คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ...
บทนำ
“ คุณปริญคะ มีพนักงานเดินมาบอกว่าท่านประธานให้มาตามไปที่ห้องค่ะ ”
เสียงของ พิมพา เลขาคนสนิทของปริญดังขึ้นพร้อมกับประตูที่เปิดออก ปริญที่นั่งก้มดูเอกสารอยู่ในมือเงยหน้าขึ้นมองอย่างสงสัยก่อนถาม
“ ตามไปทำไม ”
“ ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ”
ปริญพยักหน้าส่งๆแล้วก้มลงอ่านเอกสารในมือต่อราวกับไม่ได้ใส่ใจ พิมพาที่เห็นจึงได้แต่ยิ้มเจื่อน พยายามพูดเตือนขึ้นอีก
“ คุณ... ”
“ ออกไปได้แล้ว ถ้าฉันจะไปเมื่อไหร่เดี๋ยวฉันไปเอง ”
“ ค่ะๆ ” พิมพารีบตอบก่อนปิดประตูลงเดินกลับไปที่โต๊ะประจำตำแหน่ง ก่อนจะต้องตกใจเมื่อเห็น อานนท์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานบริษัทเดินตรงมา หญิงสาวได้แต่คิดว่า ‘ ซวยแล้วฉัน ’ ก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นตอบเมื่อท่านประธานมาหยุดอยู่ตรงหน้าแล้วถาม
“ ทำไมปริญมันยังไม่ไปที่ห้องทำงานฉัน ”
“ เอ่อ...คือ... ”
อานนท์ส่ายหน้าเบาๆ ก่อนเดินเลี่ยงไปที่ห้องเป้าหมายทั้งที่ฟังหญิงสาวพูดไม่จบ ทิ้งให้พิมพาได้แต่ยืนมองตามอย่างกังวลอยู่ภายหลัง พร้อมกับบ่นขึ้นเบาๆกับตนเองว่า
“ เอาอีกแล้วพอลูกคู่นี้ ”
ปริญยังคงนั่งอ่านเอกสารในมืออย่างใจจดใจจ่อไม่ได้มีท่าทีจะลุกจากเก้าอี้ไปไหน ไม่นานเสียงประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มทำหน้าเซ็งก่อนบอกออกไปทั้งที่ยังไม่เงยหน้า
“ นี่ ! พิมพา บอกไม่รู้เรื่องหรือไง ฉันบอกว่าถ้าฉันจะไปเดี๋ยวฉันไปของฉันเอง ”
“ แล้วเมื่อไหร่ล่ะที่แกจะไปน่ะ ”
ปริญเงยหน้าขึ้นจากเอกสารในมือทันที สายตามีแววประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนมันจะแปรเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยพร้อมยกยิ้มที่มุมปากซึ่งใครมองผ่านๆคงเรียกว่าแกล้งยิ้มเท่านั้น
“ โอ้โห ! วันนี้ห้องผมคงเป็นบุญมาสิน่ะครับ พ่อเดินมาหาผมถึงที่นี่ ”
“ แกหุบปากเสียๆของแกไปไอหมาก ”
“ ก็มันจริง...ร้อยวันพันปีพ่อเคยมาห้องผมซะทีไหน อ้อ ! ผมลืมไป ไอผมมันไม่ใช่รองประธานบริษัทคนเก่งที่พ่อจะได้เรียกใช้ตลอดเวลา ”
ปริญพูดพร้อมกับลุกจากเก้าอี้ไปหยุดอยู่ที่หน้าอานนท์ คนเป็นพ่อมองหน้าลูกด้วยแววตาไม่ค่อยพอใจ แต่ปริญกลับมองนิ่งๆราวกับเคยเห็นมันบ่อยจนชินตา
“ นี่แกหาเรื่องใครไม่ได้ก็เลยหาเรื่องพี่ชายตัวเองสิน่ะ ”
“ หึ ! ” ชายหนุ่มสบถเบาๆพร้อมพูดต่อ “ พ่อก็น่าจะชินแล้วหนิครับ ไอผมมันก็แค่รองประธานบริษัทอีกคนที่แทบไม่มีบทบาทอะไรเลย ทำดีให้ตายยังไงก็คงสู้.... ”
“ นี่ไอหมากแกหยุด แล้วตามฉันไปคุยงานที่ห้องได้แล้ว ”
อานนท์บอกพร้อมกับหันหลังกลับเตรียมเดินออกจากห้องไป แต่เสียงของลูกชายก็ดังมาสะดุดให้เท้าต้องจมอยู่กับที่เสียก่อน
“ ผมไม่ไป ”
“ นี่แกอย่ามาเรื่องมากได้ไหม ” อานนท์หันมาดุ
“ ผมไม่ได้เรื่องมาก แต่ไหนๆพ่อก็มาถึงห้องผมแล้วพูดตรงนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ” ชายหนุ่มตอบหน้าตาเฉยพร้อมกับเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ แต่ยังไม่วายกวนประสาทอานนท์ต่อ
“ อ้าว ! พ่อ นั่งสิครับ... อ่อ หรือคิดดูอีกทางพ่อนี่มีมารยาทจริงๆ ถ้าเจ้าของห้องไม่เชิญให้นั่งก็ไม่นั่ง ”
“ ฉันไม่นั่ง เพราะฉันมีธุระมาคุยกับแกไม่นานเดี๋ยวก็กลับ ” อานนท์บอก ปริญพยักหน้าเบาๆบ่งบอกว่าไม่เชื่อถือ ทำเอาคนเป็นพ่ออดโมโหไม่ได้ แต่ก็รีบพูดต่อ
“ งานเลี้ยงต้อนรับลูกค้ากลุ่มใหญ่จากเชียงใหม่ที่เค้าจะมาพักที่โรงแรมเสาร์ที่จะถึงนี้ ฉันมอบหมายให้แกเป็นคนจัดการเตรียมงานทุกอย่าง แกอยากได้ตัวพนักงานฝ่ายไหนที่จำเป็นก็ดึงไป ส่วนรายละเอียดเดี๋ยวฉันจะให้พิมพาปริ้นท์รายละเอียดมาให้แกอ่านแล้วกัน ”
อานนท์พูดจบก็รีบเดินออกจากห้องไป ปริญมองตามอานนท์เดินออกจากห้องผ่านกระจกใสหน้าประตูไปจนลับตา ก่อนจะหันไปมองบรรยากาศยามสายภายนอกที่ดูวุ่นวาย พลางคิดว่าจะในใจของเค้าก็วุ่นวายไม่ต่างกัน...
“ นี่ไอบีม งานเลี้ยงตอนรับคณะจากเชียงใหม่คราวนี้พ่อให้ฉันจัดการ ยังไงแกย้ายมาช่วยงานฉันก่อนนะ ”
ธีรนนท์รีบหันทันทีเมื่อได้ยินเสียงดังข้างตัว ก่อนจะร้องอ๋อในใจเมื่อเห็นว่าปริญ เพื่อนสนิทของตนเป็นฝ่ายพูดด้วยนั่นเอง
“ แหม ! ไอหมาก ครั้งนี้แกได้งานใหญ่ ”
“ หึ ! เค้าคงอยากจะรู้ว่าฉันจะทำมันได้สำเร็จรึเปล่า เรื่องนี้แกเป็นหนึ่งในคนทำงานบริษัทนี้...ก็น่าจะรู้ ”
ปริญตอบพร้อมกับทำหน้าที่บ่งบอกว่าเซ็งอย่างเห็นได้ชัด ธีรนนท์เห็นแล้วนิ่งรู้ว่าต้องปิดปากเงียบเรื่องนี้โดยเร็วก่อนจะรีบเฉไฉไปเรื่องอื่น
“ เออ ว่าแต่แกมีอะไรเร่งด่วนให้ฉันทำก่อนป่ะล่ะ วันนี้ฉันว่าง เคลียงานเสร็จตั้งแต่เมื่อคืน ”
“ ก็มี...ฉันว่าฉันอยากได้ช่างถ่ายภาพที่แบบเก่งๆเลย เอาแบบถ่ายภาพออกมาแล้วดูดีสุดๆ แกก็รู้ว่างานนี้งานใหญ่ ถ้าฉันพลาด...เค้าคงได้เอาเรื่องนี้มาซ้ำเติมฉันอีกแน่ ว่าฉันมันเป็นลูกที่ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง ”
“ เออๆ เอาน่าๆ แกนี่ชอบพูดเรื่องอะไรที่ทำให้ตัวเองหงุดหงิดอยู่เรื่อย ” ธีรนนท์รีบค้านขึ้นพลางพูดต่อ “ แกไม่ต้องห่วงเดี๋ยวฉันติดต่อช่างภาพเจ๋งๆ เก่งๆให้ น้องคนนี้ฉันรู้จักดี ถ่ายภาพได้สุดยอดมาก ”
“ น้อง ? น้องคนไหนของแก ”
“ น้องที่ฉันรู้จัก เค้าเป็นช่างภาพอิสระ เป็นน้องรหัสของเพื่อนสนิทฉันตอนเรียนอยู่มหา’ลัย เลยสนิทกัน และฉันได้มีโอกาสเห็นผลงานภาพถ่ายเค้าแล้วชอบ ถ่ายดี เข้าใจเลือกใช้แสงนู่น นี่ นั่น อละภาพถ่ายมีสไตล์ของตัวเองดี ”
“ เฮ้ยๆ ไอบีม ! แกจะมาเอาช่างภาพฝึกหัดที่ไหนมาทำงานใหญ่อย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันไม่อยากให้งานฉันพังเพราะช่างภาพคนเก่งของแก ”
ปริญพูดพร้อมกับชี้ไปที่ตัวเพื่อนหนุ่มอย่างยืนยัน ธีรนนท์ไม่หวั่นแถมยังพูดต่อ
“ ฝึกหัดที่ไหน น้องเค้าเป็นช่างภาพอิสระรับงานอยู่แล้วเว้ย มีคนจ้างงานเค้าตลอด ”
“ ถ้าถ่ายภาพดีจริง มีคนจ้างงานตลอด ทำไมถึงไม่ไปสมัครเข้าบริษัทไหนสักที่ หรือว่ามีบริษัทไหนติดต่อไปทำงานด้วยเลยล่ะ จะยังเป็นช่างภาพอิสระอย่างนี้อยู่ทำไม...อ้ะๆ แกไม่ต้องมาทำท่าจะขัดฉัน ฉันพูดตามความคิดของฉันเอง นี่ถ้าแกบิ้วฉันอีกนิดหนึ่งฉันจะคิดว่าแกได้เปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าจากเค้า ” ปริญรีบบอกทันทีเมื่อธีรนนท์ทำท่าจะขัดขึ้น
“ ฉันไม่ได้ขัดไอหมาก แต่ที่น้องเค้าไม่ทำงานประจำในบริษัทเป็นเพราะว่าน้องเค้าตัดสินใจไม่ทำเอง แกคิดว่าจะไม่มีบริษัทติดต่อไปหาเค้าเลยรึไง ? น้องเค้าไม่ทำเองมากกว่า ”
“ เออว่ะ ! ไอน้องช่างถ่ายภาพของแกคนนี้นี่ก็แปลก หรือว่าเป็นบ้า ” ปริญหยุดพูดพร้อมกับทำมือทำไม้ประกอบ “ ว่างๆแกก็อย่าลืมลองถามบ้างนะ ”
“ ปากน่ะไอหมาก ถ้าแกไม่เชื่อ เดี๋ยวฉันจะลองเอาภาพถ่ายที่น้องเค้าถ่ายมาให้ดู ”
“ ไม่ต้องๆ แกเอาน้องคนเก่งของแกมาลองถ่ายสถานที่จริงที่จะใช้ในวันงาน ก่อนวันศุกร์นี้ ถ้าฉันดูแล้วฉันถูกใจฉันจ้าง แต่ถ้าฉันดูแล้วไม่ได้เรื่อง แกต้องพาน้องแกกลับไป ตกลงตามนี้ "
ปริญสรุป พูดเองเออเองก่อนเดินจากไป ปล่อยให้ธีรนนท์ได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจเพื่อนตัวเอง...
คิมเบอร์ลี่นั่งดูรูปในกล้องดิจิตอลของตนเองอยู่ที่ม้านั่งหน้าบ้าน ไม่นาน ทัตธน น้องชายของตนเองก็เดินออกมาจากภายในบ้าน พอเห็นพี่สาวนั่งอยู่ก็รีบทักขึ้นทันที
“ อ้าว พี่คิม กลับมาแล้วเหรอ ”
“ สักพักแล้วล่ะ เอ้อโซ่ พี่ซื้อขนมปังสังขยาของโปรดเรามา วางอยู่บนโต๊ะกินข้าวนะ แล้วนี่เดินลงมาจากข้างบนเหรอ เห็นแม่บ้างไหม ”
“ แม่เอากับข้าวที่ทำแบ่งไปให้ที่บ้านป้าดา สงสัยอยู่คุยกันมั้ง ไม่งั้นบ้านติดกันแค่นี้คงไม่ไปนาน ”
คิมเบอร์ลี่พยักหน้าเข้าใจ พลามอมยิ้มส่งให้น้องชาย และก้มลงมองรูปภาพภายในกล้องของตนเองต่อ
“ พี่คิม ถามหน่อยสิ ” ทัตธนพูดขึ้น คนที่เป็นพี่สาวจึงหันมาเลิกคิ้วเป็นเชิงถามอย่างสงสัย
“ ทำไมพี่ถึงชอบถ่ายรูปล่ะ ” คนพี่ฟังแล้วยิ้มนิดๆก่อนตอบ
“ อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบกว่าปี ทำไมไม่เห็นเคยถาม ” ธัตธนยังคงฟังนิ่ง มีนาจึงพูดต่อ “ พี่รู้สึกมีความสุกเมื่อได้มองอะไรผ่านเลนส์กล้อง แล้วพอได้ดูถ่ายที่เราล้างมาและรู้ว่ามันเป็นรูปที่ถ่ายจากมือเราจริงๆ มันก็อดรู้สึกดีไม่ได้ ”
“ แล้วพี่คิมจะเป็นช่างภาพอิสระอย่างนี้ไปเรื่อยๆเลยเหรอ ”
“ ก็คงงั้น พี่ชอบถ่ายไปเรื่อยๆอะไรอย่างนี้มากกว่า ทำในบริษัทกดดัน ถเ้าเรารับงานเดี่ยวๆ คนที่จะมาจ้างเค้าคงต้องเชื่อมือเราจริงๆถึงมาจ้าง มันทำให้พี่สบายใจกว่า และตอนนี้รายรับที่พี่ได้มันก็พอจะให้ครอบครัวเราพออยู่ได้ อีกอย่างแม่ร้อยพวงมาลัยไปส่งทุกวันๆ พี่ว่างพี่ก็เอาไปส่งให้ที่ร้านได้ แม่จะได้ไม่ต้องลำบาก แค่นี้แม่ก็เหนื่อยมากพออยู่แล้ว ”
ทัตธนพยักหน้าเข้าใจ ไม่ซักถามอะไรต่อ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างได้จึงรีบพูดขึ้น
“ เอ้อ พี่คิม เมื่อกี้พี่บีมโทรเข้าโทรศัพท์พี่ที่วางไว้หน้าทีวี บอกว่าจะคุยเรื่องงาน จะจ้างพี่ไปถ่ายรูปที่งานอะไรสักอย่าง แต่โซ่เป็นคนรับบอกว่าพี่ออกไปซื้อของข้างนอก ”
“ อ๋อ ไว้เดี๋ยวพี่ติดต่อกลับไปหาพี่บีมเองแล้วกัน สงสัยจะให้พี่ไปช่วยงานหรือจ้างพี่ไปทำงานมั้ง ”
คิมเบอร์ลี่หันไปบอกกับน้องชายพร้อมกับยกยิ้มมุมปากกับข่าวดีที่ได้รับ...
...........................................................................
นิยายเรื่องนี้แต่งตามจินตนาการ
ไม่ได้มีเจตนาทำให้ศิลปินหรือนักแสดงเสียหายนะคะ
อ่านแล้วเป็นยังไง แนะนำหรือติชมได้ค่ะ ^^
ความคิดเห็น