ตอนที่ 43 : Mad Dog : Chapter 38
Note: Qian Kun as Shawn Osbourne
*** Warning: ในตอนนี้มีการกล่าวถึง Mpreg ( male pregnancy ) อย่างชัดเจน รวมไปถึงในตอนนี้อาจมีบางฉาก ที่มีการกระทำรุนแรงและไม่เหมาะสมในเชิงอำนาจ ซึ่งอาจจะขัดต่อความเป็นจริงในปัจจุบันที่ไม่อาจตัดสินได้ด้วยอคติส่วนตนเพียงฝั่งเดียว จึงขอชี้แจงให้ทุกท่านได้ทราบและเข้าใจก่อนที่จะอ่านเนื้อหาในตอนนี้ ทั้งนี้ผู้เขียนไม่มีเจตนาสนับสนุนความรุนแรง และการกระทำที่โหดร้ายใด ๆ ทั้งสิ้น นอกเสียจากจะอยากหยิบยกการกระทำเหล่านี้ ให้เห็นถึงเหตุผลและผลลัพธ์ของการกระทำในแต่ละตัวละคร ***
แมดส์ไม่เคยมีความคิดจะกลับไปยังฮาร์เดนเจอร์ นับตั้งแต่เขาทำให้ทั้งเมืองสว่างไสว จนยากเกินกว่าจะดับลง
ฮาร์เดนเจอร์ไม่ใช่ที่ที่เหมาะสมสำหรับเขาและเธียร์.. อำนาจที่อยู่ในมือของตระกูลเยลเวอร์ตัน ย่อมพร้อมจะทำลายเขาทั้งสองคนอยู่ทุกเมื่อ
แมดส์ไม่เคยเข้าใจว่าการเป็นเพียวโอเมก้าของเธียร์ มันสร้างความเดือดร้อนให้กับเยลเวอร์ตันมากมายขนาดนั้นเลยหรือ ทั้งที่เธียร์เองก็ถือว่าเป็นลูกแท้ ๆ แต่กลับรังเกียจเพียงเพราะการมีเพศรองที่พิเศษกว่าคนอื่น..
ทั้งที่รู้ว่าเขาควรได้รับการดูแล แต่กลับไม่คิดใส่ใจ ซ้ำยังปฏิบัติราวกับการมีเพศรองเป็นเพียวโอเมก้า คือเรื่องร้ายแรงที่ไม่อาจยอมรับ มันก็น่าตลกดีเหมือนกันที่เอาแต่โทษเด็กที่เกิดมา โดยไม่ได้ย้อนมองเลยสักนิด ว่าการเกิดมาของเด็กคนหนึ่ง มันก็เพราะตัวของพ่อแม่ที่ทำให้เขาเกิดมา
หากดูแลไม่ได้ มันก็คงไม่ผิดที่เขาจะดูแลแทน…
“เราจะดูแลตัวเองดี ๆ พี่ไม่ต้องเป็นห่วง”
เจ้าของผิวขาวเอ่ยบอกคนรัก ในขณะที่เธียร์เดินเคียงคู่กับแมดส์ เพื่อเดินออกไปส่งคนตัวสูงเข้าร่วมกับกองทัพทหารของฟลัม
“อย่าไปคุยกับรีสมันมาก...” แมดส์อดไม่ได้ที่จะเอ่ยสั่งเธียร์เอาไว้ เพราะจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน แมดส์ก็ไม่อาจรู้สึกไว้ใจผู้ปกครองฟลัมได้สักเท่าไหร่
“เราจะไม่ยอมให้เขาแกล้งแล้ว..” ปากบางเบะคว่ำ คนตัวขาวนึกถึงสภาพของตนเองเมื่อคืน ที่ถูกม้วนอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่จนกลายเป็นก้อนกลม หลังจากถูกคนตัวใหญ่กลั่นแกล้งจนน้ำตาแทบร่วง
แม่กระต่ายตัวขาวรอดพ้นจากการโดนขย้ำเช่นเคย แต่ก็ต้องแลกกับการโดนทำโทษที่ทำให้เธียร์ไม่อาจลืม
ทั้งสัมผัสร้อนผ่าวบริเวณต้นขาด้านในซึ่งถูกเสียดสี และสัมผัสอุ่นร้อนที่ราดรดบนหน้าท้องจนเปรอะเปื้อน ใครมันจะหลงลืมเรื่องพวกนี้ได้ง่าย ๆ กัน
“เป็นตัวเราในแบบที่เป็นเรา มันดีแล้วเธียร์”
เสน่ห์ในตัวของเธียร์ให้รู้สึกถึงความน่าทะนุถนอม มากกว่าความรู้สึกเย้ายวนชวนให้สัมผัส มันไม่ได้ทำให้แมดส์รู้สึกว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาขาดหายอะไรไป ไม่ว่าจะทั้งในชีวิตปกติหรือแม้กระทั่งเรื่องลึกซึ้งพวกนั้น
คนน่ารักพยักหน้ารับคนตัวสูงกว่าพลางยกยิ้มเล็ก ๆ ที่ยังคงดูน่ามองในสายตาของแมดส์เสมอ
มันสดใสราวกับดอกไม้บานสะพรั่งในยามเช้าที่อวดความงามให้ได้ชื่นชมในทุกวัน
“ความรักของคู่ชีวิตแต่ละคู่ย่อมไม่เหมือนกัน…”
เบลเลอมอนท์คนกลางแม้จะมีภาพลักษณ์ดุดัน และน่ากลัวในบางที แต่กลับชมชอบความรู้สึกอุ่นวาบในอก มากกว่าความรู้สึกวาบหวามที่ชวนให้หัวใจเต้นเร็ว
เขาชอบเสมอที่เห็นแก้มขาวของเธียร์แดงก่ำ เพียงเพราะคำพูดหยอกล้อของตนเอง
“แล้วสำหรับเราสองคน.. พี่คิดว่ามันเป็นอย่างไร”
“ทุกวันที่ผ่านมาของเรามันคือคำตอบ”
แมดส์คิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้คนตัวขาวฟังมากนัก การกระทำที่ผ่านมาทั้งหมดของเขา มันชัดเจนมากพอที่จะทำให้เธียร์เข้าใจอะไรได้อย่างง่ายดาย
“บางทีเราก็อยากให้พี่ปากร้ายเหมือนเมื่อก่อน คำพูดของพี่ในทุกวันนี้ มันมักทำให้เราทำอะไรไม่ถูก..”
คำสารภาพที่เอ่ยออกมาตามตรงของเธียร์ ยิ่งทำให้แมดส์รู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้าเพิ่มขึ้นไปอีก
ต่อให้ แมดส์ เบลเลอมอนท์ จะไม่ได้พูดเยอะขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก แต่การที่อีกฝ่ายเอ่ยประโยคชวนให้ใจเต้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง มันก็มักทำให้เธียร์รู้สึกคิดอะไรไม่ออกทุกที นอกเสียจากจะวนเวียนคิดแต่คำพูดของอีกฝ่าย
“ปากร้ายแค่ไหนก็ไม่เคยเห็นเราจะอยู่ห่างจากพี่”
ทั้งที่เจ้าตัวดูเหมือนจะพร้อมไปจากเธียร์ได้ทุกเมื่อ แต่สุดท้ายคนที่อยู่ข้างเธียร์เสมอ และคอยเป็นทุกอย่างให้กับคุณหนูเยลเวอร์ตันก็คือแมดส์
ทรูอัลฟ่าผิวเข้มตรงหน้าเป็นคนปากร้ายแค่ไหน ทำไมเธียร์จะไม่รู้ หากได้ลองย้อนคิดถึงคำพูดของอีกฝ่าย บางเรื่องที่แมดส์พูดมันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง จนเธียร์เองอดละอายใจตัวเองไม่ได้ในยามที่นึกถึง มันคงเป็นเพราะตอนนั้นเธียร์ยังคงไม่เข้าใจเรื่องราวต่าง ๆ จึงทำให้เราต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจ และคิดว่าอีกคนเป็นเช่นไรด้วยมุมมองความคิดของตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
หากไม่เปิดใจยอมรับฟังกันในวันนั้น เธียร์ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกับแมดส์จะมาถึงในจุดนี้ได้อย่างไร
ในขณะที่แมดส์ใจเด็ดและกล้าได้กล้าเสียเกินกว่าจะเสียใจ หากได้ตัดสินใจอะไรลงไป แต่เธียร์เองก็กลับคิดน้อยใจอีกฝ่ายอยู่เสมอ เพราะคำพูดของแมดส์ที่เจ้าตัวไม่อาจเข้าใจ ว่าทุกอย่างที่อีกฝ่ายทำมันเพื่ออะไร
“ถึงจะปากร้าย แต่พี่ไม่เคยทิ้งเราเลยสักครั้ง…” เธียร์ระบายยิ้มบาง ๆ ที่พอทำให้แก้มขาวยกขึ้นเป็นก้อนนุ่ม มือขาวบีบกระชับมือใหญ่ที่เอื้อมมากอบกุมมือของตน ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้แมดส์ยกยิ้ม “และพี่ก็ทำให้เราเชื่อใจอยู่เสมอว่าพี่ดูแลเราได้”
บรรยากาศที่อบอวลไปด้วยความผ่อนคลาย และเสียงหัวเราะของเธียร์ ย่อมทำให้แมดส์รู้สึกสบายใจไม่น้อย เมื่อเห็นคนตัวขาวข้างกายยังคงมีความสุขอย่างที่สมควรเป็น
ระหว่างทางเดินที่ทอดยาวออกไปยังด้านนอกปราสาท คงเป็นช่วงเวลาสุดท้ายก่อนที่ แมดส์ เบลเลอมอนท์ จะต้องห่างกับคุณหนูเยลเวอร์ตันไปสักพักหนึ่ง เพื่อทำตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย
ทั้งพลทหารม้า พลทหารราบ พลธนู และพลหอก ต่างจัดตั้งขบวนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย และพร้อมเคลื่อนพลไปยังเป้าหมายซึ่งอยู่ข้างเคียงกับฟลัม
ยิ่งเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้เธียร์ไม่อยากปล่อยมือเจ้าของกลิ่นไม้หอม...
เธียร์ยังมีความหวาดกลัวลึก ๆ ในใจที่ไม่อาจห้ามความคิดพวกนั้นได้ ทุกการเผชิญหน้าและการต่อสู้ย่อมแลกมาด้วยเลือดเนื้อ มันคงเป็นไปได้ยาก หากเธียร์จะหวังว่าคนรักของตนจะไร้ซึ่งการบาดเจ็บ
“ส่งตรงนี้ก็พอ..”
ตาใสเหลือบมองคนคนรักที่หยุดเดินก่อนจะถึงบริเวณประตูใหญ่ของปราสาท หลังบานประตูขนาดใหญ่ที่เปิดออกกว้าง ปรากฏให้เห็นกองกำลังพลซึ่งกำลังรวมตัว เหตุผลที่แมดส์ให้คนตัวขาวส่งตัวเองถึงตรงนี้ ก็เพราะเจ้าตัวไม่ชอบสักเท่าไหร่ เวลาเห็นสายตาที่ลอบมองคุณหนูเยลเวอร์ตัน
“เราขอให้พี่ปลอดภัย..”
เมื่อถึงเวลาที่ต้องจากลาขึ้นมาจริง ๆ เธียร์ก็ไม่กล้าแม้แต่จะขอให้อีกฝ่ายไม่ได้รับบาดเจ็บ คุณหนูเยลเวอร์ตันทำได้แค่เพียงเอ่ยประโยคแสนสั้นที่เต็มไปด้วยความหวังดีของตน ในขณะที่มือนิ่มยังคงจับมือใหญ่เอาไว้แน่น
แมดส์ครางในลำคอรับคำอวยพรของอีกฝ่ายในลำคอ ดวงตาดุดันของทรูอัลฟ่าหนุ่มไล่มองใบหน้าของคนรักช้า ๆ เพื่อซึมซับความรู้สึกในช่วงเวลาอันแสนสั้นนี้ให้ได้มากที่สุด
ฝ่ามือใหญ่ของทรูอัลฟ่าหนุ่มลูบแก้มนิ่มด้วยความนุ่มนวล หน้าผากที่แนบชิดกันเมื่อคนตัวสูงกว่าโน้มใบหน้าลงมา ช่วยคลายความกังวลในจิตใจ และแทนที่ด้วยความอุ่นใจอย่างน่าประหลาด
เป็นอีกครั้งที่ริมฝีปากนุ่มได้รับสัมผัสแผ่วเบาจากกลีบปากหยัก มันยังคงสร้างจังหวะถี่ระรัวให้กับหัวใจดวงน้อย สายตาเรียบนิ่งของแมดส์ที่ทอดมองมายังคุณหนูเยลเวอร์ตัน ล้วนเต็มไปด้วยความหมาย และอัดแน่นไปด้วยหวงแหน
สัมผัสของคนตัวสูงที่ใช้นิ้วเกลี่ยนิ้วนางข้างซ้ายของเธียร์ ทำให้คิ้วสวยขมวดเข้าหากันเล็กน้อย…
ประโยคสุดท้ายที่คนตัวสูงกระซิบข้างใบหูก่อนเดินออกไป ทำให้เธียร์ได้แต่พยักหน้ารับ และมองแผ่นหลังกว้างของที่กำลังห่างออกจากตัวเองไปเรื่อย ๆ ด้วยขอบตาร้อนผ่าว
ประโยคที่เอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำของคนรัก มันซาบซ่านไปทั่วทั้งอก เฉกเช่นยามลิ้มรสเหล้าองุ่นหวาน ความรู้สึกที่ใกล้เอ่อล้นต่างพรั่งพรู ไม่ต่างจากน้ำพุในสวนหย่อมด้านหน้าปราสาท
ไม่ว่าจะเป็นจากคำพูดหรือการแสดงออกของแมดส์ มันช่างสอดคล้องและชัดเจนในทุกการกระทำ...
“คุณหนู…” เอนยาที่ยืนรักษาระยะห่างมองดูคนทั้งคู่มาตั้งแต่ต้น สาวเท้าเดินเข้ามาหาผู้เป็นนาย ก่อนแตะบริเวณข้อศอกของเธียร์เบา ๆ เพื่อเรียกอีกฝ่าย
เจ้าของดวงตาสวยหันมามองแม่บ้านคนสนิทด้วยดวงตาแดงก่ำ เพียวโอเมก้าตัวเล็กโผเข้ากอดเจ้าหล่อนแน่น และปล่อยให้น้ำตาได้ไหลลงมาอาบแก้ว ท่ามกลางความตกใจของเอนยา
แมดส์ เบลเลอมอนท์ คุยกับอะไรกับคุณหนูของเธอกัน ถึงได้ทำให้เจ้าตัวร่ำไห้ออกมาเช่นนี้
‘แต่งงานกันไหมเธียร์..’
แม้จะเป็นประโยคสั้น ๆ แต่มันกลับมีพลังมากมายที่สร้างความร้อนผ่าวบนขอบตาคู่สวยได้อย่างไม่ยาก
“เขาใจร้ายชะมัดที่ขอเราแต่งงานตอนนี้..”
แมดส์ เบลเลอมอนท์ ใจร้ายมากจริง ๆ ที่ทำให้คุณหนูเยลเวอร์ตันต้องรอคอย เพื่อตอบรับคำขอของอีกฝ่าย แต่อีกนัยหนึ่ง มันก็เป็นดั่งคำสัญญาที่อีกฝ่ายสื่อให้คนตัวขาวรู้อ้อม ๆ ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัย
“แล้วที่คุณหนูร้องไห้แบบนี้ ไม่ใช่เพราะรู้สึกดีใจหรอกหรือ?”
เพราะมันเป็นสิ่งที่เธียร์ไม่เคยคิด ไม่เคยคาดหวังว่าตัวเองจะต้องได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ คำพูดของแมดส์กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างที่เคยกดเธียร์เอาไว้ จากสภาพสังคมที่กดขี่การเป็นเพียวโอเมก้าของตัวเอง
“ระ เรามีความสุข” เธียร์เอ่ยทั้งที่ยังคงสะอึกสะอื้น “มะ อึก มีความสุขมากจริง ๆ ที่เรามีเขาในชีวิต”
เจ้าหล่อนได้แต่ลูบกลุ่มผมนุ่มสลวยของคุณหนูตัวขาว มันเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะปฏิเสธ ว่าคุณหนูของเธอได้เติบโตขึ้นแล้วจริง ๆ เด็กน้อยที่เธอดูแลมาเสมอ แสนโชคดีเหลือเกินที่ได้พบเจอกับความรักอันเหมาะสมกับตนเอง
ในขณะที่แมดส์ได้มีตัวตน เจ้าตัวก็หลงลืมที่จะทำให้เธียร์มีตัวตนเช่นเดียวกับตัวเอง
มันคงจะทำให้เธียร์มีความสุขมากกว่านี้ หากเพศรองที่แสนพิเศษของตนจะได้รับการยอมรับ...
ภาพชีวิตอันจืดจางและแสนเลือนราง ในช่วงเวลาที่เธียร์ต้องต่อสู้กับความทุกข์ มันคงเป็นแค่อดีตที่เธียร์มองเห็นภาพผ่านกระจกบานเก่า ซึ่งเทียบไม่ได้กับชีวิตที่เธียร์ตระหนักได้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหนในตอนนี้
“มีความสุขเสียทีนะคุณหนู..” เจ้าหล่อนฉีกยิ้มเอ็นดูเด็กน้อยในอ้อมกอด พลางกระชับกอดอีกฝ่ายให้แน่นขึ้น “ความสุขพวกนี้มันควรเป็นของคุณหนู ทั้งคนรัก ทั้งครอบครัว และคนรอบข้าง”
“เอนยาเป็นครอบครัวของเรา..”
“…..”
“ขอบคุณมากจริง ๆ ที่ดูแลเรามาตลอด”
เธียร์จำได้ดีว่าเอนยาก็ลำบากไม่น้อยไปกว่าตน การเทียวไปเทียวมายังปราสาทกลางทะเลสาบ มันย่อมไม่ใช่เรื่องที่สะดวกสบายสักเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสหนีหรือปลดตัวเองออกจากหน้าที่ แต่เพราะเลือกจะดูแลคนที่ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความเห็นใจ ถึงทำให้เจ้าหล่อนไม่เคยหนีหายจากคุณหนูของตัวเองไปไหน
เมื่อเมฆครึ้มสีเหล็กได้ผ่านพ้น แสงสว่างย่อมสาดส่องคืนชีวิตให้ดำเนินเดินต่อ เพื่อเห็นโลกที่เคยเห็นมากกว่าวันนี้..
คำอ้อนวอนที่เธียร์สวดภาวนามาตลอด ไม่อาจเป็นเพียงฝันเฟื่องที่รอความหวังอันริบหรี่อีกต่อไป
ไม่มีอีกแล้วสำหรับคำภาวนาที่ถูกเมินเฉย ทุกความปรารถนาได้ถูกตอบรับ
หยดน้ำตาจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง หลงเหลือแต่เพียงความสุขที่คอยปลอบโยนหัวใจที่เคยบอบช้ำ....
คำป่าวประกาศเมื่อหลายวันก่อนของผู้ส่งสารจากฟลัม สร้างข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งฮาร์เดนเจอร์ อิทธิพลของการพูดปากต่อปาก มันยังคงรวดเร็วและบิดเบือนสมกับการใส่สีตีไข่จากผู้คนมากหน้า ซ้ำยังมีสภาพของคุณชายเลนนิกซ์ที่ถูกผลักลงมาจากหลังรถม้าเกวียน ภาพไม่น่ามองซึ่งติดตาชาวเมืองที่อยู่รายล้อมบริเวณนั้น เป็นเครื่องยืนยันถึงความสัมพันธ์ระหว่างเมืองที่กำลังเลวร้ายลง โดยไม่อาจมีใครได้ทันตั้งตัวถึงเหตุการณ์นี้
ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน หัวข้อสนทนาของผู้คนต่างพูดถึงประเด็นความสัมพันธ์ของฮาร์เดนเจอร์และฟลัม การคาดเดาต่าง ๆ นานา สร้างหัวข้อถกเถียงให้วุ่นวาย ผู้คนเริ่มแตกแยกออกเป็นกลุ่ม จากหลากหลายความคิดเห็นที่ถูกต้องตรงกัน แต่ชาวเมืองหรือจะว้าวุ่นและตื่นตระหนกเท่ากับผู้มีอำนาจ
ผู้นำเยลเวอร์ตันเริ่มกระวนกระวายถึงข่าวลืออันหนาหู สภาพของหลานชายที่ไม่อาจมีสติมากพอจะบอกเล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ซ้ำทหารจำนวนไม่น้อยซึ่งถูกหยิบไปใช้ในการตามหาตัวลูกชายคนเล็ก กลับหายไปไหนพริบตา หลงเหลือก็แต่นายทหารจำนวนไม่กี่คนที่บาดเจ็บกลับมา กองกำลังทหารของเยลเวอร์ตันหายไปเกือบครึ่ง ส่วนที่ยังประจำการอยู่ก็ต่างถูกแบ่งให้ไปประจำตามที่ต่าง ๆ
ม้าเร็ววิ่งผ่านเขตชุมชนเมืองบริเวณด้านล่าง ก่อนจะผ่านประตูเมืองขึ้นไปทางด้านบนปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขาสูง เป็นสัญญาณของอันตรายที่กำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ฮาร์เดนเจอร์
ชายหนุ่มที่เดินปะปนอยู่กับชาวเมือง มองภาพที่ผ่านไปเมื่อครู่ด้วยสายตาเฉยชา เงินในถุงผ้าถูกหยิบยื่นให้กับพ่อค้าผลไม้ ก่อนที่จะยืนกัดกินผลไม้รสหวานที่ได้ซื้อเมื่อครู่ พลางแหงนหน้ามองขึ้นไปยังปราสาทที่อยู่ถัดไปไม่ใกล้ไม่ไกล
รสหวานฉ่ำที่ได้ลิ้มลอง มันคงจะหอมหวานดั่งชัยชนะที่กำลังจะมาถึง..
บางทีม้าเร็วที่นำข่าวมาส่งให้กับผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ อาจจะล่าช้ากว่าอันตรายที่เร้นกายรายล้อมอยู่ในตอนนี้
“นี่ฉันรอเวลานี้มานานแค่ไหนกันนะ..”
ชายหนุ่มเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับคนติดตามให้เดินหลบเลี่ยงไปอีกฟากฝั่งหนึ่งของเมือง ภารกิจสุดท้ายของการแฝงตัวเป็นหูเป็นตาในฮาร์เดนเจอร์ ย่อมทำให้ ฌอน ออสบอร์น หมดหน้าที่ในการทำงานนี้เสียที
การที่ผู้ปกครองฟลัมมีหูตาเป็นสับปะรด และรู้เรื่องราวทุกอย่างในแดนใต้ มันก็เพราะการรู้จักใช้คนให้เป็นประโยชน์ของเจ้าตัว
ในขณะที่ผู้คนกำลังเคลือบแคลง และเกิดความสงสัยว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น อีกทางด้านหนึ่งของเมืองก็เริ่มเกิดความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนจำนวนหนึ่ง ปลายอาวุธแหลมคมที่แข็งแรงถูกยิงออกเป็นจังหวะด้วยพลทหารหน้าไม้ สร้างที่เกาะเพื่อให้ปีนป่ายได้เป็นลำดับขั้น และส่งตัวเจ้าของผิวเข้มขึ้นไปยังบนป้อมปราการบนกำแพงปราสาทได้อย่างไม่ยาก ทหารซึ่งประจำการอยู่บริเวณกำแพงปราสาทถูกจัดการจนล้มลงด้วยความรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ไม่หลงเหลือเวรยามที่เฝ้าในเขตนี้
เชือกเส้นใหญ่ซึ่งมีความแข็งแรงเป็นอย่างมาก ถูกใช้ในการเหนี่ยวนำกลุ่มคนให้ไล่เรียงขึ้นมายังป้อมปราการ ทุกคนต่างกระจัดกระจายและทำตามหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย กลุ่มหนึ่งแยกย้ายไปเปิดประตูเมืองทางด้านหลังเพื่อให้กองกำลังที่เฝ้ารอสามารถเข้ามาในตัวปราสาทชั้นในได้ ส่วนอีกกลุ่มก็แยกย้ายไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อรวบตัวทุกคนที่มีอำนาจในฮาร์เดนเจอร์
แมดส์จดจำได้ดีว่าภายในตัวปราสาทหลังนี้แบ่งเป็นเช่นไร ส่วนไหนที่สำคัญและส่วนไหนที่จัดสรรไว้ใช้ทำอะไร บวกกับข่าวคราวของคนที่ทำงานเป็นหูตาให้กับพี่ชาย ก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นสักเท่าไหร่
ฮาร์เดนเจอร์มีการป้องกันที่หละหลวม และแบ่งกำลังได้อย่างไม่มากพอ แม้กระทั่งเคยถูกเขาบุกรุกเข้ามาในครั้งก่อน ก็ไม่ได้ช่วยทำให้เวรยามของที่นี่แน่นหนาขึ้นเลยสักนิด
“นายมั่นใจได้อย่างไรว่าแผนพวกนี้จะได้ผล..” จาเร็ต โบฟอร์ต เอ่ยถามทรูอัลฟ่าตรงหน้าที่ยังรักษาท่าทีสงบนิ่งได้อย่างไม่อยากเชื่อ
“หรือนายอยากจะให้ฉันใช้วิธีแบบที่ฉันชอบทำกันล่ะ?” หมาบ้าที่อยู่ในคราบของเบลเลอมอนท์คนรองเอ่ยตอบ พลางมองเลยไปยัง เอเดน เกลฟ์ ที่ยังคงดูหัวเสียไม่น้อย “ถ้านายจะไม่ทำตามคำสั่งฉันก็ได้นะเอเดน”
“นายผิดคำสั่งของนายท่าน”
“ฉันก็ไม่เคยรับปากว่าจะทำตามคำสั่งของรีสทุกอย่าง..” รอยยิ้มเย็นของแมดส์ทำให้อัลฟ่าทั้งสองรู้สึกขนลุกแปลก ๆ นายทหารทั้งคู่คงต้องยอมรับว่าตกใจไม่น้อย กับฐานะที่แท้จริงของหมาบ้าที่เฝ้าตามล่าตัวมาตลอด
ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าหมาบ้าอย่างแมดส์ จะเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกันกับผู้ปกครองฟลัม..
ข่าวลือของลูกนอกสมรสของอดีตผู้ปกครองฟลัม ย่อมแพร่สะพัดไปทั้งเมือง แม้จะเกิดข้อกังขาในกลุ่มคนบางกลุ่ม แต่ก็ไม่มีใครกล้าขัดการตัดสินใจของผู้ปกครองฟลัม
ใครกันจะกล้าเสี่ยงเป็นเหยื่อในโรงละครหลังใหญ่ให้กับผู้ปกครองฟลัม..
ยามใจดีก็ดีจนน่าใจหาย แต่ยามใดที่เด็ดขาด รีส เบลเลอมอนท์ ก็ย่อมตัดสินใจทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว และไม่จำเป็นต้องฟังคำอ้อนวอนของใคร
“พวกนายสองคนไปจัดการเลนนิกซ์ซะ..” แมดส์ เบลเลอมอนท์ เอ่ยบอกทั้งคู่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่จะเลี่ยงเดินไปอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นเป้าหมายของการมาเยี่ยมเยียนฮาร์เดนเจอร์ในครั้งนี้
“หวังว่านายจะไม่ทำอะไรที่ทำให้พวกเราเดือดร้อน”
“ฉันรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร..”
“…..”
“ทำหน้าที่ของพวกนายให้เรียบร้อยเถอะ เพราะถ้าทำไม่ได้.. นายสองคนนั่นแหละที่จะเดือดร้อน”
ทั้งจาเร็ตและเอเดนได้แต่มองตามหลังหมาบ้าที่เดินหายออกไปอีกทางคนเดียว แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่เข้าใจสักนิด ถึงการกระทำของ แมดส์ เบลเลอมอนท์ ที่ขัดคำสั่งของผู้ปกครองฟลัม
ความโกลาหลและวุ่นวายเริ่มเกิดขึ้นในตัวปราสาทหลังใหญ่ เมื่อทหารของฟลัมบุกล้อมรอบตัวปราสาท ซ้ำยังควบคุมตัวผู้มีอำนาจทั้งหมดไว้ในสภาพที่แตกต่างกันไป ส่วนทหารของฮาร์เดนเจอร์ที่ต่อต้านก็ย่อมถูกกำจัดทิ้ง แต่ก็ยังถือว่าเป็นการนองเลือดที่น้อยมากนัก ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะคำสั่งของแมดส์ เบลเลอมอนท์
หากจะยึดอำนาจจากคนที่ถืออำนาจไว้ในมือ ก็สมควรจัดการแต่เพียงผู้มีอำนาจ..
บรรยากาศเงียบเชียบในโถงทางเดินของปราสาท ศิลปะอันงดงามที่ประดับประดาตลอดทางเดิน มันช่างขัดกับซาตานที่อยู่ในคราบของทูตสวรรค์สิ้นดี เงาของร่างสูงใหญ่ที่สะท้อนกับแสงไฟซึ่งประดับตลอดทางเดิน กลับดูกลายเป็นภาพที่น่ากลัวเกินกว่าจะน่ามองและชื่นชมในความงาม
ดาบเล่มคมในมือขวาของแมดส์มีรอยเลือดเปื้อนเป็นทางยาว ไหล่ด้านซ้ายของเจ้าตัวยังคงมีเลือดไหลออกจากบาดแผล ไม่ต่างจากใบหน้าคมที่มีร่องรอยฟกช้ำเล็กน้อย แม้จะมีคราบเลือดหยดเล็กซึ่งสาดกระเซ็นมาโดนซีกหน้าด้านขวา ก็ไม่ได้ทำให้แมดส์คิดจะเช็ดมันออกแต่อย่างใด
ทหารของฮาร์เดนเจอร์ที่นอนไร้ชีวิตอยู่ตามทางด้านหลัง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นฝีมือของผู้บุกรุกที่ฝ่าเข้ามาด้านในอย่างไม่กลัวเกรง
บานประตูไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้า ย่อมเป็นจุดหมายของแมดส์ในครั้งนี้ แม้มันจะอยู่ไม่ไกลนักแต่เจ้าตัวก็ยังใจเย็นมากพอที่จะก้าวเดินอย่างไม่รีบร้อน
ปลายคมดาบที่ตั้งใจลากมันไปตามพื้น จนเกิดเสียงดังแสบหูไปทั่วทางเดิน สั่นประสาทใครบางคนที่อยู่ในห้อง จนนั่งแทบไม่ติดเก้าอี้เพราะความรู้สึกหวาดกลัว
วิธีการกำจัดคนทรยศของรีส ถือว่าเป็นวิธีที่เด็ดขาด และสมควรแก่การกระทำเหล่านั้น แต่สำหรับแมดส์แล้ว ชีวิตยังคงไม่อาจชดใช้ด้วยชีวิต ความตายมันง่ายเกินไปสำหรับผู้นำตระกูลเยลเวอร์ตันและเลนนิกซ์
ต่อให้เขาจะเผชิญชีวิตในโลกที่มืดมนมานานสักเท่าไหร่ มันก็ไม่เคยทำให้แมดส์ค้นพบความสุข...
มีเพียงหนทางเดียวให้มันได้เลือกเดิน ความทรมานของคนเหล่านั้นไม่ใช่ความรู้สึกยินดีเมื่อได้พบเจอ โลกพวกนั้นหล่อหลอมความโศกเศร้าให้อยู่ในความรู้สึก ฝังลึกอยู่ทุกซอกทุกมุมของหัวใจที่ใกล้จะขาดเลือดหล่อเลี้ยง
มันทรมานราวจะขาดหายใจในทุกครั้งที่ต้องจมปลัก ยิ่งคลานหนีพวกมันอย่างจนตรอก มันก็ยิ่งหลอกหลอนว่าในอดีตที่ผ่านมา มือของมันนั้นสกปรกและเปื้อนเลือดมามากมายเท่าไหร่
ในเมื่อเลือกที่จะมีตัวตน มันก็ควรละทิ้งชีวิตที่แสนดำมืดในอดีต.. มันไม่ใช่หมาบ้าที่กัดคนไม่เลือกอีกต่อไป แต่มันจะเป็นหมาบ้าที่กัดทุกคนที่ยื่นมือเข้ามาหมายจะทำลายชีวิตของมัน
โลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยแสงสว่างจากใครคนนั้น คือโลกที่สร้างขึ้นอีกครั้งจากเศษซากปรักหักพัง ซึ่งมันไม่เคยคิดว่าจะประกอบกลับมาเป็นโลกที่มันเคยยืนอยู่ได้อีก
และสำหรับคนที่สร้างความเกลียดชังให้กับคน ๆ หนึ่ง ก็สมควรได้รับผลของการกระทำนั้นตอบแทนอย่างสาสม
ทันทีที่บานประตูใหญ่ถูกผลักเข้าไป เจ้าของดวงตาดุดันก็ได้สบตาเข้ากับดวงตาของผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ ที่มีท่าทีกระวนกระวายอย่างชัดเจน แม้จะมีสง่าราศีสมกับการเป็นผู้ปกครองเมือง แต่แมดส์ก็กลับเห็นเพียงเงามืดที่ซ้อนทับอีกฝ่าย หากเปรียบเทียบแล้วก็คงปีศาจที่หิวกระหาย และเต็มไปด้วยความโลภ
ทหารที่คอยป้องกันผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ ไม่อาจทำหน้าที่ได้อย่างที่ควรทำ ไร้ซึ่งเวลาและโอกาสในการหนีรอด เมื่ออันตรายได้คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว และปลิดชีพของข้ารับใช้เหล่านั้นอย่างไม่ลังเล
ใครก็ตามที่ขวางทางของ แมดส์ เบลเลอมอนท์ มันย่อมมีจุดจบที่ไร้ลมหายใจไม่ต่างกัน
ทหารแค่เพียงหยิบมือหรือ จะสู้กับหมาบ้าที่ใกล้คลั่งเต็มที่เช่นเบลเลอมอนท์คนกลาง..
“นี่น่ะหรือคนที่ลูกฉันเลือก…”
คำทักทายจากผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ สร้างรอยยิ้มเย็นให้ถูกจุดขึ้นบนใบหน้าคมได้อย่างไม่ยาก มันช่างเป็นคำทักทายที่เปิดประเด็นในการสนทนาได้ดีจริง ๆ
“ไม่อายปากบ้างหรือที่เรียกเขาว่าลูก” แมดส์หัวเราะหึในลำคอด้วยความสมเพช ก่อนจะเดินสาวเท้าเข้าไปหาคนที่ยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
“เธียร์เป็นลูกของฉัน” ผู้นำเยลเวอร์ตันยังคงเอ่ยต่อไป และไล่สายตามองทรูอัลฟ่าเจ้าของนัยน์ตาดุดันตรงหน้า
“แต่น่าเสียดายที่เธียร์คงไม่นับท่านเป็นครอบครัว..”
“…..”
“ดูสิ..ว่าเพราะความเห็นแก่ตัวของท่าน มันทำให้เยลเวอร์ตันเหลืออะไรบ้าง?” แมดส์ยังคงพูดอย่างไม่คิดเกรงกลัว “คุณชายเยลเวอร์ตันก็ยังต้องถูกส่งตัวไปคาร์เลียน… สุดท้ายความหวังในตัวลูกชายคนโตมันก็สูญเปล่าอยู่ดี”
“…..”
“ไร้ซึ่งทายาทสืบทอดการปกครองเช่นนี้ เยลเวอร์ตันจะทำอย่างไรดีล่ะ?”
“มันเพราะแกต่างหากที่พาเธียร์หนีออกไป”
“เขาควรมีชีวิตที่ดีกว่านี้” ยิ่งพูดคุยมันก็ยิ่งทำให้แมดส์เห็นความเห็นแก่ตัวของอีกฝ่าย “ชีวิตของคน ๆ หนึ่งไม่ควรเป็นเครื่องมือเพื่อผลประโยชน์ของใคร”
“แล้วทำไมฉันต้องเชิดชูเพียวโอเมก้า?”
ช่างเป็นคำถามที่ทำให้แมดส์รู้สึกโมโหสิ้นดี สุดท้ายเพศรองก็เป็นสิ่งที่ผู้นำของตระกูลเยลเวอร์ตันคำนึงถึงมากกว่าลูกที่ขึ้นเกิดจากเลือดเนื้อของตัวเอง
หาก เธียร์ เยลเวอร์ตัน ได้มาฟังพ่อของตัวเองเอ่ยเช่นนี้ เจ้าตัวคงจะเสียใจน่าดู..
“จะเชิดชูหรือไม่เชิดชูมันคงไม่สำคัญสำหรับตอนนี้..” ใบหน้าเฉยชาและแววตาที่เรียบนิ่งเกินกว่าจะคาดเดา ทำให้ผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ที่กำลังเป็นรองหมาบ้าอดหวั่นใจไม่ได้
“คิดจะฆ่าฉันหรือ?” จากทั้งท่าทางและคำพูด ดูก็รู้ว่าคงจะอยากฆ่ากันเพื่อแก้แค้นให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด “หรือจริง ๆ แล้วนายไม่กล้า”
จนถึงตอนนี้เจ้าตัวก็ยังคิดไม่ได้ว่าการที่ตัวเองยังมีปากที่พูดได้ และมีลมหายใจพอต่อชีวิต มันก็เพราะลูกชายที่อีกฝ่ายจงเกลียดจงชังนักหนา
“มันไม่พอหรอก..”
“…..”
“เบลเลอมอนท์มีสิ่งตอบแทนที่จะมอบให้กับท่านมากกว่าความตายเสียอีก..”
แมดส์กดคมดาบด้วยน้ำหนักที่มากพอ จนมันเฉือนผิวเนื้อบริเวณช่วงอก หยดเลือดสีสดไหลซึมจากปากแผลซึ่งถูกกรีดเป็นทางยาว ผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ได้แต่กำที่วางแขนของเก้าอี้แน่น และข่มความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นริ้ว
“อึก…”
“จะกลัวตายทำไม?”
ราวกับมีปีกสีดำสนิทที่มองไม่เห็นงอกออกมา ในยามที่ริมฝีปากหยักเอ่ยถามอัลฟ่าแสนอวดีตรงหน้า ทั้งน้ำเสียงเย็นเยียบและแววตาที่เต็มไปด้วยโทสะ มันช่างเป็นภาพที่เขย่าขวัญผู้คนที่ได้พบเห็น
ซาตานในร่างของมนุษย์ย่อมแสดงตนออกมา พร้อมกับโทสะที่เป็นดั่งตัวแทนของมัน ปีศาจที่มีอยู่ในทุกจิตใจของมนุษย์ ย่อมรอวันครอบงำผู้คนเหล่านั้นที่ไม่อาจควบคุมตนเองได้
ดาบในมือใหญ่ของเบลเลอมอนท์คนกลางไล่ขึ้นมาเรื่อย ๆ จนถึงลำคอที่สามารถเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน คมดาบที่ปัดผ่านทำให้ผู้นำตระกูลเยลเวอร์ตันไม่กล้าแม้แต่จะหายใจ
ปลายดาบที่หยุดนิ่งบริเวณลำคอ ย่อมไม่ต่างจากการทรมานให้เหยื่อที่จนมุมได้ประสาทเสียเล่น นายใหญ่ของปราสาทหลังงาม ไม่กล้าแม้ต่ะจะหายใจแรงหรือขยับตัวเลยสักนิด ดวงตาเริ่มล่อกแล่กจากความรู้สึกตื่นกลัว หากเคลื่อนไหวของร่างกายแม้จะเพียงเล็กน้อย ก็ย่อมทำให้ปลายดาบที่ว่าบาดผิวอ่อนช่วงลำคอ ซึ่งสามารถสร้างความเจ็บปวดให้กับตัวเอง แต่ทุกการกระทำของเยลเวอร์ตันในสายตาของแมดส์ มันช่างขลาดเขลาสิ้นดี
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธียร์ คอที่ตั้งอยู่บนบ่าของท่านคงได้อยู่แทบเท้าฉันไปแล้ว..”
แมดส์ยอมรับว่าตัวเองกำลังใกล้จะถึงขีดสุดของตัวเองที่ไม่อาจควบคุม ยิ่งเห็นใบหน้าของคนตรงหน้า ก็ยิ่งสร้างความคับแค้นใจให้กับแมดส์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตัวเองหรือเรื่องของเธียร์
เวลาไม่ได้พรากคนที่เขารักไปจากชีวิต แต่มันเพราะความเห็นแก่ตัว และหลงระเริงในอำนาจของคนผู้นี้ต่างหาก ที่ทำให้ใครหลายคนต้องสังเวยชีวิตอย่างไร้ความเห็นใจ
“ฉันคงต้องขอบคุณไอ้ลูกนอกคอกนั่นสินะ..”
ด้ามดาบในมือแมดส์กระแทกเข้ากับใบหน้าของผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์อย่างแรง จนทำให้อัลฟ่าตรงหน้ามีเลือดไหลออกมาจากริมฝีปาก กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่ว ทั้งจากแผลบริเวณหน้าอก และริมฝีปากที่ถูกกระแทกด้วยของแข็งจนเลือดกลบปาก จนไม่สามารถขยับปากเอ่ยประโยคที่ไม่น่าฟังออกมาได้อีก
“จะพูดอะไรก็ให้เกียรติเบลเลอมอนท์บ้าง..”
“…..”
“เพราะลูกนอกคอกที่ท่านพูดถึง เขาคือคนของเบลเลอมอนท์”
“…..”
“ขนาด เธียร์ เยลเวอร์ตัน ยังกลายเป็นคนของเบลเลอมอนท์ได้ มันก็คงไม่ใช่เรื่องยาก หากอำนาจในมือของเยลเวอร์ตัน จะถูกเปลี่ยนมือเป็นของเบลเลอมอนท์”
ประโยคที่ประกาศความต้องการของ แมดส์ เบลเลอมอนท์ ย่อมชัดเจนและสามารถตีความได้อย่างง่ายดาย
ชีวิตของผู้นำเยลเวอร์ตันไม่มีค่าสำหรับแมดส์เลยสักนิด หากเทียบกับอำนาจที่เขาสามารถยึดมันมาได้จากเยลเวอร์ตัน
“แก..”
“ไม่ดีใจหรือที่ลูกเขยคนนี้ยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือเยลเวอร์ตันที่กำลังจะหมดอำนาจ..” รอยยิ้มแสยะของทรูอัลฟ่า และสายตาที่มองเหยียดผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ ทำให้ชายแก่แทบคลั่งในท่าทีจองหองนี้
ถุย
ทั้งเลือดและน้ำลายถูกถ่มออกมาจากปากของเยลเวอร์ตัน ที่ยังแสดงท่าทีอวดดีแม้จะจนตรอกในตอนนี้ คราบเหนียวหนืดอันแสนสกปรกย่อมเลอะใบหน้าของแมดส์ ทรูอัลฟ่าหนุ่มใช้หลังมือปาดคราบสกปรกเหล่านั้นออกช้า ๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง ราวกับไม่สะทกสะท้านกับการกระทำแสนดูถูกเหล่านั้น
รอยยิ้มกว้างที่ปรากฏบนใบหน้าคม คล้ายกับปีศาจที่กำลังได้ใจ เมื่อได้ควบคุมบาปลึกในจิตใจมนุษย์ รอยยิ้มกว้างหายไปในชั่วพริบตา และแทนที่ด้วยสีหน้าที่ทำให้ดวงตาทั้งสองข้างเบิกโพลง
ความเจ็บปวดจากดาบที่จงใจแทงลงบนหน้าขา สร้างเสียงคร่ำครวญอันแสนความเจ็บปวด บาดแผลลึกที่แมดส์ตั้งใจสร้างนี้ ย่อมเจ็บปวดมากกว่าบาดแผลที่ทรูอัลฟ่าเคยข่มขู่อีกฝ่ายก่อนหน้านี้
เสียงร้องของความเจ็บปวดยิ่งดังขึ้นเพิ่มไปอีก เมื่อแมดส์ดึงดาบที่เคยปักอยู่บนหน้าขาของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว และปักมันลงที่หน้าขาอีกข้างและดึงออกโดยไร้ความเห็นใจกับความทรมานของอีกฝ่าย
“หากเดินด้วยขาของตนไม่ได้.. ก็คลานเอาซะ..”
ในเมื่อชีวิตที่สามารถเดินได้สองขามันสูงส่งนัก คงต้องลองคลานสี่ขาเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานดูบ้าง เผื่อจะนึกได้ว่าที่ผ่านมาเคยได้ทำสิ่งใดลงไป ทั้งกับผู้คนที่บริสุทธิ์ หรือแม้แต่คนในครอบครัวที่ถูกทำลาย
อัลฟ่าตรงหน้าคำรามในลำคอด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ แต่ก็ไม่สามารถต่อสู้อะไรกับทรูอัลฟ่าตรงหน้าได้ แขนทั้งสองข้างถูกล็อกทางด้านหน้าด้วยโซ่เส้นใหญ่ จากฝีมือทหารของฟลัมที่เข้ามารวบตัวอีกฝ่ายเอาไว้
แมดส์ เบลเลอมอนท์ ปรายตามองเก้าอี้ที่เปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของอดีตผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์ แม้จะสวยงามและมีราคามากแค่ไหน แต่เมื่ออาบย้อมไปด้วยเลือดสีสด ก็ย่อมเป็นภาพที่น่าสยองขวัญไม่น้อย
ชะตากรรมของอีกฝ่ายจะเป็นเช่นไร มันก็คงไม่ใช่หน้าที่ของเขาอีกต่อไป หาก รีส เบลเลอมอนท์ อยากจะทำอะไรต่อไปกับคนพวกนี้ มันก็สุดแล้วแต่ที่อีกฝ่ายจะตัดสินใจ
ทรูอัลฟ่าผิวเข้มได้แต่ยืนมองภาพเบื้องหน้าจากมุมสูงของปราสาทด้วยความรู้สึกเฉยชา ทหารของฟลัมที่กระจายยึดอำนาจของเยลเวอร์ตัน ต่างจัดการและควบคุมอดีตผู้ปกครองฮาร์เดนเจอร์และเหล่าผู้มีอำนาจตามที่ ฌอน ออสบอร์น ระบุตัวตนมาว่าเข้าฝักเข้าฝ่ายกับเยลเวอร์ตันในการทรยศต่อฟลัมให้เดินไปตามถนนกลางเมืองใหญ่ เพื่อนำตัวออกไปยังค่ายทหารของฟลัมที่อยู่ทางด้านนอก
เคยใช้วิถีป่าเถื่อนกับคนอื่นมาเช่นไร ก็ย่อมสมควรได้รับสิ่งเหล่านั้นกลับคืน...
แมดส์เห็นผู้คนมากมายออกมายืนเต็มสองข้างทางเพื่อรุมประณาม บ้างก็ใช้คำหยาบคายสรรเสริญความเลวระยำของคนเหล่านั้น สายตาดูหมิ่นและคำพูดที่ดูแคลนสารพัด ทั้งหมดทั้งมวลของการกระทำที่เลวร้ายของชาวเมือง มันเป็นผลมาจากการกระทำของเยลเวอร์ตันด้วยกันทั้งสิ้น
เจ้าของผิวเข้มไม่ได้รู้สึกสะใจกับภาพน่าสังเวชด้านล่าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าไร้ความรู้สึกสงสาร แมดส์ยังคงยืนมองภาพเหล่านั้นด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
แมดส์เลือกที่จะปล่อยให้คนเหล่านั้นถูกนำตัวกลับไปตัดสินความผิด โดยตัวของผู้ปกครองฟลัมเอง
เขาไม่อยากให้เธียร์มองหน้าตนเอง และจดจำว่าเขาคือคนที่ฆ่าพ่อของอีกฝ่าย… แมดส์รู้ดีว่าต่อให้เธียร์จะไม่ได้แยแสพ่อบังเกิดเกล้าของตัวเองอีกต่อไป แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าตัวจะไม่มีเยื่อใย หรือไร้ความรู้สึกผูกพัน
ส่วนเลนนิกซ์แม้จะไม่ต้องได้รับโทษจากเบลเลอมอนท์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนพวกนั้นจะได้อิสระคืน คุกอันโดดเดี่ยวของฮาร์เดนเจอร์ซึ่งตั้งห่างออกไปจากชายฝั่ง คือสถานกักกันชั้นดีที่จะทำให้เลนนิกซ์ได้พึงระลึก ว่าเคยได้ทำให้ใครคนหนึ่งต้องทนทุกข์อยู่ในสภาวะเช่นนั้นนานแค่ไหน
เคยใช้โซ่เส้นใหญ่ที่ล่ามเธียร์ไว้ในห้องอุดอู้ในปราสาทกลางทะเลสาบเช่นไร การกระทำเหล่านั้นก็ย่อมคืนสนองแก่คนใจคดที่เป็นต้นเหตุ จะแตกต่างกันแค่เพียงสถานะเท่านั้น ยังไงเสียเลนนิกซ์คือนักโทษที่แมดส์ไม่อาจอนุญาตให้ปล่อยตัวได้
การไว้ชีวิตให้ต้องทนทุกข์ทรมานกับความผิดที่ได้ก่อ มันย่อมสาสมกับการกระทำเหล่านั้น เขาถึงได้บอกไง ว่าความตายมันง่ายเกินไป
ความเสียหายจากพายุใหญ่ที่พัดผ่านเข้ามาในชีวิตของเธียร์ ควรได้รับการปัดกวาดให้กลับมามีชีวิตอย่างเช่นเคย ปัญหาใหญ่ในชีวิตของคนรักของเขา คงมีแค่เรื่องของครอบครัวเท่านั้นที่เป็นตัวบั่นทอนความรู้สึกของเธียร์
“นายว่าผู้ปกครองฟลัมจะทำอย่างไรต่อไป หากรู้ว่าฉันขัดคำสั่ง..”
“เขาคงไม่จับน้องชายอย่างนายโยนลงอ่าวหรอก ถ้าเป็นพวกฉันก็ว่าไปอย่าง” จาเร็ตที่ยืนอยู่ทางด้านหลังเอ่ยตอบทรูอัลฟ่าที่เอาแต่ยืนมองลงไปยังด้านล่าง
แม้ทุกอย่างจะเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิดในการควบคุมกลุ่มคนมีอำนาจให้อยู่ในกำมือ หากไม่ได้ตัวช่วยที่คอยเป็นหูเป็นตาอย่างฌอน ออสบอร์น ทุกอย่างก็คงไม่ลงล็อกตามแผนได้ขนาดนี้
“ปกติหมอนั่นชอบทำอะไรแบบนั้นหรือไง”
“ฉันก็พูดไปเรื่อย ใครจะไปเดาใจผู้ปกครองฟลัมถูกกันล่ะ”
แม้แต่ตัวแมดส์เองก็ยังมองพี่ชายคนโตของตัวเองไม่ออก อัลฟ่าผมแดงที่มักจะพูดจากวนประสาทและปั่นหัวชาวบ้านไปเรื่อย เป็นคนซับซ้อนและเดาความคิดได้ยากมากที่สุดคนหนึ่งเท่าที่แมดส์เคยเจอ
“ใครจะเดาความคิดหมอนั่นถูกกัน..”
ไม่มีหรอก...
วันแล้ววันเล่าที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้า ช่างทำให้คนที่ได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องเช่นคุณหนูเยลเวอร์ตันรู้สึกอุดอู้ไม่น้อย ครั้นจะออกไปเดินเล่นข้างนอกก็กลัวเหลือเกินว่าจะเจอกับผู้ปกครองฟลัม แล้วถูกปั่นหัวด้วยคำพูดแปลกประหลาด
พระอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าเป็นวันที่แปด นับจากวันที่แมดส์เดินทางไปยังฮาร์เดนเจอร์ ยิ่งสร้างความเหี่ยวเฉาให้กับเจ้าดอกแม็กโนเลียที่เฝ้ารอคนดูแลของตน
ชุดตัวยาวที่ดูรุ่มร่ามซึ่งเพียวโอเมก้าสวมใส่ในตอนกลางวัน ถูกเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าเนื้อบางเบาซึ่งสวมใส่สบายตัว หลังจากที่เธียร์ชำระล้างร่างกายของตนเป็นที่เรียบร้อย อาหารในมื้อเย็นที่ทานเข้าไปในวันนี้ ไม่ได้ทำให้เธียร์รู้สึกอิ่มเอม นอกเสียจากจะรู้สึกอยากอาเจียนเป็นพัก ๆ
อาการเวียนหัวและอาเจียนเหล่านี้ของเธียร์ เกิดขึ้นมาได้สักสองสามวัน เจ้าตัวยังจำได้ดีว่าวันแรกที่มีอาการเหล่านี้ เขาทั้งอึดอัดหน้าอก และอึดอัดในท้องจนต้องอาเจียน ไม่ว่าจะกินอะไรก็รู้สึกคลื่นไส้ไปเสียหมด
ขอบตาแดงช้ำของเพียวโอเมก้าตัวเล็กที่นอนขดอยู่ในกองผ้า เกิดจากหยดน้ำตาของความรู้สึกทรมานกับร่างกายของตนเอง ไม่ว่าจะกินหรือไม่กิน มันก็อยากอาเจียนไปเสียหมด และทั้งที่รู้ว่าถ้ากินจะต้องอาเจียนออกมา แต่เธียร์ก็ต้องนั่งกินอาหารเข้าไปทั้งน้ำตา
ทางด้านเอนยาที่คอยดูแลคุณหนูของตนเอง ก็ได้แค่คอยปลอบใจคนตัวขาวให้อดทน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่เจ้าหล่อนก็อยากให้คุณหนูของเธอผ่านในจุดนี้ไปให้ได้
น้ำตาหยดเล็กที่รินหล่นจากหางตาสวย ถูกหลังมือขาวเช็ดออกลวก ๆ ก่อนใบหน้าจิ้มลิ้มจะซุกซบกองผ้าในรังของตน เปลือกตาสีอ่อนยังคงกะพริบขึ้นลงช้า ๆ ยามเหม่อมองท้องฟ้าด้านนอกที่กำลังเปลี่ยนเป็นสีเข้ม
“พี่จะให้เรารอไปถึงไหนกัน…”
ความรู้สึกคิดถึงที่แสนโหยหาต่างประเดประดังเข้ามา จนเจ้าดอกแม็กโนเลียไม่อาจรับมือกับความรู้สึกเหล่านั้น เพียวโอเมก้าตัวขาวทำได้แค่เพียงพึมพำกับตัวเอง
เขาคิดถึงเจ้าของอ้อมกอดอบอุ่นเพิ่มขึ้นทุกที เขาไม่รู้ว่าคนรักกำลังเป็นเช่นไร เพราะความห่างไกลที่ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง สร้างช่องว่างจนกลายเป็นความอ้างว้างในทุกคราที่หวนคำนึง
เธียร์ได้แต่กอดเสื้อผ้าของอีกฝ่ายไว้แน่น คล้ายกับเป็นตัวแทนของแมดส์ ที่ทำให้เจ้าตัวอุ่นใจขึ้นบ้าง มันเพียงช่วยบรรเทาความอ้างว้างได้เพียงชั่วคราว ยังไงเสียของต่างหน้าก็ไม่อาจเทียบเท่าสัมผัสของคนรัก
เหตุผลและความรู้สึกของเธียร์ตีรวนกันไปหมดในหัวของเจ้าตัว ไหนจะอาการปวดหัวเป็นระยะ ๆ แม้ไม่ได้รุนแรงมาก แต่ก็สร้างความรำคาญใจให้กับเธียร์
มีคนเคยบอกว่าเพียวโอเมก้าแข็งแรงกว่าโอเมก้าปกติ แล้วทำไมเธียร์ถึงได้รู้สึกว่าร่างกายของตัวเองมันไม่ได้แข็งแรงเช่นนั้นเลยสักนิด
อากาศปลอดโปร่งในห้องซึ่งอากาศถ่ายเทย่อมเหมาะกับเธียร์ที่กำลังตั้งท้อง สายลมอ่อนขับกล่อมแม่กระต่ายตัวขาวที่รู้สึกเหนื่อยล้า ให้เริ่มเคลิ้มหลับในเวลาถัดมา แม้จะปิดเปลือกตาลงพักผ่อนแต่ทว่าใบหน้าน่ารัก ก็ยังคงซีดเซียวจากการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ และอาการข้างเคียงจากตั้งท้อง
แม่บ้านคนสนิทที่คอยเฝ้าดูแลอยู่ไม่ห่าง ได้แต่คอยเช็ดตัวให้คุณหนูของหล่อนสบายเนื้อสบายตัว ทว่าค่ำคืนนี้ก็ยังคงใจร้ายกับเธียร์เหลือเกิน จนทำให้เจ้าตัวต้องเสียน้ำอีกรอบในกลางดึก หลังจากสะดุ้งตื่นขึ้นมาอาเจียน และไม่สามารถข่มตาหลับลงได้
กว่าเพียวโอเมก้าตัวขาวจะข่มตาหลับได้อีกครั้ง ก็เล่นเอาเสียเวลาไปพักใหญ่ คิ้วสวยของเจ้าของผมสีปีกกา ยังคงขมวดเข้าหากันน้อย ๆ เมื่อไม่สามารถคลายความกังวล และความทรมานของตนได้แม้ในยามหลับใหล
ท่าทางว่าเจ้าลูกกระต่ายตัวน้อยในท้องของเธียร์ คงกำลังค่อย ๆ เริ่มแผลงฤทธิ์ทีละน้อย ให้แม่กระต่ายตัวขาวต้องปั่นป่วนไปอีกพักใหญ่
ขนาดอยู่ในท้องของเธียร์ได้ไม่เท่าไหร่ ยังแสบสันเสียขนาดนี้ หากลืมตาขึ้นมาดูโลก คงไม่วายกลายเป็นลูกกระต่ายตัวแสบให้เธียร์ต้องไล่จับเป็นแน่
ชายผ้าม่านโปร่งแสงพลิ้วไหวตามแรงลมอ่อน ๆ ที่พัดผ่านทางด้านนอก เงาคนรูปร่างสูงใหญ่ซึ่งสะท้อนกับผืนม่าน และแรงสะกิดเบา ๆ ที่หัวไหล่ของแม่บ้านคนสนิท ทำให้เจ้าหล่อนเลี่ยงออกไปทางด้านนอก และปล่อยให้บุคคลที่เข้ามาใหม่ได้อยู่กับเจ้านายของตนตามลำพัง
กลิ่นไม้หอมไหม้ที่แผ่กระจายมาจากเจ้าของกลิ่นซึ่งหยุดยืนอยู่ข้างเตียงหลังใหญ่ คิ้วขมวดของเธียร์เริ่มคลายลง เมื่อได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย เจ้าของผมสีปีกกาขยับตัวเล็กน้อยราวกับแมวที่แสนเกียจคร้าน เพื่อเปลี่ยนท่าทางการนอนของตนให้สบายมากขึ้น ข้าง ๆ กันก็มีเจ้าโซเฟียที่นอนหลับสนิทอยู่ไม่ห่าง ซ้ำยังเกยหน้าลงกับกองผ้าที่สูงกว่าด้วยท่าทางสบายนักหนา
ภาพน่าเอ็นดูของเพียวโอเมก้าตัวเล็ก มีหรือจะไม่ทำให้คนที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางอย่างไม่หยุดพักคลี่ยิ้มออกมา แมดส์ถือว่าการตัดสินใจของเจ้าตัวในการเร่งเดินทางกลับมาฟลัม ช่างเป็นสิ่งที่เขาคิดไม่ผิดเสียจริง..
หากเขายังรีรอและเดินทางกลับมาช้ากว่านี้ เธียร์เองก็คงจะต้องรอคอยเขาอีกสี่ถึงห้าวันเป็นอย่างต่ำ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเรื่องที่แย่สำหรับคนรักไม่มากก็น้อย
ใครเล่าจะรู้สึกคิดถึงจนใจขาดก่อนกัน? มันคงไม่วายเป็นตัวของทรูอัลฟ่าหนุ่มอย่างแน่นอน
พันธะที่พวกเขาได้ผูกกันไว้ ย่อมทำให้แมดส์รับรู้ได้ถึงความรู้สึกหน่วงในอกอยู่เป็นครั้งคราว ทั้งที่เขาไม่ได้มีเรื่องกังวลใจใด ๆ สักเท่าไหร่ในเวลาที่กำลังทำหน้าที่ สาเหตุเหล่านี้คงเป็นความรู้สึกของคู่ชีวิตที่กำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบากเป็นอย่างแน่
และมันก็เป็นเรื่องจริง...
เจ้าลูกกระต่ายตัวแสบช่างกลั่นแกล้งแม่กระต่ายตัวขาวตั้งแต่เริ่มต้น คงไม่คิดจะสงสารกันเลยสินะ ถึงได้แผลงฤทธิ์ให้คนตัวขาวนอนซมได้ถึงขนาดนี้
“คงเหนื่อยน่าดูเลยสินะ..”
มือใหญ่ที่ไร้คราบเลือดจากการต่อสู้ ไล่เกลี่ยเส้นผมที่ปรกใบหน้าของคนรักออกอย่างเบามือ แมดส์ประทับจูบบางเบาลงบนหน้าผากขาวของแม่กระต่ายตัวน้อย กลีบปากหยักกระซิบคำหวานข้างใบหูขาว เพื่อเอ่ยบอกคิดถึงคนรักที่กำลังหลับใหล ก่อนจะละห่างออกมาจากรังของอีกฝ่ายที่เจ้าของหวงนักหนา ซ้ำยังขู่ฟ่อ ๆ ทุกครั้งที่แมดส์เดินเฉียดกรายเข้าใกล้รังของเจ้าตัว
แม้จะโหยหาและคิดถึงคนตรงหน้ามากสักแค่ไหน แมดส์ก็พยายามข่มใจตนเองไว้ เขามีความอดทนมากพอที่จะรอให้อีกฝ่ายตื่นในตอนรุ่งเช้า มากกว่าปลุกเจ้าตัวให้ตื่นในยามนี้
ช่วงระยะเวลาที่เขาต้องห่างกับเธียร์ คงจะเกิดอะไรมากมายหลายอย่างที่ทำให้เจ้าตัวต้องรับมือกับมันอยู่คนเดียว ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้แมดส์รู้สึกหน่วงในอก
ต้นแม็กโนเลียที่เขาคอยเฝ้ามองการเติบโต ดูไม่สดใสเหมือนเคย
“ไหนสัญญากับพี่ว่าจะดูแลตัวเอง..” แมดส์เอ่ยดุคนตัวขาวที่ยังคงนอนหลับ แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ในสิ่งที่ตนพูดก็ตาม
คนตัวสูงได้แต่ยืนมองคนรักเงียบ ๆ พลางนึกถึงเรื่องราวที่กำลังจะเกิดในวันพรุ่งนี้ แมดส์หวังว่าคำขอที่เขาเอ่ยบอกอีกฝ่ายในวันออกเดินทางไปฮาร์เดนเจอร์ จะได้รับการตอบรับจากเจ้าของกลุ่มดาวสว่างไสวอย่างที่หวังไว้ แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าตอนนั้นมันช่างผิดเวลา และไม่เหมาะสักเท่าไหร่ในการเอ่ยประโยคพวกนั้นออกไป แต่แมดส์ก็อยากจะเอ่ยบอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ถึงความตั้งใจของตัวเอง และเชื่อมั่นว่าเขาจะต้องกลับมาหาอีกฝ่ายอย่างปลอดภัย
ความรักอันแสนบริสุทธิ์ของเจ้าดอกแม็กโนเลีย จะเป็นเพียงความรักเดียวที่ แมดส์ เบลเลอมอนท์ ต้องการในชีวิต
นับแต่นี้ต่อไป จนกว่ากาลเวลาจะพรากความรักนี้ไปจากเขา...
“รีบตื่นมาให้คำตอบพี่ล่ะเธียร์..”
HASHTAG #maddogmn
Talk : ตอนหน้าเป็นตอนสุดท้ายแล้วนะคะทุกคน y-y ยังไงเราขอฝากรายละเอียดเรื่องรวมเล่มที่ทุกคนถามกันเข้ามา ไว้ล่วงหน้าแล้วกันนะคะ ในนี้จะมีรายละเอียดช่วงเวลาเปิดพรีเล่มและราคาไว้คร่าว ๆ ให้ทุกคนได้เตรียมตัวกันล่วงหน้าก่อนยาวๆเลยนะงับ
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSfLto1PJ1QGAX1ZEtrVZmwSSqFS5CNA3Jq5TKDibn-4-F-WiQ/viewform
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ ไรท์สู้ๆน๊าาา
ชั้นน้วยไปหมดแร้วววววตาแมดส์
ตอนแรกกังวลมากว่าพี่แมดส์จะเป็นอะไรรึเปล่า กลับมาอย่างปลอดภัยก็โล่งใจ ฮือ ตอนพี่แมดส์ขอแต่งงานก็คือตกใจเหมือนน้องเธียร์เลย แต่ดีใจมากๆๆๆๆๆๆๆ น้องเธียร์ต้องมีความสุขมากแน่ๆ