คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : My Best Friend 9 : Unsound
My Best Friend
9
Unsound ; ไว้ใจไม่ได้
“ พวกเธอนี่โชคร้ายนะจ๊ะ ”
“แล้ว...
พวกนายมาอยู่แถวนี้ได้ไง”
ไรส์กอดอกแล้วถามทั้งที่ยังนั่งขัดสมาธิไม่เรียบร้อย
ตอนนี้ทั้งสี่คนที่ประกอบด้วย
ภูมิ เมก้า ตองและไรส์กำลังนั่งล้อมวงกัน ส่วนธัญญ์นั้นถูกมัดไว้มุมหนึ่งของสระน้ำอย่างไม่แยแส
สภาพของสามคนนั้นยังจัดว่าดูดีเมื่อเทียบกับเด็กสาวผมน้ำเงินที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบใบหน้า
บริเวณที่เคยเป็นหูซ้ายมีเลือดไหลซิบ แถมเนื้อตัวก็มีแต่แผล ทว่าไรส์ก็ไม่ได้ดูเดือดร้อนกับเรื่องนั้นสักเท่าไร
“ก็.. หลังจากที่โทรคุยกับเกม
เราก็เดินร่อนไปทั่วอ่ะนะ พอเปิดประตูแบบไม่ได้คิดอะไรก็ไปเจอตอง ก็เลยเดินออกไปสำรวจด้วยกันสักพัก
จนไปเผลอเปิดประตูแถวห้องคอมเข้าแล้วมาโผล่ที่สระน้ำนี่แหละ”
เมก้าพยายามอธิบายให้สั้นที่สุดพร้อมขยี้หัวทำท่ายุ่งยากใจ
ส่วนภูมิขมวดคิ้ว เขาถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขานึกถึงโทรศัพท์ที่ได้รับเมื่อตอนตื่นมาที่สระน้ำแห่งนี้
“ต..แต่เกมบอกว่า......ตอง....”
“ตายแล้ว”
ตองต่อคำให้ แต่ใบหน้าของเด็กสาวไม่ได้มีความโกรธเคืองอะไร “ใช่ ไม่ว่าใครก็คงถูกหลอกได้ง่าย
ๆ ล่ะนะ ก็ศพนั่นคล้ายฉันมากเลยนี่นา”
“......หา?”
ทั้งไรส์และภูมิทำหน้าเหมือนต้องการคำอธิบายอย่างมาก
โดยเฉพาะไรส์ที่ไม่รู้เรื่องโทรศัพท์ของเกม ระหว่างที่ภูมิกำลังอธิบายเรื่องการนัดไปห้องประชาสัมพันธ์ของเกมให้ไรส์ฟัง
ตองก็มองหน้าเมก้าแล้วถอนหายใจ
ภาพของเด็กสาวผมหางม้าสีทองในชุดนักเรียนรัฐบาลนอนจมกองเลือด ไม่ว่าใครถ้ามองผ่าน
ๆ ก็ต้องคิดว่าเป็นตองแน่ ๆ
“ฉันกับเมก้า...
เจอกันหน้าศพนั้นแหละ”
“............หา?”
“ตอนที่ฉันตื่นมา ฉันเจอสัตว์ประหลาดเข้าน่ะ......
เป็นสัตว์ประหลาดไม่มีหน้า แล้วก็เลียนแบบเป็นใครก็ได้
แถมยังวิ่งเร็วระดับโอลิมปิกโดยไม่เหนื่อย .....จะว่าไปก็เกือบไม่รอดแล้วนะเนี่ย..”
“ฟังดูไม่น่ารอดอยู่หรอก...
แล้วรอดมาได้ไง” ไรส์ทำหน้าแหย
“มีคนช่วยไว้น่ะ
แต่ฉันไม่ทันดูให้รู้ว่าเป็นใคร เห็นแค่มือ..
เขาช่วยล่อไอ้ตัวประหลาดนั่นไปอีกชั้น แล้วคน ๆ นั้นก็บอกให้ฉันรีบลงไปชั้นล่าง เพราะทางที่ไอ้ตัวนั้นวิ่งไปคือทางที่เพื่อนของเราอยู่น่ะ
ฉันก็เลยวิ่งตามลงไป
ไม่รู้ทำไม ทั้งที่บันไดมีแค่ 4 ชั้นแท้ ๆ แต่ตอนฉันวิ่งลงไปตอนนั้นน่ะ
ฉันรู้สึกอย่างกับวิ่งวนอยู่กับที่เลยล่ะ ฉันยังตกใจเลยที่ตอนวิ่งลงไป
วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีจนต้องหยุดพัก ถึงตัดสินใจวิ่งขึ้นข้างบนก็วนอยู่ตรงทางบันไดไม่ไปไหนเลย...แต่
ไม่รู้สินะ ฉันอาจจะคิดมากไปเพราะเหนื่อยก็ได้น่ะ
แล้วพอฉันลงมาถึงชั้นสอง
ฉันก็เจอตัวเองอีกคนนอนล้มคว่ำอยู่ ใจนี่ตกไปอยู่ตาตุ่มเลย พอไปดูใกล้ ๆ
ก็ยิ่งเหมือน หน้าเหมือนฉันเป๊ะเลย อย่างกับเห็นตัวเองตาย น่ากลัวมากเลยล่ะ....
ในตอนที่ฉันทำอะไรไม่ถูก เมก้าก็เดินมาเจอพอดี”
“เปิดประตูมาจากแถวห้องคอมอ่ะนะ..”
เมก้ายิ้มเจื่อน
“อืม
เมก้าทำหน้าตกใจมากเลยล่ะ ฉันเลยต้องอธิบายว่าฉันเป็นตัวจริง
ตอนแรกเมก้าก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอช่วยกันพลิกสำรวจศพนั่นดู จู่ ๆ
ใบหน้าของร่างนั้นก็ละลายเหมือนเทียนไขน่ะ ทำให้รู้ว่านั่นเป็นตัวปลอมแน่ ๆ ...”
ทั้งสี่คนมองหน้ากัน
ภูมิเงียบเหมือนไม่รู้จะออกความเห็นอะไร ส่วนไรส์หรี่ตามองตองเหมือนจับผิด
“เมก้า.......นายเชื่อยัยนี่หรอ?”
“เอ๊ะ?”
เมก้าส่งเสียงร้องเหมือนตกใจ
ส่วนตองเลิกคิ้วเมื่อไรส์เรียกเธอด้วยสรรพนามที่มีความดูถูกชัดเจน
ซึ่งปกติไรส์จะไม่ทำเช่นนั้นกับเธอ ไรส์ส่งเสียงลอดผ่านไรฟัน
สร้างคำพูดที่กระพือความสงสัยขึ้น
“ไม่มีอะไรยืนยันว่าสัตว์ประหลาดนั่นมีตัวเดียว”
“!!”
“เพราะตอนที่อยู่ตรงห้องคหกรรม...
ฉันก็เจอตองตัวปลอมมาคนหนึ่งแล้ว”
ไรส์นึกถึงภาพของสัตว์ประหลาดที่วิ่งไล่ตามเอวา
ใบหน้าที่เหมือนกับตองเป๊ะบิดเบี้ยว คอก็หักงอ ถ้าบริเวณที่เจอศพตองตัวปลอมคือแถวชั้นสองก็แปลว่านั่นเป็นสัตว์ประหลาดคนละตัว
เพราะเรื่องนี้น่าจะเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน
แปลก... ไรส์คิด
เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทะแม่ง ๆ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเรื่องอะไร
ส่วนเมก้าและตองเบิกตากว้างตั้งแต่ที่ได้ยินสมมติฐานว่ามีสัตว์ประหลาดมากกว่าหนึ่งตัวแล้ว
ภูมิที่คิดว่ามันแปลก ๆ ตั้งแต่ตองเล่าว่าที่นี่มีสัตว์ประหลาดแล้ว
แต่พอนึกถึงพวกปลาแปลก ๆ ในสระเมื่อกี้ คำพูดนั้นก็มีน้ำหนักขึ้นมาทันที ทำให้เขาเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วว่าที่นี่มันคืออะไรกันแน่
มีทั้งศพ ทั้งสัตว์ประหลาดแล้วยังจะเกมบ้า ๆ พวกนี้อีก ทั้งหมดนี่คืออะไรกันแน่
มันเป็นความฝัน ภาพหลอน หรือมนตร์ดำ
เหนืออื่นใด
มันมีขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร? ในขณะที่ภูมิจมลงสู่ห้วงความคิด
เมก้าก็เริ่มขยับตัวออกห่างจากตองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ฉันไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ว่าฉันเป็นตัวจริง”
ตองสารภาพออกมา “ฉันยืนยันได้ด้วยคำพูดเท่านั้นว่าฉันเป็นเพื่อนของเธอ......ในขณะเดียวกัน
ในสายตาของฉันก็ควรจะสงสัยมากกว่าว่าในพวกเราห้าคนนี้อาจจะมีพวกมันอยู่”
“........”
อย่างที่ตองว่า
หากมีสัตว์ประหลาดที่เลียนแบบใบหน้าเป็นใครก็ได้อยู่จริง และระบุจำนวนพวกมันไม่ได้
ก็ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าใครเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ เมก้าตัวจริงอาจจะไม่ได้เปิดประตูมาที่นี่
ไรส์ตัวจริงอาจจะอยู่ที่ห้องคหกรรม ภูมิตัวจริงอาจจะไม่ได้อยู่ที่สระน้ำ หรือแม้แต่เกมตัวจริง.....อาจจะไม่ได้โทรศัพท์?
ในสถานการณ์ที่การรวมกลุ่มทำให้รู้สึกสบายใจ
แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงของการเจอตัวปลอมปะปน การแยกตัวออกไปคนเดียวจะปลอดภัยกว่าหรือเปล่า?
ตอนนี้สามารถเชื่อใจอะไรได้บ้าง?
แม้แต่ความทรงจำของตัวเอง...ยังสับสนเลยนะ?
“พวกเธอน่ะเป็นใครกันแน่”
จู่ ๆ
ตองก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นต่ำ ดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายหม่นหมองลง
บรรยากาศที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้อีกสามคนที่นั่งอยู่สะดุ้ง ไรส์หรี่ตามองกลับอย่างระแวง
ภูมิก็ตั้งท่าจะถามแต่ถูกตองขัดก่อน
“ไม่ต้องถามอะไร
ตอบมา”
ทั้งสามถูกกดดันด้วยสีหน้าที่จริงจังของตอง
ทำให้ไรส์ต้องถอนหายใจเป็นคนแรก
“ฉันไรส์ไง
อายุ 15 เรียนวิทย์-คณิต เรียนอยู่รดาวรรณ เรียนห้องเดียวกับเธอตอนม.ต้น ชื่อพ่อแม่นี่ไม่ต้องใช่ไหม?”
“อ..เอ่อ เราก็ภูมิ
อายุเท่าทุกคนเรียนสายศิลป์-ญี่ปุ่น เรียนอยู่สาธิตดารณีวิทยา ห้องเดียวกับพวกบอสน่ะ
เราอาจจะเข้ากลุ่มนี้มาเป็นคนสุดท้าย...แต่ก็พยายามเข้ากับทุกคนอยู่นะ!”
“ส่วนเราก็เมก้า...เรียนศิลป์-ญี่ปุ่นที่โรงเรียนรดาวรรณ
ห้องเดียวกับพวกนาโนไง”
ทั้งสามคนมองหน้าตองเหมือนสงสัยว่าจะถามในเรื่องที่รู้อยู่แล้วไปทำไมกัน
ทำให้ตองถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยิ้มเหมือนโล่งอก
“อาฮะ
พวกเธอน่ะเป็นตัวจริงสินะ”
“หา?”
ไรส์ส่งเสียงออกมาอย่างไม่ใส่ใจของจำพวกมารยาทกับกาลเทศะ
แถมยังทำหน้าตาเหมือนมองเศษขยะติดเชื้อโรคจนตองเหงื่อตก อีแบบนี้ตัวจริงแหง ๆ เธอยกมือสองข้างยอกแพ้ก่อนจะถูกเพื่อนผมน้ำเงินต่อยเอา
“ก็.....ก็ตอนที่ฉันเจอกับตัวประหลาดนั่น
ฉันถามว่าพวกมันเป็นตัวอะไร พวกมันก็ถามชื่อตัวเองกลับแล้วบอกว่าฉันคือคนที่เธอบอกไม่ใช่หรอ?
นี่นา”
“แค่นั้นอ่ะนะ!” เมก้าโพล่ง
“เราว่ามันเอามายืนยันอะไรไม่ได้เลยนะ....”
“ง..ง่า....ก็มัน.......”
ระหว่างที่ตองโดนสองหนุ่มรุมโวยวาย
ไรส์ก็เริ่มใช้ความคิด จะว่าไป ตอนนั้นตองตัวปลอมตรงห้องคหกรรมก็พูดประมาณนั้นนี่นะ...
‘ก็เธอบอกว่าฉันคือตองนี่’ ? แปลว่านั่นอาจจะพออ้างอิงได้
“ไม่หรอก...ที่ตองพูด
ก็มีเหตุผล”
ว่าแล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เธอตองตัวปลอมให้ทั้งสามคนฟัง
เมื่อฟังจบทั้งสามคนก็ทำหน้าเหมือนลำบากใจ ไรส์พูดแก้สถานการณ์นิ่ง ๆ ปล่อยให้ภูมิพยักเพยิดเออออไปด้วย
“เอาน่า
อย่างน้อยก็พอรู้วิธีแยกแยะพวกนั้นออกจากตัวจริงแล้วน่า”
“น..นั่นสิเนอะ
ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรล่ะ..เราว่า”
ตองถอนหายใจ
“เอาเถอะงั้นก่อนหน้านั้นเรามาเขียนแผนที่กัน”
“แผนที่?”
“ก็โลกนี้
เส้นทางมันไม่เชื่อมต่อกันใช่ไหมล่ะ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะเชื่อมต่อไปทางเดิมบ้างแหละ
ไม่งั้นมันจะเละเทะเกินไปน่ะสิ อืม...ไม่มีกระดาษแฮะ โทรศัพท์ใครใช้ได้บ้างไหม?”
“อ่า
ของเรายังได้ ๆ “
“ขอบใจจ้ะภูมิ”
ภูมิหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องสีดำดูเป็นทางการขึ้นมา
เขาเปิดโน้ตเตรียมบันทึกสิ่งที่ ตอง เมก้าและไรส์จะบอก ทั้งสามคนช่วยกันนึกเรื่องราวเท่าที่จำได้อย่างสุดกำลัง
ซึ่งเรื่องพวกนั้นคือประตูพวกเขาเปิดไปแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้านาที
โน้ตรวมประตูที่เปิดแล้วก็เสร็จสมบูรณ์ ทว่าพวกเขาต้องเลิกคิ้วสูง บันทึกที่ได้มีข้อความดังนี้
ประตูห้องครัวคหกรรม
: สระน้ำ
ประตูห้องธุรการ
: สระน้ำ
ประตูห้องคอม
: ห้องธุรการ
“หืม...ประตูห้องธุรการเป็นบานเดียวกันแท้
ๆ แต่กลับเปิดออกไปได้สองที่งั้นหรอ..” ไรส์ว่า
“น่าจะมีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ...”
ภูมิลูบคางครุ่นคิด
ถ้าเปิดประตูห้องธุรการออกก็จะไปถึงสระน้ำ แต่ถ้าจะเข้าห้องธุรการกลับไปต้องเข้าจากทางห้องคอม?
งั้นถ้าเปิดประตูบานเดิมจากสระน้ำ จะไปโผล่ที่ไหนกัน
หรือว่าประตูในนี้จะถูกแยกทางเข้ากับออกไว้จากกัน ทว่าแบบนั้นแปลว่าการใช้ประตูจะยุ่งยากกว่าเดิม
เพราะต้องหาว่าในประตูหนึ่งบาน เข้าและออกจากทางไหนได้บ้าง
ยังไม่นับกรณีที่ออกแล้วกลับเข้าประตูบานเดิม ตองมุ่นคิ้วแล้วเอ่ย
“ถ้าตีว่าประตูมีทั้งหมดอย่างน้อย
10 บาน....ความเป็นไปได้ก็เกินร้อยล้านเลยนะ....”
“.....”
พวกเขาทำหน้าเหมือนอยากจะเป็นลม
ความน่าจะเป็นมหาศาลนั่นแค่จำนวนขั้นต่ำด้วยซ้ำ
เพราะประตูนั้นมีมากกว่าสิบบานแน่นอน ถ้าจะตรวจสอบ จำเป็นต้องทดลองเปิดดูเท่านั้น
แต่หากลองเปิดดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหน ดูเหมือนการกระทำที่ฉลาดที่สุดคือการนั่งรออยู่กับที่
แต่ว่าแบบนั้นก็แปลว่าพวกเขาจะไปไม่ถึงห้องประชาสัมพันธ์และจบเกมนี่ไม่ได้
“นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย.......”
ไรส์สบถ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย
เรื่องบ้า ๆ พวกนี้ชักจะออกนอกความสามารถพื้นฐานในการรับรู้ของมนุษย์เข้าไปทุกที ดวงตาสีเปลือกไม้มองสีหน้าของทั้งสามคนแล้ว
เมก้าที่เงียบมาจนถึงเมื่อกี้ เริ่มออกความเห็นบ้าง เขาตวัดสายตาเหลือบมองธัญญ์ที่ยังไม่ได้สติ
“ยังไงก็หาทางไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ
ลองกลับไปทางห้องคหกรรมที่ไรส์มาก็ได้ อาจจะพอ... เอ้อ ไม่สิ
ทางพวกนี้มันไม่เชื่อมต่อกันนี่นา เอายังไงดีเนี่ย....”
“เอ๊ะ
เดี๋ยวนะ จริงสิ....ห้องคหกรรม........”
ไรส์ยกมือห้ามไม่ให้เมก้าพูดต่อ
เหมือนจะนึกเรื่องสำคัญได้ เธอขอโน้ตในโทรศัพท์ภูมิมาดูอีกครั้ง
ซึ่งภูมิก็ได้แต่ยื่นโทรศัพท์ให้แบบงง ๆ
ดวงตาสีอำพันกวาดมองบันทึกที่มีอยู่น้อยนิดก่อนจะหรี่ลง
ไรส์เม้มริมฝีปากเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วหันหน้ามาบอกข่าวร้ายให้อีกสามคนฟัง
“บันทึกนี่
ใช้อ้างอิงไม่ได้”
“เอ๋!?”
“ทำไมล่ะไรส์.?
หรือว่าประตูนี่มันเชื่อมต่อมากกว่า 1 สถานที่...”
ตองว่า..
ถ้าเป็นแบบนั้นจริงความน่าจะเป็นจะยิ่งเพิ่มพูนจนคำนวณไม่ไหว แต่ไรส์แค่ส่ายหัวตอบ
และมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “ฉันว่ามันต้องมีเงื่อนไขบางอย่างที่พวกเรามองข้ามไป...
ประตูนี่มันต้องมีเงื่อนไขการใช้งานแน่ ๆ “
“หมายความว่ายังไงน่ะ...”
“จำตอนที่ฉันเล่าว่าเจอกับตองตัวปลอมได้ไหม
ตอนที่ฉันอยู่ในห้องคหกรรมพร้อมนาโน แล้วก็เจอกับเอวาน่ะ”
“อาฮะ
ที่มีศพขยับได้...” ภูมิพยักหน้า
“อย่าพูดถึงไอ้ศพนั่นได้ไหม
โคตรน่ากลัว....” ไรส์ลูบต้นแขนมองค้อนกลับไปยังภูมิที่พูดกระตุ้นความทรงจำเลวร้ายจนเป็นแผลใจของเธอ
“เออ แต่ก็ตอนนั้นแหละ
ตอนนั้นฉันกับนาโนได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งกับเสียงของตองตัวปลอมกับเอวา ก็เลยเปิดประตูน่ะ”
ตองทำตาโต
“อ๊ะจริงด้วย..! แล้วตอนนั้นเธอเปิดไปเจอที่อื่นงั้นหรอ!?”
“ไม่ตอง...
ฉันกับนาโนเปิดประตูเพราะมั่นใจว่าเอวาน่าจะทำลังเดือดร้อน แต่ถึงอย่างนั้น
ประตูที่เปิดก็เชื่อมต่อกับโถงทางเดินปกติ เป็นประตูที่เปิดได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ”
ความเงียบแผ่คลุมบรรยากาศในชั่วอึดใจ
ทั้งสี่คนมองหน้ากันนิ่ง
ใช่ พวกเขากำลังสับสน เพราะตอนนี้เรื่องชักเริ่มยุ่งยากขึ้นทุกที
ประตูพวกนี้มันยังไงกันแน่ ประตูบางบานก็เปิดแล้วไปโผล่ที่อื่น บางบานก็ไม่
ยิ่งเอาไปรวมกับสิ่งที่ เพื่อน บอกว่าการทำลายประตูเป็นสิ่งที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต
ก็ยิ่งสับสน ความหมาย...เงื่อนไข...รวมถึงเหตุผลที่ประตูแต่ละบานไม่เชื่อมต่อกัน
คิดเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ
“.......นี่มันไสยศาสตร์ประเภทไหนกันนะ”
ไรส์พึมพำขึ้นมาทำให้ถูกมองด้วยสายตาแปลก
ๆ ดูเหมือนเธอจะเริ่มเพ้อคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่คือมนตร์ดำแล้ว
ซึ่งในความเห็นของเจ้าตัวก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว เรื่องที่มีศพ
มีเครื่องใน ไหนจะเกมประหลาด ๆ พวกนี้อีก ถ้าไม่ใช่เวทมนตร์แล้วจะเป็นอะไร....
เธอเชื่อสุดใจเลยล่ะว่านี่คือโลกต่างมิติ
แล้วยังไงต่อล่ะ?
เชื่อแล้ว
ทำความเข้าใจแล้ว แล้วจะได้อะไร?
ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง
มีคนตายจริง ๆ แล้วเธอจะทำอะไรได้? เล่นเกมนี้แล้วจะได้อะไร?
มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเธอน่ะ.. มีแต่ต้องเต้นไปตามเกมจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ
นอกนั้นแล้วยังจะต่อต้านอะไรได้อีก?
“ใจเย็นไว้นะไรส์...เรื่องพวกนี้....อืม......นั่นสินะ.....มันอะไรกันแน่.....”
ตองที่พยายามเข้าไปปลอบใจเพื่อนสาวชะงัก
ตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรดี ในเมื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นถี่ ๆ
แบบนี้
ส่วนตัวเธอเองก็เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะไสยศาสตร์หรือมนตร์ดำบางอย่าง
เด็กสาวผมหางม้าทำได้เพียงทรุดตัวลงข้าง ๆ เพื่อนผมน้ำเงิน ไรส์ถอนหายใจ
ไม่ได้อยากจะทำให้เพื่อนรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้หรอก แต่ตัวเธอเองก็ชักไม่ไหวแล้ว
ไหนจะเรื่องที่โดยศพลุกขึ้นมาจับตัว ไหนจะเรื่องที่โดนปลาประหลาดกินหูไปอีก
เจ็บจะแย่แล้ว เสียสติตามธัญญ์ไปดีไหมเนี่ย
พูดถึงธัญญ์
เธอก็เหลือบไปมองตรงที่เด็กสาวผมหยกถูกมัดอยู่
“เฮ้ย!? ยัยธัญญ์! ไปทำอะไรตรงนั้น!!!”
เสียงโวยวายทำให้ภูมิและเมก้าหันไปดู
ตอนแรกพวกเขาเสมองไปทางอื่นเพราะอยากให้เวลาส่วนตัวกับสาว ๆ ในการปลอบใจกัน
แต่ดูท่าว่าตอนนี้คงต้องสนใจแล้ว เมื่อตรงที่ธัญญ์อยู่มีรอยเลือดลากพรืดเป็นทางยาวไปถึงหน้าประตูสระว่ายน้ำที่พวกเมก้าเปิดเข้ามา
สันนิษฐานได้ว่าธัญญ์คงจะคลานไปโดยใช้ไหล่ตอนที่พวกเขาไม่ได้จับตาดูกัน
เมก้ากัดฟัน
เขายันตัวลุกขึ้นหมายจะไปลากตัวเด็กสาวกลับมาก่อนเธอจะดันประตูไปโผล่ที่ไหนไม่รู้
ไม่น่าปล่อยให้คลาดสายตาเลย!!!
แกร่ก
“….!!!”
ทว่าก่อนที่เมก้าจะไปคว้าตัวธัญญ์ไว้ได้
ประตูก็เปิดออก ประตูเหล็กที่ดูหนักค่อย ๆ เปิดโดยที่ธัญญ์ยังไม่ได้แตะด้วยซ้ำ
หมายความว่ามีคนเปิดเข้ามาจากอีกด้าน เมก้าชะงักถอยหลังด้วยความระวัง ที่ปลายทางของประตูมีสองร่างยืนอยู่
เด็กสาวผมเปียยาวสีชมพู
ตาสีน้ำเงินซัฟไฟร์ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์มีแว่นทรงกลมสีแดงสวมอยู่
เด็กคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังเด็กสาวอีกคน นัยน์ตาว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตา
ส่วนอีกคน....
ไรส์หรี่ตามองร่างสีขาวที่มีบรรยากาศของความอ่อนโยนแผ่ทับนั้น
“......เอล?”
เมก้าพึมพำเบา ๆ เมื่อเห็นคนผมชมพูที่ยืนอยู่หลังเด็กสาวผมขาว
ดวงตาสีเปลือกไม้มองบุคคลตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ “กับ........เธอ......เป็นใคร?”
“แก....ในฝันฉัน?”
เด็กสาวสีขาวระบายยิ้มเป็นเส้นโค้งอย่างงดงาม
เธอหัวเราะเสียงใสตอบรับเสียงอันร้อนรนของเมก้าและไรส์ ถ้าสังเกตดี ๆ
จะเห็นว่าที่ช่วงท้องของเธอมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่ แต่เจ้าตัวดูไม่ได้ดูเหมือนเจ็บปวดอะไรมากมาย
ดวงตาสีทองหม่นแฝงประกายเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนมองพวกเขาทั้งหมดในที่นั้นเหมือนมีความเศร้าปะปน
“ฝัน...
นั่นสินะจ๊ะ....ฉันดรีมไงจ๊ะ พวกเธอเองก็คงจำไม่ได้สินะ..”
เสียงหวานปานน้ำผึ้งละลายนั้นจับพวกเขาไว้ได้อยู่หมัด
บรรยากาศของเด็กสาวที่ชวนให้คิดถึงเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานทำให้พวกเขาเผลอกลั้นหายใจ
ความรู้สึกคุ้ยเคยอย่างประหลาดก่อตัวขึ้นทั้งที่ความทรงจำเกี่ยวกับร่างตรงหน้าว่างเปล่า
พวกเขามองหน้ากันเหมือนอยากจะปรึกษา
“จำไม่ได้........
แปลว่าพวกเรารู้จักเธอหรอ?”
ตองถามขึ้น แต่ดรีมเพียงแค่เอียงคอ
ยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนเช่นเดิม เสียงอ่อนหวานถักทอถ้อยคำขึ้นมาเศร้า ๆ
เธอแสดงท่าทางพวกนั้นเหมือนกำลังเล่นละคร
แต่น่าแปลกที่ทุกคนไม่รู้สึกขัดใจในท่าทางนั้นเลย
ตรงข้ามกลับยิ่งอยากจับจ้องร่างนั้น เหมือนผู้ชมที่ถูกนักแสดงตรึงไว้กับที่นั่ง
“จ้ะ...
รู้จักสิ น่าเศร้านะจ๊ะที่ตอนนี้ไม่ว่าฉันจะคุยกับใคร ทุกคนก็ลืมฉันไปหมด...
แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ก็ได้แนะนำตัวอีกครั้งแล้ว... เพราะงั้น
ช่วยจำฉันไว้ด้วยนะจ๊ะ.. เพราะการถูกลืมมันน่าเศร้านะ ถ้าเลือกได้
ฉันอยากได้รับการจดจำมากกว่าถูกลืมนะจ๊ะ..”
มือขาว ๆ
กุมไว้ที่อกเหมือนจะบอกว่ามันน่าเศร้าจนทนไม่ได้
แม้รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าจะยังคงประกายความอ่อนโยนไว้ไม่เปลี่ยน
แต่ท่าทางนั้นกลับดูน่าเห็นใจราวกับตัวเธอเป็นดอกไม้สีขาวที่บอบบาง
ทว่ากลับมีสองคนที่ตอบกลับการกระทำนั้น
เหมือนไม่ยอมรับ
“ดรีมหรอ….อย่ามาล้อเล่นนะ ขนลุกโว้ย! แกเป็นใคร
ฉันไม่รู้จักแก!!”
ไรส์ว่าพลางลูบขนแขนที่ขนลุกชัน
ราวกับว่าเธอเป็นคนเดียวที่รู้สึกชิงชังการกระทำนั้น
ยิ่งมีภาพที่แวบเข้าหัวตอนถูกกดลงสระน้ำเมื่อกี้ เธอยิ่งไม่ไว้ใจ
ผู้หญิงคนนี้บีบคอเธอในฝัน..
นั่นอาจเป็นลางบอกเหตุจากจิตใต้สำนึกว่าคนตรงหน้าอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย...
คน ๆ นี้ไว้ใจได้แค่ไหนกัน?
“ขอโทษนะ
เราก็จำเธอไม่ได้ เพราะงั้นคงยอมเชื่อไม่ได้...”
เมก้าว่าพลางหรี่ตาแบบไม่ไว้ใจสุด
ๆ ใบหน้านั้นมีความตกใจรวมอยู่ด้วย เอลที่อยู่ข้างหลังของดรีมยังไม่มีปฏิกิริยา เธอยืนนิ่ง
ๆ เหมือนกับว่าลืมวิธีแสดงความรู้สึกไปแล้ว
เด็กหนุ่มผมส้มทองตั้งท่าเหมือนจะกระโจนใส่อีกฝ่ายหากมีความเป็นศัตรูแม้เพียงนิด
ดรีมป้องปากหัวเราะเบา
ๆ ให้กับการกระทำนั้น
“ไม่เป็นไรจ้ะ
ฉันไม่ขอให้เชื่อหรอก เพราะพวกแกน่ะ....มันเกินเยียวยาแล้วจ้ะ♥”
วูบ..
บรรยากาศของความชิงชังวูบไหวผ่านไป
แม้แต่ภูมิกับตองที่อยู่ห่างออกไปยังรู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นที่ทิ่มแทง
ดรีมยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่มีความเกลียดชังเลยสักจุดในตัวตนนั้น ทว่า...
สีสันที่สะท้อนอยู่ในตาคือความมืดมนไร้ก้นบึ้ง ราวกับกอดเก็บความแค้นไว้แสนนาน
ดวงตาสีทองหม่นมองไปยังเด็กสาวผมน้ำเงิน เหมือนอยากจะพูดกับเธอโดยตรง
“หูขาดงั้นหรอจ๊ะไรส์?
สมน้ำหน้า.... ถ้าฉันเป็นปลาในสระนั้น ฉันจะขย้ำแกจนไม่เหลือกระดูกเชียวล่ะจ้ะ
จนกว่าแกจะตายอย่างงทรมาน ฉันจะไม่ปล่อยแกไปเด็ดขาด จนกว่าจะตายเลย
ฉันเกลียดแกขนาดนั้นเลยน่ะจ้ะ”
เด็กสาวผมขาวพูดเรื่องน่ากลัวออกมาหน้าตาเฉย
รอยยิ้มยังคงอ่อนโยนไม่สั่นไหว แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเกลียดเหลือกำลัง...
ราวกับต้องการจะฆ่าให้ตาย
ดวงตาสีทองหม่นแฝงประกายความอาฆาตมองไรส์อย่างกินเลือดกินเนื้อ
ที่สำคัญ
ดูเหมือนดรีมจะรู้เรื่องของปลาในสระน้ำด้วย ทว่าร่างนั้นดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับตัวตนของสัตว์ประหลาดพวกนั้นเลย
เมก้ายิ่งระวังตัวขึ้นอีก
ดรีมยิ้มหวานให้เขา
“ไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้จ้ะ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก... ไม่สิ ทำไม่ได้มากกว่า”
“หมายความว่ายังไง..?”
ดรีมไม่ตอบคำถามของเขาแต่ก้มลงไปแกะผ้าที่มัดร่างของธัญญ์ไว้
เธอเมินคำถามของเมก้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ
ก่อนจะพึมพำกับเด็กสาวผมหยกด้วยความเศร้าที่เหมือนแสดงละคร
“ใจร้ายจังเลยนะ..
ไม่เป็นไร ฉันมารับแล้วจ้ะธัญญ์”
“ดรีม....ดรีม........”
ดรีมระบายยิ้มอันอ่อนโยนและลูบเรือนผมสีหยกนั้นเหมือนแม่ปลอบขวัญลูก
เธอประคองร่างของเด็กสาวที่บาดเจ็บให้ยืนขึ้น น่าแปลกที่ธัญญ์ดูสงบดีเมื่ออยู่กับเด็กสาวผมขาว
“อื้อ
นั่นสินะ สำรองเอาไว้ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วล่ะนะจ๊ะ เอ้า ไปกันเถอะ”
ว่าแล้วดรีมก็จูงมือพาธัญญ์กลับไปทางที่เข้ามา
ตองเพิ่งสังเกตว่าทิวทัศน์เบื้องหลังนั้นคืออาคารหลัง เธอเบิกตากว้าง ทฤษฎีประตูที่พวกเธอคิดนั้นผิดไปจริง
ๆ ประตูไม่ได้เชื่อมต่อกันจริง ๆ ด้วย
“ด...เดี๋ยว! แล้วเธอจะพาเอลกับธัญญ์ไปไหน!?”
“ไม่ต้องรู้หรอกจ้ะตอง”
ดรีมตอบแทบจะทันที เธอไม่หันกลับมามองเลย “พวกเธอน่ะยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ดี”
หมับ!
“ไม่! เราไม่ยอมให้คนน่าสงสัยแบบเธอพาเพื่อนเราออกไป!!”
เป็นเมก้าที่พุ่งเข้าไปคว้ามือของดรีมไว้
เขามองเด็กสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับดรีมโดยไม่มีท่าทีต่อต้านอะไรเลย
ดรีมหันมามองเขานิ่ง ๆ ทั้งที่ยังมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนประดับใบหน้าอยู่.... ไม่สิ ไม่ได้มองเมก้า
เธอมองไปไกลกว่านั้น...มองไปยังตองกับภูมิแล้วเอ่ย
“พวกเธอนี่โชคร้ายนะจ๊ะ”
พลันเมก้าก็กระโดดถอยหลบออกไปด้วยสัญชาติญาณ
รอยของมีคมวาดผ่านอากาศเป็นทางยาว ดรีมยิ้มทั้งที่ยังกำสิ่วไว้แน่น
ราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้เพิ่งฟันคนตรงหน้าด้วยสิ่วไป
เธอฉวยโอกาสที่เขากระโดดหลบรีบก้าวถอยหลังแล้วจับบานประตูปิดลงทันที
เมก้าตั้งท่าจะตามไป ทว่ามีสิ่งหนึ่งลอยผ่านหน้าไปก่อน
บุ๋ง
ปลาสีแดง..ที่มีปากมนุษย์
ลอยอยู่บนอากาศตรงหน้าเขา
ความคิดเห็น