ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : คำสัญญาในม่านหิมะ
(  บทนำของตอนที่  2    คำสัญาในม่านหิมะ  )
              (    สำหรับคาสโนว่าอย่าง มีนฮันแล้ว  มีผู้หญิงเดินเข้ามาในชีวิตนับไม่ถ้วน  แต่ในหัวใจของเขานั้น  กลับมีเพียงแต่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเท่านั้นที่สามารถเดินทางเข้ามาถึงในนั้นได้
              ท่ามกลางหิมะขาวโพลน  ในฤดูหนาว  ของกรุงโซล  เขาได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง  เขาได้ช่วยเธอไว้จากเด็กอันธพาล  และอยู่เป็นเพื่อนจนถึงรุ่งสาง 
              สิบกว่าปีแล้วที่เขาออกตามหาเธอ  ออกตามหาสร้อยเงินรูปพระจันทร์อีกเส้นหนึ่ง  ที่เขาฝากไว้แทนหัวใจและคำสัญญาของตัวเอง   
              เมื่อไรกันหนอ  ..  ดวงใจที่เฝ้ารอจะกลับคืนมา  ) 
                                                        .......................................
ตอนที่ 2  คำสัญญาในม่านหิมะ
              ร่างบางของนีรานั่งชันเข่าอยู่บนม้านั่งหินอ่อนริมคูน้ำในสวนสาธารณะแห่งหนึ่ง    ดวงตาคู่งามเพ่งมองไปเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด  ดอกบัวกลางสระพัดไหวเมื่อสายลมอ่อนโยนแว่วมาทักทาย 
              เมธาลหยุดฝีเท้ายืนมองดูภาพตรงหน้า    เมื่อเลื่อนสายตามองตามก็ไม่เห็นทีอะไรที่น่าสนใจจนต้องจับจ้องขนาดนี้  นอกจากภาพบึงน้ำที่กว้างใหญ่อันว่างเปล่า  ใจคงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวสิท่า  ความคิด  ความรู้สึกล่องลอยไปไกลสักเพียงใดไม่อาจรู้ได้  เธอกำลังคิดถึงใครอยู่
              เวลาที่นีรานิ่งเหมือนกับใครสักคนเอาตุ๊กตาฝรั่งมาวางไว้เพราะเขาแทบจะไม่รู้สึกถึงการหายใจเลย  หรือเด็กคนนี้จะเป็นตุ๊กตาจริงๆนะ เป็นตุ๊กตาที่ร่วงหล่นมาจากฟากฟ้าพ้อมกับดวงดาวในคืนนั้น 
              หวังว่าคนบนฟ้าคงไม่ตอบรับคำอธิษฐานของเขา  ด้วยการชักพาเด็กสาวคนนี้มาให้หรอกนะ 
\" นี่น้ำ  ดื่มซะ \"  เขายื่นโค๊กกระป๋องเย็นจัดที่เพิ่งไปซื้อจากร้านค้าของอีกฝั่งหนึ่งของถนนให้เธอตรงหน้าแล้วนั่งลงข้างๆ
\" ขอบใจ \"
\" ต่อไปนี้ฉันขอห้ามเธออย่างเด็ดขาด  ห้ามวู่วาม  ห้ามใช้กำลังโดยไม่จำเป็น ลองนึกดูสิว่าเมื่อกี๊ถ้าตำรวจมาช่วยไว้ไม่ทันจะเกิดอะไรขึ้น \"  เมธาลสั่งเสียงเข้ม ไม่พอใจอย่างมากที่นีราวู่วามจนทำให้เกิดเรื่องราวขึ้นมา  เพียงแค่ถูกผู้ชายกลุ่มนั้นพูดจาแทะโลม  ก็โกรธเป็นฝืนเป็นไฟ
\" จะยอมถูกรังแกง่ายๆอย่างนั้นเหรอ เราไม่เคยถูกสอนให้ยอมแพ้ \" นีราแย้งสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันที
\" ฉันรู้ว่าเธอเก่ง  แต่เป็นผู้หญิงยังไงก็เสียเปรียบวันยังค่ำ  ..\" เขาพูดได้ไม่เต็มปากเพราะเห็นว่านีราไม่ใช่จะให้ใครมารังแกง่ายๆเลย  แถมยังเก่งเกินตัวเสียอีก
\" ช่วยไม่ได้นี่  ก็เราเป็นเพียงเด็กเร่รอนที่ไม่มีใครต้องการ  ไม่มีใครดูแล ก็ต้องปกป้องตัวเองด้วยวิธีการแบบนี้  ไม่เห็นหรือไงตอนที่เกิดเรื่องไม่มีใครกล้าเสี่ยงเข้ามาช่วยสักคน \"
\" คนอื่นเขาก็มีปัญหากันทุกคนก็ไม่เห็นว่า ไม่เห็นจะต้องใช้กำลังเหมือนเธอเลย  น่าจะเลี่ยงมาก็พอแล้ว \" เมธาลกล่าวอย่างใจเย็น 
\"  นายไม่เข้าใจ ..\"  พูดได้เท่านี้เธอก็ต้องก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำในกระป๋องนั้นต่อ  ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร  เมื่อก่อนถ้ามีใครมาว่าอย่างนี้รับรองได้ว่าต้องเกิดเรื่องแน่ๆ  แต่สำหรับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ กลับทำให้เธอนึกถ้อยคำที่จะโต้แย้งกับเขาไม่ได้เลย .     
\" เราจะไปที่ไหนกันต่อ  \" นีรายิงคำถามเมื่อต่างฝ่ายต่างเงียบไปครู่หนึ่ง
\" ก็คงต้องกลับบ้านใกล้มืดแล้วด้วย  ถ้าว่างจากเรียนเมื่อไร  ค่อยตามหากันต่อวันหลัง  \"
\" ดีจัง  เราอยากกลับตั้งนานแล้ว  เบื่อจะตาย  ร้อนก็ร้อน  ไม่เห็นอยากออกมาเลยสักนิด  \"  นีราบ่นแล้วก็ต้องรีบเอามือปิดปากตัวเองก่อนที่จะพูดอะไรมากไปกว่านี้จนเขาจะจับผิดได้ 
\" ไปกันเถอะ ลุกขึ้นเร็วเข้า \"  ที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากชวนเขาก่อน  รู้ตัวดีว่าออกมาข้างนอกบ่อยๆไม่ค่อยดีสำหรับตัวเอง  อยู่ในบ้านหลังเล็กนั้นแสนสบายและมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ 
              ระหว่างทางที่เดินไปสู่ที่จอดรถ นีรากวาดสายตามองรอบๆเพิ่งสังเกตเห็นว่าใกล้ค่ำแล้วจึงเห็นได้ว่าใครต่อใครต่างมาสูดเอาอากาศบริสุทธิ์และผ่อนคลายกันที่นี่  เด็กหลายคนที่สนามเด็กเล่นคงเพิ่งเลิกจากโรงเรียนเพราะยังอยู่ในยูนิฟอรม์ไม่ยอมเปลี่ยนเสื้อผ้า  ความจริงที่นี่ก็ร่มรื่นดีเหมือนกัน  มีต้นไม้เต็มไปหมด 
              ไม่อยากเชื่อเลยว่า ในกรุงเทพจะมี สวนสาธารณะที่ครบวงจรอย่างนี้แอบซ่อนอยู่    มีทั้งทางขี่จักรยาน  ลานวิ่ง  สนามหญ้าสำหรับออกกำลังกาย  สนามเด็กเล่น 
              เพราะความที่มัวแต่มองเพลินทำให้ไม่ทันที่จะสังเกตว่ามีเด็กชายคนหนึ่งวิ่งมาทางนี้  ชนเข้ากับเธออย่างจัง  เด็กน้อยล้มลงตรงหน้า  และทำท่าว่าจะร้องให้
\" อย่าร้องให้ ล้มแล้ว ..ก็ต้องลุกเองรู้ไหม  \"
\" เค้ายังเด็ก ไม่เข้าใจหรอกนะ \" เมธาลเดินไปประคองเด็กคนนั้นให้ลุกขึ้นมา  เขาปัดเสื้อและกางเกงที่เปื้อนฝุ่นให้เด็กน้อย  ยิ้มปลอบใจ
\" นายกำลังสอนให้เด็กคนนี้อ่อนแอ  ถ้าโตขึ้นเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่ดูแลตัวเองได้อย่างไร  อีกหน่อยก็ต้องรอให้คนอื่นช่วยเหลือตลอดไปน่ะสิ  \" นีราต่อว่าในการกระทำของเมธาลด้วยความไม่พอใจนิดๆ
\" เธอพูดถูก ..แต่ไม่ทั้งหมด  \" เขาหันมาจ้องหน้าเธอตรงๆ  \" ถ้าผู้ใหญ่ที่เข้มแข็งคนหนึ่งได้แต่ยืนมองเด็กตัวเล็กล้มลงอยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ช่วยเหลืออะไรเลย  เธอว่า . จะมีความเข้มแข็งไว้ทำไมล่ะ  ตรงกันข้ามถ้าเขาต้องโตขึ้นมาอย่างอ่อนแอ  แต่มือที่อ่อนแอของเขาสามารถช่วยคนอื่น  มันดีกว่าเสียอีกนะ \"  ความจริงแล้วเขาไม่ได้ต้องการพูดทำร้ายจิตใจของเธอ  เพราะคาดเดาได้ว่าเธอต้องมีเรื่องกระทบกระเทือนใจมากพอสมควร แต่บางครั้งนีราก็เย็นชาโดยไม่มีเหตุผล
\" เราคงใจร้ายมากเลยสิ  เป็นคนไม่มีหัวใจ ไม่มีความสงสาร  แต่อยากถามสักคำว่า เวลาที่เราเป็นฝ่ายล้ม เวลาที่ร้องให้แทบขาดใจ  มีใครพยุงให้ลุกขึ้นมาบ้างไหม  ก็ไม่มี  มีใครปลอบโยนบ้างหรือเปล่า    .. ก็ไม่  แล้วอย่างนี้นายจะให้เราอ่อนโยนเหมือนนาย ที่มีทุกอย่างพร้อมได้อย่างไรกัน \"  เธอสะบัดเสียงแล้วเดินจากไป  เมธาลมองร่างบางนั้นไปอย่างเงียบๆ  เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นลึกๆในหัวใจ
              เด็กสาวคนนี้เป็นใครกันแน่  สายลมพัดพาเธอมาจากที่แห่งไหน  เพราะอะไรทุกครั้งที่ได้มองตาไม่ว่าจะอยู่ใกล้สักเพียงใด แต่เขากลับรู้สึกว่าเธออยู่ไกลเท่าเดิม
              ก่อนที่จะมาเจอกัน  นีราเดินผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้าง  ถึงทำให้เธอมองโลกในแง่ร้ายและไม่ยอมที่จะเปิดใจเพื่อรับความรู้สึกดีๆจากใครหรือมอบให้ใครเลย
              เขามองไม่เห็นความสดใสร่าเริง  ความน่ารัก  ที่เด็กสาววัยเดียวกันมีในตัวของนีราเลย เป็นเพราะความทรงจำของเธอ  เจ็บปวดอย่างนั้นเหรอ
              สายลมวูบหนึ่งพักผ่านกาย  หรือว่าสายลมที่พัดผ่านกายนีรา  คือสายลมแห่งความทรงจำที่ปวดร้าว
                                                                            ..
              ใต้ฟ้าฝืนเดียวกัน  อาจดูเหมือนมันกว้างแค่สุดสายตา  แต่ความจริงแล้วมันกว้างไกลเกินกว่าที่ใครจะเดินทางไปถึง    ที่ดูใกล้เพราะสายตาของคนเรามีความจำกัดในการมองเห็น  มีพื้นที่อีกนับล้านบนโลกที่เราไม่สามารถมองถึงได้ 
            กับใครคนหนึ่งที่เคยจากกันไป  เขารู้ว่าเธออยู่ใต้ฟ้าฝืนนี้หรืออาจจะกำลังมองดาวดวงเดียวกันอยู่ด้วยซ้ำ    แต่ว่าเขากลับไม่รู่ว่าที่ๆเธอยืนอยู่คือแห่งหนไหน  ไม่อย่างนั้นเขาจะตามไป
                          . ตามไป ไม่ว่ามันจะไกลสักแค่ไหนก็ตาม 
                          ..ตามไปต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิต
              มีนฮันตัดสินใจดับเครื่องเมื่อมาถึงริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง  เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นเคยแต่ก็พอจะเดาได้ว่าใคร ก็คงเป็นหนึ่งในพวกผู้หญิงที่เข้ามาตีสนิทกับเขาเมื่อชั่วโมงที่ผ่านมาเขากดวางปิดเครื่อง  โยนทิ้งเบาะหลังอย่างไม่ใยดี   
              รู้สึกเบื่อกับการใช้ชีวิตในทุกวันนี้  ดูอย่างคืนนี้มีผู้หญิงเข้ามาทักมาฝากเบอร์โทรนับสิบรายแล้ว    สามสี่วันมานี้ที่เมืองไทย    วงจรชีวิตของเขาหนีไม่พ้นการเที่ยวและผู้หญิง  บางครั้งเขาเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่คืออะไรและทำไปเพื่อใคร  แต่อย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้ไม่ต้องอ้างว้างจนเกินไปนัก
              เขาอาจดูเหมือนคนเจ้าชู้ที่คบผู้หญิงมากมาย  แต่การที่เขาจะเปิดใจให้ใครเข้ามาก็หมายความว่าเธอจะต้องเป็นคนที่น่าพอใจอย่างมากถึงมากที่สุด  จากชีวิตที่ผ่านมายังไม่มีใครที่เขาคบนานเกินสามเดือนเลยสักรายไม่เคยมีใครก้าวมาถึงหัวใจเลยสักคน  สนุกและร่ำลาก็เพียงเท่านั้น  ผู้หญิงพวกนั้นมองเห็นมากที่สุดก็เพียงแค่ความร่ำรวย  และรูปกายภายนอก  จนเขาไม่อยากเชื่อในความรัก 
              คืนนี้ก็เหมือนกับทุกคืนถ้าเกิดความรู้สึกเบื่อทุกสิ่งรอบกาย  เขาจะขับรถเล่นเรื่อยๆโดยไม่สนใจว่าจุดหมายปลายทางจะไปสิ้นสุดลงที่ใด  รถสปอร์ตสีดำสะดุดตาราคาไม่ต่ำกว่าสิบล้าน  มันเป็นเพียงหนึ่งในจำนวนรถคันสวยราคาแพงที่มีอยู่เท่านั้น   
              บ้านเกิดของเขาอยู่ที่เกาหลีแต่ต้องไปเรียนที่ฝรั่งเศลตั้งแต่มัธยมต้น  และกลับมาเรียนมหาวิทยาลัยที่เมืองไทย    เรียนได้เพียงสองปีก็ต้องกลับไปเรียนต่อที่ฝรั่งเศลอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน     
              ชีวิตของเขาต้องเดินทางอยู่ตลอดเวลา    ไปๆมาระหว่างสามประเทศ  ถ้าเทียบกันแล้วเขาอยู่เมืองไทยน้อยที่สุดนานๆ เพียงแค่สองปีเศษในรั้วมหาวิทยาลัย  และจากนั้นในบางครั้งถึงจะกลับมาเที่ยวมาเยี่ยมครอบครัวของพ่อ  ที่มองว่าเขาเป็นตัวประหลาดอยู่เสมอ  มันก็คงจะต้องเป็นอย่างนั้นเพราะแม่ของเขาเป็นสาวเกาหลีธรรมดาคนหนึ่ง  ที่ต่างกับพ่อซึ่งเกิดในตระกูลใหญ่ มั่งคั่งราวฟ้ากับดิน
              ความรักของพ่อกับแม่เริ่มต้นอย่างสวยงามดังเทพนิยาย    แต่บทสรุปกลับตรงข้ามกัน  เจ้าชายและเจ้าหญิงไม่ได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
ความรัก .น่าขำสิ้นดี
              เมื่อนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องเดินทางมาไกลถึงเมืองไทย  ทั้งๆที่น่าจะมีความสุขที่ไหนสักแห่งบนโลก เพื่อตามหาหัวใจตัวเอง    บรรยากาศรอบตัวก็ดูเหมือนจะเลวร้ายลงทันที
              ก็คงเป็นเพราะผู้หญิงคนนั้น  คู่หมั้นของเขาที่ไม่เคยคิดอยากจะผูกพันด้วยเลย  ไม่เคยรู้จักไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตา    เป็นเพราะพ่อแท้ๆที่ตกปากรับคำกับเพื่อนที่ไม่ถามความคิดของเขาสักคำ
            \" ยายนั่นคงอยู่ในประเภทผู้หญิงเรียบร้อย  ลูกคุณหนูขี้โรค  ป่วยง่ายอ่อนแอหรือไม่ก็คงหาแฟนไม่ได้ขี้เหร่    ไม่มีผู้ชายคนไหนมอง  เลยต้องให้ผู้ใหญ่หาสามีให้แบบนี้  อย่าให้เจอนะ    ถ้าเจอตัวเมื่อไร  จะแกล้งให้เข็ดเลยทีเดียว  เอาแทบขอถอนหมั้นไม่ทันเลยยิ่งดี  \"
              เขารู้สึกหัวเสีย  อิสระภาพกำลังจะถูกใครก็ไม่รู้จำกัด  เพราะยายบ้าที่เขาไม่เคยแม้แต่จะเห็นหน้าเพียงคนเดียว       
              มีนฮันตัดสินใจก้าวลงจากรถสปอรต์คันหรูทิ้งมันไว้ที่ริมถนน  หลังจากที่ขับรถเล่นมาทั่วกรุง  ปล่อยให้เป็นหน้าที่หัวใจนำทาง    ไม่ลืมที่จะหยิบเบียร์ที่เพิ่งซื้อมาจากร้านค้ามาด้วย  ก่อนที่จะยกมันขึ้นดื่ม  เขาเดินเรื่อยมาตามถนนจนมาถึงบันไดท่าน้ำ  ซึ่งลานกว้างริมแม่น้ำเมื่อเย็นเป็นที่เล่นกีฬามาบัดนี้เงียบเหงาลงถนัดตา  เขาเคยเห็นนักฟุตบอลเด็กกลุ่มหนึ่งเล่นฟุตบอลกันแถวนี้
              ทุกครั้งที่มาเมืองไทย    เขาจะต้องมาที่ริมน้ำแห่งนี้  บันไดริมน้ำที่ทอดตัวยาวไปจนสุดลานกว้าง  มันเหมือนกับว่ามีใครบางคนรอคอยที่จะเจอเขาอยู่ที่นี่ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าใครคนนั้นจะมีตัวตนหรือเปล่า  บางทีอาจคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้ 
            ที่นี่ก็เป็นที่ประจำที่เขามักจะมานั่งคุยกับหัวใจตัวเองและเฝ้ารอใคคนนั้นจนถึงเช้า  แต่สุดท้ายก็ลงเอยเหมือนๆเดิมทุกครั้ง  ที่ไม่พบร่องรอยของหัวใจที่หายไปเลย 
ทุกเช้าต้องกลับบ้านไปด้วยหัวใจที่เหงาว่างเปล่ากว่าเดิม .
             
              ท่ามกลางแสงสลัวของดวงไฟกลางคืนที่สาดส่องมาจากเบื้องบน  ทำให้พื้นที่กว้างสว่างขึ้นมาบ้าง    แต่หัวใจของเขายังคนมืดมิดอยู่  ไม่รู้ว่ากี่ครั้งกี่หนมาแล้วที่เขามาที่นี่เพราะความเหงาชักพา  มาเพียงลำพังและเหงาเพียงลำพัง
              เบียร์ในมือของเขาถึงจะดื่มไปมากเท่าไร  ก็คงไม่เมาไม่ขาดสติ  เครื่องดื่มแอลกอฮอล์พวกนี้เขาชินกับมันเสียแล้ว  มีนฮันกระดกกระป๋องเบียร์นั้นอีกครั้ง  เมื่อสายตาไปสะดุดกับอะไรบางอย่าง  ก็ต้องชะงัก  ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่ที่บันไดริมน้ำตรงซ้ายมือ  แม้ว่าแสงไฟจากดวงไฟหลายต่อหลายดวงจะทำให้มองเห็นรอบกายไม่ค่อยชัด  แต่น่าแปลกที่เขารู้สึกว่ามองเห็นใบหน้าของเธอเด่นชัดกว่าทุกสิ่ง 
              เขาเห็นเส้นผมสีน้ำตาลรูปคลื่นที่ยาวมาจนถึงกลางหลัง    เห็นดวงตากลมโตที่ประกายเศร้า    มีนฮันเผลอมองภาพตรงหน้าเนิ่นนาน  ก่อนที่จะยกระดับกระป๋องเบียร์ขึ้นดื่มอีกครั้ง  ก็พบว่ามันหมดลงแล้ว  เมื่อตั้งท่าจะโยนมันลงพื้นอย่างแรงแล้วเดินไปเตะซ้ำอีกครั้งให้เสียงกระทบพื้นก้องกังวาลในความเงียบ ด้วยความสะใจ เหมือนทุกครั้ง แต่เขากลับเปลี่ยนใจ    กระป๋องเบียร์ในมือถูกลดระดับลงช้าๆ   
 
              มีนฮันเดินไปที่ถังขยะ  ค่อยๆหย่อนกระป๋องเบียร์นั้นลงไป  ถือเป็นประวัติการณ์เลยทีเดียวที่เขาทิ้งขยะลงถังแบบนี้   
              เพียงแต่อยากรักษาความเงียบสงบของค่ำคืนนี้ไว้  และมองภาพผู้หญิงคนนี้ไปนานๆ  ไม่อยากปลุกเธอออกจากภวังค์ 
              เธอคนนั้น .กำลังคิดอะไรอยู่  ไม่กลัวบ้างหรือไงถึงมานั่งคนเดียวค่ำๆมืดๆแบบนี้  เข้าไปคุยด้วยดีไหม เหมือนอย่างที่เขาสนใจผู้หญิงคนไหน ก็ ไม่เคยมีใครปฏิเสธเลยสักคน 
              ในอีกความรู้สึกหนึ่งเขากลับไม่อยากให้เธอเป็นเหมือนผู้หญิงพวกนั้น  จบที่โรงแรมและจากกันรุ่งเช้า 
              เพียงก้าวเข้าไป  เขาก็จะได้รู้จักเธอ  แต่เขากลับไม่กล้า  อะไรบางอย่างหยุดเขาไว้แค่นั้น 
              มีนฮันพาตัวเองก้าวเดินลงบันไดริมน้ำเกือบขั้นสุดท้าย  ตั้งใจเลือกนั่งริมขวาเพื่อให้ไกลจากคนที่นั่งอยุ่ก่อนฝั่งซ้ายมือพอสมควร  ไม่ยากให้เธอรู้สึกว่าถูกรบกวนหรือเสียความเป็นส่วนตัว
              ผืนน้ำที่ดูคล้ายกำมะหยี่งีน้ำเงิน  กระเพื่อมไหวเป็นริ้วคลื่นเพราะสายลมที่พัดผ่านมา  ไกลออก ..ไปคือภาพบ้านเรือนและตึกสูงเสียดฟ้าที่มีความสว่างไสวของแสงไฟเป็นเงาลางเลือน 
              บ่อยครั้งที่หัวใจของเขาแอบมองไป    ยังผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งนิ่งราวกับตุ๊กตา 
              บนฟ้าดวงดาวทอแสงดาษดา  ความรู้สึกบางอย่างจู่โจมมาที่หัวใจ    เหมือน .คืนนั้นสินะ    ถึงจะนานเพียงใดเขาก็ไม่เคยลืมว่า    คืนนั้นดาวก็สวยอย่างนี้เหมือนกัน    คืนที่ทำให้เขาได้รู้ว่า  โลกใบนี้ยังคงมีความงดงามอยู่
             
              ค่ำคืนที่หิมะโปรยลงมาทั่วฟ้า  เด็กชายอายุไม่ถึง 10 ปีคนหนึ่งหนีออกจากบ้านที่เกาหลีเพราะพ่อแม่หย่าร้างกัน  เวลานั้นเขาไม่คิดอะไรนอกจากอยากเรียกร้องความสนใจ    กระเป๋าเป้ใบเล็กที่แบกมาเต็มไปด้วยขนม และเสื้อผ้ากันหนาว
              การเดินทางที่ไร้จุดหมายสิ้นสุดลงเมื่อได้เจอกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง  เธอกำลังตื่นกลัวอยู่ในวงล้อมของเด็กผู้ชายที่กำลังยื้อแย่งกระเป๋าสตางค์กัน  เขาวิ่งเข้าไปช่วยโดยลืมว่าตัวเองยังเด็กเกินไปที่จะปกป้องใคร    เด็กกลุ่มนั้นต่อสู่กับเขาจนเจ็บตัวทั้งสองฝ่ายจึงหนีไป    เมื่อเห็นว่าเรื่องเริ่มปานปลายเสียแล้ว
              เขาไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้าหาญขนาดนั้น อย่างไม่กลัวสิ่งใดเลย
              เขาไม่รู้ว่าเพราะอะไร  ถึงไม่สามารถจะทอดทิ้งเธอได้
              รอยแผลจากตะปูที่เกี่ยวเข้ากับข้อมือด้านในนั้นเกิดจากการต่อสู้    เด็กหญิงคนนั้นใช้ผ้าพันผมผืนเล็กผูกติดข้อมือของเขา  เพื่อห้ามเลือด
              มันไม่ได้เพียงแค่พันรักษาแผลเท่านั้น  แต่มันผูกหัวใจของเขาเอาไว้ด้วยในนาทีเดียวกัน  เขาแกะผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกจากรอยแผลนานแล้ว  นานนับสิบปี   
              แต่เขา  .กลับไม่สามารถแกะเอาความทรงจำเหล่านั้นออกจากหัวใจได้เลย       
              รอยแผลเป็นที่ข้อมือมันจางหายไปแล้ว  ตามกาลเวลาที่เลยล่วงแต่ความทรงจำยังอยู่ในหัวใจเรื่อยมา  สิ่งเดียวที่เขาอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็คือ  การตามหา  ตามหาเด็กหญิงในความทรงจำนั้นให้เจอ  ล็อกเก็ตรูปพระจันทร์มันติดตัวเขามามากกว่าสิบปี  เด็กผู้หญิงคนนั้นก็มีล็อกเก็ตแบบนี้เหมือนกัน    เขามอบให้มันกับเธอ  เพื่อที่จะใช้ยืนยันว่าครั้งหนึ่งเคยเจอกันมาก่อน
\" เก็บนี่ไว้นะ  เจอกันวันหน้าเราจะได้จำกันได้ไง \"ดวงตากลมโตที่สวยกว่าดาวทุกดวงบนฟ้าจ้องมองเขาอย่างจริงจัง
\" ฉันจะเก็บมันไว้อย่างดี  และสัญญาว่าเราจะต้องเจอกันอีกแน่ๆ  ถ้าโตขึ้นฉันจะออกตามหาเธอเอง\"
\" แล้วเราจะรอ  รอวันที่ได้เห็นล็อกเก็ตนี้ได้มาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง \"
              เธอยื่นนิ้วก้อยให้และในชั่วอึดใจเดียวเขาก็เกี่ยวก้อยสัญญากับเธอ
              เวลาเดินทางเร็วเหลือเกิน  สิบกว่าปีแล้ว  ที่เด็กผู้หญิงคนนั้นหายไปจากชีวิตเขา 
              ป่านนี้เด็กผู้หญิงคนนั้นคงโตแล้ว  โตจนจำไม่ได้  เขาอยากรู้นักว่าเธอดำเนินชีวิตไปเช่นไร  ในช่วงเวลาที่ไม่เจอกัน  เพียงแค่คิดก็โกรธตัวเองแล้ว    ทำไมเขาถึงยึดเธอเอาไว้ไม่ได้เลยนะ 
              น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขายังเด็กเกินกว่าที่จะกำหนดเส้นทางของชีวิตตัวเองได้
              สายลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง  มีนฮันตื่นจากความทรงจำ 
              เขาเหลียวมองดูผู้หญิงคนนั้น    เธอยังนั่งอยู่ที่เดิม ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีใคร  มานั่งเงียบๆคนเดียวได้นานขนาดนี้  เธอคงมีความหลังและเรื่องราวให้ต้องคิดมากมายเหมือนกัน 
              พระจันทร์ดวงเดิมบนฟ้าเป็นดวงเดียวกับเมื่อสิบปีที่แล้ว  เขาเฝ้าภาวนาอยู่เสมอสิ่งที่หวังไว้ในใจตอนนี้ก็คือ  หวังว่าสักวันหนึ่งคงได้เจอ  สักวันการตามหาคงสิ้นสุดลง  หวังว่าคนที่เขากำลังตามหาก็กำลังรอคอยที่จะได้เจอเขาอยู่เช่นเดียวกัน 
              มีนฮันรู้สึกได้ลางๆ ว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ใกล้ๆ  ในยามนี้    เพียงแต่ว่าเป็นเหมือนคนตาบอดที่ไม่รู้ว่าจะจับต้องสิ่งนั้นได้อย่างไร  เมื่อมองไปอีกทีร่างบางก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว 
           
ในยามเงียบเหงาเช่นนี้  เขาต้องการเพียงใครสักคน  เพียงคนเดียวเท่านั้น  ใครสักคนที่สามารถถ่ายทอดความเหงาให้ฟัง  ใครสักคนที่รู้ว่าเขาเหงาและว้าเหว่เหลือเกิน  ใครสักคนที่เต็มใจจะอยู่ด้วยกันไม่ว่าพรุ่งนี้ .จะเดินทางมาถึงหรือไม่ก็ตาม 
                                                                    ..
              ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีอีกครั้ง    เมธาลเริ่มรู้สึกเพลียเพราะต้องขับรถไปโน่นมานี่ตลอดบ่ายจรดเย็น พานีราตระเวณหาพี่สาวนี่ก็ค่ำแล้วยังไม่มีวี่แววความคืบหน้าเลยแม้แต่น้อย
              นึกแล้วก็ยังโมโหไม่หายเมื่อคืนนีราหนีหายออกไปจากบ้านกว่าจะกลับมาอีกทีก็เกือบรุ่งสาง  การจากไปของเธอส่งผลให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน 
              กับผู้หญิงคนหนึ่งที่รู้จักกันไม่กี่วันแต่กลับมานั่งเป็นกังวลเสียมากมาย    ความจริงแล้วเขาควรจะดีใจด้วยซ้ำที่นีราไปได้เสียแต่กลับตรงกันข้ามกัน  เขายังคงหวังว่าเธอจะกลับมาอีกครั้งและอย่างปลอดภัยที่สุด  เมื่อเห็นว่าเธอกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว  เขาก็เตรียมตัวไปเรียนทั้งๆที่เมื่อคืนยังไม่ได้นอนเลย และหลังจากนั้นก็ขับรถมารับเธอตอนบ่าย  นีราท่าทางบ่ายเบี่ยงเหมือนไม่อยากออกมา
              จนกระทั่งออกมาข้างนอกแล้วไม่ว่าจะผ่านไปตรงจุดไหนที่เธอเอ่ยอ้าง  ก็ไม่พบวี่แววของคนที่เธอตามหาเลย    อาจดูเป็นเรื่องธรรมดาที่เด็กบ้านนอกจะไม่รู้จักเส้นทางในกรุงเทพ  แต่สำหรับนีราแล้วเธอแทบจะไม่รู้จักเมืองไทยเลยด้วยซ้ำ
              ไม่ว่าเขาจะถามอะไรนีราเอาแต่ทำตาใสซื่อ  ส่ายหน้าไม่รู้อยู่ท่าเดียว  ความจริงแล้วเขาน่าจะจัดการอะไรได้มากกว่านี้ถ้าเธอจะยอมเปิดปาก  แต่นีรากลับไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังมากกว่าเดิมเลย  ก็คงทำได้เพียงเท่านี้ แม้จะรู้ว่าสิ่งที่ได้รับฟังมันอาจไม่ใช่ความจริงก็ตาม
              เมฆหมอกรวมตัวกันหน้าแน่นขึ้น  เบื้องหน้า  ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเทา
\"  ท่าทางฝนกำลังจะตก  \"
\" ก็ดี  อากาศที่เมืองไทยร้อนจะตายไป  ฝนโปรยลงมาเสียบ้าง  จะได้สดชื่นขึ้น \" เธอเอ่ยขึ้นมาลอยๆอย่างไม่ใส่ใจ 
\"  พูดอย่างกับว่า ไม่คุ้นเคยกับอากาศที่เมืองไทยอย่างนั้นหละ เธอมาจากที่ไหนกันแน่  \"  เขาตั้งข้อสังเกตปนการจับผิดนิดๆ
\"  อีกแล้ว ..นายจับผิดเราอีกแล้วนะ  ถ้าไม่ใช่คนไทยจะพูดภาษาไทยได้ชัดขนาดนี้    เหรอ  ลองคิดดูสิ \"
\" เมื่อไร  ฉันจะตามเธอทันเสียที  รู้ตัวไหม  เธอกะล่อนที่สุดเลย  \" 
\" ก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เกิดแล้วนี้    \"  นีราพึมพัมในลำคอ
              ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น  เม็ดฝนก็โปรยมาจากท้องฟ้า
              เมธาลทำสีหน้าไม่ค่อยดี  \"  จบเห่กันแน่คราวนี้    เขาไม่อยากนอนริมถนนอีกแล้วนะ    ถนนสายนี้ไม่ค่อยมีรถผ่านไปมาเสียด้วย  ถึงมีแต่ฝนตกหนักอย่างนี้ใครจะมีแก่ใจลงมาช่วย    \"
              เขาตัดสินใจเลี้ยวเข้าซอยเล็กซอยขวามือ    มันเป็นทางลัดที่ช่วยย่นระยะทางให้ถึงบ้านได้เร็วขึ้น  และที่สำคัญไม่ค่อยมีรถวิ่งผ่านไปมา  โดยเฉพาะนอกเมืองอย่างนี้
\"  หยุดตกเสียทีได้ไหม    สาธุ รอให้กลับถึงบ้านก่อนนะครับ  ไม่อย่างนั้นผมแย่แน่  \" 
\" ทำไมล่ะ  \"  สิ้นเสียงคนถามรถก็ชักกระตุกก่อนที่จะดับลงอย่างถาวร    เธอหันขวับมองหน้าเขาทันที 
\" นายน่าจะเปลี่ยนรถได้แล้วนะเราว่า  \"
\"  มันไม่ใช่ราคาถูกๆเลยนะ  พูดเป็นเล่นไปได้  \" 
\"  ฉันจะออกไปดูเครื่องยนต์  เธออยู่ในนี้ล่ะ  ..อยู่ในนี้ \"  เขาย้ำ  แล้วเอื้อมมือหยิบไฟฉายที่วางอยู่ข้างๆเบาะ  ก่อนที่จะผลุนผลันออกไปท่ามกลางสายฝน  ท่าทางเครื่องจะรวนอีกตามเคย ฝนตกทีไรรถคู่กายของเขาก็ดื้ออย่างนี้ประจำ
              จากประสบการณ์บอกว่าคงพอจะซ่อมได้  เปียกฝนนะเรื่องแต่การที่ได้อยู่กับเด็กสาวที่เดียวดีเดี๋ยวร้ายอย่างนีราน่ากลัวกว่าเยอะถ้าไม่พอใจขึ้นมาไม่รู้ว่าจะอาละวาดอะไรอีก 
แต่ทำไมเขาต้องเกรงใจนีราด้วยนะ  เขาเป็นเจ้าของบ้านส่วนเธอผู้อาศัยนี่นา
              ฝากระโปรงรถถูกเปิดทิ้งไว้  เมธาลฉายไฟในมือไปมามองดูเครื่องยนต์ที่ขัดข้อง   
\"เป็นอะไรมากหรือเปล่า  ให้เราช่วยอะไรไหม  \"  เสียงหวานๆดังขึ้น 
              นึกอยู่แล้วเชียวว่าจะต้องดื้อ ต้องขัดคำสั่ง  ห้ามก็แปลว่าชวนแต่ถ้าลองบอกให้ทำอะไรนีราจะไม่ทำ  เขาเงยหน้าขึ้นจากเครื่องยนต์มองคนตัวเปียกที่ยืนอยู่ใกล้ๆ  รอยยิ้มที่น่ารักส่งมาจากใบหน้าที่หยดน้ำใสเกาะพราว  ดูท่าทางเธอจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยนะ    มองทุกอย่างเป็นเรื่องสนุกๆไปเสียหมด
\" เข้าไปอยู่ในรถ  เดี๋ยวไม่สบาย \"
\" ไม่เอาเปียกด้วยกัน  เย็นสดชื่นจะตายไป \" ร่างบางสะบัดหน้า  แล้วก็แย่งไฟฉายมาจากมือของเขาทำตัวเป็นลูกมือที่ดี  เมื่อเห็นว่าเขายืนตัวเปียกอยู่กลางฝน  เธอเองที่เป็นต้นเหตุก็ควรที่จะเป็นอย่างนั้นด้วย    ถึงแม้จะรู้สึกอยู่บ้างว่าสายฝนที่โปรยปรายลงมานี้ ค่อนข้างเย็นจัดก็ตาม
              แต่ถึงจะเย็นจัดกว่านี้ก็ไม่สำคัญอะไรหรอก  ชีวิตของเธอมันแทบไม่รู้สึกอะไรแล้วหละ 
              เมธาลเห็นว่าคงไม่อาจไปห้ามปรามเอาได้แน่ๆ  เลยก้มหน้าก้มตาจัดการกับเจ้าเครื่องยนต์จอมรวนนี้ต่อไป    อยู่ด้วยกันมาหนึ่งอาทิตย์เต็ม  เลยพอจะรู้ว่าตุ๊กตาฝรั่งคนนี้ทั้งหัวรั้น  เจ้าอารมณ์    เอาแต่ใจ  และไม่เคยยอมแพ้ใครหรืออะไรง่ายๆเลย
\" เรียบร้อย  กลับขึ้นรถกันเถอะ  \"  เมธาลกล่าวหลังจากพยายามเอาชนะมันอยู่ครู่หนึ่ง    ตอนนี้เขาเปียกไปทั้งตัวแล้ว  เสื้อนักศึกษาสีขาวสะอาดตายิ่งบางลงกว่าเดิม  ยังดีที่เขาเป็นผู้ชายเลยไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้มากนั้น ถ้าเป็นนักศึกษาสาวละก็    คงสามารถมองเห็นถึงสิ่งที่สวมใส่ภายในนั้นหมดแล้ว  ค่อยยังชั่วที่นีราสวมเสื้อสีดำ
\"  เอ .เสียงอะไรน่ะ  เหมือนเสียงร้องของอะไรสักอย่าง \"
\" หูฝาดหรือเปล่า  ไม่เห็นได้ยินเลย \"  จู่ๆเธอก็ถามเขาขึ้นมา  ก็ไม่เห็นได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากสายฝนตกกระทบพื้นดิน  มืดค่ำอย่างนี้ใครต่อใครคงอยู่ในบ้านอย่างอบอุ่นกันหมดแล้วจะมีก็แค่เธอและเขาเท่านั้น  ถนนสายนี้ยังแทบไม่มีรถผ่านไปมาเลยด้วยซ้ำ
              แต่ดูเหมือนว่านีราจะเชื่อในสัญชาติญาณของตัวเองมากกว่า ร่างบางเดินไปทั่วพร้อมกับสาดไฟฉายในมือไปมาเพื่อตามหาที่มาของเสียงร้อง    ก่อนที่จะหยุดลงใกล้ๆกันกับถังขยะใบโตที่ตั้งอยู่หน้าร้านขายอาหารที่บัดนี้ได้ปิดร้านไปเรียนร้อยแล้ว    เธอทรุดตัวลงนั่งมองอะไรบางอย่างตรงนั้นอย่างตั้งใจ  กล่องกระดาษวางอยู่ข้างถังขยะใบโต  เธอค่อยๆก้มหน้าลงมอง  มอง  แล้วก็มองอีก
\" ทำอะไรน่ะ  มืดอย่างนี้ไม่กลัวหรือไง  กลับมาเดี๋ยวนี้นะ  นีรา\"
\" ไม่ได้ยินหรือไง  เด็กดื้อ  ..\"  ร่างสูงก้าวเท้ายาวๆตามเธอไป  เมื่อเห็นว่าเด็กดื้อไม่ยอมเชื่อฟัง  นีรานิ่งไม่ยอมขยับตัวไปไหน  เมธาลเข้ามาใกล้ชะเง้อมองสิ่งของที่อยู่ในลังใบนั้น
\" ลูกหมานี่  ใครเอามาทิ้งไว้ ยังเล็กอยู่เลย \"  เขาพูดพลางย่อตัวลงอุ้มเจ้าตัวสีดำตัวหนึ่งขึ้นมา  ตัวของมันสั่นเทาด้วยความหนาวเย็น  คงตากฝนมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้ว เขามองไปที่นีรา  นึกแปลกใจในท่าทีนั้น  เพื่อนผู้หญิงที่เขารู้จัก  ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ต้องเข้ามาอุ้มด้วยความสงสาร    แต่นีรา กลังยืนเฉยเหมือนภาพตรงหน้าไม่ส่งผลอะไรต่อจิตใจของเธอเลย
\" ถ้าเราทิ้งไว้ที่นี่พวกมันก็ต้องมีอันตรายก่อนที่จะมีใครมาพบ  หรืออาจจะรอดแต่กลายเป็นเพียงหมาจรจัด  เธอว่า  เราจะทำยังไงดี  \"
\" เป็นใครก็ต้องถูกทอดทิ้งทั้งนั้นแหละ  ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ .นายไม่รู้หรือไง \" เธอตอบเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก
\" พามันไปจากที่นี่ดีไหม  แล้วเลี้ยงมันไว้ อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้มันไม่ต้องหนาวตาย  \" เขาขอความคิดเห็นของเธออีกครั้ง  แต่นีรากลับยังนิ่ง เมธาลรู้สึกสะท้อนใจอยู่นิดๆที่เธอเฉยชาได้ถึงเพียงนี้  เขารู้ไม่ใช่เพราะเธอไม่มีหัวใจหรอก แต่ว่าเธอกำลังปกป้องตัวเอง  ปกป้องตัวเองจากอะไรบางอย่างที่กำลังวิ่งหนีมันอยู่  เธอพยายามสร้างความเข้มแข็งให้กับตัวเองเพื่อข่มความอ่อนแอไว้ข้างใน
              นีรายืนนิ่งครู่หนึ่งและดูคล้ายกำลังจะโต้ตอบอะไรบางอย่างแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ  ร่างบางยืดตัวขึ้นหมุนตัวเดินไปจากตรงนั้น  เปิดประตูเข้าไปนั่นในรถอย่างไม่ใยดี
              เมธาลรู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ  มองลูกหมาอีกสามตัวที่กำลังร้องด้วยความหิวและหนาวเย็นในลังกระดาษที่ชุ่มด้วยน้ำฝน    นึกถึงคำพูดของรุ่นพี่ที่เรียนแพทย์คนหนึ่ง
\" ไม่ว่าจะเป็นคนไข้ที่มีแววตาที่เต็มไปด้วยความทุกข์  น้อยหรือมากเพียงใด  มันก็ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเราที่มองเห็นเพราะนั่นหมายความว่าเรารู้วิธีที่จะรักษาเยียวยาจิตใจของพวกเขา  แต่ที่น่ากลัวที่สุดคนที่มีแววตาที่ว่างเปล่าต่างหาก   
              เพราะคนไข้ที่นิ่งเงียบไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใด  มันทำให้เราไม่รู้ที่มาที่ไปและวิธีการรักษา    และคนเหล่านั้นน่าสงสารตรงที่ว่า  พวกเขาเหมือนคนใกล้ตายที่จะไม่มีความรู้สึกใดอีกแล้ว    พูดง่ายๆก็คือ    คนเป็นที่ตายไปแล้ว  \"
หัวใจของเขาสั่นสะท้าน 
                                                เพราะแววตาของนีราก็ว่างเปล่าเช่นกัน
                                                               
           
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น