบและถือโอกาสเดินออกไปจากตรงนั้นทันที  หญิงสาวได้แต่ยืนนิ่งจนภูริวัฒน์ต้องสกิดให้น้องสาวของตนเดินไปหาบิดาและมารดาของตนที่มารอรับอยู่เช่นกัน  "ไหม ไปเถอะป่านนี้ป๊ากับแม่คงมารอนานแล้ว"  เขาบอกกับน้องสาวของตน
                      แล้วทั้งสองก็เดินออกไปหาบิดาและมารดาของตนซึ่งมารอรับทั้งสองอยู่แล้ว  และพอเจอหน้ากันเท่านั้นภูริษาก็แทบจะกระโจนเข้าไปกอดมารดาของตนอย่างดีใจจนทำให้ผูเป็นบิดาพูดแซวออกมาแทบไม่ได้  "คิดถึงแต่แม่นะเราน่ะ  ทีป๊าล่ะก็ไม่เห็นลูกสาวคนสวยจะมากอดเหมือนแม่บ้างเล้ย"  พูดไม่พูดเปล่าแถมยังทำท่าน้อยอกน้อยใจ  จนภูริวัฒน์พูดแซวขึ้นมาบ้าง  "แหมป๊า  ถ้าลูกสาวเขาไม่กอดเดี๋ยวลูกชายคนนี้กอดแทนก็ได้เอ้า"  ด้วยคำพูดที่ทีเล่นทีจริงของภูริวัฒน์นั้นก็ทำเอาทั้งหมดหัวเราะออกมาครืนใหญ่  ด้วยความสุขใจที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาและหวังไว้ในใจว่าลูกทั้งสองคนของพวกเขาจะไม่กลับไปอยู่ต่างประเทศอีก
                      
                      เมื่อกลับมาถึงที่บ้านแล้วผูเป็นมารดาก็เอ่ยถามที่เกิดขึ้นทันที  "แล้วนี่บัวไปทำอิท่าไหนเข้าล่ะลูกถึงได้เจ็บกลับมาแบบนี้  เจ้าบอนก็ตัวโตซะเปล่าไม่รู้จักดูแลน้องให้ดี"  นางเอ่ยพร้อมกับหันมาต่อว่าลูกชายของตนเล็กน้อยที่ไม่ดูแลกันกันให้ดีๆ  "โถ่ม๊าก็ ใครจะไปรู้ล่ะครับว่าเหตุการณ์แบบนี้มันจะเกิดขึ้น  ถ้าผมรู้ผมคงไม่ให้มันเกิดหรอกครับ"  ชายหนุม่เอ่ยกับมารดา  "อย่าไปว่าเจ้าบอนมันเลยคุณไหนๆ เรื่องมันก็เกิดขึ้นมาแล้ว  ต่อไปก็ดูแลกันให้ดีๆ ก็แล้วกัน"  เจ้าสัวธีรธรเอ่ยขึ้นมาบ้าง  แล้วก็ถามต่อถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
                      กัณญาภัทรจึงเป็นคนเล่าให้ฟัง  "ก็ตอนที่บัวเดินออกมาจากห้องน้ำน่ะสิคะ  ไอ้บ้าที่ไหนก็ไม่รู้เดินมาชนบัวแล้วยังมาว่าบัวซุ่มซ่ามเดินไปชนเขาก่อน  ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ขอโทษซักคำก็ไม่มี  พูดแล้สยังเจ็บใจไอ้บ้านั่นไม่หาย" 
                      เมื่อน้องสาวพูดจบพี่ชายก็เอ่ยแซวกลับทันที  "อย่าให้บัวเขาเล่าอีกเลยครับ  เวลาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาทีไรของขึ้นทุกที"  ก็มันจริงนี่นาจะไม่ให้โกรธได้ยังไง  นึกแล้วก็เสียดายผู้หญิงคนนั้นเนอะที่มีแฟนทั้งทีก็ไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษเอาซะเล้ย"  เมื่อเอ่ยถึงเรื่องของหญิงสาวคนนั้นขึ้นมาก็ถึงกับทำให้กัณตภัทรทำหน้าสลดลงมาทันที  และไม่วายทำให้ถูกน้องสาวแซวขึ้นมา 
                      "แหมพูดมาแค่นี้ถึงกับทำหน้าเศร้าไปเลยเหรอพี่ชายเรา  นี่แหละน้าดันไปปิ๊งคนที่เขามีคู่อยู่แล้ว  มันก็เป็นอย่างนี้แหละพี่ชาย"  พูดแล้วก็ตบบ่าเป็นการให้กำลังใจกันเบาๆ
                      "เจ้าบอนมันไปปิ๊งใครที่ไหนเข้าล่ะ"  ผู้เป็นมารดาเอ่ยถามขึ้นบ้างหลังจากที่ฟังการสนทนาของบุตรทั้งสองมานาน  "เธอชื่อภูรษาครับม้า"  กัณตภัทรบอก  "แล้วนี่บอนไปรู้จักชื่อเขาได้ยังไง  ก็ไหนบอกว่าไม่รู้จักไง"  หญิงสาวเอ่ยถาม
    "ก็ตอนที่ป๊ากับม้าพาบัวไปที่รถแล้วนั่นแหละ  เขาสองคนเดินออกมาพอดีก็เลยได้คุยกัน"  "ว่าแต่บอนรู้จักชื่อผู้ชายคนนั้นไหม"  หญิงสาวเอ่ยถาม  "บอนไม่ทันได้ถามชื่อเขาหรอก  พอดีเดินออกมาซะก่อนน่ะ"   "นึกว่ารู้ชื่อหมอนั่นซะอีก  เวลาเจอจะได้ด่าได้ถูกตัว  แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกเพราะบัวจำหน้านายนั่นได้เป๊ะอยู่เหมือนกัน"
                       เมื่อสองสามีภรรยาเห็นว่าถ้ายังขืนพูดเรื่องนี้กันอยู่ก็จะทำให้ไม่จบไม่สิ้นกันซักที  ก็เลยบอกให้ทั้งสองของตนขึ้นไปพักผ่อนห้องใครห้องนัม  เพราะทั้งสองต่างก็เหน็ดเหนื่อจากการเดินทางมาตลอดหลายชั่วโมง  แถมยังจะต้องมาเจ็บตัวกันอีกและคงจะต้องปรับตัวเรื่องของเวลากันอีกหลายวัน

                       บ้านเจริญกิจวานิชย์
                       ทันทีที่เห็นรถยนต์หรูคันหนึ่งแล่นผ่านประตูหน้าบ้านเข้ามา  คนงานภายในบ้านต่างก็ตื่นเต้นดีใจกันใหญ่  โดยเฉพาะป้านิ่มที่เป็นทั้งพี่เลี้ยงและแม่นมของเจ้านายทั้งสองที่เพิ่งจะเดินทางกลับมา  และทันทีที่ทั้งสองเดินลงมาจากรถป้านนิ่มก็ไม่รอช้ารีบเข้าไปหาสองพี่น้องทันที  
                        "เป็นยังไงบ้างคะคุณหนูของป้า  เดินทางมาเหนื่อยๆ  เข้าบ้านก่อนนะคะ"  ว่าแล้วป้านิ่มก็พาทั้งสองเข้าบ้านไปทันทีและรัวคำถามใส่สองพี่น้องเป็นชุดจนไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อนดี  จนคุณวิชุดาต้องเอ่ยแซว  "แหมป้านิ่มเล่นถามเจ้าสองคนนั้นเป็นชุดขนาดนั้นเดี๋ยวก็ได้เวียนหัวตายกันพอดี"  "โถ่คุณชุล่ะก็  ป้าเลี้ยงของป้ามาตั้งแต่เล็กแต่น้อยนี่คะ  นี่ก็พากันไปอยู่เมืองนอกเมืองนาเป็นเกือบ 10 ปี  ไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านกันเลยสักครั้งจะไม่ให้ป้าคิดถึงกันได้ยังไงล่ะคะ"  นางเอ่ยออกมาด้วยความน้อยอกน้อยใจ  
                        ตั้งแต่สองคนพี่น้องไปเรียนต่อต่างประเทศจนถึงบัดนี้ก็เป็นเวลาที่นานมากเลยทีเดียวแถมยังไม่เคยกลับมาเยี่ยมบ้านเลยซักครั้ง  นี่ถ้าผู้เป็นบิดาและมารดาไม่ตามตัวกลับมาล่ะก็มีหวังได้ใช้ชีวิตกันอยู่ที่นั้นตลอดไปแน่นอน 
                       จนสองพี่น้องต้องเข้ามาปลอบอกปลอบใจกันยกใหญ่  "โอ๋ๆ  อย่าน้อยใจไปเลยนะคะ  ต่อไปนี้ไหมกับเฮียสัญญาว่าจะไม่ไปอยู่ที่ไหนนานๆ ให้ป้านิ่มคิดถึงอีกแล้วค่ะ"  เมื่อได้ยินเช่นนั้นป้านิ่มก็มีสีหน้ายิ้มแย้มขึ้นมาทันที  พร้อมกับบอกให้วาสใช้ในครัวยกอาหารที่เตรียมเอาไว้มาต้อนรับสองพี่น้องทันที  
                       และเมื่อดห็นอาหารที่สาวใช้ยกมาที่มีแต่ของโปรดของทั้งสองคนด้วยแล้วก็ยิ่งทำให้ทั้งสองพี่น้องนั่งปรบมือด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ  ที่กำลังจะได้กินของโปรดของตัวเองที่ต่อให้ไปสั่งมาจากโรงแรมห้าดาวก็สู้ฝีมือการทำของป้านิ่มไม่ได้
                       "โอ้โห!  รสชาติยังเลยนะคะป้านิ่ม"ภูรษาเอ่ยชม  ทำให้ป้านิ่มยิ้มแทบไม่หุบเลยทีเดียว  "จริงด้วยครับป้า  ให้เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม"  ภูริวัฒน์เอ่ยขึ้นบ้าง  และมันก็ทำให้นางรู้สึกอิ่มอกอิ่มใจที่ได้เห็นครอบครัวนี้กลับมาอยู่กันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง
                      
                













     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×