ตอนที่ 3 : Mad Dog : Chapter 2
Note: ตรวจคำผิดครั้งที่ 1
หลังจากที่ แมดส์ ไทเลอร์ เอ่ยประโยคใจร้ายนั้นออกไป จนได้รับคำตัดพ้อจากเจ้าของกลิ่นดอกแมกโนเลียตอบโต้กลับมา ก็เกิดความเงียบระหว่างคนทั้งคู่ คนหนึ่งยังคงเอาแต่คิดว่าเพราะอะไรที่ทำให้ทรูอัลฟ่าเอ่ยเหมือนรำคาญตน ส่วนด้านทรูอัลฟ่าหนุ่มก็ยังคงเมินเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นราวกับว่าตนเองนั้นไม่ได้ทำอะไรผิด
“เอนยา.. เราอิ่มแล้ว”
คุณหนูเยลเวอร์ที่ทานอาหารไปได้เพียงนิดหน่อยเอ่ยบอกแม่บ้านโอเมก้าที่ดูแลตนเองเบา ๆ พลางวางช้อนในมือของตัวเองลง ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววโศกหลุบตามองมือของตัวเองในทันที เมื่อหันไปสบตาเข้ากับทรูอัลฟ่าปากร้ายที่เป็นสาเหตุของการทานอาหารมื้อเย็นที่ไม่รื่นรมย์ในวันนี้
“มันจะอิ่มได้อย่างไร ในเมื่อคุณหนูยังทานไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ” แมดส์ ไทเลอร์ ซึ่งยืนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเอ่ยเสียงเข้มเมื่อโอเมก้าตัวขาวดูท่าจะเอาใจยากกว่าที่คิด
“ปกติคุณหนูเธอก็ทานไม่ได้มากกว่านี้ ไม่เห็นจะต้องเสียงเข้มใส่กันขนาดนี้ก็ได้นี่” เอนยาเป็นฝ่ายเอ่ยปากแทนคุณหนูของตัวเองที่นั่งเงียบ อาการและท่าทางที่ดูไม่ดีเช่นนี้ ทำไมเธอจะมองไม่ออกกันว่ามันเกิดจากใคร ถ้าไม่ใช่เพราะ แมดส์ ไทเลอร์
“ฉันไม่แปลกใจเลยสักนิดว่าทำไมคุณหนูของเธอถึงได้ดูอ่อนแอขนาดนี้” เจ้าของผิวสีแทนเข้มเอ่ยเสียงเรียบ พลางเสสายตาไปมองคนสนิทของคุณหนูเยลเวอร์ตันด้วยสายตาที่ไม่ได้เป็นมิตรสักเท่าไหร่
ร่างผอมบางที่ดูขี้โรคนี่ ก็คงเป็นผลพวงมาจากการถูกดูแลอย่างตามใจเป็นแน่ ..
“เราไม่ได้อ่อนแออย่างที่นายว่า..” คนถูกกล่าวหาเอ่ยก่อนจะยอมเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของดวงตาดุ ในขณะที่คิ้วสวยเองก็ขมวดเข้าหากันน้อย ๆ
“คุณหนูเอาอะไรมามั่นใจ” แมดส์อดที่จะหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินคำตอบนั้นจากปากคุณหนูเยลเวอร์ตัน “เพราะเท่าที่เห็นคุณหนูก็เป็นอย่างที่ว่าไม่ใช่หรือ”
มือขาวของ เธียร์ เยลเวอร์ตัน กำชายเสื้อที่ตนเองสวมใส่อยู่อย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจ้าตัวรู้สึกเจ็บแสบไม่น้อยกับคำพูดและสายตาของทรูอัลฟ่า
“นั่นสินะ..” คนตัวขาวเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะจำใจหยิบช้อนที่ถูกวางลงไปก่อนหน้าขึ้นมาตักอาหารตรงหน้าทานอีกครั้ง
“คุณหนู..” เอนยาเอ่ยเรียกคนที่ฝืนทานอาหารเข้าไปอีกอย่างไม่คิดจะสนับสนุนนัก ก็เห็นกันชัด ๆ อยู่ว่าเพราะอะไรที่ทำให้คุณหนูของเจ้าหล่อนเป็นแบบนี้ แต่เพราะมือขาวที่ยกมือขึ้นโบกไปมาน้อย ๆ เป็นการสื่อว่าไม่เป็นไรนั้นก็ทำให้เจ้าหล่อนได้แต่ยืนมองเงียบ ๆ พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับการกระทำของหัวหน้านายทหารคนใหม่ ตั้งแต่การที่ทรูอัลฟ่าผิวสีแทนโอบอุ้มคุณหนูเยลเวอร์ตันที่ถูกปลดโซ่ออกจากข้อเท้า มันก็ดูจะเป็นการถึงเนื้อถึงตัวมากเกินสมควร ทั้งสถานะและชนชั้นของทั้งคู่ก็ใช่ว่าจะใกล้เคียงกันเสียเมื่อไหร่
แต่เพราะสายตาของคุณหนูเยลเวอร์ตันที่คอยปรามแม่บ้านคนสนิทนั้นถึงทำให้เจ้าหล่อนยอมยืนมองอยู่เงียบ ๆ แทนที่จะเข้าไปต่อว่าอย่างที่ควรจะเป็น มองดูแล้วก็ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาแน่นอนสำหรับการที่ ดีแลน เยลเวอร์ตัน จะอนุญาตให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ว่ายุ่มย่ามกับน้องชายของตัวเองได้มากถึงขนาดนี้
นับว่าเป็นมื้ออาหารที่ยากลำบากสำหรับ เธียร์ เยลเวอร์ตัน ไม่น้อย เมื่อเจ้าตัวนั้นต้องทานอาหารที่มากเกินกว่าปกติเข้าไป แม้ไม่ได้ถึงกับจะอาเจียน แต่ความไม่เคยชินของปริมาณอาหาร ก็ทำให้เจ้าตัวรู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่จนแสดงออกผ่านทางสีหน้า
“ก็แค่นี้..” คนที่ยืนเฝ้าจนกว่าโอเมก้าตัวขาวจะทานหมดเอ่ยขึ้น สำหรับ แมดส์ ไทเลอร์ แล้วมันค่อนข้างเป็นเรื่องที่น่ารำคาญตาไม่น้อยสำหรับการทานอาหารที่เหมือนแค่ดมของคุณหนูเยลเวอร์ตัน “หวังว่ามื้อต่อ ๆ ไปมันจะเป็นแบบนี้..”
“เราว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของนาย” เธียร์เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงที่สุภาพ แต่เนื้อความในประโยคกลับแอบกระทบกระเทียบกับทรูอัลฟ่าหนุ่มไม่น้อย
“ที่คุณหนูพูดมันก็ไม่ผิด”
“มันคงจะดีกว่าถ้านายทำหน้าที่ในส่วนของนาย อีกอย่างเราก็มีเอนยาคอยดูแลแล้ว”
“หรือคุณหนูจะขัดคำสั่งพี่ชายตัวเอง?”
นี่มันเรื่องบ้าชัด ๆ ที่ ดีแลน เยลเวอร์ตัน ฝากฝังน้องชายของตัวเองไว้กับคนอารมณ์แปรปรวนแบบนี้
“....”
“ฉันว่าเราคงต้องเปลี่ยนข้อตกลงกันใหม่...” ทรูอัลฟ่าหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะเอ่ยประโยคที่ทำให้คนตัวขาวนั้นผุดลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ "เอนยาจะต้องเข้าออกที่นี่ทุกวันเหมือนเดิม.."
“แต่นายอนุญาตให้เอนยาอยู่กับเรา..” เสียงลื่นหูของคุณหนูเยลเวอร์ตันนั้นร้อนรนไม่น้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
“นี่มันอะไรกัน” แม่บ้านคนสนิทของคุณหนูเยลเวอร์ตันแทบจะลมจับในทันที “ก็ไหนเราตกลงกันแล้วว่าจะให้ฉันอยู่ดูแลคุณหนู”
“ฉันจะดูแลแทนเธอเอง..”
แมดส์ ไทเลอร์ ตอบในขณะที่สายตาดุจ้องมองใบหน้าสวยของคุณหนูเยลเวอร์ตัน เพื่อยืนยันถึงสิ่งที่ได้พูดออกไปของตัวเอง แววตาที่กำลังสั่นไหวของคุณหนูตัวขาว บ่งบอกถึงอารมณ์ของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี
“สุดท้ายทุกอย่างก็เหมือนเดิม..”
เป็นตัว เธียร์ เยลเวอร์ตัน ที่ยังคงต้องใช้ชีวิตเช่นเดิม ชีวิตที่เฝ้ารอยามเช้าตรู่ในการมาถึงแม่บ้านคนสนิทและช่วงเย็นย่ำที่ทำได้แค่ทอดมองคนสนิทที่ต้องกลับออกไป และใช้ชีวิตอยู่อย่างลำพังในยามค่ำคืน
ความรู้สึกดีใจในเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านั้นกลับหายไปในชั่วพริบตาเมื่อ แมดส์ ไทเลอร์ เกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน คล้ายเป็นการกลั่นแกล้ง
มันไม่ใช่เรื่องตลกเลยสักนิดสำหรับคนที่มีความหวังเพียงริบหรี่อย่างคุณหนูเยลเวอร์ตัน
“อย่าคาดหวังในเรื่องที่มันเป็นไปไม่ได้เลยคุณหนู..”
“....”
“อย่าลืมสิว่าตัวคุณหนูเองอยู่ในสถานะอะไร”
หลังจากที่เอนยากลับออกไปแล้วตามคำสั่งของไทเลอร์ เพียวโอเมก้าตัวขาวเองก็ทำได้แค่ยืนมองจากบริเวณประตูปราสาทที่ด้านหลังของเจ้าตัวนั้นมีทรูอัลฟ่าหนุ่มยืนอยู่ ความรู้สึกเดิม ๆ ที่เกิดขึ้นหลังจากต้องอยู่คนเดียววนเวียนมาเสมอเมื่อถึงยามค่ำคืน
ไม่ว่าจะถูกขังอยู่ในห้องหรือได้รับการปลดปล่อยให้สามารถเดินไปไหนมาไหนได้เอง แต่สุดท้ายแล้วเธียร์ก็ยังคงทำได้แค่อยู่ในปราสาทที่ริดรอนอิสระของเจ้าตัวไปจนหมดสิ้น
ยิ่งเมื่อเจ้าตัวหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับเจ้าของผิวสีแทน ก็ยิ่งทำให้เธียร์นั้นกลืนก้อนที่จุกบริเวณคอตัวเองลงไปในทันที ร่องรอยของความเสียใจที่ปิดไม่มิดในดวงตาคู่สวยนั้นสะท้อนออกมาทุกอย่างให้คนมองได้เห็น ขาเรียวพยายามเดินเบี่ยงหลบทรูอัลฟ่าหนุ่มโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกไป เพราะรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่จะสนทนากับคนปากร้าย โชคดีที่ไทเลอร์ไม่ได้ขวางทางคุณหนูเยลเวอร์ตัน นอกเสียจากจะทำเพียงแค่มองตามแผ่นหลังบางของคนตัวขาวด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดา
ทางด้านเธียร์ที่ขึ้นมาด้านบนแล้ว เจ้าตัวก็จัดการลงล็อกประตูห้องของตัวเองอย่างไม่ลังเล ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งบนปลายเตียงนุ่มที่เจ้าตัวใช้นอนมาในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไฟสลัวภายในห้องที่ถูกจุดขึ้น ยังคงส่องแสงสว่างพอให้ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ภายในห้อง
โอเมก้าตัวขาวทั้งสับสนและรู้สึกอึดอัด การถูกปลดโซ่ออกจากข้อเท้า แม้มันช่วยให้เจ้าตัวใช้ชีวิตได้อย่างสบายขึ้นในปราสาทแห่งนี้ แต่การที่มี แมดส์ ไทเลอร์ เข้ามาควบคุมที่นี่มันก็ยิ่งทำให้เธียร์รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกจับตามองเข้าไปใหญ่
ความรู้สึกอันตรายจากไทเลอร์มันยังคงชัดเจนเหมือนเช่นครั้งแรกที่พบเจอ ยิ่งขยับเข้าใกล้ก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่บ่งบอกว่าทรูอัลฟ่านั่นมีอะไรมากกว่าที่คิด
มันยากจะเชื่อเกินไปว่าคนที่เต็มไปด้วยการกระทำหยาบคายเช่นนั้นจะเป็นคนที่ดูแลเขาได้..
ไม่มีเหตุผลดี ๆ สักข้อที่จะทำให้ เธียร์ เยลเวอร์ตัน มั่นใจว่าตัวเองจะปลอดภัยหากอยู่ใกล้กับ แมดส์ ไทเลอร์
ไม่มีเลยจริง ๆ
ความเงียบที่โรยตัวภายในห้องกว้าง ย่อมเป็นบ่อเกิดชั้นดีของความคิดที่ดำดิ่ง และนี่ก็คงเป็นอีกวันหนึ่งที่คุณหนูเยลเวอร์ตันยังคงต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองและน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตา
ความรู้สึกสารพัดที่เกิดจากทรูอัลฟ่านิสัยเสียสร้างความอึดอัดใจให้กับเจ้าตัวได้อย่างมากโข ทั้งวาจาที่ร้ายกาจและการกระทำที่ดูจะสนุกกับการที่ได้เห็นเขากระวนกระวาย ยามที่รับรู้ว่าข้อตกลงในการอยู่ที่นี่ของเอนยานั้นถูกยกเลิก
เขาไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด.. ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมทรูอัลฟ่านั่นถึงมองเขาเป็นแบบนี้
ถ้าเลือกได้ใครกันจะอยากเป็นคนอ่อนแอ และถ้าเลือกได้ เธียร์ เยลเวอร์ตัน ก็ไม่ได้อยากเป็นเพียวโอเมก้าที่จะต้องทนรับสายตาดูแคลนจากคนอื่นที่มองมาเช่นกัน
ความรู้สึกของคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารคงย่อมไม่มีวันเข้าใจคนที่อยู่ต่ำสุดเช่นเขา..
ร่างกายผอมบางของคุณหนูเยลเวอร์ตันกลับยิ่งเล็กลงเข้าไปอีก เมื่อเจ้าของร่างกายนั้นชันขาขึ้นและใช้วงแขนโอบกอดพลางซบหน้าลงบนเข่า ไหล่ขาวที่สั่นน้อย ๆ คงไม่อาจเทียบเท่าหยดน้ำตาที่ยังคงไหลรินลงมาอย่างไม่ขาดสาย ความหวาดกลัวลึก ๆ ที่ยังคงฝังอยู่ในใจกับภาพความทรงจำเมื่อคืนก่อนยังคงไม่จางหาย บวกทั้งความรู้สึกกังวลจากเรื่องที่ได้คุยกับพี่ชายวันนี้ก็ย่อมทำให้เธียร์มีเรื่องมากมายต้องให้ขบคิด
ถึงเขาจะอยากออกไปจากที่นี่ แต่ก็ใช่ว่าจะหมายความว่าเขาจะยินยอมออกไปเพราะข้อแลกเปลี่ยนพวกนั้น..
แล้วจะมีใครกันที่ช่วยเขาได้?
*
เธียร์ เยลเวอร์ตัน ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่อย่างที่เจ้าตัวเคยพูดไว้จริง ๆ เสียงก่อกแก่กที่ดังจากภายในห้องก็ทำให้รู้ได้ว่าคนในห้องนั้นตื่นแล้วเป็นที่เรียบร้อย ไม่นานนักบานประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออกมาด้วยฝีมือของคนผิวขาวที่หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นกายประจำตัว ร่างโปร่งบางในชุดสีอ่อนยังคงเข้ากันได้ดีกับผิวขาวเนียนละเอียด กลุ่มผมสีเข้มที่คลอเคลียบนใบหน้าก็ยิ่งตัดกับสีผิวสว่างอย่างชัดเจน
เมื่อเริ่มวันใหม่ เธียร์ เยลเวอร์ตัน เองก็เหมือนจะเริ่มต้นทุกอย่างในวันรุ่งขึ้นใหม่เช่นกัน แม้จะยังคงมีร่องรอยแดงช้ำที่ดวงตาปรากฎให้เห็นเหมือนในทุกวันแต่ก็มีรอยยิ้มน้อย ๆ ถูกจุดขึ้นยามที่เจ้าตัวนั้นพาตัวเองเดินออกมาข้างนอกปราสาทเพื่อรับอากาศในยามเช้า
ทหารที่ยืนเฝ้าอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลก็ยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีในการเป็นหูเป็นตาสอดส่องคุณหนูเยลเวอร์ตันที่ตื่นเช้าเป็นพิเศษ ขาเรียวเดินลัดเลาะมาตามทางเดินของปราสาทที่ทอดยาวจนมาถึงทางด้านฝั่งตะวันออกที่ถูกจัดเป็นสวนขนาดย่อม แน่นอนว่าภายในสวนยังคงถูกดูแลเป็นอย่างดีแม้ว่าคุณหนูเยลเวอร์ตันจะไม่ได้ลงมาที่นี่นานนับเกือบครึ่งปีก็ตาม
ใบไม้เขียวชะอุ่มสลับกับดอกไม้ที่ถูกปลูกไว้อย่างเข้ากันคงเป็นภาพที่น่ามองจนยากที่จะละสายตา ลมเย็นที่พัดเข้ามาปะทะก็ยิ่งเพิ่มความกระปรี้กระเปร่าในยามเช้า ผืนน้ำที่ล้อมรอบปราสาทเมื่อตัดกับต้นไม้ที่อยู่บนฝั่งและขอบฟ้าสะอาดตาชวนให้มองได้อย่างไม่มีเบื่อ
นานเท่าไหร่กันที่เธียร์ต้องมองทุกอย่างผ่านช่องหน้าต่างของห้องด้านบนปราสาทในมุมเดิม ๆ ในทุกวัน ชีวิตในห้องสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์มันทำให้เจ้าของรอยยิ้มสวยหม่นหมองมาเท่าไหร่
ชิงช้าตัวโปรดที่เธียร์จำได้ว่าได้มันมาจากคำสั่งของพี่ชาย มันยังคงเป็นตำแหน่งเดิมที่เหมาะกับการนั่งมองบรรยากาศโดยรอบ
จากรอยยิ้มที่เคยประดับบนใบหน้ากลับค่อย ๆ จางหายไปเมื่อใบหน้าขาวนั้นหันไปมองทางขวามือของตัวเองซึ่งทำให้เจ้าตัวเห็นสถาปัตยกรรมสิ่งปลูกสร้างของทางฝั่งเมืองซึ่งโดดเด่นให้ได้มองเห็นจากที่ไกล ๆ
และนั่นก็เป็นมุมที่เธียร์จะไม่มีโอกาสได้เห็นหากอยู่บนห้องด้านบนซึ่งตั้งอยู่อีกฝั่ง วิหารขนาดใหญ่ที่เด่นตระหง่านอดทำให้โอเมก้าตัวขาวนึกถึงภาพความทรงจำในยามที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไม่ได้ ช่วงชีวิตในวัยเด็กที่มีความสุขพวกนั้นทำไมมันถึงหายไปอย่างรวดเร็วได้ขนาดนี้ ในขณะที่ความทุกข์ของช่วงชีวิตวัยหนุ่มสาวกลับเดินผ่านไปอย่างช้า ๆ ราวกับจะให้เขาได้จดจำทุกความเจ็บปวดพวกนี้เอาไว้
เพราะไม่รู้จะพูดกับใคร เขาถึงทำได้แค่เพียงพูดกับตัวเองในใจ..
กี่ร้อยกี่พันความรู้สึกที่เขาทำได้เพียงเก็บมันไว้ในใจ เขาพยามปล่อยมันแล้วแต่สุดท้ายมันก็ยังคงเป็นความรู้สึกที่ย้อนกลับมาทำร้ายเขาซ้ำไปซ้ำมา ในช่วงอารมณ์ที่อ่อนไหว
ใครว่าการก้าวพ้นความเจ็บปวดคือการเติบโต..
ถ้าเป็นเช่นนั้นยิ่งเติบโตมากขึ้นนั่นก็แปลว่าเราต้องเจ็บปวดมากขึ้นอย่างนั้นหรือ?
มันไม่จริงเลยสักนิด...
“แค่การที่ได้ออกมาข้างนอก มันทำให้คุณหนูดีใจจนน้ำตาไหลเชียวหรือ?” เสียงที่ลอยมาจากทางด้านหลังทำให้คนตัวขาวที่กำลังเหม่อมองภาพตรงหน้าทั้งน้ำตาก้มหน้านิ่ง จนเส้นผมสีเข้มปรกใบหน้าขาว
“....”
แมดส์ ไทเลอร์ ที่เดินตามคุณหนูเยลเวอร์ตันเงียบ ๆ มาตั้งแต่แรกแล้วเอ่ยทักอย่างอดไม่ได้ เมื่อจู่ ๆ เพียวโอเมก้าตัวขาวกลับปล่อยโฮ ทั้งที่ในตอนแรกนั้นก็ดูจะดีใจด้วยซ้ำที่ได้ออกมาด้านนอก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า เธียร์ เยลเวอร์ตัน เป็นคนที่ร่ำไห้ได้อย่างน่าสงสารอย่างจับใจ
“ว่าอย่างไรล่ะ”
“แค่นี้ก็ดีมากแล้ว..” เจ้าของน้ำตาเม็ดโตว่า “อย่างน้อยที่นี่ก็ยังดีกว่าการอยู่กับคนใจร้ายพวกนั้น”
แก้วใบสวยที่แตกซ้ำแล้วซ้ำเล่านับครั้งไม่ถ้วน ย่อมแหลกละเอียดไปตามแรงกระทบที่กระทำต่อมันจนยากจะประกอบคืน
ชีวิตดั่งนกในกรงทอง หาใช่การถูกเลี้ยงมาอย่างไข่ในหิน มันเป็นแค่สัตว์ตัวน้อยที่มีไว้ให้ได้ชื่นชม และดูถูกหากไม่เข้าตาผู้มอง ไม่ว่าจะถอยไปทางใด ก็ย่อมวนเวียนอยู่ภายในกรงที่ถูกสร้างไว้
อิสระเพียงเอื้อมมือที่ไม่อาจคว้าไว้ได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย…
“ฉันไม่เข้าใจหรอก”
ทรูอัลฟ่าหนุ่มเอ่ยด้วยความรู้สึกที่ยังคงเฉยเมยต่อคนที่กำลังแตกร้าวอยู่ตรงหน้า แม้จะรู้ว่าน้ำตาที่ว่าเกิดจากความเสียใจ แต่แมดส์เองก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่ามันเพราะอะไร แล้วทำไมตัวเขาถึงจำเป็นที่จะต้องเอาความรู้สึกพวกนั้นมาทำให้ตัวเองรู้สึกตามไปด้วย
“นายไม่เคยมีเรื่องที่ต้องเสียใจบ้างหรือ” เธียร์เอ่ยถามในขณะที่หลังมือขาวยังคงเช็ดน้ำตาตัวเองลวก ๆ
“ไม่มีอะไรที่ต้องเสียใจ”
“นายไม่มีความรู้สึกบ้างหรือ?”
ใบหน้าเฉยชาที่ไร้ซึ่งอารมณ์ดูด้านชา จนเธียร์ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่อีกฝ่ายจะสามารถลงมือฆ่าทหารชุดก่อนที่เฝ้าปราสาทนี้ได้อย่างไม่รู้สึกผิดอะไร
“คุณหนูจะอยากรู้ไปทำไม” ทรูอัลฟ่าผิวสีแทนเอ่ยถาม พลางสาวเท้าเดินเข้ามาใกล้คุณหนูตัวขาวที่ใบหน้านั้นแดงก่ำจากการร้องไห้ “รู้ไปก็คงไม่ช่วยอะไร…”
“แค่คุยดี ๆ กับเรามันยากมากหรือ..” คนตัวขาวว่า
“ทั้งที่ก็ดูกลัวกันขนาดนี้ แล้วจะยังอยากคุยกับฉันอีกทำไม” เจ้าของผิวสีแทนเอ่ยถามเสียงเข้มในขณะที่พินิจมองใบหน้าของอีกฝ่ายช้า ๆ ก่อนจะอดค่อนขอดในใจ ถึงใบหน้าที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างลงตัวจนแทบไม่มีที่ติของคุณหนูเยลเวอร์ตัน
“เราอยากมีเพื่อนคุย อย่างน้อยมันก็คงจะดีกว่าการคุยกับตัวเอง”
แมดส์ ไทเลอร์ ไม่รู้หรอกว่า เธียร์ เยลเวอร์ตัน เติบโตมาเช่นไร แต่การแสดงออกของอีกฝ่ายที่ไม่ต่างจากเด็กซึ่งถูกห้ามทุกอย่าง แม้กระทั่งติดต่อกับใครมันก็ชัดเจนจนพอจะเดาได้
“ฉันไม่ใช่เพื่อนคุยที่ดีนักหรอก”
“แต่นายต้องดูแลเรา..”
“อย่าดีกว่า” ไทเลอร์ปฏิเสธอย่างไม่ลังเล โอเมก้าตัวขาวหลุบตามองเท้าของตัวเองเงียบ ๆ ก่อนที่คุณหนูตัวขาวจะรับรู้ถึงการเดินออกไปของใครอีกคน
*
แผ่นหลังชื้นเหงื่อที่แนบติดกับผนังกำแพง เกิดจากหัวใจที่กำลังเต้นเร็วมากกว่าปกติเพราะการสูบฉีดของหัวใจที่มากขึ้น ดวงตาใสของคนผิวขาวนั้นกวาดมองรอบ ๆ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัยของตัวเอง หลังจากที่เจ้าตัวนั้นแอบออกมาจากห้องของตัวเองในยามวิกาล และอาศัยความมืดในการหลบหลีกทหารที่เฝ้ายาม
แต่ทว่าเสียงดังเอะอะที่เกิดขึ้นของทหารในปราสาทก็ทำให้คนที่กำลังก้าวเดินเพื่อมุ่งไปยังจุดหมายที่คาดไว้นั้นชะงักงันในทันที ฝีเท้าหนักที่ย่ำก้องให้ทั่วพร้อมกับแสงไฟจากคบเพลิงที่เคลื่อนไหวกันให้วุ่นไปหมด ถือเป็นลางไม่ดีสำหรับคนที่กำลังคิดจะหลบหนี
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ เธียร์ เยลเวอร์ตัน คิดหนีออกจากที่นี่ แต่มันเป็นครั้งแรกสำหรับทหารชุดใหม่ที่ถูกเปลี่ยนมาต่างหาก แน่นอนว่าหลายวันที่ผ่านมา เธียร์เองย่อมเห็นความหละหลวมบางอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความชะล่าใจของทหารพวกนี้ จนทำให้เจ้าตัวนั้นเริ่มคิดวางแผนในการหนีครั้งนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง โดยได้รับความร่วมมือจากเอนยาที่คอยช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ
และที่เขามั่นใจในการหนีวันนี้ก็เพราะ แมดส์ ไทเลอร์ ไม่ได้อยู่ที่ปราสาท เจ้าตัวออกไปทำธุระด้านนอกกว่าจะกลับก็คงไปวันพรุ่งนี้ ช่วงเวลาเช่นนี้ย่อมเป็นวันที่เอื้ออำนวยที่สุดสำหรับการออกจากปราสาทที่ขังเขาไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เพียงแค่ข้ามทะเลสาบนี่ออกไปได้ เขาก็จะได้เจอกับอีกฝากฝั่งหนึ่งของเมืองซึ่งเป็นเส้นทางที่จะมุ่งขึ้นไปทางแดนเหนือ
เสื้อผ้าสีดำสนิทแม้จะช่วยอำพรางให้กลมกลืนกับความมืด แต่มันก็ยากเหลือเกินสำหรับผิวขาวสว่างที่แทบจะเรืองแสงได้ของคุณหนูเยลเวอร์ตัน ร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงเช่นคนออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ ย่อมเป็นขีดจำกัดที่เป็นผลเสียต่อคุณหนูเยลเวอร์ตัน แต่เจ้าตัวก็ยังคงพยายามฝืนทนที่จะไปให้ถึงที่สุด ก่อนที่จะไม่มีโอกาส หากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไป มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับโอกาสครั้งใหม่ที่เขาจะได้รับ
“ไปดูทางนั้น!” เสียงตะโกนพูดคุยจากทางด้านบนตัวสะพานทางเชื่อม ทำให้คนที่หลบอยู่นั้นเริ่มหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เสียงรองเท้าส้นหนักกระทบกับหินและอิฐดังให้ก้องไปหมด จนแทบฟังไม่รู้เรื่องว่ามาจากทิศใดบ้าง
ร่างขาวรอจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ขาเรียวค่อย ๆ ก้าวเดินต่อไปยังด้านข้างของปราสาท น้อยคนนักถึงจะรู้ว่ามีทางเดินลงไปด้านล่างที่อยู่ใกล้กับท่าเรือเล็กซึ่งไม่ได้ถูกใช้งาน
เงาดำพาดผ่านที่เห็นผ่านหางตา ทำให้คนที่กำลังเดินอยู่นั้นหันขวับกลับมามองด้วยความระวังตัว แต่ก็พบแต่เพียงความว่างเปล่า มือขาวนั้นยังคงกุมผ้าสีดำซึ่งคลุมศีรษะของตัวเองไว้แน่น ก่อนที่จะตัดสินใจก้าวเดินต่อด้วยฝีเท้าที่พยายามจะทำให้เบาที่สุด
หมับ!
“จะไปไหนหรือคุณหนู?”
แรงกระชากจากทางด้านหลังที่ทำให้ผ้าคลุมสีดำสนิทนั้นหลุดออกไป ก่อนที่ข้อแขนขาวจะถูกคว้าบีบแน่นจากฝ่ามือใหญ่ของคนตาดุ วินาทีที่ตาใสสบเข้ากับตาดุของคนที่จับแขนตัวเอง ก็ทำให้เธียร์นั้นแทบอยากจะร้องไห้ให้กับความอัปยศของชีวิตตัวเอง
“ไทเลอร์..”
“แล้วคุณหนูคิดว่าใครกันล่ะ..” น้ำเสียงแหบต่ำที่เข้มกว่าทุกทีเอ่ยถาม ในขณะที่เจ้าตัวนั้นออกแรงบีบข้อมือขาวเสียจนใบหน้าน่ารักเบ้ลงเพราะความเจ็บปวด ใบหน้าเรียบนิ่งยังคงชัดเจน แม้จะอยู่ในความมืดยังคงฉายแววความเกรี้ยวกราดไว้ในดวงตาดุ
“นะ นายควรจะกลับมาพรุ่งนี้” ทั้งลำคอและริมฝีปากในตอนนี้ของเยลเวอร์ตันกลับแห้งผากไปหมด เมื่อเผชิญหน้ากับตัวอันตรายที่ไม่คิดว่าจะโผล่มา
“คุณหนูนี่มันหลอกง่ายกว่าที่คิดเสียอีก”
หมายความว่าอย่างไรกัน...
“!!!”
“คิดหรือว่าฉันจะออกไปข้างนอกจริง ๆ น่ะเยลเวอร์ตัน”
ทรูอัลฟ่าหนุ่มเอ่ยเรียกสกุลของอีกฝ่ายห้วน ๆ ไม่เหมือนกับทุกที คงด้วยเพราะอารมณ์ที่หงุดหงิดจากความดื้อดึงที่มากเกินของ เธียร์ เยลเวอร์ตัน ซึ่งคิดจะลองดีกับคนอย่าง แมดส์ ไทเลอร์ อยู่สบาย ๆ ในปราสาทแบบที่ไม่ถูกขังก็ดูจะไม่ชอบ คิดอยากจะออกไปด้านนอกเพื่อหาอิสระ ทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต ช่างเป็นโอเมก้าที่ดื้อรั้นสิ้นดี
“ปล่อย!”
“ฉันปล่อยให้นายวิ่งเล่นมามากเกินพอแล้ว”
สรรพนามที่เปลี่ยนไป บ่งบอกได้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด เพียงแค่ออกแรงกระชากไม่เท่าไหร่ก็ทำให้คนร่างโปร่งนั้นแทบเดินล้มเพราะตามทรูอัลฟ่าหนุ่มนั่นไม่ทัน ไม่มีบทสนทนาใด ๆ เกิดขึ้นระหว่างทางที่แมดส์กำลังลากเพียวโอเมก้าตัวดีเข้ามาในปราสาท เสียงร้องโอดโอยของเธียร์ ย่อมใช้ไม่ได้ผลกับคนที่แทบจะหูดับไปแล้วในตอนนี้
บรรดาทหารที่กำลังวิ่งวุ่นนั่นได้แต่มองทรูอัลฟ่าหนุ่มที่กำลังลากคุณหนูเยลเวอร์ตันอย่างไม่กล้าขัดอะไร ใบหน้าดุคมที่ดุดันเสียจนน่ากลัวนั้นใครกันจะกล้าเข้าไปขวาง สงสารก็แต่คุณหนูตัวขาวที่กำลังถูกลากอยู่มากกว่า
ปัง!
เสียงประตูที่ถูกเหวี่ยงปิดดังโครมใหญ่ดังสนั่นไปทั่วทั้งปราสาท ก่อนที่ร่างผอมของคุณหนูเยลเวอร์ตันจะถูกเหวี่ยงเข้าไปในห้องพร้อม ๆ กับการประชิดตัวที่รวดเร็วของ แมดส์ ไทเลอร์ ก่อนที่มือใหญ่จะกระชากข้อเท้าเล็กที่ครั้งหนึ่งทรูอัลฟ่าหนุ่มเคยได้ทำเช่นนี้มาแล้วเข้ามาหาตัวอย่างแรง จนทำให้คนที่ถูกกระชากนั้นหวีดร้องเพราะความตกใจกับการกระทำที่รุนแรงของอีกฝ่าย
นับถือความใจกล้าของ เธียร์ เยลเวอร์ตัน อยู่เหมือนกันที่คิดจะลองดีกับหมาบ้าอย่าง แมดส์ ไทเลอร์
“การที่ฉันปลดโซ่ให้นาย มันไม่ได้แปลว่านายจะทำอะไรได้ตามใจชอบนะเยลเวอร์ตัน”
“แต่คนอย่างนายไม่มีสิทธิ์ล่ามเรา ไทเลอร์!!”
HASTAG : #maddogmn
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อย่าทำน้อง!!!!
ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ ไรท์สู้ๆน๊าาา
อย่าาทำน้องงงงงงงงงงงงงงงงง
เมื่อไหร่แมดส์จะหยุดบ้า สงสารน้อง