ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My GNC's Diary__สดใสจริงๆชีวิตอาสาสมัครIYF__(เอลฟ์ไทยไปเกาหลี)

    ลำดับตอนที่ #4 : GNC4> ร่วมแคมป์นานาชาติที่มีความสุขที่สุดในโลก

    • อัปเดตล่าสุด 25 ส.ค. 55


    GNC>4ร่วมแคมป์นานาชาติที่มีความสุขที่สุดในโลก

    4번제 가장 행복한 드캠프

     

              ฤดูร้อนในประเทศเกาหลีนี่สดชื่นมาก การทำเวิล์ดแคมป์นั้น จะจัดขึ้นทุกปีและจัดขึ้นทั่วโลก เรียกว่า World Camp ซึ่งจะมีนักเรียน นักศึกษาและผู้ที่สนใจเข้าร่วมกันกว่า2,000คน ซึ่งปี2011 หนิงมีโอกาสได้ร่วมแคมป์นี้ ถึง3แคมป์3ประเทศด้วยกัน คือ ที่ไทย ที่กัมพูชา และเกาหลี ซึ่งจะเป็นการรวมตัวกันทำกิจกรรมต่างๆ ท่องเที่ยว ชิมอาหาร และพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน

                ซึ่งหนิงได้อยู่ร่วมกลุ่มกับคนไทยอีก2คนคือ น้องนิดและพี่หลิน คนเกาหลีแท้2สองคนคนจีน1คน กัมพูชา4คน นิวซีแลนด์1คน คนเกาหลีสัญชาติอเมริกัน อีก2คน และอเมริกันแท้ๆอีก1คน สนุกมากจ้าถึงจะต่างภาษาแต่ก็อยู่ด้วยกันนับเดือน สนุกมากกกกกกกก

                ดีใจมากที่การแสดงของเด็กไทยที่เตรียมไปผ่านการคัดเลือกให้เป็นการแสดงแรกของพิธีเปิดซึ่งเป็นการแสดงชุดแรกซะด้วย ดีใจสุดๆ ซึ่งส่วนใหญ่เพื่อนในทีมแสดงจะเป็นเพื่อนที่เตรียมตัวบินต่อไปเป็นอาสาสมัครที่อเมริกา ทุกๆคนเป็นนักศึกษาแล้วก็หัดรำพร้อมๆกันทั้งหมด ยิ่งดูยิ่งภูมิใจแฮะ

                การเข้าร่วมWorld Camp ครั้งนี้หนิงได้ไปเที่ยวทั่วประเทศเกาหลีเลยนะ(คนเกาหลีบางคนยังไม่เคยได้ไปเที่ยวทั่วถึงขนาดนี้อ่ะ) ตอนแรกหนิงอยู่ที่อินชอน แล้วก็ต่อด้วย พูซาน อุลซาน โพฮัง คยองจู มาซาน และอีกหลายๆจังหวัด และทุกๆเมืองเราก็จะได้ไปเยี่ยมชมสถานที่ที่มีชื่อเสียงของเมืองนั้น ซึ่งขอบอกว่าคุ้มมากๆ

                ตกกลางคืนจะอลังการเป็นพิเศษจ้านักศึกษาต่างชาติจะแอบย่องมาห้องหนิงเพราะว่าที่โรงแรมจะมีมุมครัวซึ่งก็หรูมากๆ (คืนละ6,000แต่ให้นักศึกษาที่ร่วมCampนอนฟรีจ้า คริคริ)

    พวกเขาจะตื่นเต้นกับ รามยอน หรือบะหมี่ซองของเกาหลี และหนิงเป็นคนเดียวที่ทำอาหารเป็นเลยต้องยอมเป็นแม่ครัวให้ซะดีดี แต่เรื่องจริงนะ ในCampน่ะเขาเลี้ยงเราดีมากๆเลย ไปที่ไหนอาจารย์ที่ดูแลกลุ่มก็จะพาเราไปทานอาหารที่ดังๆของเมืองนั้น

                การเข้าCampก็จะมี อคาเดมี่ด้วยนะ เด็กๆที่มาร่วมCampจะต้องทำกิจกรรมและเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน เพราะงั้นเขาจึงมีวิชาที่เปิดสอนสำหรับเด็กๆอย่างหลากหลาย เช่น เรียนภาษาอังกฤษ เรียนภาษาเกาหลี เรียนภาษาจีน แล้วก็จะมีคลับของ Skin Cares ซึ่งจะสอนนักศึกษาให้รู้จักดูแลตัวเอง อาจารย์สุดสวยที่เป็นอดีตMiss Korean จะสาธิตวิธีการดูแลรักษาผิวให้เราอย่างใกล้ชิด เช่นสอนการมาร์คหน้า การผสมครีมสำหรับมาร์ค ซึ่งของที่เอามาใช้เป็นของดีๆทั้งนั้น คริคริ เช่นSkin food ,The Body shop,it’s skin และอีกมายมาก

                หนิงเข้าร่วมคลับสอน เทควันโด และ Skin Careทุกวันง่ะ อิอิอิ การเข้าร่วมกิจกรรมฟังเรื่องของจิตใจก็ดีนะ อาจารย์ชาวเกาหลีจะสอนเรื่องของจิตใจ ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นเรื่องของการเปิดใจ

                อาจารย์บอกว่า คนเรานั้นการที่จะอยู่ร่วมกันได้ก็ต้องมีจิตใจที่สื่อถึงกันได้ อาจารย์ยกตัวอย่างเช่นเรื่องครอบครัวโดยเล่าเป็นนิทานที่สนุกและเข้าใจง่ายด้วยซึ่งนิทานนี้แต่งจากเรื่องจริงที่เกิดเมื่อสมัยสงครามระหว่างเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ซึ่งตอนนั้นมีทหารมากมายที่ต้องตายในสงคราม

                ราวเที่ยงคืนวันหนึ่งที่การรบดุเดือดถึงจุดรุนแรงที่สุด ผู้หญิงคนหนึ่งในนครลอสแองเจลิส อเมริกาได้รับโทรศัพท์จากลูกชายของเธอซึ่งมาจากลูกชายของเธอที่รบอยู่ที่เกาหลี เธอดีใจมากที่ได้ยินเสียงของจอห์นลูกรัก เธอกังวลโดยตลอดเมื่อได้ยินข่าวว่าทหารอเมริกันจำนวนมากเสียชีวิตในสงคราม แต่วันนี้เธอได้พูดสายกับลูกชาย

                “แม่ครับ ตอนนี้ผมอยู่กับเพื่อน พรุ่งนี้เช้าผมจะกลับครับ”

                “แม่จะรอนะ กลับมาเร็วๆล่ะ” เธอกำลังจะวางสาย แต่จอห์นกลับพูดต่อว่า

                “แม่ครับ ผมอยากจะพาเพื่อนคนหนึ่งไปที่บ้านด้วย เราร่วมรบกันในสงครามครับ แต่เขาเหยียบกับระเบิด เขาเสียขาข้างหนึ่ง แขนข้างหนึ่งแล้วก็ตาอีกข้างหนึ่ง”

                “น่าสงสารจริงๆ ลูกพาเขามาด้วย แล้วก็ให้เขาอยู่กับเราสักอาทิตย์หนึ่งแล้วค่อยพาเขากลับบ้านนะ”

                “แม่ครับ แต่ผมอยากอยู่กับเพื่อนไปตลอดชีวิต”

                “ลูกพูดอะไรอยู่รู้ตัวไหม? แม่ว่าสงครามทำให้ลูกอ่อนไหวนะ ลองคิดดูสิ เขาขาขาด แนนขาด แล้วแบบนี้จะเข้าห้องน้ำยังไง เขาจะอาบน้ำยังไง ถ้าลูกอยู่กับเขาไปนานๆลูกต้องอึกอัดใจมากนะ ให้เขาอยู่ด้วยสักพักแล้วค่อยให้เขากลับบ้านดีกว่านะลูก”

                “ครับคุณแม่”

                “เราทำอย่างนั้นดีกว่านะลูก”  

                “ครับแม่ คุณแม่ดูแลตัวเองดีดีนะครับ”

                “ทำไมบอกลาแม่แบบนี้? รีบๆกลับบ้านเร็วๆนะ”

                “ครับแม่ ดูแลสุขภาพตัวเองด้วยนะครับ”

                “จ้ะ ลูกรีบกลับบ้านนะ” เธอวางสายด้วยความดีใจอย่างยิ่ง ที่บุตรชายซึ่งไปสงครามได้ปลอดภัยกลับมา เธอรีบไปที่ห้องของลูก ทำความสะอาดและจัดห้องอย่างดี เธอนอนไม่หลับเลยไปหยิบเตารีดมาและรีดเสื้อผ้าให้เขาอย่างประณีต          

                เช้าวันต่อมาเธอรอแล้วรอเล่าแต่เขาก็ยังไม่กลับบ้าน เธอเริ่มกระวนกระวายอยากเห็นหน้าลูกเร็วๆสักพักเธอได้รับโทรศัพท์

                “ขอโทษครับ ใช่บ้านคุณจอห์นหรือเปล่าครับ?”

                “ค่ะ”

                “ผมเป็นตำรวจครับ ลูกชายของคุณกระโดดตึกฆ่าตัวตายจากห้องพักโรงแรมครับ เราอยากให้คุณไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้เลยครับ” เธอขับรถไปอย่างเร็วสุดชีวิตโดยคิดทบทวนว่านั่นจะใช่ลูกชายของเธอจริงหรือเปล่า? และตำรวจก็รออยู่ที่นั่น มีเตียงเดี่ยวอยู่ในห้องนั้น และร่างหนึ่งที่นอนอยู่บนเตียงพร้อมผ้าขาวคลุมไว้ทั้งตัว

                เมื่อตำรวจเปิดผ้าขึ้น มารดาก็ตกใจมากร่างที่นอนอยู่บนเตียงคือจอห์นลูกของเธอ แต่เขาตาบอดข้างหนึ่ง มีรอยแผลเป็นเต็มไปหมดทั่วทั้งหน้า แขนและขาของเขาขาดไปอย่างละข้าง ผู้หญิงคนนี้กอดร่างแล้วร้องไห้

                “จ ฮึก จอห์นทำไมลูกทำแบบนี้? ทำไม ฮือออ  ทำไม ไม่บอกว่าเป็นลูกเอง ฮือๆ”

     

                จอห์นเหยียบกับระเบิดในพื้นที่ด้านตะวันออกของสนามรบ โชคดีที่เขาไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่บาดเจ็บสาหัส แพทย์นำเขามารักษาตัวอยู่นาน เขาพยายามจะขยับขาแต่กลับพบว่าขาของเขาหายไปข้างหนึ่ง

                ต่อมาจอห์นย้ายไปที่โรงพยาบาลในโอกินาวา ที่ญี่ปุ่นและถูกส่งกลับมายังอเมริกาในที่สุด จอห์นคิดถึงมารดามากกว่าใคร “แม่จะรักฉันได้ยังไง ฉันพิการแบบนี้ คุณแม่อาจไม่รักฉันอีกก็ได้”

                ตอนนั้นเมื่อจอห์นได้ยินคำพูดของมารดา แล้วเข้าใจจิตใจของมารดาผิด “แม่จะต้องหนักใจกับฉัน และอึดอัดที่ฉันพิการแน่ๆ ไม่มีใครต้อนรับฉัน แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่อีกต่อทำไมกัน?” จอห์นก็ตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด

                “จอห์น ทำไมลูกไม่บอกว่าเป็นลูกเอง ถ้าลูกเสียขาไป แม่นี่แหละจะเป็นขาให้ลูกเอง แม่จะยิ่งภูมิใจซะอีกที่ได้ทำเพื่อลูก” นิทานจากเรื่องจริงที่อาจารย์เล่านั้นสอนอะไรหนิงหลายๆอย่างดูจาก จอห์นที่เข้าใจจิตใจของแม่ผิด จริงๆแล้วถ้าจอห์นบอกแม่ตรงๆแม่ก็พร้อมที่รับจอห์น

                หนิงเองก็กลับมาคิดถึงครอบครัวเหมือนกันนะ เพราะหนิงเองก็ไม่ค่อยได้คุยหรือบอกอะไรตรงๆกับแม่หรือครอบครัวเท่าไร หลังจากนั้นที่หนิงกลับมาที่ไทยเวลาหนิงมีอะไรก็จะเล่าให้แม่ฟังเสมอ เพราะว่าถ้าเราไม่พูดเรื่องในใจเราออกมานั้น ก็จะพาไปสู่การเข้าใจผิด

                และจิตใจของหนิงกับแม่จะไม่มีทางได้สมานติดกันเลยถ้าหนิงไม่ยอมเปิดใจเข้าหาแม่ ตอนนี้หนิงกับแม่ก็มีความสุขกันดี และพ่อที่หย่าร้างกับแม่ไปหนิงก็ยิ่งเปิดใจแล้วโทรไปหาพ่อมากขึ้น จากที่ไม่เคยบอกว่ารักพ่อเลยนั้น บทเรียนจากจอห์นทำให้หนิงสามารถบอกรักพ่อได้

                ขอบคุณจริงๆที่ได้ฟังนิทานดีดีแบบนี้ บทเรียนจากจอห์นสอนหนิงหลายๆอย่าง นอกจากแคมป์จะสนุกและได้พบเจอกันเพื่อนมากมายและเรียนรู้อย่างสนุกสนานแล้ว หนิงยังได้เรื่องที่สอนได้อีกด้วย ถ้าไม่ได้ฟังนิทานเรื่องจอห์นหนิงก็คงไม่มีวันบอกว่ารักพ่ออย่างตรงๆได้ไปทั้วชีวิต นี่แหละทำไมหนิงต้องเรียกค่ายนี้ว่า “ค่ายที่มีความสุขที่สุดในโลกกกกกกกกก”
     









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×