ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #9 : My Best Friend 9 : Unsound

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 61


    My Best Friend

    9

    Unsound ; ไว้ใจไม่ได้

    พวกเธอนี่โชคร้ายนะจ๊ะ

     

     

     

    “แล้ว... พวกนายมาอยู่แถวนี้ได้ไง”

     

    ไรส์กอดอกแล้วถามทั้งที่ยังนั่งขัดสมาธิไม่เรียบร้อย

     

    ตอนนี้ทั้งสี่คนที่ประกอบด้วย ภูมิ เมก้า ตองและไรส์กำลังนั่งล้อมวงกัน ส่วนธัญญ์นั้นถูกมัดไว้มุมหนึ่งของสระน้ำอย่างไม่แยแส สภาพของสามคนนั้นยังจัดว่าดูดีเมื่อเทียบกับเด็กสาวผมน้ำเงินที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบใบหน้า บริเวณที่เคยเป็นหูซ้ายมีเลือดไหลซิบ แถมเนื้อตัวก็มีแต่แผล ทว่าไรส์ก็ไม่ได้ดูเดือดร้อนกับเรื่องนั้นสักเท่าไร

     

    “ก็.. หลังจากที่โทรคุยกับเกม เราก็เดินร่อนไปทั่วอ่ะนะ พอเปิดประตูแบบไม่ได้คิดอะไรก็ไปเจอตอง ก็เลยเดินออกไปสำรวจด้วยกันสักพัก จนไปเผลอเปิดประตูแถวห้องคอมเข้าแล้วมาโผล่ที่สระน้ำนี่แหละ”

     

    เมก้าพยายามอธิบายให้สั้นที่สุดพร้อมขยี้หัวทำท่ายุ่งยากใจ ส่วนภูมิขมวดคิ้ว เขาถามอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เขานึกถึงโทรศัพท์ที่ได้รับเมื่อตอนตื่นมาที่สระน้ำแห่งนี้

     

    “ต..แต่เกมบอกว่า......ตอง....”

     

    ตายแล้ว” ตองต่อคำให้ แต่ใบหน้าของเด็กสาวไม่ได้มีความโกรธเคืองอะไร “ใช่ ไม่ว่าใครก็คงถูกหลอกได้ง่าย ๆ ล่ะนะ ก็ศพนั่นคล้ายฉันมากเลยนี่นา”

     

    “......หา?”

     

    ทั้งไรส์และภูมิทำหน้าเหมือนต้องการคำอธิบายอย่างมาก โดยเฉพาะไรส์ที่ไม่รู้เรื่องโทรศัพท์ของเกม ระหว่างที่ภูมิกำลังอธิบายเรื่องการนัดไปห้องประชาสัมพันธ์ของเกมให้ไรส์ฟัง ตองก็มองหน้าเมก้าแล้วถอนหายใจ ภาพของเด็กสาวผมหางม้าสีทองในชุดนักเรียนรัฐบาลนอนจมกองเลือด ไม่ว่าใครถ้ามองผ่าน ๆ ก็ต้องคิดว่าเป็นตองแน่ ๆ

     

    “ฉันกับเมก้า... เจอกันหน้าศพนั้นแหละ”

     

    “............หา?”

     

    “ตอนที่ฉันตื่นมา ฉันเจอสัตว์ประหลาดเข้าน่ะ...... เป็นสัตว์ประหลาดไม่มีหน้า แล้วก็เลียนแบบเป็นใครก็ได้ แถมยังวิ่งเร็วระดับโอลิมปิกโดยไม่เหนื่อย .....จะว่าไปก็เกือบไม่รอดแล้วนะเนี่ย..”

     

    “ฟังดูไม่น่ารอดอยู่หรอก... แล้วรอดมาได้ไง” ไรส์ทำหน้าแหย

     

    มีคนช่วยไว้น่ะ แต่ฉันไม่ทันดูให้รู้ว่าเป็นใคร เห็นแค่มือ.. เขาช่วยล่อไอ้ตัวประหลาดนั่นไปอีกชั้น แล้วคน ๆ นั้นก็บอกให้ฉันรีบลงไปชั้นล่าง เพราะทางที่ไอ้ตัวนั้นวิ่งไปคือทางที่เพื่อนของเราอยู่น่ะ

     

    ฉันก็เลยวิ่งตามลงไป ไม่รู้ทำไม ทั้งที่บันไดมีแค่ 4 ชั้นแท้ ๆ แต่ตอนฉันวิ่งลงไปตอนนั้นน่ะ ฉันรู้สึกอย่างกับวิ่งวนอยู่กับที่เลยล่ะ ฉันยังตกใจเลยที่ตอนวิ่งลงไป วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักทีจนต้องหยุดพัก ถึงตัดสินใจวิ่งขึ้นข้างบนก็วนอยู่ตรงทางบันไดไม่ไปไหนเลย...แต่ ไม่รู้สินะ ฉันอาจจะคิดมากไปเพราะเหนื่อยก็ได้น่ะ

     

    แล้วพอฉันลงมาถึงชั้นสอง ฉันก็เจอตัวเองอีกคนนอนล้มคว่ำอยู่ ใจนี่ตกไปอยู่ตาตุ่มเลย พอไปดูใกล้ ๆ ก็ยิ่งเหมือน หน้าเหมือนฉันเป๊ะเลย อย่างกับเห็นตัวเองตาย น่ากลัวมากเลยล่ะ.... ในตอนที่ฉันทำอะไรไม่ถูก เมก้าก็เดินมาเจอพอดี”

     

    “เปิดประตูมาจากแถวห้องคอมอ่ะนะ..” เมก้ายิ้มเจื่อน

     

    “อืม เมก้าทำหน้าตกใจมากเลยล่ะ ฉันเลยต้องอธิบายว่าฉันเป็นตัวจริง ตอนแรกเมก้าก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่พอช่วยกันพลิกสำรวจศพนั่นดู จู่ ๆ ใบหน้าของร่างนั้นก็ละลายเหมือนเทียนไขน่ะ ทำให้รู้ว่านั่นเป็นตัวปลอมแน่ ๆ ...”

     

    ทั้งสี่คนมองหน้ากัน ภูมิเงียบเหมือนไม่รู้จะออกความเห็นอะไร ส่วนไรส์หรี่ตามองตองเหมือนจับผิด

     

    “เมก้า.......นายเชื่อยัยนี่หรอ?”

     

    “เอ๊ะ?”

     

    เมก้าส่งเสียงร้องเหมือนตกใจ ส่วนตองเลิกคิ้วเมื่อไรส์เรียกเธอด้วยสรรพนามที่มีความดูถูกชัดเจน ซึ่งปกติไรส์จะไม่ทำเช่นนั้นกับเธอ ไรส์ส่งเสียงลอดผ่านไรฟัน สร้างคำพูดที่กระพือความสงสัยขึ้น

     

    “ไม่มีอะไรยืนยันว่าสัตว์ประหลาดนั่นมีตัวเดียว

     

    !!”

     

    “เพราะตอนที่อยู่ตรงห้องคหกรรม... ฉันก็เจอตองตัวปลอมมาคนหนึ่งแล้ว”

     

    ไรส์นึกถึงภาพของสัตว์ประหลาดที่วิ่งไล่ตามเอวา ใบหน้าที่เหมือนกับตองเป๊ะบิดเบี้ยว คอก็หักงอ ถ้าบริเวณที่เจอศพตองตัวปลอมคือแถวชั้นสองก็แปลว่านั่นเป็นสัตว์ประหลาดคนละตัว เพราะเรื่องนี้น่าจะเกิดในเวลาไล่เลี่ยกัน

     

    แปลก... ไรส์คิด เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างทะแม่ง ๆ แต่ก็ไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเรื่องอะไร

     

    ส่วนเมก้าและตองเบิกตากว้างตั้งแต่ที่ได้ยินสมมติฐานว่ามีสัตว์ประหลาดมากกว่าหนึ่งตัวแล้ว ภูมิที่คิดว่ามันแปลก ๆ ตั้งแต่ตองเล่าว่าที่นี่มีสัตว์ประหลาดแล้ว แต่พอนึกถึงพวกปลาแปลก ๆ ในสระเมื่อกี้ คำพูดนั้นก็มีน้ำหนักขึ้นมาทันที ทำให้เขาเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วว่าที่นี่มันคืออะไรกันแน่ มีทั้งศพ ทั้งสัตว์ประหลาดแล้วยังจะเกมบ้า ๆ พวกนี้อีก ทั้งหมดนี่คืออะไรกันแน่ มันเป็นความฝัน ภาพหลอน หรือมนตร์ดำ

     

    เหนืออื่นใด มันมีขึ้นเพื่อจุดประสงค์อะไร? ในขณะที่ภูมิจมลงสู่ห้วงความคิด เมก้าก็เริ่มขยับตัวออกห่างจากตองโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

    “ฉันไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันได้ว่าฉันเป็นตัวจริง” ตองสารภาพออกมา “ฉันยืนยันได้ด้วยคำพูดเท่านั้นว่าฉันเป็นเพื่อนของเธอ......ในขณะเดียวกัน ในสายตาของฉันก็ควรจะสงสัยมากกว่าว่าในพวกเราห้าคนนี้อาจจะมีพวกมันอยู่”

     

    “........”

     

    อย่างที่ตองว่า หากมีสัตว์ประหลาดที่เลียนแบบใบหน้าเป็นใครก็ได้อยู่จริง และระบุจำนวนพวกมันไม่ได้ ก็ไม่สามารถวางใจได้เลยว่าใครเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมกันแน่ เมก้าตัวจริงอาจจะไม่ได้เปิดประตูมาที่นี่ ไรส์ตัวจริงอาจจะอยู่ที่ห้องคหกรรม ภูมิตัวจริงอาจจะไม่ได้อยู่ที่สระน้ำ หรือแม้แต่เกมตัวจริง.....อาจจะไม่ได้โทรศัพท์?

     

    ในสถานการณ์ที่การรวมกลุ่มทำให้รู้สึกสบายใจ แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงของการเจอตัวปลอมปะปน การแยกตัวออกไปคนเดียวจะปลอดภัยกว่าหรือเปล่า?

     

    ตอนนี้สามารถเชื่อใจอะไรได้บ้าง?

     

    แม้แต่ความทรงจำของตัวเอง...ยังสับสนเลยนะ?

     

    “พวกเธอน่ะเป็นใครกันแน่

     

    จู่ ๆ ตองก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงเย็นต่ำ ดวงตาสีน้ำเงินเป็นประกายหม่นหมองลง บรรยากาศที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำให้อีกสามคนที่นั่งอยู่สะดุ้ง ไรส์หรี่ตามองกลับอย่างระแวง ภูมิก็ตั้งท่าจะถามแต่ถูกตองขัดก่อน

     

    “ไม่ต้องถามอะไร ตอบมา”

     

    ทั้งสามถูกกดดันด้วยสีหน้าที่จริงจังของตอง ทำให้ไรส์ต้องถอนหายใจเป็นคนแรก

     

    “ฉันไรส์ไง อายุ 15 เรียนวิทย์-คณิต เรียนอยู่รดาวรรณ เรียนห้องเดียวกับเธอตอนม.ต้น ชื่อพ่อแม่นี่ไม่ต้องใช่ไหม?”

     

    “อ..เอ่อ เราก็ภูมิ อายุเท่าทุกคนเรียนสายศิลป์-ญี่ปุ่น เรียนอยู่สาธิตดารณีวิทยา ห้องเดียวกับพวกบอสน่ะ เราอาจจะเข้ากลุ่มนี้มาเป็นคนสุดท้าย...แต่ก็พยายามเข้ากับทุกคนอยู่นะ!”

     

    “ส่วนเราก็เมก้า...เรียนศิลป์-ญี่ปุ่นที่โรงเรียนรดาวรรณ ห้องเดียวกับพวกนาโนไง”

     

    ทั้งสามคนมองหน้าตองเหมือนสงสัยว่าจะถามในเรื่องที่รู้อยู่แล้วไปทำไมกัน ทำให้ตองถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วยิ้มเหมือนโล่งอก

     

    “อาฮะ พวกเธอน่ะเป็นตัวจริงสินะ”

     

    “หา?”

     

    ไรส์ส่งเสียงออกมาอย่างไม่ใส่ใจของจำพวกมารยาทกับกาลเทศะ แถมยังทำหน้าตาเหมือนมองเศษขยะติดเชื้อโรคจนตองเหงื่อตก อีแบบนี้ตัวจริงแหง ๆ เธอยกมือสองข้างยอกแพ้ก่อนจะถูกเพื่อนผมน้ำเงินต่อยเอา

     

    “ก็.....ก็ตอนที่ฉันเจอกับตัวประหลาดนั่น ฉันถามว่าพวกมันเป็นตัวอะไร พวกมันก็ถามชื่อตัวเองกลับแล้วบอกว่าฉันคือคนที่เธอบอกไม่ใช่หรอ? นี่นา”

     

    “แค่นั้นอ่ะนะ!” เมก้าโพล่ง

     

    “เราว่ามันเอามายืนยันอะไรไม่ได้เลยนะ....”

     

    “ง..ง่า....ก็มัน.......”

     

    ระหว่างที่ตองโดนสองหนุ่มรุมโวยวาย ไรส์ก็เริ่มใช้ความคิด จะว่าไป ตอนนั้นตองตัวปลอมตรงห้องคหกรรมก็พูดประมาณนั้นนี่นะ... ก็เธอบอกว่าฉันคือตองนี่ ? แปลว่านั่นอาจจะพออ้างอิงได้

     

    “ไม่หรอก...ที่ตองพูด ก็มีเหตุผล”

     

    ว่าแล้วเธอก็เล่าเรื่องที่เธอตองตัวปลอมให้ทั้งสามคนฟัง เมื่อฟังจบทั้งสามคนก็ทำหน้าเหมือนลำบากใจ ไรส์พูดแก้สถานการณ์นิ่ง ๆ ปล่อยให้ภูมิพยักเพยิดเออออไปด้วย

     

    “เอาน่า อย่างน้อยก็พอรู้วิธีแยกแยะพวกนั้นออกจากตัวจริงแล้วน่า”

     

    “น..นั่นสิเนอะ ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรล่ะ..เราว่า”

     

    ตองถอนหายใจ “เอาเถอะงั้นก่อนหน้านั้นเรามาเขียนแผนที่กัน”

     

    “แผนที่?”

     

    “ก็โลกนี้ เส้นทางมันไม่เชื่อมต่อกันใช่ไหมล่ะ แต่อย่างน้อยมันก็น่าจะเชื่อมต่อไปทางเดิมบ้างแหละ ไม่งั้นมันจะเละเทะเกินไปน่ะสิ อืม...ไม่มีกระดาษแฮะ โทรศัพท์ใครใช้ได้บ้างไหม?”

     

    “อ่า ของเรายังได้ ๆ “

     

    “ขอบใจจ้ะภูมิ”

     

    ภูมิหยิบโทรศัพท์สมาร์ทโฟนเครื่องสีดำดูเป็นทางการขึ้นมา เขาเปิดโน้ตเตรียมบันทึกสิ่งที่ ตอง เมก้าและไรส์จะบอก ทั้งสามคนช่วยกันนึกเรื่องราวเท่าที่จำได้อย่างสุดกำลัง ซึ่งเรื่องพวกนั้นคือประตูพวกเขาเปิดไปแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่ถึงห้านาที โน้ตรวมประตูที่เปิดแล้วก็เสร็จสมบูรณ์ ทว่าพวกเขาต้องเลิกคิ้วสูง บันทึกที่ได้มีข้อความดังนี้

     

    ประตูห้องครัวคหกรรม : สระน้ำ

    ประตูห้องธุรการ : สระน้ำ

    ประตูห้องคอม : ห้องธุรการ

     

    “หืม...ประตูห้องธุรการเป็นบานเดียวกันแท้ ๆ แต่กลับเปิดออกไปได้สองที่งั้นหรอ..” ไรส์ว่า

     

    “น่าจะมีอะไรผิดพลาดแล้วล่ะ...”

     

    ภูมิลูบคางครุ่นคิด ถ้าเปิดประตูห้องธุรการออกก็จะไปถึงสระน้ำ แต่ถ้าจะเข้าห้องธุรการกลับไปต้องเข้าจากทางห้องคอม? งั้นถ้าเปิดประตูบานเดิมจากสระน้ำ จะไปโผล่ที่ไหนกัน หรือว่าประตูในนี้จะถูกแยกทางเข้ากับออกไว้จากกัน ทว่าแบบนั้นแปลว่าการใช้ประตูจะยุ่งยากกว่าเดิม เพราะต้องหาว่าในประตูหนึ่งบาน เข้าและออกจากทางไหนได้บ้าง ยังไม่นับกรณีที่ออกแล้วกลับเข้าประตูบานเดิม ตองมุ่นคิ้วแล้วเอ่ย

     

    “ถ้าตีว่าประตูมีทั้งหมดอย่างน้อย 10 บาน....ความเป็นไปได้ก็เกินร้อยล้านเลยนะ....”

     

    “.....”

     

    พวกเขาทำหน้าเหมือนอยากจะเป็นลม ความน่าจะเป็นมหาศาลนั่นแค่จำนวนขั้นต่ำด้วยซ้ำ เพราะประตูนั้นมีมากกว่าสิบบานแน่นอน ถ้าจะตรวจสอบ จำเป็นต้องทดลองเปิดดูเท่านั้น แต่หากลองเปิดดูแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะไปโผล่ที่ไหน ดูเหมือนการกระทำที่ฉลาดที่สุดคือการนั่งรออยู่กับที่ แต่ว่าแบบนั้นก็แปลว่าพวกเขาจะไปไม่ถึงห้องประชาสัมพันธ์และจบเกมนี่ไม่ได้

     

    “นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย.......”

     

    ไรส์สบถ ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วย เรื่องบ้า ๆ พวกนี้ชักจะออกนอกความสามารถพื้นฐานในการรับรู้ของมนุษย์เข้าไปทุกที ดวงตาสีเปลือกไม้มองสีหน้าของทั้งสามคนแล้ว เมก้าที่เงียบมาจนถึงเมื่อกี้ เริ่มออกความเห็นบ้าง เขาตวัดสายตาเหลือบมองธัญญ์ที่ยังไม่ได้สติ

     

    “ยังไงก็หาทางไปห้องพยาบาลก่อนเถอะ ลองกลับไปทางห้องคหกรรมที่ไรส์มาก็ได้ อาจจะพอ... เอ้อ ไม่สิ ทางพวกนี้มันไม่เชื่อมต่อกันนี่นา เอายังไงดีเนี่ย....”

     

    “เอ๊ะ เดี๋ยวนะ จริงสิ....ห้องคหกรรม........”

     

    ไรส์ยกมือห้ามไม่ให้เมก้าพูดต่อ เหมือนจะนึกเรื่องสำคัญได้ เธอขอโน้ตในโทรศัพท์ภูมิมาดูอีกครั้ง ซึ่งภูมิก็ได้แต่ยื่นโทรศัพท์ให้แบบงง ๆ  ดวงตาสีอำพันกวาดมองบันทึกที่มีอยู่น้อยนิดก่อนจะหรี่ลง ไรส์เม้มริมฝีปากเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง แล้วหันหน้ามาบอกข่าวร้ายให้อีกสามคนฟัง

     

    “บันทึกนี่ ใช้อ้างอิงไม่ได้”

     

    “เอ๋!?”

     

    “ทำไมล่ะไรส์.? หรือว่าประตูนี่มันเชื่อมต่อมากกว่า 1 สถานที่...”

     

    ตองว่า.. ถ้าเป็นแบบนั้นจริงความน่าจะเป็นจะยิ่งเพิ่มพูนจนคำนวณไม่ไหว แต่ไรส์แค่ส่ายหัวตอบ และมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “ฉันว่ามันต้องมีเงื่อนไขบางอย่างที่พวกเรามองข้ามไป... ประตูนี่มันต้องมีเงื่อนไขการใช้งานแน่ ๆ “

     

    “หมายความว่ายังไงน่ะ...

     

    “จำตอนที่ฉันเล่าว่าเจอกับตองตัวปลอมได้ไหม ตอนที่ฉันอยู่ในห้องคหกรรมพร้อมนาโน แล้วก็เจอกับเอวาน่ะ”

     

    “อาฮะ ที่มีศพขยับได้...” ภูมิพยักหน้า

     

    “อย่าพูดถึงไอ้ศพนั่นได้ไหม โคตรน่ากลัว....” ไรส์ลูบต้นแขนมองค้อนกลับไปยังภูมิที่พูดกระตุ้นความทรงจำเลวร้ายจนเป็นแผลใจของเธอ “เออ แต่ก็ตอนนั้นแหละ ตอนนั้นฉันกับนาโนได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งกับเสียงของตองตัวปลอมกับเอวา ก็เลยเปิดประตูน่ะ”

     

    ตองทำตาโต “อ๊ะจริงด้วย..! แล้วตอนนั้นเธอเปิดไปเจอที่อื่นงั้นหรอ!?”

     

    “ไม่ตอง... ฉันกับนาโนเปิดประตูเพราะมั่นใจว่าเอวาน่าจะทำลังเดือดร้อน แต่ถึงอย่างนั้น ประตูที่เปิดก็เชื่อมต่อกับโถงทางเดินปกติ เป็นประตูที่เปิดได้แบบไม่มีปัญหาอะไรเลยด้วยซ้ำ”

     

    ความเงียบแผ่คลุมบรรยากาศในชั่วอึดใจ

     

    ทั้งสี่คนมองหน้ากันนิ่ง ใช่ พวกเขากำลังสับสน เพราะตอนนี้เรื่องชักเริ่มยุ่งยากขึ้นทุกที ประตูพวกนี้มันยังไงกันแน่ ประตูบางบานก็เปิดแล้วไปโผล่ที่อื่น บางบานก็ไม่ ยิ่งเอาไปรวมกับสิ่งที่ เพื่อน บอกว่าการทำลายประตูเป็นสิ่งที่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ก็ยิ่งสับสน ความหมาย...เงื่อนไข...รวมถึงเหตุผลที่ประตูแต่ละบานไม่เชื่อมต่อกัน คิดเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่เข้าใจ

     

    “.......นี่มันไสยศาสตร์ประเภทไหนกันนะ”

     

    ไรส์พึมพำขึ้นมาทำให้ถูกมองด้วยสายตาแปลก ๆ ดูเหมือนเธอจะเริ่มเพ้อคิดว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี่คือมนตร์ดำแล้ว ซึ่งในความเห็นของเจ้าตัวก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว เรื่องที่มีศพ มีเครื่องใน ไหนจะเกมประหลาด ๆ พวกนี้อีก ถ้าไม่ใช่เวทมนตร์แล้วจะเป็นอะไร.... เธอเชื่อสุดใจเลยล่ะว่านี่คือโลกต่างมิติ

     

    แล้วยังไงต่อล่ะ?

     

    เชื่อแล้ว ทำความเข้าใจแล้ว แล้วจะได้อะไร?

     

    ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง มีคนตายจริง ๆ แล้วเธอจะทำอะไรได้? เล่นเกมนี้แล้วจะได้อะไร? มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเธอน่ะ.. มีแต่ต้องเต้นไปตามเกมจนกว่าอีกฝ่ายจะพอใจ นอกนั้นแล้วยังจะต่อต้านอะไรได้อีก?

     

    “ใจเย็นไว้นะไรส์...เรื่องพวกนี้....อืม......นั่นสินะ.....มันอะไรกันแน่.....”

     

    ตองที่พยายามเข้าไปปลอบใจเพื่อนสาวชะงัก ตัวเธอเองก็ไม่แน่ใจว่าควรจะพูดอะไรดี ในเมื่อเรื่องเหนือธรรมชาติเกิดขึ้นถี่ ๆ แบบนี้ ส่วนตัวเธอเองก็เริ่มเชื่อขึ้นมาแล้วเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะไสยศาสตร์หรือมนตร์ดำบางอย่าง เด็กสาวผมหางม้าทำได้เพียงทรุดตัวลงข้าง ๆ เพื่อนผมน้ำเงิน ไรส์ถอนหายใจ ไม่ได้อยากจะทำให้เพื่อนรู้สึกแย่ไปมากกว่านี้หรอก แต่ตัวเธอเองก็ชักไม่ไหวแล้ว ไหนจะเรื่องที่โดยศพลุกขึ้นมาจับตัว ไหนจะเรื่องที่โดนปลาประหลาดกินหูไปอีก เจ็บจะแย่แล้ว เสียสติตามธัญญ์ไปดีไหมเนี่ย

     

    พูดถึงธัญญ์ เธอก็เหลือบไปมองตรงที่เด็กสาวผมหยกถูกมัดอยู่

     

    “เฮ้ย!? ยัยธัญญ์! ไปทำอะไรตรงนั้น!!!”

     

    เสียงโวยวายทำให้ภูมิและเมก้าหันไปดู ตอนแรกพวกเขาเสมองไปทางอื่นเพราะอยากให้เวลาส่วนตัวกับสาว ๆ ในการปลอบใจกัน แต่ดูท่าว่าตอนนี้คงต้องสนใจแล้ว เมื่อตรงที่ธัญญ์อยู่มีรอยเลือดลากพรืดเป็นทางยาวไปถึงหน้าประตูสระว่ายน้ำที่พวกเมก้าเปิดเข้ามา สันนิษฐานได้ว่าธัญญ์คงจะคลานไปโดยใช้ไหล่ตอนที่พวกเขาไม่ได้จับตาดูกัน เมก้ากัดฟัน เขายันตัวลุกขึ้นหมายจะไปลากตัวเด็กสาวกลับมาก่อนเธอจะดันประตูไปโผล่ที่ไหนไม่รู้

     

    ไม่น่าปล่อยให้คลาดสายตาเลย!!!

     

    แกร่ก

     

    “….!!!”

     

    ทว่าก่อนที่เมก้าจะไปคว้าตัวธัญญ์ไว้ได้ ประตูก็เปิดออก ประตูเหล็กที่ดูหนักค่อย ๆ เปิดโดยที่ธัญญ์ยังไม่ได้แตะด้วยซ้ำ หมายความว่ามีคนเปิดเข้ามาจากอีกด้าน เมก้าชะงักถอยหลังด้วยความระวัง ที่ปลายทางของประตูมีสองร่างยืนอยู่

     

    เด็กสาวผมเปียยาวสีชมพู ตาสีน้ำเงินซัฟไฟร์ ใบหน้าที่อ่อนเยาว์มีแว่นทรงกลมสีแดงสวมอยู่ เด็กคนนั้นยืนอยู่ข้างหลังเด็กสาวอีกคน นัยน์ตาว่างเปล่าเหมือนตุ๊กตา

     

    ส่วนอีกคน.... ไรส์หรี่ตามองร่างสีขาวที่มีบรรยากาศของความอ่อนโยนแผ่ทับนั้น

     

    “......เอล?” เมก้าพึมพำเบา ๆ เมื่อเห็นคนผมชมพูที่ยืนอยู่หลังเด็กสาวผมขาว ดวงตาสีเปลือกไม้มองบุคคลตรงหน้าด้วยความไม่ไว้วางใจ “กับ........เธอ......เป็นใคร?”

     

    “แก....ในฝันฉัน?”

     

    เด็กสาวสีขาวระบายยิ้มเป็นเส้นโค้งอย่างงดงาม เธอหัวเราะเสียงใสตอบรับเสียงอันร้อนรนของเมก้าและไรส์ ถ้าสังเกตดี ๆ จะเห็นว่าที่ช่วงท้องของเธอมีคราบเลือดแห้งกรังติดอยู่ แต่เจ้าตัวดูไม่ได้ดูเหมือนเจ็บปวดอะไรมากมาย ดวงตาสีทองหม่นแฝงประกายเปี่ยมด้วยความอ่อนโยนมองพวกเขาทั้งหมดในที่นั้นเหมือนมีความเศร้าปะปน

     

    “ฝัน... นั่นสินะจ๊ะ....ฉันดรีมไงจ๊ะ พวกเธอเองก็คงจำไม่ได้สินะ..”

     

    เสียงหวานปานน้ำผึ้งละลายนั้นจับพวกเขาไว้ได้อยู่หมัด บรรยากาศของเด็กสาวที่ชวนให้คิดถึงเพื่อนเก่าที่รู้จักกันมานานทำให้พวกเขาเผลอกลั้นหายใจ ความรู้สึกคุ้ยเคยอย่างประหลาดก่อตัวขึ้นทั้งที่ความทรงจำเกี่ยวกับร่างตรงหน้าว่างเปล่า พวกเขามองหน้ากันเหมือนอยากจะปรึกษา

     

    “จำไม่ได้........ แปลว่าพวกเรารู้จักเธอหรอ?”

     

    ตองถามขึ้น แต่ดรีมเพียงแค่เอียงคอ ยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนเช่นเดิม เสียงอ่อนหวานถักทอถ้อยคำขึ้นมาเศร้า ๆ เธอแสดงท่าทางพวกนั้นเหมือนกำลังเล่นละคร แต่น่าแปลกที่ทุกคนไม่รู้สึกขัดใจในท่าทางนั้นเลย ตรงข้ามกลับยิ่งอยากจับจ้องร่างนั้น เหมือนผู้ชมที่ถูกนักแสดงตรึงไว้กับที่นั่ง

     

    “จ้ะ... รู้จักสิ น่าเศร้านะจ๊ะที่ตอนนี้ไม่ว่าฉันจะคุยกับใคร ทุกคนก็ลืมฉันไปหมด... แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้ก็ได้แนะนำตัวอีกครั้งแล้ว... เพราะงั้น ช่วยจำฉันไว้ด้วยนะจ๊ะ.. เพราะการถูกลืมมันน่าเศร้านะ ถ้าเลือกได้ ฉันอยากได้รับการจดจำมากกว่าถูกลืมนะจ๊ะ..”

     

    มือขาว ๆ กุมไว้ที่อกเหมือนจะบอกว่ามันน่าเศร้าจนทนไม่ได้

     

    แม้รอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าจะยังคงประกายความอ่อนโยนไว้ไม่เปลี่ยน แต่ท่าทางนั้นกลับดูน่าเห็นใจราวกับตัวเธอเป็นดอกไม้สีขาวที่บอบบาง

     

    ทว่ากลับมีสองคนที่ตอบกลับการกระทำนั้น เหมือนไม่ยอมรับ

     

    “ดรีมหรอ….อย่ามาล้อเล่นนะ ขนลุกโว้ย! แกเป็นใคร ฉันไม่รู้จักแก!!”

     

    ไรส์ว่าพลางลูบขนแขนที่ขนลุกชัน ราวกับว่าเธอเป็นคนเดียวที่รู้สึกชิงชังการกระทำนั้น ยิ่งมีภาพที่แวบเข้าหัวตอนถูกกดลงสระน้ำเมื่อกี้ เธอยิ่งไม่ไว้ใจ ผู้หญิงคนนี้บีบคอเธอในฝัน.. นั่นอาจเป็นลางบอกเหตุจากจิตใต้สำนึกว่าคนตรงหน้าอันตราย ยิ่งไปกว่านั้น เธอไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับคนตรงหน้าเลย... คน ๆ นี้ไว้ใจได้แค่ไหนกัน?

     

    “ขอโทษนะ เราก็จำเธอไม่ได้ เพราะงั้นคงยอมเชื่อไม่ได้...”

     

    เมก้าว่าพลางหรี่ตาแบบไม่ไว้ใจสุด ๆ ใบหน้านั้นมีความตกใจรวมอยู่ด้วย เอลที่อยู่ข้างหลังของดรีมยังไม่มีปฏิกิริยา เธอยืนนิ่ง ๆ เหมือนกับว่าลืมวิธีแสดงความรู้สึกไปแล้ว เด็กหนุ่มผมส้มทองตั้งท่าเหมือนจะกระโจนใส่อีกฝ่ายหากมีความเป็นศัตรูแม้เพียงนิด

     

    ดรีมป้องปากหัวเราะเบา ๆ ให้กับการกระทำนั้น

     

    “ไม่เป็นไรจ้ะ ฉันไม่ขอให้เชื่อหรอก เพราะพวกแกน่ะ....มันเกินเยียวยาแล้วจ้ะ

     

    วูบ..

     

    บรรยากาศของความชิงชังวูบไหวผ่านไป แม้แต่ภูมิกับตองที่อยู่ห่างออกไปยังรู้สึกได้ถึงความเยียบเย็นที่ทิ่มแทง ดรีมยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน ไม่มีความเกลียดชังเลยสักจุดในตัวตนนั้น ทว่า... สีสันที่สะท้อนอยู่ในตาคือความมืดมนไร้ก้นบึ้ง ราวกับกอดเก็บความแค้นไว้แสนนาน ดวงตาสีทองหม่นมองไปยังเด็กสาวผมน้ำเงิน เหมือนอยากจะพูดกับเธอโดยตรง

     

    “หูขาดงั้นหรอจ๊ะไรส์? สมน้ำหน้า.... ถ้าฉันเป็นปลาในสระนั้น ฉันจะขย้ำแกจนไม่เหลือกระดูกเชียวล่ะจ้ะ จนกว่าแกจะตายอย่างงทรมาน ฉันจะไม่ปล่อยแกไปเด็ดขาด จนกว่าจะตายเลย ฉันเกลียดแกขนาดนั้นเลยน่ะจ้ะ”

     

    เด็กสาวผมขาวพูดเรื่องน่ากลัวออกมาหน้าตาเฉย รอยยิ้มยังคงอ่อนโยนไม่สั่นไหว แต่น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเกลียดเหลือกำลัง... ราวกับต้องการจะฆ่าให้ตาย ดวงตาสีทองหม่นแฝงประกายความอาฆาตมองไรส์อย่างกินเลือดกินเนื้อ

     

    ที่สำคัญ ดูเหมือนดรีมจะรู้เรื่องของปลาในสระน้ำด้วย ทว่าร่างนั้นดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนกับตัวตนของสัตว์ประหลาดพวกนั้นเลย เมก้ายิ่งระวังตัวขึ้นอีก

     

    ดรีมยิ้มหวานให้เขา “ไม่ต้องระวังขนาดนั้นก็ได้จ้ะ ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก... ไม่สิ ทำไม่ได้มากกว่า”

     

    “หมายความว่ายังไง..?”

     

    ดรีมไม่ตอบคำถามของเขาแต่ก้มลงไปแกะผ้าที่มัดร่างของธัญญ์ไว้ เธอเมินคำถามของเมก้าไปอย่างสมบูรณ์แบบ ก่อนจะพึมพำกับเด็กสาวผมหยกด้วยความเศร้าที่เหมือนแสดงละคร

     

    “ใจร้ายจังเลยนะ.. ไม่เป็นไร ฉันมารับแล้วจ้ะธัญญ์”

     

    “ดรีม....ดรีม........”

     

    ดรีมระบายยิ้มอันอ่อนโยนและลูบเรือนผมสีหยกนั้นเหมือนแม่ปลอบขวัญลูก เธอประคองร่างของเด็กสาวที่บาดเจ็บให้ยืนขึ้น น่าแปลกที่ธัญญ์ดูสงบดีเมื่ออยู่กับเด็กสาวผมขาว

     

    “อื้อ นั่นสินะ สำรองเอาไว้ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้วล่ะนะจ๊ะ เอ้า ไปกันเถอะ”

     

    ว่าแล้วดรีมก็จูงมือพาธัญญ์กลับไปทางที่เข้ามา ตองเพิ่งสังเกตว่าทิวทัศน์เบื้องหลังนั้นคืออาคารหลัง เธอเบิกตากว้าง ทฤษฎีประตูที่พวกเธอคิดนั้นผิดไปจริง ๆ ประตูไม่ได้เชื่อมต่อกันจริง ๆ ด้วย

     

    “ด...เดี๋ยว! แล้วเธอจะพาเอลกับธัญญ์ไปไหน!?”

     

    “ไม่ต้องรู้หรอกจ้ะตอง” ดรีมตอบแทบจะทันที เธอไม่หันกลับมามองเลย “พวกเธอน่ะยิ่งรู้น้อยเท่าไหร่ก็ดี

     

    หมับ!

     

    “ไม่! เราไม่ยอมให้คนน่าสงสัยแบบเธอพาเพื่อนเราออกไป!!”

     

    เป็นเมก้าที่พุ่งเข้าไปคว้ามือของดรีมไว้ เขามองเด็กสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับดรีมโดยไม่มีท่าทีต่อต้านอะไรเลย ดรีมหันมามองเขานิ่ง ๆ ทั้งที่ยังมีรอยยิ้มอันอ่อนโยนประดับใบหน้าอยู่.... ไม่สิ ไม่ได้มองเมก้า เธอมองไปไกลกว่านั้น...มองไปยังตองกับภูมิแล้วเอ่ย

     

    “พวกเธอนี่โชคร้ายนะจ๊ะ”

     

    พลันเมก้าก็กระโดดถอยหลบออกไปด้วยสัญชาติญาณ รอยของมีคมวาดผ่านอากาศเป็นทางยาว ดรีมยิ้มทั้งที่ยังกำสิ่วไว้แน่น ราวกับว่าเมื่อกี้ไม่ได้เพิ่งฟันคนตรงหน้าด้วยสิ่วไป เธอฉวยโอกาสที่เขากระโดดหลบรีบก้าวถอยหลังแล้วจับบานประตูปิดลงทันที เมก้าตั้งท่าจะตามไป ทว่ามีสิ่งหนึ่งลอยผ่านหน้าไปก่อน

     

    บุ๋ง

     

    ปลาสีแดง..ที่มีปากมนุษย์ ลอยอยู่บนอากาศตรงหน้าเขา


    B
    E
    R
    L
    I
    N
      ----------------
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×