คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ปีการศึกษาใหม่
โอ๊ยยยยยยยยย ในที่สุดวันที่แสนจะน่าเบื่อก็มาเยือนฉันอีกแล้ว เบื่อจริงๆกับการที่ต้องตื่นเช้าไปโรงเรียนเนี่ย โดยเฉพาะวันเปิดเทอมวันแรกอย่างนี้ฉันยิ่งเบื่อเป็นที่สุด ทั้งๆที่มันเป็นวันที่น่าจะสบายที่สุดแล้วนะ แต่สำหรับฉันที่เป็นลูกหลานของตระกูลเวลว์ผู้ร่วมก่อตั้งโรงเรียน คาร์เคียฟไฮสกูล จะต้องลุกขึ้นมาเตรียมตัวไปโรงเรียนแต่เช้า เพื่อออกไปโรงเรียนให้เร็วกว่าปกติจะได้ไปเตรียมตัวกับพิธีการเปิดปีการศึกษาใหม่บ้าบอคอแตกอะไรของโรงเรียน ทั้งๆที่วันนี้เป็นวันที่นักเรียนในโรงเรียนหลายคนโดดเพื่อนอนเล่นอยู่บ้านได้ แต่ฉันไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้นได้เลย เพราะฉันคือคนสำคัญคนหนึ่งที่ต้องเข้าร่วมในพีธีการครั้งนี้ด้วยน่ะสิ แย่ชะมัด
ปังๆๆ
“คุณหนูรินขา ตื่นรึยังคะ เดี๊ยวไปโรงเรียนไม่ทันนะคะคุณหนูของป้า”
เสียงป้าชะมด(ชื่อคนหรือนั่น)สาวใช้เก่าแก่ของบ้านฉันดังขึ้น พร้องกับเสียงทุบประตูที่ฉันคาดว่าป๊าฉันที่อยู่ที่อิตาลีคงได้ยิน(เวอร์ไปไหนนางเองเรื่องนี้) ปลุกฉันให้ตื่นขึ้นอีกที หลังจากที่ฉันตื่นแล้วมานั่งหลับต่อ-*- ก็คนมันง่วงนี่นา
“ค่าๆๆๆ หนูตื่นแล้วค่า จะรีบอาบน้ำแต่งตัวแล้วลงไปนะคะ ป้าชะมดของหนู”
“ค่ะๆ เร็วๆนะคะ”
หลังจากที่ป้าชะมดเดินออกไปจากหน้าประตูห้องของฉัน ฉันก็ยุรยาทตัวเองออกจากเตียงนอนตรงไปที่ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำ ฉันเลือกที่จะอาบน้ำเย็นๆจากฟักบัวแทนการลงไปแช่น้ำอุ่นในอ่างซึ่งฉันคิดว่าถ้าฉันลงไปแช่น้ำอุ่นจริงๆฉันคงได้หลับคาอ่างอีกรอบแน่ๆ
ฉันออกมาจากห้องอาบน้ำด้วยอาการสั่นเล็กๆอันเนื่องมาจากการอาบน้ำเย็น ฉันตรงไปยังตู้เสื้อผ้าอันใหญ่โตมโหฬารเพื่อหยิบฟอร์มโรงเรียนมาใส่ประกอบด้วยกระโปรงดำ เสื้อเชิ้ตสีดำ เน็กไทสีขาว และเสื้อสูทลายสก๊อตสีม่วงสลับขาว ที่ถ้าเป็นวันปกติฉันคงไม่ใส่เพราะมันจะทำให้ฉันร้อนจนทรมานแทบขาดใจแต่แบบฟอร์มที่ฉันใส่น่ะ มีไม่กี่คนหรอกนะที่จะได้ใส่นอกจากลูกหลานตระกูลเวลว์ตระกูลของฉัน และลูกหลานตระกูล ซีวานี ผู้ร่วมก่อตั้งโรงเรียนนี้น่ะ ส่วนนักเรียนที่ไม่ได้มาจากทั้งสองสายตระกูลนี้น่ะจะใส่แบบฟอร์มธรรมดา ก็คือเสื้อเชิ้ตสีขาว เน็กไทสีม่วงเข็ม กระโปรง/กางเกงลายสก๊อตสีเทาสลับม่วง และเสื้อสูทสีเดียวกับกางเกง ฮิๆ เป็นแบบฟอร์มที่เจิดมาก
ฉันหมุนตัวไปมาหน้ากระจบเพื่อเช็คความเรียบร้อยอีกรอบนึง พอเห็นว่าเรียบร้อยดีแล้วฉันก็คว้ากระเป๋าสะพายใบโปรดเดินลงมายังห้องอาหาร พอลงมาถึงก็เห็นโรมพี่ชายผู้เงียบขรึมเย็นชาและยัยมิลานน้องสาวสุดแสบ นั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารแล้ว
“แหม พี่รินคะ ทำไมพี่ไม่ลงมาพรุ่งนี้เลยล่ะ ให้มิลกับพี่โรมนั่งรอจนรากจะงอกอยู่แล้วเนี่ย”
ฉันยืนฟังน้องสาวขี้บ่นของฉัน แล้วไปนั่งที่โต๊ะอาหาร ด้านตรงข้ามกับพี่ชายโรมและยัยมิลาน ถ้าเป็นวันปกติฉันคงเถียงยัยนี่สุดใจขาดดิ้น แต่วันนี้ฉันง่วงเกินกว่าที่จะมาเถียงกับยัยน้องแต่เช้า
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จแล้วฉันก็นั่งรถของตระกูลเพื่อตรงไปยังโรงเรียนพร้อมกับพี่ชายและน้องสาวของฉัน ระยะทางจากบ้านของฉันกับโรงเรียนค่อนข้างไกลพอสมควรฉันจึงได้โอกาสหลับ ทดแทนการนอนไม่เต็มอิ่มของฉันอีกหน่อย พอมาถึงโรงเรียนฉันก็ลงจากรถด้วยอาการงัวเงียสุดขีด ฉันเดินตาปรือไปตลอดทางเดินจนไปถึงทางเข้าหอประชุม ฉันก็ไปจ๊ะเอ๋กับตระกูลอเมริกันเข้าพอดี ฉันยิ้มเนือยๆให้กับ ชาร์ล็อตต์ เพื่อนสาวสุดสวยของฉัน และหันไปจิกตาเล็กน้อยให้กับ ดีทรอยท์ ที่เป็นพี่ชายของยัยชาร์ล็อตต์และเป็นคู่กัดตลอดกาลของฉัน เมื่อยัยชาร์เห็นฉันเธอก็รีบตรงปรี่เข้ามากอดฉันทันทีด้วยความคิดถึง ความจริงฉันก็อยากเดินเข้าไปกอดเธอตั้งแต่ทีแรกแล้วแหละ แต่วันนี้ฉันง่วงนอนจริงๆเลยไม่ได้ทำกิจที่ควรทำกับเพื่อนรักที่ห่างเหินกันไปถึงสองเดือนเต็มๆ
“ทูริน ฉันคิดถึงเธอจัง วันนี้เธอดูแปลกๆนะ ไม่สบายหรือเปล่า”
ชาร์ล็อตต์พูดกับฉันพร้อมเอามืออังหน้าผากของฉันเพื่อดูว่าฉันมีไข้หรือเปล่า
“เปล่าหรอก วันนี้ฉันแค่ต้องตื่นเช้ากว่าปกติทำให้ฉันนอนไม่เต็มอิ่ม มันเลยทำให้ฉันง่วงก็เท่านั้น”
ฉันตอบเพื่อนรักไปด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ที่ทำให้คิ้วของเพื่อนฉันผูกกันเป็นโบอีกรอบ
“เธออย่าพูดด้วยน้ำเสียงอย่างนั้นสิ มันดูเสียบุคลิกนะ”
“ช่างเถอะ ฉันว่าเราเข้าไปข้างในกันดีกว่า ป่านนี้พวกรุ่นพี่สภารอเราจนบ่นอุตุไปแล้วล่ะมั้ง”
ฉันว่าพร้อมกับเอามือไปจับมือของยัยชาร์ล็อตต์แล้วเดินนำทุกคนเข้าไปในหอประชุม เพื่อที่จะฟังว่างานในวันนี้เรามีหน้าที่ต้องทำอะไรบ้าง
-สิบห้านาทีผ่านไป-
ฉันเดินออกมาจากหอประชุมกับยัยชาร์ล็อตต์ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะเริ่มพิธีการ เราสองคนตกลงปลงใจกันแร้วว่าเราจะไปหาอะไรดื่มที่ช๊อปเครื่องดื่ม และพอมาถึงช๊อปยัยชาร์ก็สั่งกาแฟเย็นไปหนึ่งแก้วเธอบอกว่า เผื่อมันจะช่วยให้ฉันกระปรี่กระเปร่าขึ้น แต่ฉันไม่ดืมอะไรที่มีกาเฟอีนสูงขนาดนั้น ฉันเลยเลือกสั่งชาเย็นที่มีกาเฟอีนน้อยกว่าและยังมีน้ำตาลที่จะทำให้ฉันสดชื่นขึ้นมาอีกด้วย
หน้าที่ที่ฉันต้องทำในพิธีเปิดภาคเรียนที่รุ่นพี่มอบหมายให้ฉันคือ...ขึ้นไปยืนเฉิดฉายบนเวทีเพียงเท่านั้น ให้ตายเหอะคิดแล้วมันน่าโมโหจริงๆ ที่ฉันต้องตื่นแต่เช้าเพื่อมายืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนเวทีเพียงแค่นั้น ถ้ารู้อย่างนี้ฉันไม่เสียเวลาตื่นมาโรงเรียนให้เสียสุขภาพหรอก
“นี่ริน ฉันได้ข่าวจากคุณพ่อมาว่า ปีนี้คุณลุงคาร์เคียฟจะส่งนักเรียนหญิงชายหนึ่งคู่ไปแค้มป์แข่งขันนักเรียนต้นแบบด้วยแหละ ฉันน่ะอยากไปมากๆเลยแหละแต่ก็อย่างว่าแหละนะ เค้าต้องไปเป็นคู่หญิงชาย ฉันเลยขอบาย”
“แค้มป์แข่งขันนักเรียนต้นแบบงั้นหรอ ฉันเคยได้ยิมมาว่าต้องไปอยู่ที่ค่ายนั้นเป็นเวลาหนึ่งเดินเต็มเลยไม่ใช่หรอ”
“อืม นั่นแหละใช่เลย แหม ถ้าคู่ที่คุณลุงจะจัดไปเป็นคู่รักในโรงเรียนล่ะก็ มันคงสวีตไม่น้อยเลยล่ะ”ชาร์ล็อตต์พูพ้อมกลับทำตาเคลิ้มฝัน
“เฮอะ เธอก็คิดไปได้ ไม่มีใครที่โชคดีขนาดนั้นหรอก เชื่อฉันเหอะ”
ฉันพูดสกัดดาวยัยชาร์ล็อตต์ ทำให้หน้ายัยนั่นนิ่วลงทันตาเห็น พร้อมกับค่อนวงใหญ่ที่ยัยนั่นส่งมาให้ฉันอีกด้วย
[ขนาดนี้เวลา 7.00 น. ขอให้นักเรียนทุกคน มาพร้อมกันที่หอประชุมโรงเรียนในเวลานี้ค่ะ]
เสียงประกาศจากประชาสัมพันธ์โรงเรียนเรียก บ่งบอกเวลาว่า ถึงเวลาที่ฉันจะต้องไปยืนเมื่อยบนเวทีแล้วแหละ
พิธีการบนเวทีเริ่มต้นขึ้นและผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่พิธีกรจะต้องออกมาพูดอะไรอีกนิดหน่อยเพิ่อปิดพิธีการเปิดภาคเรียนในคาบเช้า
“สวัดดีนักเรียนทุกคนและบุคลากรทุกท่านด้วยนะครับ วันนี้เป็นวันแรกที่นักเรียนทุกคนจะเริ่มกลับเข้ามาศึกษาในรั้วขาวเทาม่วงอีกครั้ง และวันนี้ผมไม่เพียงจะขึ้นมากล่าวปิดพิธีการเพียงเท่านั้น ผมมีข่าวจะมาบอกนักเรียนทุกคนด้วยนะครับ ปีนี้โรงเรียนของเราจะส่งนักเรียนคู่หนึ่งของโรงเรียนไปเป็นตัวแทนเพื่อเข้าร่วมแข่งขันใน ‘แค้มป์แข่งขันนักเรียนต้นแบบ’ ประจำปีนี้ และนักเรียนหญิงชายคู่นี้ก็เหมาะสมที่จะเป็นนักเรียนต้นแบบของโรงเรียนเราเป็นอย่างมาก ผ่านการคัดเลือกของบุคลากรทั้งโรงเรียน และนักเรียนในโรงเรียนอีกส่วนหนึ่ง ฝ่ายหญิงที่จะได้ไปแค้มป์นี้ก็คือ มิส เวลล์ ทูริน นั่นเองครับ ขอเชิญมิส เวลล์ ก้าวออกมาหน้าเวทีด้วยครับ”
เสียงปรบมือดั่งจนลั่นหอประชุม ฉันล่ะอยากเห็นหน้าผู้โชคร้าย เอ๊ย โชคดีคนนั้นจริงๆเลย ว่าแต่เธอชื่อว่าอะไรนะ ทูริน งั้นเหรอ ชื่อเหมือนฉันเลยนะ แต่เดี๊ยวนะ เวลล์ ทูริน งั้นเหรอ นั่นมันชื่อฉันนี่ อ๊ากกก ฉันอยากจะบ้า ผู้โชคดีคนนั้นคือฉันเองงั้นเหรอ ไม่จริงมั้ง
“นี่พี่รินคะ เค้าเรียกชื่อพี่น่ะค่ะ พี่รีบๆออกไปสิคะ คนอื่นรอพี่อยู่นะ”
ยัยมิลานพูดขึ้นพร้อมสะกิดฉันเบาๆ แต่เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมขยับไปไหน ยัยนี่เลยออกแรงผลักฉันออกไปข้างหน้า เป็นเหตุให้ฉันต้องเดินออกมาหน้าเวทีอย่างจำยอม
“ครับ และนี่คือมิส เวลล์ ทูริน หรือ ที่ทุกคนรู้จักกันในตำแหน่งเจ้าหญิงอันดับหนึ่งประจำโรงเรียน และในเมื่อมีเจ้าหญิงก็จำเป็นต้องมีเจ้าชายใช่มั้ยครับ ที่ผมพูดไปผมรู้ว่าทุกคนคงอาจจะรู้บ้างแล้วว่าฝ่ายชายอีกคนที่จะต้องไปเข้าแค้มป์กับเจ้าหญิงของเรานั้นคือใคร...” ไม่นะนายพิธีกร นายห้ามเอ่ยชื่อนั้นออกมาเด็ดขาด ต้องไม่ใช่นายบ้านั่นเด็ดขาด “...ใช่แล้วล่ะครับ ฝ่ายชายนั่นก็คือ มิสเตอร์ ซีวานี ดีทรอยท์ หรือเจ้าชายอันดับหนึ่งของโรงเรียนนั่นเอง ขอเชิญมิสเตอร์ ซีวานี ออกมายืนหน้าเวทีด้วยครับ”
โอ๊ยยย ไม่จริง นี่ฉันกำลังยืนหลับแล้วฝันอยู่ใช่มั้ย ฉันลองเอามือมาหยิกแขนตัวเอง โอ๊ย ทำไมมันเจ็บล่ะ ถ้าอยู่ในฝันมันต้องไม่เจ็บสิถูกมั้ย ฮือๆๆ ทำไมพระเจ้าต้องแกล้งฉันอย่างนี้ด้วย นอกจากฉันจะต้องจากบ้านมาอยู่แค้มป์เส็งเคร็งอะไรนั่นเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว ฉันยังจะต้องไปทนอยู่กับไอ้ผู้ชายเส็งเคร็งนามว่าดีทรอยท์อีกหนึ่งเดือนเต็ม ถ้าหากฉันกลับมาแล้วไม่ครบสามสิบสอง หรือว่ากลับมาโดยสติไม่สมประกอบล่ะก็ ไม่ต้องสงสัยหรอก ฉันคงทะเลาะกับนายนี่จนเป็นบ้าหรือไม่ก็พิการกลับมาแน่ๆ อาเมน -/\-
“โชคดีจังเลยนะ เธอว่ามั้ย”
ฉันหันไปมองหน้านายดีทรอยท์ที่ตอนนี้มายืนอยู่ข้างๆฉัน แถมยังยืนอยู่ใกล้มากอีกด้วย ถ้าจะยืนชิดฉันขนาดนี้นะ สิงฉันเลยเหอะ
“นี่นาย ออกไปยืนไกลๆหน่อยได้มั้ย ฉันรังเกรียจ”
ฉันส่งสายตารังเกรียจไปให้นายนั่น แต่เหมือนสายตาฉันจะไม่มีผลอะไรกับคนหน้าด้านหน้าทนอย่างเขาเลย แถมหมอนี่ยังส่งสายตาหวานเยิ้มน่ารังเกรียจมาให้ฉันอีก ให้ตายสิขนลุกชะมัด
“รังเกลียจฉันเหรอ ฉันเสียใจนะทูริน เธอลองพูดใหม่อีกทีสิ”
นายนั่นไม่พูดเปล่า แถมยังขยับมาใกล้ฉันยิ่งขึ้น ฉันจึงต้องขยับออกไปอีก
“ฉันรังเกลียจนาย ไม่ใช่สิ ฉันขยะแขยงนายตั้งหาก”
“ขยะแขยงเลยเหรอ เจ็บจี๊ดเลยนะคำนี้ แต่ฉันไม่เชื่อหรอก เธอลองพูดใหม่อีกทีสิ คราวนี้ขอดังๆเลยนะ”
นายนี่พูดพร้อมกับส่งยิ้มยั่วอวัยวะเบื้องล่างมาให้ฉัน นายคิดว่าฉันไม่กล้าทำรึยังไง ตอนนี้คนเค้ารู้กันทั่วโรงเรียนแล้วว่านิสัยฉันไม่ใช่นางฟ้านางสวรรค์ที่จะใจดีและเป็นมิตรกับทุกคน ฉันคือทูรินเดวิลพรินซ์เซสหรือเจ้าหญิงซาตานแห่งคาร์เคียฟไฮสคูลเลยนะ นายดูถูกฉันเกินไปซะแล้ว นายเจ้าชายหมายเลขหนึ่ง
“ฉันเกลียดนาย”
ฉันพูดด้วยเสียงระดับปกติ ที่มันดังพอจนพิธีกรได้ยิน ทำให้พิธีกรเงียบลงไปแต่ยังคงมีเสียงพวกเด็กนักเรียนคุยกันอยู่
“ฉันเกลียดนาย!”
คราวนี้ฉันเพิ่มระรับเสียงให้ดังขึ้นมากกว่าเดิม แต่ยังดังไม่มากพอที่จะทำให้ทั้งหอประชุดเงียบ แต่ก็มีนักเรียนบางส่วนที่เริ่มเงียบเพราะเห็นว่าพิธีกรเงียบไป
“ฉันเกลียดนาย!!”
คราวนี้ฉันเพิ่มเสียงให้มาขึ้น คาดว่าทุกคนในหอประชุมนี้คงได้ยินจึงพร้อมใจกันเงียบไปหมด ฉันจึงหันไปกวาดสายตาดูเหตุการณ์ข้างล่างเวทีและยิ้มให้ทุกคน ฉันหันกลับมามองนายดีทรอยท์ที่ตอนนี้ยืนนิ่งด้วยความตกใจ หึ คราวนี้แหละนายจะได้รู้สักทีว่าคราวหน้าคราวหลังอย่ามาท้าอะไรงี่เหง้ากับฉันอีก
“หึ นายรู้อะไรมั้ย ฉันน่ะเกลียดนายมากๆเลยนะ อ๊ะไม่สิ ทั้งเกลียดทั้งรังเกรียจทั้งขยะแขยงเลยตั้งหาก”
ฉันพูดในเสียงระดับปกติ แต่ถึงอย่างนั้นคนทั้งหอประชุมก็ยังคงได้ยินอยู่ดี เป็นเพราะพิธีกรไม่ได้ปิดไมค์รวมถึงคนในหอประชุมเงียบด้วยเช่นกัน ฉันส่งสายตารังเกรียจสุดจริตส่งให้นายเจ้าชายหมายเลขหนึ่งไปหนึ่งครั้งและเดินเชิดหน้าอย่างผู้ชนะลงมาจากเวทีด้วยท่วงท่าสง่างามน่าตบเหลือคณา ฉันคาดกาลเอาไว้ว่า พรุ่งนี้เช้าคงมีจดหมายมาวางเต็มโต๊ะเรียนของฉันอีกเป็นแน่ และมันคงไม่ใช่จดหมายสารภาพรัก จดหมายชื่นชมในตัวฉันที่พวกกลุ่มแฟนคลับของฉันส่งมาให้บ่อยๆ แต่มันคงจะเป็นจดหมายที่เต็มไปด้วยคำก่นด่า สาปแช่งฉันเป็นแน่และพวกที่สงมาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกลุ่มแฟนคลับของนายดีทรอยท์เจ้าชายหมายเลขหนึ่งแห่งคาร์เคียฟไฮสคูล เฮอะ พ่อหนุ่มฮอท
วันนี้นอกจากจะมีพิธีการเปิดปีการศึกษาใหม่แล้ว ยังมีกิจกรรมทำความสะอาดโรงเรียนอีกตั้งหาก แต่ใครจะไม่ทำก็ได้ไม่เป็นไรเพราะรุ่นพี่สภาเพียงขอแรงผู้ที่มีจิตอาสาเท่านั้น ใครที่ไม่อยากทำก็สามารถกลับบ้านไปได้เลย และฉันคงจะเป็นหนึ่งในพวกนักเรียนที่เลือกกลับบ้านไปนอนสบายๆ หากไม่ติดว่าคุณลุงคาร์เคียฟ เรียกฉันเข้าไปคุยเรื่องแคมป์บ้าบออะไรนั่น
“ทูริน ลุงขอร้องหนูล่ะนะ ลุงรู้นะว่าหนูไม่ถูกกับดีทรอยท์ แต่ในเมี่อลุงส่งชื่อหนูกับเขาไปแล้ว หนูก็จำเป็นต้องไปนะ หรือว่าหนูอยากให้ชื่อเสียงโรงเรียนของเราเสียล่ะ หนูจะทำให้โรงเรียนที่พ่อหนูร่วมสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรงพังอย่างนั้นหรอ ลุงคุยกับดีทรอยท์แล้วล่ะ เค้าไม่มีปัญหาอะไรแถมยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีอีกด้วย “
ฉันนั่งฟังคุณลุงคาร์เครียฟบ่นมาได้พักใหญ่ๆแล้วแหละ พูดถึงที่ว่าทำไมต้องเป็นฉันที่ต้องไปแค้มป์อะไรนั่นด้วย นี่ฉันฟังจนจะหลับอยู่แล้วนะ
“คุณลุงต้องการให้หนูยอมตกลงไปใช่ไหมคะ”
ฉันถามออกไปตรงๆเมื่อฉันคิดได้แล้วว่าดื้อดึงไปคงไม่มีประโยชน์อะไร อย่างไงซะคุณลุงก็คงหาเหตุผลมาบ่นให้ฉันฟังได้อยู่ดี ฉันคิดว่าแค่ตอบตกลงไปตั้งแต่แรก ป่านนี้ฉันคงได้กลับไปนอนอยู่บ้านนานแล้วล่ะ
“ใช่จ้ะ”
“ค่ะ หนูตกลงก็ได้ค่ะ ถ้าคุณลุงไม่มีอะไรแล้วหนูขอตัวกลับบ้านนะคะ สวัสดีค่ะ”
ฉันยกมือไหว้คุณลุง แล้วลุกออกจากห้องทันที ฉันอยากกลับบ้าน อยากนอนเต็ที่แล้วล่ะตอนนี้
ความคิดเห็น