ตอนที่ 2 : ตัวอย่างฟิค Stucky - All of me
…You're my downfall, you're my muse
My worst distraction, my rhythm and blues
คุณคือความพังพินาศย่อยยับของผม เป็นเทพธิดาแห่งแรงบันดาลใจ
เป็นความคลุ้มคลั่งอันเหลือร้ายและทำนองเพลง R&B ของผม…
ลอนดอน ธันวาคม 2015
สภาพอากาศย่ำแย่ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้พื้นถนนทั่วกรุงลอนดอนปกคลุมไปด้วยหิมะ อุณหภูมิที่ลดต่ำลงอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนประสบช่วงเวลายากลำบาก หากก็เลวร้ายได้ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของผู้คนซึ่งอาศัยข้างถนนทั่วมหานครเป็น ‘บ้าน’
นาฬิกาในร้านค้าข้างทางบอกว่านี่เข้าช่วงสายของวันแล้ว ทว่าพระอาทิตย์ขี้อายก็ยังหลบซ่อนตัวเองอยู่เบื้องหลังก้อนเมฆทะมึน พาบรรยากาศทั่วกรุงลอนดอนอึมครึม ชายหนุ่มท่าทางมอมแมมสะพายกีต้าร์เครื่องเก่า เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มพ่นลมหายใจที่ระเหยเป็นไอเย็นในชั่วพริบตา ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง ถุงมือมีรอยขาดตรงช่วงนิ้วโป้งสีซีดช่วยมอบความอบอุ่นให้มือกร้านหยาบได้ไม่มากนัก เขากระชับเสื้อคลุมสีน้ำตาลอ่อนตัวเดียวที่มีหวังให้มันช่วยกันลมหนาว รองเท้าบู๊ทสีดำสภาพยับเยินย่ำลงบนพื้นหิมะหนาอย่างระมัดระวัง หัวรองเท้าที่เปิดออกจนต้องพันมันด้วยเศษผ้าทำให้ชายหนุ่มต้องระวังแต่ละก้าวเป็นเท่าตัว พาระยะทางไปจุดเล่นดนตรีประจำยิ่งไกลขึ้นไปอีก
ริมฝีปากแห้งอ้าปากโกยอากาศเข้าปอด หอบเบา ๆ แต่ละย่างก้าวหนักอึ้ง กระเพาะที่ไม่ได้ย่อยอะไรนอกจากน้ำเปล่ามาสองสามวันแล้วเริ่มออกอาการประท้วง ชายหนุ่มกัดฟันล้วงเข้ากระเป๋ากางเกง เหรียญสีเงินกับธนบัตรมูลค่าต่ำสุดยับยู่ในกำมือ หากเพียงเท่านั้นมันก็ทำให้เขาอุ่นขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ร้านอาหารตรงหัวมุมถนนอันเป็นร้านของชายใจดีคนหนึ่งผู้มักจะเมตตาคนไร้บ้านอย่างเขาอยู่เสมอคือจุดหมาย ถึงเงินติดตัวจะพอให้เขาซื้อชุดอาหารราคาถูก ๆ ได้บ้าง แต่มันคงดีกว่านักถ้าเขาสามารถแบ่งมันเก็บไว้ใช้ในอนาคต
“แม่ขา หนูอยากได้ผ้าพันคอผืนใหม่” เด็กผู้หญิงวัยห้าขวบเอ่ยเสียงเจื้อยแจ้ว ชายหนุ่มเผลอเหลือบมองคุณแม่ยังสาวกับเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์และรูปหน้าถอดกันมาราวกับพิมพ์เดียว
“ไว้เราเลือกผ้าพันคอให้คุณย่าเสร็จแล้ว เราค่อยเลือกของหนูดีมั้ยคะ” แม้แต่โทนเสียงก็ยังใกล้เคียงกัน เด็กหญิงตัวน้อยพยักหน้ารับหงึกหงัก ส่งเสียงเจื้อยชวนมารดาคุยจนลับเข้าร้านขายผ้าพันคอไป
ครอบครัวงั้นเหรอ...
ชายหนุ่มสะบัดศีรษะสองสามที เรียวปากแตกแห้งเหยียดยิ้มหยัน ถ้าหากของแบบนั้นมันมีอยู่จริง เขาก็คงไม่ต้องใช้ชีวิตข้างถนนอยู่แบบนี้
เขากระชับสายสะพายกีต้าร์
ทั้งครอบครัว ทั้งความรัก ทุกสิ่งเป็นเพียงเรื่องลวงหลอก เบื้องหลังภาพน่ารัก ๆ ของพ่อแม่ลูกที่มองดูแล้วช่างสมบูรณ์แบบและน่าอิจฉาคือความเน่าเละ ฟ้อนเฟะกันทั้งสิ้น
ความรักจะเอาชนะทุกความชิงชังงั้นหรือ
เรื่องแบบนั้นมันมีแต่ในนิยายน้ำเน่าเท่านั้นแหละ
“ขอบคุณมากครับ ถ้าหากมีเรื่องไหนให้ผมช่วยบอกได้เลยนะครับ ผมยินดี” ชายหนุ่มค้อมศีรษะลงน้อย ๆ เบื้องหน้าคือชามกระเบื้องกับช้อนคน ร่องรอยคราบของซุปครีมข้นบอกว่าเจ้าตัวอิ่มเอมกับอาหารมื้อนี้มากแค่ไหน มือกร้านภายใต้ถุงมือเก่าวางเศษเหรียญลงกับโต๊ะ
“ไม่เป็นไร อันที่จริง...นายไม่คิดจะกลับบ้านจริง ๆ เหรอสตีฟ” ชายวัยกลางคน เจ้าของสีผิวเข้มแดด เก็บเงินค่าอาหารที่คิดถูกกว่าในเมนูครึ่งหนึ่งเข้ากระเป๋าหน้าของผ้ากันเปื้อนสกรีนลายสัญลักษณ์ของร้าน
“ผมออกจากที่นั่นมาห้าปีแล้วนะครับ” ชายหนุ่มยิ้มขื่น “กลับไปก็คงเป็นแค่คนแปลกหน้า”
เจ้าของร้านถอนหายใจ
“เขาก็พยายามส่งเงินมาให้อยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ เนี่ย...” ว่าพลางเอื้อมมือไปหลังเคาท์เตอร์ หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลออกมา
“โธ่นิค ผมบอกให้คุณคืนเขาไปให้หมดไง” สตีฟหุบยิ้ม “หรือที่ผ่านมาคุณหักค่าอาหารจาก...”
“เปล่า ฉันไม่ได้แตะมันสักปอนด์เดียว” นิคส่ายหน้า ยอมเก็บซองเอกสารไว้ที่เดิม “มันก็ห้าปีแล้วนะ เลิกดื้อด้านแล้วกลับบ้านเถอะ”
“ให้กลับไปใช้ชีวิตแบบนั้น...เหอะ ผมยอมตายอยู่ข้างถนนดีกว่า”
คนฟังถอนหายใจ
“ครอบครัวทะเลาะกันมันก็เป็นเรื่องธรรมดา นายจะผูกใจเจ็บให้ลำบากตัวเองไปทำไมกัน”
“ก็ถ้าการทะเลาะกันทุกวันจนทำให้ผมประสาทหลอน ตื่นมาก็ผวากลัวได้ยินเสียงคนตะโกน ขนาดใส่หูฟังยังต้องดึงออกมาเป็นระยะเพราะหลอนได้ยินเสียงตวาดมันเป็นเรื่องปกติ”
สตีฟแค่นหัวเราะ
“ผมเลือกตายอยู่ข้างถนนดีกว่า”
...
สตีฟออกจากร้านอาหารด้วยอารมณ์ขุ่นมัว สองเท้าจ้ำเร็วขึ้นกว่าเก่าด้วยมีเรี่ยวแรง หรือไม่ก็เพราะอยากหลีกหนีคำว่าครอบครัวที่ดังก้องอยู่ในร้านของนิค
แค่นึกถึงว่าตัวเองจะกลับไปอาศัยชายคาร่วมกับผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น มือเท้าก็เย็นวาบ กระเพาะปั่นป่วนจนอยากอาเจียน
สตีฟเบ้ปาก ถ้อยคำวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในสมองราวกับคำสาป
‘ฉันไม่นับแกเป็นลูก!!’
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกมีแค่นี้ ส่งเงินมา! เร็ว!”
สตีฟชะงักฝีเท้า เขาถอยหลังกลับไปยังตรอกตันซึ่งตัวเองเดินผ่านมาเมื่อครู่ กลิ่นแอลกอฮอลล์ฉุนทำให้จมูกรั้นย่นลง แล้วก็เป็นดังคาด คนไร้บ้านท่าทางมอมแมมกว่าเขา มือข้างหนึ่งถือขวดเหล้า อีกข้างขยำคอเสื้อเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายอย่างมาดร้าย ที่พื้นปกคลุมด้วยหิมะระเกะระกะไปด้วยขนมปังและกองนิตยสาร
“คิดดีแล้วเหรอไปขู่เขาแบบนั้นน่ะ” ชายหนุ่มกระแอมไอ เหลือบมองนิตยสารบนพื้นอย่างจงใจ “ถ้าเขาเอาเรื่องนี้ไปฟ้องจนตกงานนี่มันคุ้มค่ากันเหรอ กลับไปยืนขายนิตยสารจะดีกว่ามั้ง”
“ยุ่งอะไรด้วยวะ!” อีกฝ่ายผละออกจากเด็กหนุ่ม ดวงตาสีสวยดั่งอัญมณีฉายแววหวาดกลัว
“ก็แค่ผ่านมาเตือนเฉย ๆ เอ้า รีบเก็บของเร็วเข้า จะขายไม่ทันรถไฟเที่ยวนี้นะ”
แม้จะไม่พอใจ แต่คนไร้บ้านแปลกหน้าก็ยอมกอบบรรดานิตยสารบนพื้นออกไปแต่โดยดี หากก็ไม่วายหันมาชี้หน้าสตีฟอย่างคาดโทษ
นักดนตรีเร่ร่อนยักไหล่
“ขอบคุณครับ...” เด็กหนุ่มดูเด็กกว่าเขาราวห้าหกปีเอ่ยอ้อมแอ้ม เหงื่อผุดซึมไหลหยดตามโครงหน้า หัวใจยังคงเต้นโครมครามจากเหตุการณ์เมื่อครู่ มือสั่นเทาค่อย ๆ เอื้อมเก็บขนมปังที่เอาไปขายไม่ได้แล้วลงถุงกระดาษสีน้ำตาลเข้มสกรีนสัญลักษณ์ของร้านเช่นเดียวกับที่นิคทำ
“ฉันซื้อขนมปังพวกนั้นต่อแล้วกัน” อาจจะด้วยความสงสารหรือปากทำงานก่อนสมอง เขาถึงหลุดพูดออกไปอย่างนั้น อีกฝ่ายส่ายศีรษะไม่คิดชีวิต
“ไม่ได้ครับ ช่วยผมแล้วยังซื้อขนมปังกินไม่ได้พวกนี้อีก”
“กินได้สิ” สตีฟหยิบธนบัตรใบสุดท้ายในกระเป๋ายื่นให้ “ทั้งเนื้อทั้งตัวฉันก็มีอยู่เท่านี้แหละ”
“อ้าวคุณก็เป็น...” เด็กหนุ่มปิดปากฉับ เกือบหลุดวาจาเสียมารยาทออกไป คนฟังกระตุกยิ้ม
“อือ ฉันเป็นคนไร้บ้านเหมือนกัน แต่เป็นนักดนตรีเปิดหมวกน่ะ ไม่ได้ขาย big issue แบบหมอนั่น” สตีฟพยักเพยิดไปทางกีต้าร์ด้านหลัง อีกฝ่ายร้องอ๋อเบา ๆ
“ยังไงผมก็ขายไม่ได้หรอกครับ ขายของไม่ดีนี่มันดูถูกลูกค้าชัด ๆ เลย”
“งั้นฉันเก็บแล้วนะ” สตีฟหัวเราะเอ็นดู “เดี๋ยวไปจองที่ช้าแล้วลูกค้ามองไม่เห็นกันพอดี”
“ค- ครับ”
ชายหนุ่มหันหลัง สาวเท้าออกจากตรอกซอยนั้น
“เอ่อ ผมบัคกี้นะ คุณชื่ออะไรเหรอครับ”
สตีฟตะโกนตอบทั้งยังไม่หยุดเดิน
“สตีฟ...ไม่มีนามสกุล”
------------------------------------------------------------------------------------------------------
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
