ตอนที่ 43 : [SPE] Young Master Diary : Aneurin and Ashlynn 5
ฝาแฝดไทเลอร์เติบโตมาเป็นอย่างดี จนกระทั่งย่างเข้าอายุปีที่สิบ แต่ทว่าความซุกซนและความอยากรู้อยากเห็นของเด็กทั้งคู่ กลับไม่ได้ลดน้อยลงเลยสักนิด แม้แอนไอรินจะค่อยห้ามปรามน้องชายเป็นพัก ๆ แต่ทว่าก็กลับไม่เคยใจแข็งได้มากพอ สุดท้ายจึงต้องตามใจน้องชายฝาแฝดของตนอยู่ร่ำไป
และในวันนี้เอง พี่ชายฝาแฝดก็ยอมทำตามใจน้องชายของตัวเองอีกครั้ง แม้จะมีความลังเลอยู่ไม่น้อย ก่อนที่จะตัดสินใจยอมรับคำขอของน้องชาย
‘แค่เข้าไปในแบล็คฟอเรสต์พักเดียว ท่านอากับท่านพ่อคงไม่ทันสงสัยอะไรหรอก’
‘ลินน์พึ่งหายป่วยไม่ใช่หรือ? ถ้าพี่พาออกไปแล้วไม่สบายขึ้นมาจะทำอย่างไร’
‘น้องแข็งแรง!’ แอนไอรินเหลือบมองน้องชายฝาแฝดที่กอดตัวเองจากทางด้านหลัง พลางชั่งใจเพื่อตัดสินใจ
‘แต่การออกไปโดยไม่บอกใคร มันเป็นเรื่องที่ผิด หากเกิดอันตรายขึ้นมา’
‘แหงสิ เพราะถ้าอ้าปากบอกท่านพ่อ คงได้โดนดุแน่ ๆ’ แอชลินน์บ่นกระปอดกระแปด พลางทำปากคว่ำอย่างแสนงอน ‘ถ้าไปกับพี่แอนไอก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรนี่’
ลูกอ้อนที่เป็นตาใส ๆ ของแอชลินน์ ย่อมทำให้ผู้เป็นพี่ชายฝาแฝดถึงกับยกมือขึ้นมาเกาปลายคิ้วของตัวเอง ก่อนจะแอบกุมขมับเล็กน้อย เพราะเข้าใจดีว่าแอชลินน์คงรู้สึกอุดอู้ไม่น้อย หลังจากที่เจ็บป่วยมาร่วมเดือนกว่า จนทำให้ไม่ได้ออกไปด้านนอกอย่างเช่นทุกที
ไหนจะสภาพอากาศที่กำลังร้อนอบอ้าวในช่วงนี้ ก็คงเป็นสาเหตุที่ทำให้แอชลินน์อยากจะเข้าไปในป่า มากกว่าที่จะอยู่ในหน่วยเดอะฮิลล์ อากาศในแบล็คฟอเรสต์ค่อนข้างเป็นอากาศที่ต่ำกว่าเดอะฮิลล์ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากอีกทางฟากฝั่งหนึ่ง จึงทำให้ไม่แปลกที่แบล็คฟอเรสต์จะหนาวเย็นแทบตลอดทั้งปี
‘ไม่ต้องมาอ้อนพี่เลย ลินน์’
‘นะ ๆ พาน้องออกไปข้างนอกเถอะ’ แอชลินน์แนบแก้มกลมของตัวเองกับแก้มของคนเป็นพี่ พลางใช้น้ำเสียงออดอ้อนจนทำให้พี่ชายที่โอ๋น้องเป็นทุกเดิม ถึงกับอมยิ้มจนแก้มปริ
ไม่มีใครสู้ลูกอ้อนของแอชลินน์ได้หรอก แต่แอนไอรินจะยกเว้นท่านแม่ไว้เสียคนหนึ่งก็แล้วกัน ก็รายนั้นน่ะรู้จักลูกชายตัวเองดียิ่งกว่าอะไร
‘ของแลกเปลี่ยนล่ะ?’
แอชลินน์แอบถอนหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะหมุนตัวกลับไปรื้อค้นลิ้นชักไม้ทางด้านหลัง พร้อมกับหยิบแผ่นไม้ขนาดเล็กที่ถูกแกะสลักชื่อไว้ แม้จะไม่ได้สลักสลวยจนเรียกได้ว่างดงาม แต่ทว่ามันกลับมีคุณค่าทางใจ เมื่อคนที่ทำมันคือน้องชายฝาแฝด ซึ่งนับได้ว่ามีพรสวรรค์ทางด้านการทำงานพวกนี้ มากกว่าการต่อสู้อย่างที่แอนไอรินโปรดปราน
หากเทียบกันแล้ว แอนไอรินคงต้องยอมรับเลยว่า คนที่ใจเย็นกว่าและมีสมาธิมากกว่าก็คงหนีไม่พ้นแอชลินน์ แต่หากเป็นเรื่องไหวพริบและการเอาตัวรอด แอนไอริน ไทเลอร์ ย่อมชนะฝาแฝดผู้น้องอย่างชัดเจน จนทำให้เจ้าตัวแอบคิดไม่ได้ว่าหากวันหนึ่งเขาไม่สามารถอยู่กับน้องชายได้ขึ้นมา เจ้าตัวจะเป็นเช่นไร
‘น้องพี่เก่งมาก’ แอนไอรินยื่นมือไปลูบผมน้องชายเบา ๆ ก่อนจะรับเอาแผ่นป้ายชื่อเล็ก ๆ นั้นมาเก็บไว้กับตนเอง
‘พี่แอนไอต้องทำตามสัญญาแล้วนะ’
‘ไปเตรียมตัวเสียสิ’
สุดท้ายแล้ว แอนไอริน ไทเลอร์ ก็ยอมแหกกฎของตัวเองจนได้ เขาได้แต่ภาวนาว่าการออกไปเที่ยวเล่นในครั้งนี้ จะไม่มีใครในหน่วยสงสัยเหมือนที่ผ่านมาก็แล้วกัน เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น คนที่จะเดือดร้อนและมีความผิดมากที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเป็นตัวเขาอย่างแน่นอน
ฝาแฝดไทเลอร์ย่อมมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน เด็กน้อยในชุดทะมัดทะแมงและธนูคันเล็กที่สะพายอยู่ทางด้านหลัง ย่อมเป็นเอกลักษณ์ของแอนไอริน ในขณะที่เด็กน้อยในชุดสบายตัวพร้อมกระเป๋าผ้าสะพายข้างที่บรรจุไปด้วยของกิน ก็เป็นเอกลักษณ์ของแอชลินน์เช่นกัน
เด็กน้อยทั้งคู่ใช้เส้นทางลัดเลาะออกมาจากเดอะฮิลล์อย่างยากลำบาก จนทำให้แอนไอคิดว่าหากพวกเขาทั้งคู่โตขึ้นมากกว่านี้อีกสักหน่อย การออกไปข้างนอกด้วยการแอบหนีออกไปเช่นนี้ คงจะกลายเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้น กว่าจะหลุดพ้นจากบริเวณหน่วยป้องกันเดอะฮิลล์ ก็เล่นเอาเหงื่อผุดซึมบริเวณกรอบหน้าของเด็กทั้งคู่
ฟู่ววว
“เกือบโดนจับได้แล้วแหนะ” แอชลินน์พ่นลมหายใจออกจากปากเสียงดัง ก่อนจะบ่นงึมงำ ในความไม่ระมัดระวังของตัวเอง จนทำให้เกือบโดนจับได้ แต่ก็โชคดีที่รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ไปอย่างนั้นเขาคงจะต้องโดนหิ้วตัวกลับเข้าไปในหน่วยเป็นแน่
ทางด้านแอนไอรินที่กำลังทำสัญลักษณ์ไว้ตามต้นไม้และที่ต่าง ๆ ก็เหลือบมองน้องชายของตนเป็นระยะ ก่อนที่จะกวักมือเรียกน้องชายแก้มกลมให้เดินตามตัวเอง แทนที่จะยืนบ่นจนปากยื่นปากยาว
“รีบไปกันเถอะ”
“ไป ๆ น้องอยากไปเล่นบ้านต้นไม้ที่เราเคยสร้างกัน”
“ที่อยากออกมาข้างนอก เพราะอยากเปลี่ยนที่นอนมากกว่าสินะ” แอนไอรินเอ่ยอย่างรู้ทันน้องชายฝาแฝด
“อย่ามารู้ทันน้องดีกว่าน่า” แอชลินน์หรี่ตามองพี่ชาย ก่อนที่จะกอดอกมองแอนไอที่ยกยิ้มล้อเลียนตนเอง
“พี่ดูเป็นเช่นนั้นหรือ?” แอนไอรินถามน้องชายด้วยน้ำเสียงระรื่น ก่อนที่จะดึงตัวน้องชายให้มาเดินข้าง ๆ ตนเอง
“อย่าให้น้องพูดจะดีกว่า” แอชลินน์เอ่ยติดตลก เมื่อนึกถึงนิสัยของผู้เป็นพี่ชาย
“มันคงไม่พ้นที่จะกล่าวหาว่าพี่เป็นคนเจ้าเล่ห์หรอกใช่ไหมล่ะ”
เจ้าเด็กแก้มกลมไม่ยอมตอบคำถามพี่ชาย ซ้ำยังหยิบขนมในกระเป๋าขึ้นมากินหน้าตาเฉย จนทำให้ผู้เป็นพี่ได้แต่ส่ายหัวน้อย ๆ
ใช้เวลาเพียงไม่นาน พวกเขาทั้งคู่ก็สามารถเดินทางมาถึงบ้านต้นไม้ที่แอชลินน์อยากมา สภาพของมันยังคงไม่แตกต่างจากครั้งก่อนสักเท่าไหร่นัก ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่บนเนินที่มีความสูงระดับหนึ่ง ย่อมทำให้เป็นมุมที่สามารถมองเห็นดินแดนที่ขาวโพลนได้อยู่ไกล ๆ
“แบบนี้ค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้นมาหน่อย” แอชลินน์สูดอากาศเข้าปอดตัวเองเฮือกใหญ่ ก่อนที่จะฉีกยิ้มจนตาปิด เมื่ออากาศที่ค่อนข้างเย็นของแบล็คฟอเรสต์ สร้างความรู้สึกดีต่อร่างกายของเจ้าตัวไม่น้อย
แอชลินน์เกยคางลงกับรั้วไม้ที่ถูกสร้างเพื่อกั้นเป็นแนวความปลอดภัย ก่อนที่จะแกว่งขาของตนไปมาในอากาศ ในยามที่ตนเองกำลังนั่งอยู่ริมขอบราวกั้น ดวงตาสดใสที่เต็มไปด้วยประกายของความสุข ยังคงจับจ้องไปทางอีกฟากฝั่งหนึ่งของดินแดน จนทำให้ผู้เป็นพี่ที่นั่งอยู่ข้างกันขมวดคิ้วน้อย ๆ
“ลินน์ชอบมันหรือ?”
“พี่กำลังหมายถึงอะไร”
“ก็นั่นไง” แอนไอรินชี้นิ้วไปทางบริเวณดินแดนขาวโพลนเบื้องหน้า ก่อนจะหันกลับมามองหน้าของน้องชายที่ยังคงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“น้องจะตอบได้อย่างไร ในเมื่อน้องไม่เคยไปที่นั่น” แอชลินน์เอ่ยตอบพี่ชาย ก่อนจะยักไหล่น้อย ๆ “แต่จะว่าไปที่นั่นก็ดูน่าสนใจ…”
“….”
“หากได้ลองไปสัมผัสดูสักครั้ง ไม่แน่ น้องอาจจะชอบที่นั่นขึ้นมาก็ได้”
“มันไม่ใช่ที่ของเรา” แอนไอริน ไทเลอร์ ตอบน้องชายด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ก่อนจะนึกถึงเรื่องราวที่ตนเคยรับรู้เกี่ยวกับแดนเหนือจากผู้เป็นแม่ นิทานก่อนนอนสำหรับฝาแฝดไทเลอร์ ย่อมเป็นเรื่องเล่าจากอีกดินแดนหนึ่ง สถานที่ที่เคยเป็นบ้านเกิดของหิมะแรก มันเต็มไปด้วยเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อ แต่ทว่าก็กลับเต็มไปด้วยความโหดร้ายเช่นกัน
“แต่ท่านแม่เคยบอกว่าที่ตรงนั้นจะเป็นที่ของเราไหม ก็ต่อเมื่อเราเหมาะสมกับมัน”
“แล้วลินน์คิดว่าตัวเองจะเหมาะกับที่นั่นหรือ?”
“ไม่รู้ซี่” แอชลินน์ส่ายหัวไปมา จนกลุ่มผมสีอ่อนไม่เป็นทรง ก่อนที่เจ้าตัวจะทิ้งตัวนอนไปทางด้านหลัง พลางตีพุงกลมของตัวเองไปมา ซ้ำยังร้องเพลงออกมาอย่างมีความสุข ผิดกับพี่ชายฝาแฝดที่ยังคงจดจ้องภาพขาวโพลนนั้นด้วยความรู้สึกโหวง ๆ ในใจ
หากให้พูดความรู้สึกของแอนไอในตอนนี้ เจ้าตัวคงต้องยอมรับว่ากำลังมีความรู้สึกกลัวอยู่ลึก ๆ อยู่ดี ๆ มันก็มีความรู้สึกหนึ่งแทรกเข้ามา ซึ่งแอนไอก็ไม่สามารถหาคำตอบได้ นอกเสียจากจะโยนมันทิ้งไป
ร่มไม้ในป่าและอากาศที่เย็นสบาย ขับกล่อมให้เจ้าเด็กแก้มกลมที่พึ่งกินอิ่ม เผลอหลับไปได้อย่างไม่ยาก ส่วนพี่ชายฝาแฝดเองก็เอาแต่นอนมองเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าที่ลอยผ่าน
เมื่อนอนหลับกลางวันจนเต็มอิ่ม เจ้าเด็กแก้มกลมที่เคยเงียบเสียง ก็เริ่มพูดเจื้อยแจ้ว จนทำให้รอบตัวเต็มไปด้วยเสียงใสของแอชลินน์สลับกับเสียงของผู้เป็นพี่ ในระหว่างที่พวกเขาทั้งคู่กำลังเดินทางกลับไปยังเดอะฮิลล์
ทุกอย่างรอบตัวดูจะไม่สนุกเสียแล้วสำหรับเด็กน้อยทั้งสองคน เมื่อการผจญภัยที่ทั้งแอนไอและแอชลินน์ได้วาดภาพไว้อย่างสวยงาม กลับกลายเป็นภาพที่บิดเบี้ยว เมื่อเด็กแฝดค้นพบความจริงอีกด้านหนึ่ง ด้วยตัวของพวกเขาเอง
พวกเขากำลังหลงป่า…
แอนไอจำได้ว่าเขาเคยออกมาด้านนอกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ทุกครั้งที่ออกมาด้านนอก เขาก็มักจะมีผู้ใหญ่หรือใครสักคนหนึ่งที่สามารถปกป้องตัวได้ออกมาด้วยตลอด ซึ่งผิดกับครั้งนี้เสียเหลือเกิน
แอนไอริน ไทเลอร์ ลอบมอง แอชลินน์ ไทเลอร์ ที่เดินตามตนเองอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง และไร้แววตื่นตระหนก น้องชายฝาแฝดที่กำลังเพลิดเพลินกับของกินในมือ ยังคงไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยสักนิดว่าพวกเขาทั้งคู่กำลังหลงทาง มือเล็กอีกข้างหนึ่งที่ไม่ได้จับของกิน ได้กำชายเสื้อของผู้เป็นพี่ไว้เหมือนทุกครั้ง จนกลายเป็นความเคยชินของฝาแฝด
“ถ้ารู้ว่าจะออกมานานขนาดนี้ น้องน่าจะหยิบขนมใส่กระเป๋ามาเยอะ ๆ” เสียงบ่นงึมงำในลำคอของเด็กแก้มกลม ทำให้พี่ชายฝาแฝดเม้มปากแน่น ก่อนจะพยายามตั้งสติและทบทวนความคิดของตนเอง
ทั้งที่แอนไอเองก็ทำสัญลักษณ์ตามต้นไม้ไว้แล้ว แต่ทว่าความรกทึบของต้นไม้ และทุกสิ่งทุกอย่างในป่าก็ดูคล้ายกันไปเสียหมด จนทำให้แอนไอรินเกิดความสับสน
“ถ้าขนมของลินน์หมด ก็เอาของพี่ไปกิน” แอนไอรินเอ่ยบอกน้องชายด้วยน้ำเสียงเอ็นดู ในขณะที่มือของเจ้าตัวก็จัดการจัดหมวกของน้องชายให้เข้าที่ หลังจากที่มันเบ้ไปทางซ้าย จนแทบจะบังดวงตาของน้องชาย
“เยี่ยมไปเลย” แอชลินน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงดีใจ และยกยิ้มจนตาปิด ก่อนจะเช็ดมุมปากของตนที่เปื้อน พลางปัดมือไปตามกางเกงของตน เพื่อทำความสะอาดฝ่ามือที่เต็มไปด้วยน้ำตาลออก
“ลินน์ยังมีน้ำยังเหลืออีกแค่ไหนกัน” แอนไอเอ่ยถามน้องชาย ในขณะที่สำรวจปริมาณน้ำในถุงกระเป๋าของตัวเองเช่นกัน
“น่าจะไม่เกินครึ่ง เพราะขนมที่น้องกินไปเมื่อครู่ มันหวานจนแสบคอไปหมด”
แอชลินน์มีน้ำเหลือไม่ถึงครึ่ง ส่วนถุงกระเป๋าน้ำของแอนไอเองก็เหลือเกินครึ่งมาเพียงน้อยนิด หากพวกเขาไม่หาน้ำเพิ่ม มีหวังคงได้เดือดร้อนเป็นแน่
แอชลินน์มักจะกินน้ำเยอะ ข้อนี้แอนไอรินรู้ดีเป็นอย่างมาก เขาถึงได้พยายามกินน้ำเท่าที่จำเป็น เพื่อเก็บไว้ในยามฉุกเฉินเพื่อน้องชายฝาแฝด
“พี่ว่าเราควรเติมน้ำเพิ่มกันสักหน่อย”
“แต่ว่าเรากำลังจะกลับไปที่หน่วยแล้วไม่ใช่หรือ?” แอชลินน์แย้งเสียงใส พลางมองหน้าผู้เป็นพี่ด้วยความสงสัย “อีกอย่างนี่ก็ใกล้เย็นมากแล้ว ถ้าเราเสียเวลาไปเติมน้ำ มันจะทำให้เรากลับไปที่หน่วยช้า”
“เรากำลังหลงทาง…”
“พี่อย่ามาแกล้งน้องเลยดีกว่า”
“เราหลงทางจริง ๆ ลินน์” แอนไอยอมบอกน้องชายตามตรง
“แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี” แอชลินน์ถึงกับหน้าเสียไปไม่น้อย เมื่อรับรู้ความจริงว่าตนเองและพี่ชายกำลังหลงป่าเข้าแล้ว และตัวของแอชลินน์เองก็คงไม่สามารถช่วยเหลือพี่ชายได้สักเท่าไหร่
“พี่ต้องพาลินน์กลับไปได้อย่างแน่นอน” แอนไอริน ไทเลอร์ เอ่ยบอกน้องชายของตนด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ก่อนที่จะทบทวนความทรงจำของตัวเองอีกครั้ง
สองขาเล็กของเด็กน้อยค่อย ๆ ก้าวเดินไปด้านหน้าด้วยความไม่มั่นใจ ฝ่ามือเย็นเยียบของคนเป็นน้องซึ่งจับมือกับแฝดพี่ ทำให้แอนไอรับรู้ได้ถึงความตื่นกลัวของน้องชาย แม้ใบหน้าของแอชลินน์จะไม่ได้แสดงท่าทีหวาดกลัวก็ตาม
แต่ทว่าเสียงขู่คำรามของสัตว์ใหญ่ที่ดังขึ้นจากทางด้านหลัง ก็ทำให้ทั้งคู่หันขวับไปมองในทันที ก่อนจะพบเข้ากับหมาป่าตัวขนาดกลาง แม้ขนาดของพวกมันจะเล็กกว่าพวกเกรย์วูล์ฟเกือบเท่าตัว แต่ทว่าความดุร้ายของสัตว์ป่า ย่อมเป็นเรื่องที่ยากจะรับมือ
“พี่…”
แอนไอยัดมีดใส่มือน้องชายของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ตนเองจะจับคันธนูของตน เพื่อเล็งเป้าไปยังหมาป่าที่กำลังไล่ต้อนพวกเขาทั้งคู่ พวกมันค่อย ๆ เริ่มโผล่มาเพิ่ม จนกลายเป็นฝูงหมาป่าขนาดย่อม และค่อย ๆ โอบล้อมเด็กน้อยทั้งคู่ เพื่อให้เหยื่อได้จนมุม
ก้อนหินขนาดใหญ่ถูกปาใส่พวกมันเป็นระยะด้วยฝีมือของแอชลินน์ เพื่อให้พวกมันไม่สามารถเข้าใกล้พวกเขาทั้งคู่ได้ ทางด้านแอนไอเองก็พยายามที่จะไม่ทำร้ายสัตว์พวกนี้ให้ถึงแก่ความตาย อีกทั้งลูกธนูที่เตรียมมาก็มีเพียงไม่มาก หากใช้อย่างไม่รอบคอบ มันอาจจะสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาได้
ในจังหวะที่แอนไอปล่อยลูกธนูออกไปใส่หมาป่าตัวที่กำลังกระโจนใส่ตนเอง จนทำให้ลูกธนูสามารถปักเข้าที่อกของมันได้อย่างแม่นยำ แรงกระแทกจากทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงร้องของน้องชาย ก็ทำให้คนเป็นพี่หันมามองด้วยความตกใจ
รอยเลือดและเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นเป็นรอยเล็บบนแผ่นหลังเล็ก ทำให้แอนไอรับรู้ได้ทันทีว่าน้องชายของตนกำลังบาดเจ็บ ด้วยฝีมือของสัตว์ป่าที่กำลังหิวโหย ซึ่งพร้อมจะขย้ำเหยื่อในตอนนี้
“ลินน์!”
“ระวัง!” แอชลินน์ตะโกนบอกผู้เป็นพี่ เมื่อเห็นหมาป่าจากทางด้านหลัง กำลังจ้องจะตะครุบพี่ชายฝาแฝด แต่ก็โชคดีที่ประสาทสัมผัสของแอนไอนั้นไว้กว่าพวกมันอยู่ก้าวหนึ่ง จึงทำให้มีดเล่มเล็กที่ถูกหยิบออกมา สามารถปักเข้าไปที่บริเวณต้นขาของมัน
แม้จะอยากเข้าไปดูอาการของน้องชายในตอนนี้มากแค่ไหน แต่แอนไอก็ทำเพียงได้แค่ต่อสู้กับสิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ตรงหน้า ความก้าวร้าวของพวกมันที่ทวีคูณอาจจะเป็นเพราะกลิ่นของพวกการ์เดียนที่ติดตัวพวกเขาทั้งคู่ จนทำให้พวกมันรู้สึกถึงการคุกคามและอันตราย
กรรจ์ กรรจ์
ทว่าเสียงขู่ของสัตว์ใหญ่ที่ดังจากอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้เหล่าฝูงหมาป่าที่กำลังเล่นงานเด็กน้อยทั้งคู่ ต่างถอยกรูดและวิ่งหนีหายไปได้อย่างง่ายดาย
“อึก..”
แอชลินน์กัดฟันทนทั้งที่น้ำตาคลอหน่วง พลางพยายามลุกขึ้น แต่ทว่าความเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังก็ทำให้เจ้าตัวมีท่าทีทุลักทุเลไม่น้อย
“แอชลินน์” แอนไอแทบไม่กล้าจับตัวแอชลินน์แม้แต่น้อย เมื่อเห็นบาดแผลบริเวณหลังของน้องชาย มือเล็กที่เคยจับอาวุธในก่อนหน้านี้ ถึงกับสั่นน้อย ๆ เมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ไม่คาคิด
“น้องเจ็บ..”
คนเป็นน้องเอ่ยบอกพี่ชาย ก่อนที่จะเผลอร้องออกมา กลิ่นเลือดคละคลุ้งทำให้แอชลินน์อยากจะอาเจียน มันทั้งเจ็บทั้งตื่นกลัวจนแทบอยากจะร่ำไห้ แต่เขาก็ต้องอดทนเอาไว้
“อยู่เฉย ๆ น่าแจสเปอร์” เจ้าของผมสีควันเอ่ยบอกเกรย์วูล์ฟของตนด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง จนทำให้มันยอมถอยห่างออกจากเด็กน้อยผู้โชคร้ายทั้งคู่
ดวงตาถือดีของ แอนไอริน ไทเลอร์ สบตาเข้ากับดวงตาของชายเจ้าของผมสีควัน และรอยยิ้มเล็ก ๆ บนริมฝีปากของคนแปลกหน้า ก็ย่อมสร้างความไม่ไว้ใจให้กับเด็กน้อยเป็นอย่างมาก จนเรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่ไม่ถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นเลยก็ว่าได้
“นายเป็นใครกัน?”
#youngmasterdiary
TALK: คิดถึงน้องแอนไอกับน้องลินน์กันไหมคะ T-T ทางนี้คิดถึงมาก พอกลับมาเขียนตอนน้องเป็นเด็กแล้วนุบนิบในใจไปหมดเลย
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เคยเจอกันมาแล้วหรอ!? เฮ้ยยย!!จริงดิ