ตอนที่ 22 : Mad Dog : Chapter 19
Note : เผื่อใครลืม ราเชล สแตนลีย์ = วินวิน , มอร์แกน เรยโนลด์ = ซึลกิ
ทัศนียภาพโดยรอบดูแปลกตาไปกว่าเดิม หลังจากที่ทั้งไทเลอร์และเยลเวอร์ตันแยกกับ เมเลค ฟิทซ์รอย ที่จุดนัดพบและเดินทางออกมาจากฟลัม ธรรมชาติรอบข้างในตอนนี้ย่อมเป็นที่ตื่นตาสำหรับเพียวโอเมก้าตัวเล็ก จนเจ้าตัวนั้นเอาแต่จ้องมองมันด้วยความสนอกสนใจ
กลิ่นอายซึ่งแตกต่างจากเมืองติดทะเลอย่างฟลัมและฮาร์เดนเจอร์ ทั้งเทือกเขาสูงที่ทอดยาวสลับกับพื้นที่ราบลุ่มซึ่งเต็มไปด้วยต้นไม้เขียวชอุ่ม อากาศอันบริสุทธิ์และสายลมอ่อนที่พัดโชยมาเป็นระยะ พร้อมกับเมฆก้อนใหญ่ที่คอยบดบังแสงแดด ทำให้การเดินทางค่อนข้างจะไม่ร้อนจัดอย่างที่เคยคิด ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว แมดส์ ไทเลอร์ ก็คงไม่มีวันยอมให้ เธียร์ เยลเวอร์ตัน ได้เปิดหมวกคลุมที่บดบังใบหน้าของตัวเองออกง่าย ๆ เช่นนี้
“เรากำลังจะไปที่ไหนกันหรือ..” เธียร์ เยลเวอร์ตัน เป็นฝ่ายเอ่ยถามคนที่นั่งซ้อนอยู่ทางด้านหลังของตัวเอง หลังจากที่เจ้าตัวขบคิดอยู่นานสองนานว่าจะเริ่มต้นบทสนทนากับคนตาดุอย่างไร
“โรสต์…”
“มันคือที่ไหนกัน เราไม่เคยได้ยินชื่อ” คนตัวขาวตอบอย่างซื่อตรง ก่อนที่จะไล่ทบทวนแต่ละสถานที่ในแดนใต้ที่เจ้าตัวเคยเห็นมันในภาพวาด
“เหมืองแร่ทางตอนเหนือ” ทรูอัลฟ่าหนุ่มตอบเสียงเรียบ พลางดึงแขนเสื้อคลุมของคุณหนูเยลเวอร์ตันให้ลงมาปกปิดข้อแขนขาวเช่นเดิม หลังจากที่เพียวโอเมก้าตัวขาวนั้นดึงมันขึ้นมาจนเกือบถึงข้อศอกสีชมพูอ่อน
“แล้วไหนนายบอกว่าเราจะไปกรีนเลค..”
“ฉันมีธุระที่ต้องสะสาง” เสียงของไทเลอร์ที่จู่ ๆ ก็แข็งขึ้นมาอย่างชัดเจน มีหรือจะไม่ทำให้คุณหนูเยลเวอร์ตันทำหน้าหงอย เมื่อถูกเสียงแข็งใส่แบบนี้
“แล้วนายพาเรามาด้วยแบบนี้ มันจะไม่ทำให้นายทำอะไรลำบากหรือ”
“ถ้าฉันไม่ได้พูด คุณหนูก็อย่าคิดไปเอง” คนตาดุเอ่ยห้วน ๆ เมื่อรับรู้ได้ถึงความคิดของคุณหนูเยลเวอร์ตันที่คงไม่พ้นคิดว่าตัวเองเป็นภาระของไทเลอร์
“เราเคยคิดนะว่าจริง ๆ แล้วเรากำลังสับสน หรือกำลังถูกนายปั่นหัวกันแน่..”
“….”
“การกระทำของนาย มันย้อนแย้งกับคำพูดสิ้นดี”
หาก แมดส์ ไทเลอร์ ยังเอาแต่สร้างความสับสนให้กับ เธียร์ เยลเวอร์ตัน เช่นนี้ มันก็คงไม่มีวันที่จะทำให้เธียร์ได้เข้าใจคนอย่างแมดส์จริง ๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักแค่ไหน
“ฉันมีเหตุผลของฉัน”
“แล้วเราไม่มีสิทธิรู้เหตุผลบ้างหรือไทเลอร์…”
“….”
“เราไม่เคยรู้อะไรเลยสักอย่าง ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าจริง ๆ แล้วนายคือใครกันแน่”
เธียร์อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาแบบนั้น หลายครั้งที่เธียร์ต้องเก็บความสงสัยที่มีต่อตัวแมดส์ไว้กับตัวเอง แม้จะอยากรู้มากสักเพียงใดว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้อีกฝ่ายดูรังเกียจแม่ของตัวเอง อะไรที่ทำให้แมดส์ต้องหลบซ่อน ในขณะที่คนเป็นน้องชายกลับมีตัวตน
ถ้าหากเปรียบเทียบตัวเขากับประตูบานใหญ่ที่ปิดอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเคาะหรือทุบสักแค่ไหน มันก็ยังคงไม่ยอมเปิด เพราะคนทางด้านในเอาแต่เมินเฉยต่อการร้องขอ ช่วงแรกมันอาจจะยังคงมีความพยายามเพราะยังคาดหวัง แต่เมื่อนานวันเข้าความหวังเหล่านั้นมันก็เริ่มลดลงไปพร้อม ๆ กับมือที่แดงช้ำจากการเอาแต่เคาะกับบานประตูแข็งแรงอยู่เช่นนั้น และมือนั่นมันก็คงไม่ต่างจากความรู้สึกของคุณหนูเยลเวอร์ตัน
“การที่คุณหนูไม่รู้เรื่องของฉัน มันเป็นเรื่องที่ดีต่อตัวคุณหนู”
เรื่องบางเรื่องที่มันเจ็บปวด มันคงไม่ควรถูกบอกเล่าให้ใครฟัง
“นายจะมาห่วงความรู้สึกเราทำไม..” คนตัวขาวเอ่ยพูดกับอีกฝ่ายเสียงเบา พลางลูบขนม้าสีสะอาดที่ดูท่าจะชอบไม่น้อย เมื่อมีใครมาลูบขนให้กับมัน
“คุณหนูเจ็บปวดมามากพอแล้ว อย่ารับรู้อะไรที่มันจะทำให้โลกของคุณหนูมันแย่ไปกว่านี้เลยจะดีกว่า”
“บอกเราสักหน่อยไม่ได้หรือ..” เป็นอีกครั้งที่คุณหนูเยลเวอร์ตันผินหน้าหันกลับไปมองคนตัวใหญ่กว่า ดวงตาคู่สวยที่ดูน่ามองไม่ว่ากี่ครั้งที่สบตา เต็มไปด้วยความหมายที่ซื่อตรงกับความรู้สึกของเจ้าตัว “ให้เราได้รับรู้ความเจ็บปวดของนายบ้างจะได้ไหม..”
ดวงตาดุคมของไทเลอร์เลื่อนสายตาของตัวเองมาหยุดที่ฝ่ามือ ซึ่งถูกฝ่ามือนิ่มทาบทับลงบนหลังมือด้วยสัมผัสอันแผ่วเบา ในขณะที่ดวงตาของอีกฝ่ายยังคงเฝ้ามองใบหน้าของทรูอัลฟ่าหนุ่ม
แมดส์ ไทเลอร์ ชั่งใจตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เพื่อทบทวนตัวเองและพิจารณาคนตรงหน้า จนในที่สุดริมฝีปากหยักก็เอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้คุณหนูเยลเวอร์ตันบีบฝ่ามือของเจ้าตัวแน่นขึ้น
“คุณหนูอาจจะเคยเป็นเหตุผลที่ทำให้ใครต้องตายด้วยความไม่ตั้งใจ แต่คุณหนูคงไม่เคยฆ่าคนเป็นร้อย ๆ คน เพราะความตั้งใจของตัวเอง”
ทั้งที่แมดส์พูดว่าเกิดจากความตั้งใจของตัวเอง แต่แล้วทำไมเธียร์ถึงกลับเห็นความรู้สึกผิดที่มันเต็มไปด้วยความเจ็บปวดในสายตาของเจ้าตัว
คนที่แข็งกระด้างและไร้ความรู้สึกน่ะหรือจะแสดงออกมาเช่นนี้..
“หากนายตั้งใจจริง ๆ นายคงไม่เจ็บปวดแบบนี้หรอกไทเลอร์”
“ฉันทำมันจริง ๆ”
เขาทำมันไปเพราะความตั้งใจของตัวเอง..
“เพราะอะไรนายถึงทำแบบนั้น” เธียร์ยังคงไม่ปล่อยมือใหญ่ที่ตัวเองบีบอยู่ ทั้งที่ในความจริงแล้วเจ้าตัวนั้นก็ตื่นกลัวอยู่ลึก ๆ กับสิ่งที่อีกฝ่ายพูดออกมา
“ฉันต้องปกป้องครอบครัวตัวเอง..”
“….”
“ไม่สิ.. มันคงเรียกว่าครอบครัวไม่ได้แล้วด้วยซ้ำ ในเมื่อฉันไม่ใช่คนในนั้น”
รอยยิ้มเหยียดที่บิดเบี้ยวบนริมฝีปากหยักของไทเลอร์ มันช่างดูขมขื่นเสียจนเธียร์ได้แต่มองมันอย่างเงียบ ๆ เพราะรู้สึกจุกอกไม่น้อยที่ได้ยินเช่นนี้
ในบางครั้งครอบครัวก็อาจจะไม่ใช่ความสุขสำหรับใครหลายคน เธียร์เองก็มีความรู้สึกเช่นนั้น แต่มันอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับไทเลอร์
ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเติบโตมาพร้อมกับครอบครัวที่อบอุ่น และก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเติบโตมาได้โดยปราศจากบาดแผลที่เกิดขึ้นเพราะคนในครอบครัว
“เราเชื่อว่านายไม่ได้ตั้งใจฆ่าพวกเขา…” เธียร์ยังคงลูบหลังมือใหญ่เป็นเชิงปลอบประโลมอีกฝ่าย
แมดส์ ไทเลอร์ ส่ายหัวไปมาช้า ๆ ก่อนจะละสายตาจากใบหน้าของคุณหนูเยลเวอร์ตัน ไปมองที่ภาพวิวภูเขาด้านหน้าเพื่อลบความรู้สึกที่ตีรวนในใจของตัวเอง
เขาทำอะไรลงไป เขาย่อมรู้ตัวเองดี..
“จะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ยังไงความตายมันก็คือความตาย”
“ไทเลอร์…”
“มันยากสำหรับฉันเหลือเกินที่จะเชื่อใจใครสักคนหนึ่ง”
ความเชื่อใจและไว้ใจที่เคยถูกทำลายลง ทั้งที่ตัวเขามั่นใจว่ามันจะไม่มีทางสิ้นสุดลง มันกลายเป็นเรื่องที่น่าขยาดสำหรับไทเลอร์มาตลอด เขาที่ระวังตัวเองมากขึ้นและเว้นระยะห่างจากคนอื่น เขาที่ไม่อยากเอาความรู้สึกของตัวเองไปผูกพันกับใคร เพราะไม่อยากที่จะต้องเจ็บปวดอีกครั้ง
“ที่มันยากก็เพราะตัวนายเอง..”
“….”
“นายจะจมปลักกับความเจ็บปวดพวกนี้ไปตลอดชีวิตหรือไทเลอร์”
“ฉันไม่รู้…”
การก้าวเดินของม้าสีขาวสะอาดหยุดเดินลงเพราะคำสั่งของคนที่ควบคุมมัน กับสัมผัสหนัก ๆ บนไหล่ด้านขวาของเยลเวอร์ตัน จากคนที่ก้มลงซบใบหน้ากับไหล่ผอมเงียบ ๆ โดยที่ยังปล่อยให้เธียร์นั้นจับมือของตัวเอง
หากคุณหนูเยลเวอร์ตันคิดว่าการอยู่ใกล้กับคนที่ไร้ความรู้สึกเช่นไทเลอร์แล้ว มันจะทำให้เจ้าตัวไร้ซึ่งชีวิตชีวาไปด้วย นั่นคงจะเป็นเรื่องที่ผิดไม่น้อย เพราะในความเป็นจริงแล้ว ความมีชีวิตชีวาของเยลเวอร์ตันต่างหากที่ค่อย ๆ แทรกสีสันลงไปในชีวิตอันว่างเปล่าของไทเลอร์
“สักวันหนึ่งนายจะต้องมีความสุข…”
การเดินทางในช่วงวันสองวันที่ผ่านมา แม้จะพูดคุยกันไม่มากนัก แต่เธียร์เองก็คุ้นชินไปเสียแล้วกับการกระทำที่มากกว่าพูดของไทเลอร์ ในทุกคืนที่ผ่านมามันก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย ก่อนที่จะหลับตานอนคุณหนูเยลเวอร์ตันก็ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของอีกฝ่าย แม้กระทั่งตอนตื่นนอนเจ้าตัวก็ยังคงได้รับไออุ่นจากร่างกายแข็งแรง
สภาพอากาศที่ลดต่ำลงแม้จะไม่ได้มากมายนัก แต่มันก็ทำให้เธียร์ต้องปรับตัวกับมัน เมื่อการเดินทางในครั้งนี้พวกเขาทั้งคู่ต้องขึ้นไปทางเหนือของแดนใต้
ภาพของหมู่บ้านขนาดย่อมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก จนสามารถมองเห็นได้จากตรงที่ทั้งไทเลอร์และเยลเวอร์ตันอยู่ คือสถานที่เป้าหมายที่ แมดส์ ไทเลอร์ ตั้งใจมาที่นี่ ก่อนที่ตัวเองจะเดินทางต่อไปยังเดอะฮิลล์ ซึ่งอยู่ถัดออกไปจากที่นี่อีกระยะหนึ่ง
“ที่นี่คือที่ไหนกัน?”
“โรสต์..”
โรสต์ หรือ หมู่บ้านที่เป็นหนึ่งในสามเหมืองแร่ที่สำคัญของแดนใต้ คงเป็นที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดสำหรับ เธียร์ เยลเวอร์ตัน ในตอนนี้ในความคิดของทรูอัลฟ่าหนุ่ม
ยิ่งขยับเข้าไปใกล้ขึ้นมากเท่าไหร่ เธียร์ก็ยิ่งเห็นการใช้ชีวิตที่แปลกตาของผู้คนในแถบนี้ จากทั้งบ้านเรือนที่ทำด้วยไม้เสียส่วนใหญ่ แตกต่างจากบ้านเมืองของตัวเองและฟลัมที่มักจะสร้างบ้านเรือนด้วยก้อนหินหรืออิฐ กลิ่นอายของชีวิตผู้คนซึ่งอาศัยอยู่กับธรรมชาติที่โอบล้อมไปด้วยสีเขียวขจี ความชื้นในอากาศที่แม้จะมีมากแต่กลับไม่ได้ทำให้เหนียวตัวเท่ากับความชื้นจากทะเลที่พาให้เหนอะหนะตัว
ทันทีที่พวกเขาเข้ามาถึงด้านหน้าหมู่บ้าน แมดส์ ไทเลอร์ เองก็ลงจากหลังม้าเข้าไปพูดคุยกับคนในหมู่บ้าน จนกระทั่งคนที่คอยเฝ้าอยู่ด้านหน้านั้นเป็นฝ่ายเชื้อเชิญพวกเขาทั้งคู่เข้าไปที่บ้านพักหลังหนึ่ง คุณหนูเยลเวอร์ตันลอบมองรอบข้างของตัวเองผ่านหมวกคลุมที่ปิดใบหน้าตัวเอง เบต้าและโอเมก้าในหมู่บ้านนี้ต่างหยุดกิจกรรมที่พวกเขากำลังทำ เพื่อมองผู้เข้ามาใหม่อย่างทรูอัลฟ่าหนุ่มและเพียวโอเมก้า
คนที่เดินจูงม้าอยู่ด้านล่างก็ยังคงคอยมองท่าทีของคุณหนูเยลเวอร์ตันอยู่เป็นระยะ จวบจนถึงบ้านพักของหัวหน้าหมู่บ้านแห่งนี้ คุณหนูเยลเวอร์ตันถึงได้ถูกเจ้าของแขนแข็งแรงอุ้มตัวลงมาจากหลังม้าตัวใหญ่
“เราจะพักกันที่นี่..”
ทรูอัลฟ่าหนุ่มเอ่ยบอกคนตัวขาว พลางหยิบยื่นน้ำในกระบอกให้เจ้าตัวได้ดื่มแก้กระหาย ในขณะที่ก้าวเดินเข้าไปในบ้านพักตรงหน้า เสียงของไม้ที่ลั่นขึ้นเมื่อถูกเหยียบย่ำย่อมเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ สำหรับคนที่ไม่เคยพักอาศัยอย่างคุณหนูเยลเวอร์ตัน เครื่องเรือนและของประดับตกแต่งที่ล้วนแล้วแต่ทำมาจากไม้ ดูแล้วก็สวยงามไม่หยอก หากเทียบกับเครื่องเงินหรือเครื่องทอง
“หัวหน้าไทเลอร์หรือ?” เจ้าของบ้านพักที่นั่งอยู่บริเวณห้องทำงานเล็ก ๆ เอ่ยขึ้นด้วยความไม่มั่นใจ เมื่อสบตาเข้ากับทรูอัลฟ่าตรงหน้าแล้ว มันก็ยิ่งทำให้ ราเชล สแตนลีย์ รับรู้ได้ถึงความผิดปกติ หัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์ที่เป็นเจ้านายเก่าของตัวเอง ไม่มีท่าทีที่อันตรายเช่นนี้เป็นอย่างแน่ แต่แล้วทำไมใบหน้าถึงได้เหมือนกันราวกับฝาแฝดเช่นนี้
“เกรงว่าฉันคงไม่ใช่หัวหน้าของนาย..” เบต้าหนุ่มมองเลยไปยังด้านหลังของอีกฝ่ายที่มีใครอีกคนเดินเข้ามาด้วย รังสีของพวกอัลฟ่าที่แผ่กระจายออกมาโดยรอบ เมื่อต้องการประกาศเขตของตัวเองทำให้ผู้นำของโรสต์เข้าใจได้ดีว่าหนุ่มน้อยที่มาด้วยกันกับอีกฝ่าย คงจะเป็นคนสำคัญของเจ้าตัวเป็นอย่างแน่
“แล้วนายเป็นใครกัน?” ท่ามกลางความสับสนของราเชล เจ้าตัวก็ยังตั้งสติได้มากพอที่จะหันไปเอ่ยบอกเบต้าคนสนิทให้พาหนุ่มน้อยนั้นออกไปด้านนอกก่อน “มอร์แกน เธอช่วยพาคุณหนูคนนี้ออกไปก่อน..”
ลักษณะท่าทางที่ไม่น่าใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะปกปิดสักแค่ไหน มันก็ไม่มีทางซ่อนเอาไว้ได้ จากทั้งเอกลักษณ์ของเพียวโอเมก้าที่ใครต่างสามารถรับรู้ได้ หรือแม้กระทั่งเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่เองก็เช่นกัน ชายเสื้อแขนยาวที่โผล่พ้นออกมาจากชุดคลุมสีดำสนิท
โดยปกติทั่วไปของสามัญชนคนธรรมดาในแดนใต้ ย่อมไม่ใส่เสื้อผ้าที่ปักลายพวกนี้ อีกทั้งเนื้อผ้าที่แตกต่างอย่างชัดเจนนั่นก็เป็นตัวทำให้เห็นถึงชนชั้นของอีกฝ่าย
“ถ้าคุณหนูไม่รังเกียจ ก็ขอเชิญคุณหนูไปนั่งพักผ่อนทางด้านนอก” มอร์แกน เรย์โนลด์ เอ่ยบอกกับหนุ่มน้อยตัวขาวที่ยอมดึงหมวกคลุมของตัวเองออกมา จนเผยให้เห็นใบหน้าจิ้มลิ้มและผิวพรรณที่สะอาดสะอ้านอย่างเช่นคนจากตระกูลใหญ่
“ไทเลอร์..” คนตัวขาวเอ่ยเรียกคนที่ยืนหันหลังให้ตัวเองเสียงเบา ก่อนที่ทรูอัลฟ่าหนุ่มจะหันมาพยักหน้าให้กับอีกฝ่ายเป็นเชิงอนุญาต
“ฉันขอคุยธุระเป็นการส่วนตัวสักครู่..”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้ว เธียร์ เยลเวอร์ตัน ก็ได้แต่เดินออกมานอกห้อง พร้อม ๆ กับเบต้าสาวที่มีตาเฉี่ยวอันเป็นเอกลักษณ์
นี่น่ะหรือธุระของ แมดส์ ไทเลอร์ ที่เจ้าตัวบอกว่าจะมาสะสาง…
หลังจากที่คุณหนูเยลเวอร์ตันออกไปจากห้อง ภายในห้องทำงานขนาดเล็กก็หลงเหลือแค่เพียงไทเลอร์และสแตนลีย์ เจ้าของรูปร่างสูงใหญ่ไม่มีท่าทีที่จะนั่งลงตามคำเชื้อเชิญของเจ้าบ้านแต่อย่างใด นอกเสียจากจะเปิดบทสนทนาด้วยคำพูดตรงไปตรงมา
“ฉันเป็นพี่ชายฝาแฝดของเชส..” แมดส์ ไทเลอร์ เอ่ยบอกคนที่ขมวดคิ้วแน่น เนื่องมาจากความสับสน
“ไม่น่าเป็นไปได้..”
“แต่มันก็เป็นไปแล้ว”
“แล้วนายมีธุระอะไรกับพวกเรา”
“ฉันไม่ได้มีธุระอะไรที่นี่หรอก แต่ฉันมีธุระที่ต้องไปทำที่อื่นสักพักหนึ่ง” แมดส์ว่า “นายก็เห็นว่าฉันมากับใคร.. เกรงว่ามันคงจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ หากฉันจะพาโอเมก้าเข้าไปในเดอะฮิลล์”
“นายจะฝากคุณหนูคนนั้นไว้กับพวกเราใช่หรือเปล่า”
“เข้าใจอะไรง่ายดีนี่สแตนลีย์..”
ดวงตาคมกริบของทรูอัลฟ่าตรงหน้าที่มองมาที่เบต้าหนุ่ม ทำให้ราเชลลอบกลืนน้ำลายอย่างลำบาก ถ้าเทียบกับ เชส ไทเลอร์ แล้ว พี่ชายฝาแฝดของหัวหน้าหน่วยเดอะฮิลล์นั้นดูเด็ดขาดกว่าเยอะ จากทั้งคำพูด ท่าทางที่ไร้ทีเล่นทีจริง
ความรู้สึกบางอย่างที่แผ่กระจายรอบตัวของเจ้าตัว มันทำให้ราเชลอดนึกถึงใครคนหนึ่งที่คนในแดนใต้มันจะพูดถึง เมื่อเกิดเหตุการณ์อันน่าสยดสยองเกี่ยวกับการสังหาร
“ว่าแต่นายชื่ออะไร..”
รอยยิ้มที่ถูกจุดบนใบหน้าคมเข้ม และคำตอบที่ออกมาจากริมฝีปากหยัก สร้างความหวั่นวิตกไม่น้อยให้กับหัวหน้าผู้คุมโรสต์จนปิดไม่มิดในสายตาของคนที่มาใหม่
“แมดส์ ไทเลอร์”
“….”
“หมาบ้าน่ะ รู้จักไหม?”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน…”
หมาบ้าที่ใครต่อใครต่างไม่อยากเข้าใกล้ และขยาดกลัวที่จะพบเจอ นั่นคือฝาแฝดของ เชส ไทเลอร์
“นี่ไม่ใช่การขอร้องแต่คือคำสั่ง”
“….”
“ถ้าฉันกลับมาแล้วไม่เจอคุณหนูอยู่ที่นี่ นายน่าจะรู้ดีว่าหมาบ้าแบบฉันทำอะไรได้บ้าง”
“….”
“หวังว่านายจะไม่ทำเกินกว่าคำสั่งของฉัน”
นี่มันบังคับและข่มขู่กันชัด ๆ ราเชล สแตนลีย์ แทบอยากจะตะโกนออกมาเสียในตอนนี้ แต่ก็ทำได้แต่ปิดปากเงียบ เมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองไม่สามารถต่อกรกับคนตรงหน้าได้เลยสักนิด
“แล้วนายจะไปเดอะฮิลล์ทำไมกัน?”
“น้องชายของฉันเลือกคู่ชีวิตของตัวเองทั้งที นายจะให้พี่ชายอย่างฉันอยู่เฉยอย่างนั้นหรือ”
“เลสลีย์เป็นคนดี..” จากการพบเจอในครั้งนั้น เมื่อเจ้าตัวหลบมาพักที่โรสต์ ราเชลเองก็มั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่มีพิษมีภัยกับแดนใต้อย่างแน่นอน
“เลสลีย์ก็คือเลสลีย์…”
“นายไม่กลัวจะถูกจับที่นั่นหรือไง ทางการกำลังล่าตัวนายกันให้ขวัก”
“ถ้าฉันกลัว ฉันจะกล้าไปหรือ?”
“รีส เบลเลอมอนท์ เองก็อยู่ที่นั่นในตอนนี้” พอได้ยินชื่อของผู้ปกครองฟลัมแล้ว แมดส์ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาเพราะความรู้สึกหงุดหงิดเล็ก ๆ ของพี่ชายต่างแม่ที่ไม่รู้ว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้
“ก็ช่างหัวเบลเลอมอนท์มันสิ..”
ภาวนาให้การพบเจอกันในครั้งนี้ แมดส์ ไทเลอร์ ไม่เอาเลือดที่ปากหมอนั่นออกคงจะดีกว่า
บ้านพักขนาดไม่ใหญ่มากที่ใช้เป็นที่พักสำหรับค่ำคืนนี้ ย่อมสะดวกสบายกว่าการนอนบนพื้นเป็นไหน ๆ อาหารที่เบต้าสาวที่ชื่อมอร์แกนนำมาให้ก็รสชาติอร่อยถูกปาก จนคุณหนูเยลเวอร์ตันนั้นอิ่มท้องกับมื้อเย็นอย่างที่ไม่ได้สัมผัสมาระยะหนึ่ง และดูท่าว่าจะกินมากกว่าปกติด้วยซ้ำ
หมู่บ้านที่ไร้อัลฟ่านั้นย่อมทำให้เธียร์สบายใจไม่น้อย เพราะเจ้าตัวนั้นไม่ต้องกังวลถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเอง จากพวกอัลฟ่าที่มักจะกดโอเมก้าให้ต่ำลง
“ยังไม่หลับอีกหรือ?”
คนที่นอนอยู่ข้างคนตัวขาวเอ่ยถาม เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวนั้นยังนอนลืมตามองหน้าตัวเอง ทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกดื่นพอสมควรแล้ว
“เรายังไม่ง่วงนี่นา..” ทั้งที่เดินทางมาตลอดวัน แต่พอได้ตื่นตากับสิ่งใหม่ ๆ และผู้คนรอบข้างที่ใจดีกับตัวเอง มันก็ทำให้ เธียร์ เยลเวอร์ตัน ไม่สามารถหยุดตื่นเต้นกับสิ่งพวกนี้ได้ หมู่บ้านที่ไร้อัลฟ่าเช่นนี้มันสุดยอดไม่หยอก ชนชั้นกลางที่ขึ้นมาปกครองมันสมควรถูกให้ความสำคัญได้แล้วในเมืองใหญ่ ๆ
“ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ดีมาก ๆ เราชอบที่ไม่มีอัลฟ่า.. มันทำให้เราไม่อึดอัด” คนตัวขาวตอบตามความจริง ก่อนจะระบายยิ้มเล็ก ๆ เมื่อนึกถึงการพักผ่อนเมื่อช่วงบ่าย มอร์แกนพาเขาไปยังลำธารเล็ก ๆ ที่อยู่ถัดไปจากที่นี่ไม่ไกล ถัดไปจากตรงนั้นมีทุ่งโล่งซึ่งเต็มไปด้วยดอกไม้หลากสีสัน ตัดกับภาพของท้องฟ้าสีสวย จนเธียร์หยุดยืนมองมันครู่ใหญ่
“คุณหนูคงต้องอยู่ที่นี่สักระยะหนึ่ง..”
“นายพูดเหมือนว่านายจะไปไหน” คิ้วสวยขมวดเข้าหากัน พลางจ้องคนตาดุท่ามกลางแสงเทียนที่ยังไม่ถูกดับ
“….”
“หรือว่านายจะทิ้งเราไว้ที่นี่”
“ไร้สาระน่ะคุณหนู” แมดส์ ไทเลอร์ จิ้มนิ้วลงบนหัวคิ้วสวยของคนที่ทำตาละห้อย ราวกับกลัวว่าเขาจะทิ้งเจ้าตัวไปจริง ๆ “ฉันแค่จะไปหาน้องชาย”
“แล้วเราไปด้วยไม่ได้หรือ?”
“เดอะฮิลล์มีแต่อัลฟ่า มันไม่ปลอดภัยสำหรับคุณหนู”
“แต่เรามีนาย..”
มือใหญ่ที่เลื่อนไปสางเส้นผมสีเข้ม ถึงกับหยุดชะงักลงในทันที เมื่อได้ยินคุณหนูเยลเวอร์ตันพูดออกมาเช่นนั้น
“ถ้าคุณหนูไปที่นั่น มันจะยิ่งทำให้ฉันเป็นห่วงคุณหนู”
แมดส์ ไทเลอร์ จะรู้บ้างหรือเปล่าว่าคำพูดของตัวเองเมื่อครู่ มันกำลังทำให้เธียร์นั้นใจเต้นมากแค่ไหน คำว่าเป็นห่วงที่อีกฝ่ายพูดออกมาตรง ๆ มันเกินกว่าที่เจ้าตัวจะคาดคิดเสียอีก
“นายเป็นห่วงเรา..”
“แล้วมันจะมีความหมายอื่นอะไรกันอีก”
ฝ่ามืออุ่นเลื่อนลงมาประคองกรอบหน้าน่ารักของคุณหนูเยลเวอร์ตัน ริมฝีปากอุ่นจูบบนเปลือกตาสีอ่อนของเจ้าดอกแม็กโนเลีย ปลายนิ้วร้อนยังคงเกลี่ยแก้มขาวอย่างแผ่วเบา จนทำให้คนที่ถูกสัมผัสนั้นปิดตาซึมซับสัมผัสอันอ่อนโยนนั้นทั้งหมด
“ฉันอยากมีความรู้สึกกับคุณหนูเอง โดยที่มันไม่ใช่สัญชาตญาณของคู่แห่งโชคชะตา”
“แมดส์…”
“ไม่ใช่ไม่อยากรัก แต่ฉันกลัวเหลือเกินว่าความรักของฉันมันจะทำร้ายคุณหนูเข้าสักวันหนึ่ง..”
“พอแล้ว” คนตัวขาวโผเข้ากอดทรูอัลฟ่าที่เป็นคู่แห่งโชคชะตาของตัวเอง ก่อนที่ริมฝีปากบางจะบอกให้อีกฝ่ายหยุดพูด
“ทำไม..”
“นายจะฆ่าเราหรือไงกันไทเลอร์..” คนที่ซบหน้าลงกับอกของแมดส์เอ่ยอู้อี้ “หัวใจเราเหมือนจะหลุดออกมา เพราะคำพูดของนาย”
คำพูดของ แมดส์ ไทเลอร์ มันมีผลกับความรู้สึกของ เธียร์ เยลเวอร์ตัน เกินไปจริง ๆ
HASHTAG #maddogmn
TALK : นายแมดส์! เราจะตายกันหมด
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ซักทีพ่อ การกระทำที่มาพร้อมกับคำพูดน่ะ
คุณหนูจะได้ไม่ต้องคิดมากคิดลบอะไรอีก
แต่ว่านายน่ะแมดส์ ยังโมโหสิ่งที่ทำกับแอชไม่หายเลยนะ ฮึ่ยยย รายนั้นก็เหลือเกิน ไม่รู้จะสงสารใครจริงๆ 55555
ขอบคุณสำหรับฟิคนะคะ ไรท์สู้ๆน๊าาาา
น่ารักเหลือเกินนน