ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #7 : My Best Friend 7 : One by one

    • อัปเดตล่าสุด 27 ธ.ค. 60


    My Best Friend

    7

    One by one ; ทีละคน

    “ เค้าง่วงจังโคน ทำไมเค้ามองไม่เห็นหน้าโคนเลยล่ะ...? ”

      

     

     

    “ไปตึกสามสิบปีกัน”

     

    ลูกแกะบอกเช่นนั้นแล้วเดินนำทางทั้งสองไป เธออธิบายระหว่างทางว่าเอลกับออโต้อยู่ที่นั่น และพวกเราจะไปรวมกลุ่มกัน ปราชญ์ทำท่าเหมือนรำคาญเล็กน้อยที่ลูกแกะตัดสินใจเอาเองว่าพวกเขาทั้งสามคนจะไปหาเอล แต่ก็เดินไปแต่โดยดี

     

    ทางเดินภายในอาคารหลังยังคงเงียบสงัด มีเศษเนื้อน่ารังเกียจเปรอะเต็มพื้นและกำแพง

     

    ทั้งที่ควรใส่ใจแต่ทั้งปราชญ์แล้วก็ลูกแกะกลับไม่ใส่ใจ หรือทั้งสองจะมองไม่เห็นกันนะ? ไม่มีเลือดหรือของเหลวที่ลักษณะใกล้เคียงเลยสักนิดเดียว มีแค่เนื้อเท่านั้นเอง.... เศษเนื้อในสายตาชวนให้คิดถึงเนื้อหมูสับในช่องฟรีซของตู้เย็น โคนที่สนใจเรื่องนั้นอยู่คนเดียวรู้สึกกระสับกระส่าย จะว่าไม่สบายใจก็ใช่ แต่คำที่อธิบายความรู้สึกนี้ได้ดีกว่าน่าจะเป็น ความวิตกกังวล

     

    เนื้อ เนื้อ เนื้อ เนื้อ

     

    แม้จะคิดถึงคำนั้นแต่ภาพจินตนาการก็มีแต่เนื้อของสัตว์ จำพวกที่เอาไว้ปรุงอาหารนั่นแหละ เนื้อพวกนั้นไม่อะไรเชื่อมโยงไปถึงความน่ากลัวได้เลย คิดได้แค่ว่าเป็นของกินเท่านั้น ความรู้สึกเมื่อเธอมองเนื้อที่ติดตามพื้นและกำแพงก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้หมายความว่าเธอหิวนะ แต่จิตสำนึกต่อเนื้อพวกนั้นมันดูปกติเกินไปจนรู้สึกผิดแผก โคนสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นไป เริ่มรู้สึกหวาดกลัวว่า บางทีสถานที่แห่งนี้อาจจะเริ่มส่งผลกระทบบางอย่างต่อจิตใจขึ้นมา

     

    จิตใจเยือกเย็นเกินไป... คิดได้แค่ว่ามันก็แค่เนื้อเท่านั้นเอง ต่อให้คิดไปอย่างเลวร้ายว่าเป็นเนื้ออะไรก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยสักนิด โคนรู้สึกเหมือนหน้ามืด อยากจะรีบเดินออกไปข้างนอกเร็ว ๆ จะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์บ้าง

     

    “เป็นอะไรไหมโคน สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย?”

     

    “อืม....ไม่เป็นไร”

     

    โคนตอบสั้น ๆ ทำให้ลูกแกะไม่กล้าเซ้าซี้อีก พูดตามตรงในกลุ่มนี้เธอสนิทกับโคนน้อยมาก  จะให้พูดว่าโคนไม่ค่อยสนิทกับทุกคนเลยก็ได้ โดยปกติแล้วถึงพวกเธอจะจับกลุ่มใหญ่ ๆ กัน แต่ก็จะมีแยกเป็นกลุ่มย่อย ๆ หรือดูโอ้เพื่อนสนิทกันอีก ตัวอย่างเพื่อนสนิทก็เช่น เธอกับเอล นาโนกับบอส ไรส์กับธีร์ ไนท์กับปราชญ์ อะไรพวกนี้ แต่โคนดูเหมือนจะไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย เธอไม่ค่อยพูดมากนัก แต่ถ้าบทจะพูดก็ชวนคุยยาวจนรับมือไม่ถูกก็มี นอกจากพวกคนที่เล่นเกมเดียวกับเธอแล้ว คนอื่นดูจะคุยด้วยไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าลูกแกะจะไม่ชอบเธอนะ แค่ไม่ชินเพราะไม่เคยคุยกันเท่านั้นเอง

     

    “จะว่าไปปราชญ์ลองโทรหาไนท์ดูรึยังน่ะ?”

     

    ลูกแกะนึกขึ้นได้ เพราะเรื่องเพื่อนสนิทที่คิดเมื่อครู่ จะว่าไปก็ไม่เห็นปราชญ์จะกดเบอร์โทรหาใครเลย เหมือนจะลืมไปแล้วว่าสามารถกดโทรได้ แต่ก็อาจจะลืมไปจริง ๆ นั่นแหละ เพราะพวกเธอเพิ่งจำได้ว่าโทรศัพท์ใช้การได้ก็ตอนที่เอลโทรมา ปราชญ์อาจจะไม่ทันคิดล่ะมั้ง

     

    “อ้อ จริงด้วย เดี๋ยวลองโทรละกัน”

     

    “อ๊ะ ถ้างั้นน่าจะโทรบอกเกมด้วยนะว่าพวกเราจะไปรวมกลุ่มกับเอลน่ะ”

     

    โคนเสนอขึ้น ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดีทีเดียว ตอนนี้โทรศัพท์ของลูกแกะเหลือแบตไม่มาก ถ้ารู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ไม่เล่นเกมที่กินแบตก็ดีหรอก.... ถึงจะพูดงั้นแต่ก็ทำเหมือนว่าเธอรู้ล่วงหน้าได้ว่าเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น คิดแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจขณะเปิดเบอร์โทรให้โคน

     

    “อ่ะ ถึงประตูแล้ว พวกเธอโทรไปนะ ฉันจะออกไปดูต้นทางให้”

     

    ลูกแกะว่าก่อนจะผละตัวออกไปจากกลุ่มเมื่อใกล้ประตูทางออก โถงทางเดินอึมครึมเหมือนทุกส่วนในตึกนี้ ประตูทางออกหนึ่งในสองบานอยู่ตรงหน้า ถึงจะพูดว่าประตู แต่นั่นก็ไม่ใช่ประตูแบบเป็นบาน ๆ  ประตูที่ปิดทางเข้าออกของอาคารนั้นเป็นประตูม้วนอะลูมิเนียม แบบที่ใช้กับร้านขายของตามห้องแถวนั่นแหละ

     

    ลูกแกะกลั้นใจต่อบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบแล้วรีบเดินไปดึงประตูม้วนขึ้น

     

    รู้สึกถึงความหนักหน่วงอย่างน่าประหลาดยามที่ยกประตูขึ้น เสียงเหล็กเสียดสีไม่น่าอภิรมย์ดังก้อง

     

    ทางด้านปราชญ์ก็กำลังรอสายกับโคน ดูเหมือนเกมจะรับก่อน โคนจึงหันไปอีกทางเพื่อไม่ให้เสียงในสายกับปราชญ์ตีกัน เธออธิบายสถานการณ์ของตัวเองกับเรื่องของเอลให้เกมฟังแล้วคุยอะไรสักอย่างที่ปราชญ์ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว ปล่อยให้ทางนั้นจัดการเรื่องเกมไป เขาจะสนใจแค่เรื่องไนท์แล้วกัน ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนักหรอก

     

    [ตู๊ด... ฮัลโหลปราชญ์?]

     

    เสียงของอีกฝ่ายมีความตกใจเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไนท์สามารถควบคุมสติได้อย่างสมบูรณ์ รู้สึกได้กระทั่งความใจเย็นที่แฝงมากับน้ำเสียง เหมือนอีกฝ่ายได้เจอเรื่องที่อัศจรรย์กว่านั้นจนไม่แปลกใจแล้ว ปราชญ์ไม่ได้แสดงความโล่งใจออกมา เขาแค่ตอบกลับไปธรรมดา

     

    “อืม ไนท์ เป็นไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?”

     

    [ก็ไม่เชิง ตอนนี้เราอยู่กับนาโนที่ห้องคหกรรมอาคารหลัก สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่]

     

    “เกิดอะไรขึ้น?”

     

    [เราก็ไม่รู้ พอเปิดประตูห้องสมุดอย่างงง ๆ ก็มาโผล่ที่ห้องคหกรรม แล้วก็เจอนาโนที่นั่น ดูเหมือนก่อนเรามานาโนจะอยู่กับเอวาแล้วก็ไรส์ แต่พอเรามาถึง ทั้งคู่ก็หายไปแล้ว นาโนก็ไม่รู้ด้วยว่าออกจากห้องนี้ไปตอนไหนกัน นี่กำลังหากันอยู่]

     

    “ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

     

    [แล้วทางนั้นล่ะเป็นไงบ้าง?]

     

    “ตอนนี้ฉันอยู่กับโคนแล้วก็ลูกแกะ วางแผนว่าจะไปรวมกลุ่มกับเอลและออโต้ แล้วพวกเราทั้งหมดจะไปหาเกมที่อาคารหลักกันอีกที” ปราชญ์หันมองโคนเล็กน้อย ดูเหมือนเธอจะยังคุยกับเกมอยู่ “เกมรออยู่แถวห้องแนะแนวชั้นสาม ถ้าพวกนายอยู่อาคารนั้นก็ไปหาเกมก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวจะรีบตามไป”

     

    [โอเค แล้วเจอกันนะ]

     

    ไนท์วางสายไป ปราชญ์ถอนหายใจแล้วหันไปหาโคน เธอยังคุยโทรศัพท์อยู่ เขาจึงสะกิดแล้วกระซิบบอกเบา ๆ ว่าติดต่อไนท์ได้แล้ว รายละเอียดเดี๋ยวบอกพร้อมพวกเอลอีกที โคนพยักหน้ารับเบา ๆ  เธอหันไปคุยโทรศัพท์อีกนิดหน่อย แล้วจึงวางสาย

     

    “เกมอยู่กับเบสท์น่ะ เห็นว่าติดต่อพวกผู้ชายได้เกือบหมดแล้ว เหลือแค่เปรมกับต้าที่โทรไม่ได้ และปูนที่ไม่คิดจะติดต่อน่ะ”

     

    ปูนงั้นหรอ... อืม คาดว่ารายนั้นคงไม่มีใครอยากโทรหาหรอกมั้ง

     

    ปราชญ์คิดในใจ ปูนเป็นผู้ชายในกลุ่ม แต่ไม่ถูกนับรวมในกลุ่มผู้ชายด้วย ไม่ใช่ว่าเขาใจเป็นหญิง เขาเป็นชายแท้ทั้งแท่ง แต่เพราะอยู่ด้วยแล้วรู้สึกรำคาญมากกว่า หมอนั่นเป็นคนพูดมากแล้วก็ จะว่าไงดี.... จูนิเบียว? ล่ะมั้ง เลยรู้สึกรำคาญ แต่คงไม่เป็นไรหรอก เพราะยังไงปูนก็เอาตัวรอดเก่ง คงไม่ตายง่าย ๆ แน่ แต่อีกนัยหนึ่งก็คือจะเป็นหรือตาย เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิดเดียว

     

    ว่าแล้วเขาก็ตั้งใจจะหันความสนใจไปทางประตูม้วนที่ปิดอยู่

     

    “กรี๊ดดดดดดดด!!!!”

     

    !? / ลูกแกะ!!!”

     

    สองหนุ่มสาวหันไปทางต้นเสียงทันควัน แล้วก็ต้องเบิกตาเมื่อเด็กสาวเจ้าของชื่อนั้นได้ไม่ได้อยู่ในคลองสายตา โคนมองไปรอบ ๆ เพื่อหาลูกแกะ แต่ก็ไม่พบ เสียงกรี๊ดนั้นยังคงดังต่อไป ปราชญ์เป็นคนที่รู้สึกตัวว่าเสียงนั้นมาจากหลังประตูม้วน เขารีบวิ่งเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงพยายามเลื่อนประตูขึ้น

     

    กึ่ก!!!

     

    “บ้าชิบ!!! เปิดไม่ออก!”

     

    “เกิดอะไรขึ้นลูกแกะ!? ปลอดภัยไหม!!!”

     

    ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!

     

    เมื่อการเปิดไม่เป็นผล ทั้งสองคนจึงระดมกำลังกันทุบประตู ทั้งที่ประตูไม่ได้แข็งแรงแท้ ๆ แต่ไม่ว่าจะทุบเท่าไหร่ก็ไม่พังลง เสียงกรีดร้องของเด็กสาวค่อย ๆ แผ่วลงจนโคนหน้าเสีย เธอหันไปมองรอบ ๆ เพื่อหาเครื่องทุ่นแรงแต่ที่ทางเดินตรงนี้นอกจากบันไดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย

     

    “ลูกแกะ! บ้าเอ๊ย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!! เฮ้ย ตอบมาหน่อย เป็นอะไรไหม!?”

     

    ปึ้ง!

     

    ปราชญ์ที่เริ่มหัวเสียใช้เท้าเตะประตูม้วน ประตูอะลูมิเนียมแบบบางเด้งสะท้อนแรงนั้นแต่ก็ไม่ยอมพังลงโดยง่าย เสียงกรีดร้องเงียบไปแล้ว เหลือเพียงบานประตูดูหนักหน่วงแผ่อยู่ตรงหน้า รู้สึกหลอนไปว่าประตูนั้นคือกำแพงที่ไม่มีวันข้ามไปได้ เขาผละถอยหลังออกมาด้วยแรงกดดันนั้น ประตูม้วนได้พูดประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ผ่านไป เด็กหนุ่มถอยหลังมาจนชนเข้ากับเด็กสาวผมสั้นสีชมพู

     

    “เรา....เราจะไปหาของที่น่าจะใช้ได้นะ”

     

    ถึงจะอยากถามว่าอะไรที่จะใช้ได้น่ะมันอะไร แต่ปราชญ์ก็เงียบไปเพราะอย่างน้อยการขยับตัวทำอะไรต้องดีกว่ายืนเฉยแน่ เขาวิ่งตามโคนไปทั้งที่ยังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลูกแกะที่ออกไปข้างนอกเจอกับอะไร? แล้วทำไมประตูถึงได้ปิดลงโดยไร้เสียงได้? ตอนนี้รู้แค่ว่าเสียงกรีดร้องนั้นไม่ชวนให้คิดว่าเพื่อนผมยาวของเราจะยังปลอดภัยได้เลย

     

    “ห้องเก็บของ? อื้อ น่าจะได้ล่ะมั้ง....”

     

    โคนพึมพำพร้อมเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องเก็บของเล็ก ๆ เธอเองก็กำลังสับสนไม่ต่างจากปราชญ์ทำให้มือที่ยื่นออกไปสั่นอย่างช่วยไม่ได้ จินตนาการอันเลวร้ายถูกส่งเข้ามาในสมองเรื่อย ๆ แต่เธอเมินภาพศพทั้งหมดแล้วกลั้นใจเปิดประตูเล็ก ๆ นั่น

     

    ....แอ๊ด

     

    ทิวทัศน์ที่ไม่อาจเข้าใจได้เข้ามาในสายตา

     

    เท้าของเธอที่ย่างเข้าไปในระเบียงมืด ๆ ชะงัก ทางเดินที่ดูนำสมัยทอดยาวออกไปจนรู้สึกผิดแผกไปจากทางเดินเก่า ๆ ของอาคารหลัง เหมือนมีคนจงใจเอามาตัดแปะกันไว้อย่างลวก ๆ โคนไม่แม้แต่จะทำตาโตด้วยความตกใจ เธอเพียงแต่เกร็งค้างอยู่ในท่าที่เปิดประตูเท่านั้น ปราชญ์เองก็นิ่งไปเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่แค่ห้องเก็บของเล็ก ๆ

     

    อาคารสามสิบปี...?

     

    ภาพตรงหน้าเป็นที่ประจักษ์แล้ว แต่สมองส่วนเหตุผลกำลังส่งเสียงต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สามารถปะติดปะต่อความเข้ากันของสองอาคารได้ ราวกับสามัญสำนึกฉีกออก แต่ปราชญ์เรียกสติกลับมาสติได้ก่อน เขาพึมพำให้ตัวเองฟัง

     

    “งั้นหรอ....เขาวงกตที่ว่าสินะ”

     

    โคนกลั้นใจกับคำพูดนั้น เธอไปถึงความเข้าใจเดียวกันได้ง่าย ๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็แน่อยู่แล้ว  เพื่อน บอกมาแล้วนี่ว่าทางเดินจะไม่เชื่อมต่อกันตามสามัญสำนึก.... ก็แค่รู้เท่านั้นเอง ต่อต้านไม่ได้ ทำความเข้าใจซะ นี่ไม่ใช่ที่ที่สามัญสำนึกจะมีประสิทธิภาพ จะบอกแบบนั้นสินะ

     

    “อึก... ไม่ใช่เวลาจะมาตกใจสักหน่อย รีบไปหาพวกเอลกันเถอะปราชญ์!”

     

    “อา จริงด้วย บางทีลูกแกะอาจจะเปิดประตูไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ตอนนี้ต้องรีบรวมกลุ่มกัน...หืม?”

     

    โคนเดินนำเข้าไปในบรรยากาศที่แผ่กว้างนั้น ฝีเท้าทั้งสองรีบก้าวเข้าไปในเส้นแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจนเหมือนถูกตัด บรรยากาศที่เบาบางแต่รุนแรงกว่าเติมเข้ามาเต็มปอด ทำให้กระตุกเกร็งกับกลิ่นที่ลอยอวลอยู่ในอากาศนั้น นี่เป็นกลิ่นที่รู้สึกสดใหม่กว่าในอาคารหลัง ถ้ากลิ่นในอาคารหลังชวนให้รู้สึกกระสับกระส่าย นี่จะเป็นกลิ่นที่เชื่อมโยงไปถึงลางร้ายโดยตรง ปราชญ์รู้สึกคลื่นไส้จนต้องยกมือปิดจมูก

     

    กลิ่นคาวและสนิมเหล็ก...

     

    ราวกับมีคนหลั่งเลือดจำนวนมาก

     

    คิดถึงประจำเดือนแล้วก็เครื่องใน ปราชญ์รู้สึกหายใจติดขัด ราวกับว่ากลิ่นนั้นเข้าไปฝังอยู่ในปอด ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือออกก็รู้สึกถึงความคาวเลือด โคนกัดฟันทำเป็นไม่สนใจสิ่งนั้น เธอลบภาพสีแดงที่สาดกระจายในสมองออกไป ไม่... มนุษย์หนึ่งคนไม่มีทางจะหลั่งเลือดจนมีกลิ่นรุนแรงขนาดนี้แน่

     

    แล้วถ้ามนุษย์หลายคนล่ะ?

     

    โคนสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นไปอีก กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงประจำเดือนทำให้รู้สึกคลื่นไส้พอแล้ว อย่านึกถึงเรื่องนั้นเลยดีกว่า ที่สำคัญทั้งสองคนที่อยู่ในอาคารนี้ต้องไม่ปลอดภัยแน่ ๆ ควรรีบไปตามหาให้เร็วที่สุด หากมีศพจริงก็ต้องรีบไปเก็บ โคนเรียกความเยือกเย็นกลับมาแล้ววิ่งตรงไปยังบันได เลขที่กำแพงบอกว่านี่คือชั้น 2 ไม่รู้ว่าเอลและออโต้อยู่ชั้นไหน แต่คงจะเป็นชั้นบน ลางสังหรณ์และลางร้ายร้องบอกเธอว่าพวกเขาน่าจะอยู่ในจุดที่มีการหลั่งเลือดแน่ ๆ

     

    ปราชญ์เหม่อมองภาพที่โคนกระโดดขึ้นบันไดทีละสองขั้นนิ่ง ๆ เด็กสาวที่สูดอากาศเข้าไปด้วยปากดูราวกับปลาที่ขาดอากาศ จนกระทั่งโคนหายไปลับสายตาแล้ว เขาจึงสบถแล้วไล่ภาพหลอนในหัวออกไป แม้ภาพความตายของเพื่อนที่ยังไม่เกิดขึ้นจะตามหลอกหลอน เขาก็ได้แต่ใส่แรงทั้งหมดลงไปที่ขาเพื่อวิ่งขึ้นบันได

     

    หลังจากผ่านการวิ่งขึ้นบันไดเร็ว ๆ แบบไม่ได้พักจนแทบอ้วก โคนก็มาถึงชั้นบนสุดของอาคารสามสิบปี เธอตะโกนเรียกชื่อหนึ่งทั้งที่ยังหอบหายใจ

     

    “....เอล!!!!”

     

    โคนเบิกตากว้าง สีแดงสาดกระจายเต็มพื้น กลิ่นสนิมเหล็กรุนแรงมีต้นตอจากที่นี่เอง เมื่อมองดี ๆ ก็เห็นว่าร่างที่ล้มนอนหงายของเอลถูกคร่อมไว้ด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด หญิงสาวที่มีปีกนกสีดำแทงทะลุเนื้อออกมากำลังขยับมือยุกยิกอยู่ที่ช่วงท้องของเอล ร่างสีดำที่ดูกลมกลืนกับความมืด แม้จะได้ยินเสียงตะโกนของโคนเธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เอลก็ไม่ได้ขยับตัวเลยเหมือนกัน

     

    โคนปิดปาก มองเลือดที่ไหลลงมาจากปากของเอลเป็นสายแล้วคิดอย่างกระวนกระวาย

     

    ตายแล้วหรอ?

     

    “อุ่ก...แค่ก ๆ แค่ก...

     

    ราวกับจะตอบสนองความคิดนั้น เด็กสาวผมเปียยาวก็สำลักฟองเลือดออกมา เอลกลอกตาอย่างเหม่อลอย นอกจากดวงตาแล้วก็ไม่มีอวัยวะชิ้นไหนขยับอีกเลย ดวงตาสีน้ำเงินซัฟไฟร์ดูไร้สติราวกับเป็นของตุ๊กตา คราบเลือดที่แห้งกรังบนเส้นผมถูกย้อมด้วยสีแดงสดใหม่ สีสั้นนั้นช่างแผดเผานัยน์ตาเหลือเกิน ร่างที่ราวกับถูกสัตว์ป่าบดขยี้ทำให้โคนรู้สึกถึงความน่าเลื่อมใสบางอย่าง เธอกลืนน้ำลายและขับไล่ความรู้สึกชื่นชมนั้นออกไป นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ปกติเลย โคนกอดกุมสติที่เหลืออยู่น้อยนิดเอาไว้ ลมหายใจของเธอเริ่มไม่สงบ

     

    “......นั่นเอลหรอ?”

     

    เสียงเด็กหนุ่มที่วิ่งตามขึ้นมาเรียกสติเธอกลับมาอย่างสมบูรณ์ โคนไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกไปได้จึงพยักหน้าให้เบา ๆ ทั้งที่เห็นอาการบาดเจ็บของเพื่อนสาวตรงหน้าแล้ว ทั้งปราชญ์และโคนกลับสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ไม่มีกระทั่งความตกใจ เพราะไม่มีความสนิทสนมหรอ? หรือเพราะผู้หญิงที่มีปีกนกไม่เข้าโจมตี พวกเขาจึงไม่ต้องรีบเร่งตัดสินใจอะไรนัก? ทว่าหากคิดด้วยเหตุผลอีกครั้ง ถ้าไม่รีบเข้าไปช่วย บาดแผลของเอลจะต้องถึงชีวิตแน่ ๆ

     

    ปราชญ์กลอกตามองไปรอบ ๆ “แล้วออโต้ล่ะ...?”

     

    พวกเขาไม่เห็นเพื่อนผมควันบุหรี่คนนั้นที่ไหนเลย นอกจากเอลและผู้หญิงปีกนกที่นั่นก็ไม่มีใครอีก โคนกลืนความสงสัยว่าเขาจะเป็นอันตรายลงไป มีกองเลือดแต่ไม่มีศพ คิดเสียว่าบาดเจ็บจะดีกว่า เธอกำราวบันไดแน่น สมองคิดเรียบเรียงเหตุการณ์อย่างเอาเป็นเอาตาย นี่คือเกมงั้นหรอ งั้นก็แปลว่าพวกเอลแพ้? นั่นเป็นเหตุผลที่ออโต้หายไปหรือเปล่า

     

    ไม่มีเวลาคิดนานนักเมื่อเอลส่งเสียงร้องอย่างทรมานอีกครั้งและผู้หญิงปีกนกก็เปิดปาก ขับขานท่วงทำนองที่ชวนให้ขนลุกขึ้น

     

    นกเขากาเหว่าลายเอย ไข่ให้...แม่กาฟัก

    แม่กาก็หลงรักเอย นึกว่าลูก...ในอุทร....”

     

    นั่นคือเนื้อเพลงกล่อมเด็ก...เพลงนกกาเหว่า เสียงที่เอื้อนยานเหมาะสำหรับการกล่อมให้เด็กนอนหลับลอยผ่านไป ทั้งที่เพลงกล่อมเด็กถูกออกแบบมาเพื่อให้ฟังแล้วสบายใจ เพื่อให้หลับได้ง่าย ทว่าสิ่งนั้นเมื่อถูกขับขานตอนนี้ กลับชวนให้สังหรณ์ร้ายแล่นพล่าน

     

    แผละ

     

    เสียงชื้น ๆ ดังขึ้นเหมือนมีอะไรถูกบี้ โคนหายใจกระตุกอย่างชัดเจน รู้สึกว่าประสาทสัมผัสการรับกลิ่นขยายตัว.. กลิ่นเลือดที่สดใหม่ติดจมูก ราวกับว่ามีเครื่องในถูกเอามากองตรงหน้า ดวงตาสีน้ำเงินอความารีนไล่หาต้นตอของสิ่งนั้น ก่อนจะสะดุดที่สิ่งที่อยู่ในมือของผู้หญิงปีกนก

     

    สีแดงสดดูชุ่มฉ่ำไหลย้อยไปตามง่ามนิ้ว โคนขยับถอยหลังทันทีที่พิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร

     

    มดลูกสีแดงที่ยังตอบสนอง เต้นตุบ ๆ อยู่บนมือนั้น..

     

    ปราชญ์เบิกตากว้างเมื่อเห็นอวัยวะภายในที่อยู่บนมืออีกฝ่าย รู้สึกราวกับจะสำลักกลิ่นเลือดเข้มข้นนั้น เสียงเพลงไหลเรื่อยต่อไปทว่าบรรยากาศกลับดูหนักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ทั้งสองยังคงไม่สามารถขยับตัวราวกับถูกสาปให้เป็นหิน ผู้หญิงคนนั้นแหวกท้องของเอลออก

     

    เครื่องในสีแดงกระตุกตอบรับพร้อมหลั่งเลือดจำนวนมาก สีแดงความตายไหลทะลักจากข้างใน ก่อนอวัยวะภายในนั้นจะตอบสนองต่อกัน มดลูกที่อยู่ในมือผู้หญิงปีกนกเกิดเส้นใยสีกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกับช่องท้องที่ถูกเปิด เส้นด้ายถูกถักทอด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ สีเนื้อตายประสานเข้ากับช่องท้องอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนั้นเป็นภาพที่ชวนให้นึกถึงเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเอง ความรู้สึกที่ควรก็มีต่อสิ่งนั้นเป็นได้แค่ความขยะแขยง

     

    แต่กระนั้น... โคนกลับกลืนน้ำลาย เพราะรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากภาพตรงหน้า

     

    รอยยิ้มอันวิปริตแผ่กลืนใบหน้าของผู้หญิงปีกนก แม้จะมองไม่เห็นสีหน้า ทว่า—

     

    ปึง!!!

     

    ความเข้าใจถูกตัดกะทันหัน มีสีแดงอื่นพุ่งเข้ามาในสายตา สีแดงคนละโทนกับสีเลือด เป็นสีที่ถูกใช้ด้วยวัตถุประสงค์ว่าถูกเน้นให้สำคัญ.. ผู้ที่เปิดประตูแล้วกระโจนออกมาเหมือนเป็นนักกีฬาทีมชาติขว้างถังดับเพลิงที่บุบทิ้ง สีแดงนั้นกลิ้งออกไปนอกสายตา เขาเช็ดเลือดที่มุมปาก เส้นผมสีควันบุหรี่ถูกเสยขึ้น

     

    “ออโต้!”

     

    เลือดที่หัวไหลย้อยตอบสนอง ออโต้ที่ถูกตีหัวจนสลบอยู่ในห้องและฟื้นขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ แม้จะมีอาการมึนหัวอยู่บ้างแต่ก็ตอบสนองต่อเสียงเรียกของปราชญ์ได้ เขามองร่างของเอลที่หายใจรวยรินแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “ปฐม...พยาบาล...”

     

    “อ๊ะ...อ..เอล!!”

     

    ราวกับถูกคำลายคำสาปให้กลายเป็นหินด้วยคำพูดนั้น โคนที่เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองสามารถขยับตัว ก็รีบพุ่งเข้าไปหาร่างเพื่อนสาวที่แน่นิ่งทันที เสียเลือดมากเกินไป.. แค่ไม่ตายก็ปาฏิหาริย์แล้ว  ต้องรีบทำให้ปากแผลติดกันเท่าที่จะทำได้! ไม่สิ ปากแผลเหวอะขนาดนี้คงไม่ได้ ถ้างั้น—

     

    โคนคิดอย่างร้อนรน ก่อนจะตัดสินใจมองหาของมีคมรอบ ๆ ..นั่นไง เศษเหล็กจากถังดับเพลิง มือเรียวยื่นไปคว้าแล้วนำมาใช้แทนมีด กระชากปลายเสื้อมาตัดอย่างลวก ๆ แล้วขยุ้มกดลงไปกดปากแผล อาจจะไม่สะอาดนักตามหลักการแต่ก่อนจะเสียเลือดหมดตัว เอาความกังวลเรื่องจะติดเชื้อไว้ทีหลังแล้วกันนะ เลือดสีแดงซึมเลอะเศษผ้าสีขาว โคนมองดวงตาของเอลที่เลื่อนลอยก่อนกัดฟันเมื่อรู้ว่าผ้ายังไม่พอ เธอตัดสินใจถอดเสื้อนักเรียนออกอย่างแรงจนกระดุมหลุดกระเด็น ก่อนจะใช้เศษเหล็กตัดผ้านั้นเป็นริ้ว ๆ แล้วนำมันมาพันรอบเอวของเพื่อนสาวไว้

     

    “...ค....โคน”

     

    เอลเรียกทั้งที่ยังดูไร้สติ ทำให้โคนยื่นมือออกไปกุมมือที่เย็นเยียบของอีกฝ่ายไว้ เธอตอบเสียงสั่น “ไม่เป็นไรเอล อดทนไว้นะ ไม่เป็นไร”

     

    “อืม... โอเคจ้ะ.... แล้วลูกแกะล่ะ”

     

    “เดี๋ยวก็ตามมาแล้วล่ะ...”

     

    “เค้าง่วงจังโคน ทำไมเค้ามองไม่เห็นหน้าโคนเลยล่ะ...?”

     

    “อย่าหลับนะ อย่าหลับเชียวนะเอล!”

     

    ลูกแกะบีบมือของเธอแน่นขึ้น สภาพของเด็กสาวที่ไร้แสงสว่างในแววตาดูราวกับศพ มือที่เปื้อนเลือดของโคนสัมผัสไปที่ใบหน้าของเอล ไหล่เล็ก ๆ ทั้งสองข้างสั่นสะท้าน เอลยิ้มเพราะสัมผัสความกังวลในน้ำเสียงได้แต่ไม่สามารถตอบอะไรได้ ทว่าความเข้าใจนั้นผิดไป หากเอลได้มองเห็นหน้าของโคนตอนนี้ล่ะก็..

     

    นั่นคือสีหน้าแห่งความลุ่มหลง ราวกับสีหน้าของคนเสพยา

     

    โคนกดกระตุ้นความรู้สึกยินลงไป เธอควานหาความเศร้า ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ในใจ ทว่าสิ่งนั้นถูกกลบไปด้วยความรู้สึกปีติยินดี ความรู้สึกดีจนแทบรู้สึกว่าแกนสมองจะละลายทำให้เธอแทบจะหัวเราะออกมา

     

    พวกปราชญ์และออโต้ที่ไม่ได้เห็นสีหน้านั้นทำท่าลำบากใจ พวกเขาเกือบจะเข้าไปปลอบโคนแล้ว ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งหันเหความสนใจไปก่อน

     

    “อื่อ อือ ฮืม..ปีกหางยังอ่อนเอย พึ่งจะสอนบิน...”

     

    เสียงที่ไร้ที่มาทำให้ขนลุก ออโต้มองไปยังระเบียงมืด ๆ  เมื่อมองไปยังจุดที่ผู้หญิงปีกนกถูกถังดับเพลิงฟาดล้มลงก็มีแต่ความว่างเปล่ากองรออยู่เท่านั้น เด็กหนุ่มทั้งสองเพิ่มความระวังแล้วเริ่มสนทนาทั้งที่หันหลังให้กัน

     

    “เก็บคำทักทายไว้ก่อน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครวะออโต้ แล้วนี่พวกแกกำลังเล่นเกมอยู่รึเปล่า?”

     

    “ใช่ เล่นอยู่ แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงนั่นตัวอะไร”

     

    “เจอคำใบ้บ้างไหม?”

     

    “เจอกระดาษอยู่บนโต๊ะครู เขียนว่า กาฟักไข่ คิดว่าเป็นเกมกาฟักไข่”

     

    “งั้นผู้หญิงคนนั้นก็คงเป็นกา แล้วเป้าหมายของเกมคือแข่งไข่มา? ไหนล่ะไข่ ผู้หญิงคนนั้นจะไปมีไข่ได้ไงวะเนี่ย!”

     

    “....คิดว่าไข่เป็นความหมายโดยนัยที่แปลถึงลูก ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นอุ้มห่อผ้ามา พวกฉันเลยไปแย่ง มันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร จนกระทั่งเปิดห่อผ้าดู... แทบอ้วก ในนั้นมีแต่มดลูกเปื้อนเลือดถูกห่อ แล้วจู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มโจมตี มันเอาถังดับเพลิงฟาดฉันจนสลบ แล้วพอฉันฟื้นก็เห็นเอล....”

     

    กาฟักไข่ เพลงนกกาเหว่า แล้วก็มดลูก ของสามอย่างทำให้ปราชญ์เห็นความเชื่อมโยงบางอย่าง อย่าบอกนะว่า....

     

    “ทุกอย่างเชื่อมโยงไปถึงเด็ก... อย่าบอกนะว่า เกมนี้จะต้องเอาเด็กมาสังเวย กรณีเลวร้ายที่ไม่มีเด็กก็ต้อง”

     

    มีเด็กขึ้นมา..?”

     

    แย่แล้ว..!

     

    ทั้งสองคนหันไปหาโคนที่นั่งอยู่กับเอลตามลำพัง ทว่าสายไป เพราะผู้หญิงปีกนกคนนั้นกำลังก้มหน้าพินิจดูเด็กสาวอยู่ โคนแทบกลั้นหายใจกับความงดงามอันต่ำช้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ลมหายใจที่มีกลิ่นเลือดปนทำให้สติเธอล่องลอยออกไป

     

    “เจ้าพาลูกเที่ยวหากินเอย ที่ปากน้ำแม่คงคา.......

     

    ...ทันใดนั้น เสียงเพลงก็ขาดห้วง

     

    โคนรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นลงกะทันหันของพื้น เธอขมวดคิ้ว พวกปราชญ์ก็รู้สึกประหลาดใจเพราะสัมผัสของพื้นหายไปกะทันหัน กลุ่มคนที่อยู่ ณ ที่นี้พยายามเปลี่ยนตำแหน่งปัจจุบันด้วยสัญชาตญาณ แต่ทว่าสายไป—

     

    พื้นตรงที่เด็กหนุ่มทั้งสองยืนระเหิดเป็นควันกะทันหัน มือของทั้งคู่พยายามจะคว้าบางอย่าง แต่ก็จับอะไรไว้ไม่ได้เลย ส่วนตรงโคนนั่งทรุดอยู่ก็ละลายกลายเป็นของเหลว ร่างทั้งสี่ตกลงไปเบื้องล่างด้วยความเร็วที่ต่างกัน ทั้งปราชญ์และออโต้ร่วงลงอย่างรวดเร็วจนคิดว่าตกไปชั้น 1 แล้ว แต่โคนกับผู้หญิงปีกนกกลับถูกดูดลงไปช้า ๆ ราวกับถูกทรายดูด โคนยื่นมือออกไป ยังพื้นเบื้องบนที่อยู่ไกลออกไป ร่างของเอลนั้นเธอไขว่ขว้าไว้ไม่ได้ แต่หูที่จมลงไปแล้วกลับได้ยินเพลงขับกล่อมดังมา

     

    ลูกเอ๋ย นอนเถิดนอนเสียเจ้า ยังอ่อน ยังเยาว์.....”

     

    เสียงอันอ่อนโยนนั้นล่องลอยไป ปลายตาสีอความารีนมีเงาทาบทับร่างของเด็กหญิงผมชมพู ใครกัน.. เธอไม่รู้จักร่างนั้น ที่ตรงนั้นเธอรู้จักแค่เอ

     

    หืม?

     

    รู้จักใครนะ

     

    เด็กสาวผมชมพู ไม่สิ ใครกัน?

     

    สติสุดท้ายถูกแย่งชิง พร้อมร่างที่กระแทกพื้นด้านล่าง ความทรงจำของเด็กสาวด้านบนถูกลบหายไปสิ้นแล้ว เธอทำได้เพียงปิดเปลือกตาอย่างไม่อาจต่อต้าน



     

    WB : ศพที่สองค่ะ แหม่ตายกันเกลื่อนกลาดจุงเบย 555 ภาพประกอบเดะเราอัพพรุ่งนี้นะคะ ตอนนี้น้องแมวนอนตักอยู่ ไม่อาจขยับตัว แง

     

    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×