คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : My Best Friend 7 : One by one
My Best Friend
7
One by one ; ทีละคน
“ เค้าง่วงจังโคน
ทำไมเค้ามองไม่เห็นหน้าโคนเลยล่ะ...? ”
“ไปตึกสามสิบปีกัน”
ลูกแกะบอกเช่นนั้นแล้วเดินนำทางทั้งสองไป
เธออธิบายระหว่างทางว่าเอลกับออโต้อยู่ที่นั่น และพวกเราจะไปรวมกลุ่มกัน ปราชญ์ทำท่าเหมือนรำคาญเล็กน้อยที่ลูกแกะตัดสินใจเอาเองว่าพวกเขาทั้งสามคนจะไปหาเอล
แต่ก็เดินไปแต่โดยดี
ทางเดินภายในอาคารหลังยังคงเงียบสงัด
มีเศษเนื้อน่ารังเกียจเปรอะเต็มพื้นและกำแพง
ทั้งที่ควรใส่ใจแต่ทั้งปราชญ์แล้วก็ลูกแกะกลับไม่ใส่ใจ
หรือทั้งสองจะมองไม่เห็นกันนะ? ไม่มีเลือดหรือของเหลวที่ลักษณะใกล้เคียงเลยสักนิดเดียว
มีแค่เนื้อเท่านั้นเอง.... เศษเนื้อในสายตาชวนให้คิดถึงเนื้อหมูสับในช่องฟรีซของตู้เย็น
โคนที่สนใจเรื่องนั้นอยู่คนเดียวรู้สึกกระสับกระส่าย จะว่าไม่สบายใจก็ใช่ แต่คำที่อธิบายความรู้สึกนี้ได้ดีกว่าน่าจะเป็น
ความวิตกกังวล
เนื้อ เนื้อ เนื้อ เนื้อ
แม้จะคิดถึงคำนั้นแต่ภาพจินตนาการก็มีแต่เนื้อของสัตว์
จำพวกที่เอาไว้ปรุงอาหารนั่นแหละ เนื้อพวกนั้นไม่อะไรเชื่อมโยงไปถึงความน่ากลัวได้เลย
คิดได้แค่ว่าเป็นของกินเท่านั้น ความรู้สึกเมื่อเธอมองเนื้อที่ติดตามพื้นและกำแพงก็เป็นเช่นนั้น
ไม่ได้หมายความว่าเธอหิวนะ
แต่จิตสำนึกต่อเนื้อพวกนั้นมันดูปกติเกินไปจนรู้สึกผิดแผก
โคนสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นไป เริ่มรู้สึกหวาดกลัวว่า บางทีสถานที่แห่งนี้อาจจะเริ่มส่งผลกระทบบางอย่างต่อจิตใจขึ้นมา
จิตใจเยือกเย็นเกินไป...
คิดได้แค่ว่ามันก็แค่เนื้อเท่านั้นเอง ต่อให้คิดไปอย่างเลวร้ายว่าเป็นเนื้ออะไรก็ไม่รู้สึกหวั่นไหวเลยสักนิด
โคนรู้สึกเหมือนหน้ามืด อยากจะรีบเดินออกไปข้างนอกเร็ว ๆ
จะได้สัมผัสอากาศบริสุทธิ์บ้าง
“เป็นอะไรไหมโคน
สีหน้าดูไม่ค่อยดีเลย?”
“อืม....ไม่เป็นไร”
โคนตอบสั้น ๆ
ทำให้ลูกแกะไม่กล้าเซ้าซี้อีก พูดตามตรงในกลุ่มนี้เธอสนิทกับโคนน้อยมาก จะให้พูดว่าโคนไม่ค่อยสนิทกับทุกคนเลยก็ได้
โดยปกติแล้วถึงพวกเธอจะจับกลุ่มใหญ่ ๆ กัน แต่ก็จะมีแยกเป็นกลุ่มย่อย ๆ
หรือดูโอ้เพื่อนสนิทกันอีก ตัวอย่างเพื่อนสนิทก็เช่น เธอกับเอล นาโนกับบอส
ไรส์กับธีร์ ไนท์กับปราชญ์ อะไรพวกนี้ แต่โคนดูเหมือนจะไม่สนิทกับใครเป็นพิเศษเลย
เธอไม่ค่อยพูดมากนัก แต่ถ้าบทจะพูดก็ชวนคุยยาวจนรับมือไม่ถูกก็มี นอกจากพวกคนที่เล่นเกมเดียวกับเธอแล้ว
คนอื่นดูจะคุยด้วยไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าลูกแกะจะไม่ชอบเธอนะ
แค่ไม่ชินเพราะไม่เคยคุยกันเท่านั้นเอง
“จะว่าไปปราชญ์ลองโทรหาไนท์ดูรึยังน่ะ?”
ลูกแกะนึกขึ้นได้
เพราะเรื่องเพื่อนสนิทที่คิดเมื่อครู่ จะว่าไปก็ไม่เห็นปราชญ์จะกดเบอร์โทรหาใครเลย
เหมือนจะลืมไปแล้วว่าสามารถกดโทรได้ แต่ก็อาจจะลืมไปจริง ๆ นั่นแหละ เพราะพวกเธอเพิ่งจำได้ว่าโทรศัพท์ใช้การได้ก็ตอนที่เอลโทรมา
ปราชญ์อาจจะไม่ทันคิดล่ะมั้ง
“อ้อ จริงด้วย
เดี๋ยวลองโทรละกัน”
“อ๊ะ ถ้างั้นน่าจะโทรบอกเกมด้วยนะว่าพวกเราจะไปรวมกลุ่มกับเอลน่ะ”
โคนเสนอขึ้น
ซึ่งก็เป็นความคิดที่ดีทีเดียว ตอนนี้โทรศัพท์ของลูกแกะเหลือแบตไม่มาก
ถ้ารู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ไม่เล่นเกมที่กินแบตก็ดีหรอก....
ถึงจะพูดงั้นแต่ก็ทำเหมือนว่าเธอรู้ล่วงหน้าได้ว่าเกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้น
คิดแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจขณะเปิดเบอร์โทรให้โคน
“อ่ะ ถึงประตูแล้ว
พวกเธอโทรไปนะ ฉันจะออกไปดูต้นทางให้”
ลูกแกะว่าก่อนจะผละตัวออกไปจากกลุ่มเมื่อใกล้ประตูทางออก
โถงทางเดินอึมครึมเหมือนทุกส่วนในตึกนี้ ประตูทางออกหนึ่งในสองบานอยู่ตรงหน้า
ถึงจะพูดว่าประตู แต่นั่นก็ไม่ใช่ประตูแบบเป็นบาน ๆ ประตูที่ปิดทางเข้าออกของอาคารนั้นเป็นประตูม้วนอะลูมิเนียม
แบบที่ใช้กับร้านขายของตามห้องแถวนั่นแหละ
ลูกแกะกลั้นใจต่อบรรยากาศขมุกขมัวโดยรอบแล้วรีบเดินไปดึงประตูม้วนขึ้น
รู้สึกถึงความหนักหน่วงอย่างน่าประหลาดยามที่ยกประตูขึ้น
เสียงเหล็กเสียดสีไม่น่าอภิรมย์ดังก้อง
ทางด้านปราชญ์ก็กำลังรอสายกับโคน
ดูเหมือนเกมจะรับก่อน โคนจึงหันไปอีกทางเพื่อไม่ให้เสียงในสายกับปราชญ์ตีกัน
เธออธิบายสถานการณ์ของตัวเองกับเรื่องของเอลให้เกมฟังแล้วคุยอะไรสักอย่างที่ปราชญ์ไม่คิดจะสนใจอยู่แล้ว
ปล่อยให้ทางนั้นจัดการเรื่องเกมไป เขาจะสนใจแค่เรื่องไนท์แล้วกัน
ไม่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นนักหรอก
[ตู๊ด...
ฮัลโหลปราชญ์?]
เสียงของอีกฝ่ายมีความตกใจเล็กน้อย
แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น ไนท์สามารถควบคุมสติได้อย่างสมบูรณ์
รู้สึกได้กระทั่งความใจเย็นที่แฝงมากับน้ำเสียง
เหมือนอีกฝ่ายได้เจอเรื่องที่อัศจรรย์กว่านั้นจนไม่แปลกใจแล้ว
ปราชญ์ไม่ได้แสดงความโล่งใจออกมา เขาแค่ตอบกลับไปธรรมดา
“อืม ไนท์ เป็นไงบ้าง
ทุกอย่างเรียบร้อยไหม?”
[ก็ไม่เชิง
ตอนนี้เราอยู่กับนาโนที่ห้องคหกรรมอาคารหลัก สถานการณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่]
“เกิดอะไรขึ้น?”
[เราก็ไม่รู้
พอเปิดประตูห้องสมุดอย่างงง ๆ ก็มาโผล่ที่ห้องคหกรรม แล้วก็เจอนาโนที่นั่น
ดูเหมือนก่อนเรามานาโนจะอยู่กับเอวาแล้วก็ไรส์ แต่พอเรามาถึง ทั้งคู่ก็หายไปแล้ว
นาโนก็ไม่รู้ด้วยว่าออกจากห้องนี้ไปตอนไหนกัน นี่กำลังหากันอยู่]
“ฟังดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
[แล้วทางนั้นล่ะเป็นไงบ้าง?]
“ตอนนี้ฉันอยู่กับโคนแล้วก็ลูกแกะ
วางแผนว่าจะไปรวมกลุ่มกับเอลและออโต้
แล้วพวกเราทั้งหมดจะไปหาเกมที่อาคารหลักกันอีกที” ปราชญ์หันมองโคนเล็กน้อย
ดูเหมือนเธอจะยังคุยกับเกมอยู่ “เกมรออยู่แถวห้องแนะแนวชั้นสาม
ถ้าพวกนายอยู่อาคารนั้นก็ไปหาเกมก่อนเลยก็ได้ เดี๋ยวจะรีบตามไป”
[โอเค
แล้วเจอกันนะ]
ไนท์วางสายไป ปราชญ์ถอนหายใจแล้วหันไปหาโคน
เธอยังคุยโทรศัพท์อยู่ เขาจึงสะกิดแล้วกระซิบบอกเบา ๆ ว่าติดต่อไนท์ได้แล้ว
รายละเอียดเดี๋ยวบอกพร้อมพวกเอลอีกที โคนพยักหน้ารับเบา ๆ เธอหันไปคุยโทรศัพท์อีกนิดหน่อย แล้วจึงวางสาย
“เกมอยู่กับเบสท์น่ะ
เห็นว่าติดต่อพวกผู้ชายได้เกือบหมดแล้ว เหลือแค่เปรมกับต้าที่โทรไม่ได้
และปูนที่ไม่คิดจะติดต่อน่ะ”
ปูนงั้นหรอ... อืม
คาดว่ารายนั้นคงไม่มีใครอยากโทรหาหรอกมั้ง
ปราชญ์คิดในใจ ปูนเป็นผู้ชายในกลุ่ม
แต่ไม่ถูกนับรวมในกลุ่มผู้ชายด้วย ไม่ใช่ว่าเขาใจเป็นหญิง เขาเป็นชายแท้ทั้งแท่ง
แต่เพราะอยู่ด้วยแล้วรู้สึกรำคาญมากกว่า หมอนั่นเป็นคนพูดมากแล้วก็ จะว่าไงดี....
จูนิเบียว? ล่ะมั้ง เลยรู้สึกรำคาญ แต่คงไม่เป็นไรหรอก
เพราะยังไงปูนก็เอาตัวรอดเก่ง คงไม่ตายง่าย ๆ แน่ แต่อีกนัยหนึ่งก็คือจะเป็นหรือตาย
เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยสักนิดเดียว
ว่าแล้วเขาก็ตั้งใจจะหันความสนใจไปทางประตูม้วนที่ปิดอยู่
“กรี๊ดดดดดดดด!!!!”
“!? / ลูกแกะ!!!”
สองหนุ่มสาวหันไปทางต้นเสียงทันควัน
แล้วก็ต้องเบิกตาเมื่อเด็กสาวเจ้าของชื่อนั้นได้ไม่ได้อยู่ในคลองสายตา โคนมองไปรอบ
ๆ เพื่อหาลูกแกะ แต่ก็ไม่พบ เสียงกรี๊ดนั้นยังคงดังต่อไป ปราชญ์เป็นคนที่รู้สึกตัวว่าเสียงนั้นมาจากหลังประตูม้วน
เขารีบวิ่งเข้าไปใกล้ ย่อตัวลงพยายามเลื่อนประตูขึ้น
กึ่ก!!!
“บ้าชิบ!!! เปิดไม่ออก!”
“เกิดอะไรขึ้นลูกแกะ!? ปลอดภัยไหม!!!”
ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง! ปึ้ง!
เมื่อการเปิดไม่เป็นผล ทั้งสองคนจึงระดมกำลังกันทุบประตู
ทั้งที่ประตูไม่ได้แข็งแรงแท้ ๆ แต่ไม่ว่าจะทุบเท่าไหร่ก็ไม่พังลง เสียงกรีดร้องของเด็กสาวค่อย
ๆ แผ่วลงจนโคนหน้าเสีย เธอหันไปมองรอบ ๆ
เพื่อหาเครื่องทุ่นแรงแต่ที่ทางเดินตรงนี้นอกจากบันไดแล้วก็ไม่มีอะไรเลย
“ลูกแกะ! บ้าเอ๊ย เกิดอะไรขึ้นเนี่ย!! เฮ้ย ตอบมาหน่อย
เป็นอะไรไหม!?”
ปึ้ง!
ปราชญ์ที่เริ่มหัวเสียใช้เท้าเตะประตูม้วน
ประตูอะลูมิเนียมแบบบางเด้งสะท้อนแรงนั้นแต่ก็ไม่ยอมพังลงโดยง่าย เสียงกรีดร้องเงียบไปแล้ว
เหลือเพียงบานประตูดูหนักหน่วงแผ่อยู่ตรงหน้า รู้สึกหลอนไปว่าประตูนั้นคือกำแพงที่ไม่มีวันข้ามไปได้
เขาผละถอยหลังออกมาด้วยแรงกดดันนั้น
ประตูม้วนได้พูดประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมให้ผ่านไป เด็กหนุ่มถอยหลังมาจนชนเข้ากับเด็กสาวผมสั้นสีชมพู
“เรา....เราจะไปหาของที่น่าจะใช้ได้นะ”
ถึงจะอยากถามว่าอะไรที่จะใช้ได้น่ะมันอะไร
แต่ปราชญ์ก็เงียบไปเพราะอย่างน้อยการขยับตัวทำอะไรต้องดีกว่ายืนเฉยแน่
เขาวิ่งตามโคนไปทั้งที่ยังสับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลูกแกะที่ออกไปข้างนอกเจอกับอะไร?
แล้วทำไมประตูถึงได้ปิดลงโดยไร้เสียงได้? ตอนนี้รู้แค่ว่าเสียงกรีดร้องนั้นไม่ชวนให้คิดว่าเพื่อนผมยาวของเราจะยังปลอดภัยได้เลย
“ห้องเก็บของ? อื้อ
น่าจะได้ล่ะมั้ง....”
โคนพึมพำพร้อมเอื้อมมือไปเปิดประตูห้องเก็บของเล็ก
ๆ เธอเองก็กำลังสับสนไม่ต่างจากปราชญ์ทำให้มือที่ยื่นออกไปสั่นอย่างช่วยไม่ได้ จินตนาการอันเลวร้ายถูกส่งเข้ามาในสมองเรื่อย
ๆ แต่เธอเมินภาพศพทั้งหมดแล้วกลั้นใจเปิดประตูเล็ก ๆ นั่น
....แอ๊ด
ทิวทัศน์ที่ไม่อาจเข้าใจได้เข้ามาในสายตา
เท้าของเธอที่ย่างเข้าไปในระเบียงมืด
ๆ ชะงัก ทางเดินที่ดูนำสมัยทอดยาวออกไปจนรู้สึกผิดแผกไปจากทางเดินเก่า ๆ
ของอาคารหลัง เหมือนมีคนจงใจเอามาตัดแปะกันไว้อย่างลวก ๆ โคนไม่แม้แต่จะทำตาโตด้วยความตกใจ
เธอเพียงแต่เกร็งค้างอยู่ในท่าที่เปิดประตูเท่านั้น ปราชญ์เองก็นิ่งไปเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่แค่ห้องเก็บของเล็ก
ๆ
อาคารสามสิบปี...?
ภาพตรงหน้าเป็นที่ประจักษ์แล้ว
แต่สมองส่วนเหตุผลกำลังส่งเสียงต่อต้านอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่สามารถปะติดปะต่อความเข้ากันของสองอาคารได้
ราวกับสามัญสำนึกฉีกออก แต่ปราชญ์เรียกสติกลับมาสติได้ก่อน เขาพึมพำให้ตัวเองฟัง
“งั้นหรอ....เขาวงกตที่ว่าสินะ”
โคนกลั้นใจกับคำพูดนั้น
เธอไปถึงความเข้าใจเดียวกันได้ง่าย ๆ ในเวลาไล่เลี่ยกัน ก็แน่อยู่แล้ว เพื่อน บอกมาแล้วนี่ว่าทางเดินจะไม่เชื่อมต่อกันตามสามัญสำนึก....
ก็แค่รู้เท่านั้นเอง ต่อต้านไม่ได้ ทำความเข้าใจซะ นี่ไม่ใช่ที่ที่สามัญสำนึกจะมีประสิทธิภาพ
จะบอกแบบนั้นสินะ
“อึก...
ไม่ใช่เวลาจะมาตกใจสักหน่อย รีบไปหาพวกเอลกันเถอะปราชญ์!”
“อา จริงด้วย
บางทีลูกแกะอาจจะเปิดประตูไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ตอนนี้ต้องรีบรวมกลุ่มกัน...หืม?”
โคนเดินนำเข้าไปในบรรยากาศที่แผ่กว้างนั้น
ฝีเท้าทั้งสองรีบก้าวเข้าไปในเส้นแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจนเหมือนถูกตัด บรรยากาศที่เบาบางแต่รุนแรงกว่าเติมเข้ามาเต็มปอด
ทำให้กระตุกเกร็งกับกลิ่นที่ลอยอวลอยู่ในอากาศนั้น นี่เป็นกลิ่นที่รู้สึกสดใหม่กว่าในอาคารหลัง
ถ้ากลิ่นในอาคารหลังชวนให้รู้สึกกระสับกระส่าย
นี่จะเป็นกลิ่นที่เชื่อมโยงไปถึงลางร้ายโดยตรง
ปราชญ์รู้สึกคลื่นไส้จนต้องยกมือปิดจมูก
กลิ่นคาวและสนิมเหล็ก...
ราวกับมีคนหลั่งเลือดจำนวนมาก
คิดถึงประจำเดือนแล้วก็เครื่องใน
ปราชญ์รู้สึกหายใจติดขัด ราวกับว่ากลิ่นนั้นเข้าไปฝังอยู่ในปอด
ไม่ว่าจะหายใจเข้าหรือออกก็รู้สึกถึงความคาวเลือด โคนกัดฟันทำเป็นไม่สนใจสิ่งนั้น
เธอลบภาพสีแดงที่สาดกระจายในสมองออกไป ไม่...
มนุษย์หนึ่งคนไม่มีทางจะหลั่งเลือดจนมีกลิ่นรุนแรงขนาดนี้แน่
แล้วถ้ามนุษย์หลายคนล่ะ?
โคนสะบัดหัวไล่ความคิดนั้นไปอีก
กลิ่นที่ชวนให้นึกถึงประจำเดือนทำให้รู้สึกคลื่นไส้พอแล้ว
อย่านึกถึงเรื่องนั้นเลยดีกว่า ที่สำคัญทั้งสองคนที่อยู่ในอาคารนี้ต้องไม่ปลอดภัยแน่
ๆ ควรรีบไปตามหาให้เร็วที่สุด หากมีศพจริงก็ต้องรีบไปเก็บ โคนเรียกความเยือกเย็นกลับมาแล้ววิ่งตรงไปยังบันได
เลขที่กำแพงบอกว่านี่คือชั้น 2 ไม่รู้ว่าเอลและออโต้อยู่ชั้นไหน แต่คงจะเป็นชั้นบน
ลางสังหรณ์และลางร้ายร้องบอกเธอว่าพวกเขาน่าจะอยู่ในจุดที่มีการหลั่งเลือดแน่ ๆ
ปราชญ์เหม่อมองภาพที่โคนกระโดดขึ้นบันไดทีละสองขั้นนิ่ง
ๆ เด็กสาวที่สูดอากาศเข้าไปด้วยปากดูราวกับปลาที่ขาดอากาศ จนกระทั่งโคนหายไปลับสายตาแล้ว
เขาจึงสบถแล้วไล่ภาพหลอนในหัวออกไป แม้ภาพความตายของเพื่อนที่ยังไม่เกิดขึ้นจะตามหลอกหลอน
เขาก็ได้แต่ใส่แรงทั้งหมดลงไปที่ขาเพื่อวิ่งขึ้นบันได
หลังจากผ่านการวิ่งขึ้นบันไดเร็ว
ๆ แบบไม่ได้พักจนแทบอ้วก โคนก็มาถึงชั้นบนสุดของอาคารสามสิบปี
เธอตะโกนเรียกชื่อหนึ่งทั้งที่ยังหอบหายใจ
“....เอล!!!!”
โคนเบิกตากว้าง
สีแดงสาดกระจายเต็มพื้น กลิ่นสนิมเหล็กรุนแรงมีต้นตอจากที่นี่เอง เมื่อมองดี ๆ
ก็เห็นว่าร่างที่ล้มนอนหงายของเอลถูกคร่อมไว้ด้วยสิ่งมีชีวิตประหลาด
หญิงสาวที่มีปีกนกสีดำแทงทะลุเนื้อออกมากำลังขยับมือยุกยิกอยู่ที่ช่วงท้องของเอล
ร่างสีดำที่ดูกลมกลืนกับความมืด
แม้จะได้ยินเสียงตะโกนของโคนเธอก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย เอลก็ไม่ได้ขยับตัวเลยเหมือนกัน
โคนปิดปาก
มองเลือดที่ไหลลงมาจากปากของเอลเป็นสายแล้วคิดอย่างกระวนกระวาย
ตายแล้วหรอ?
“อุ่ก...แค่ก ๆ แค่ก...”
ราวกับจะตอบสนองความคิดนั้น
เด็กสาวผมเปียยาวก็สำลักฟองเลือดออกมา เอลกลอกตาอย่างเหม่อลอย นอกจากดวงตาแล้วก็ไม่มีอวัยวะชิ้นไหนขยับอีกเลย
ดวงตาสีน้ำเงินซัฟไฟร์ดูไร้สติราวกับเป็นของตุ๊กตา
คราบเลือดที่แห้งกรังบนเส้นผมถูกย้อมด้วยสีแดงสดใหม่
สีสั้นนั้นช่างแผดเผานัยน์ตาเหลือเกิน
ร่างที่ราวกับถูกสัตว์ป่าบดขยี้ทำให้โคนรู้สึกถึงความน่าเลื่อมใสบางอย่าง เธอกลืนน้ำลายและขับไล่ความรู้สึกชื่นชมนั้นออกไป
นั่นไม่ใช่ความรู้สึกที่ปกติเลย โคนกอดกุมสติที่เหลืออยู่น้อยนิดเอาไว้
ลมหายใจของเธอเริ่มไม่สงบ
“......นั่นเอลหรอ?”
เสียงเด็กหนุ่มที่วิ่งตามขึ้นมาเรียกสติเธอกลับมาอย่างสมบูรณ์
โคนไม่สามารถเปล่งเสียงใดออกไปได้จึงพยักหน้าให้เบา ๆ ทั้งที่เห็นอาการบาดเจ็บของเพื่อนสาวตรงหน้าแล้ว
ทั้งปราชญ์และโคนกลับสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด ไม่มีกระทั่งความตกใจ เพราะไม่มีความสนิทสนมหรอ?
หรือเพราะผู้หญิงที่มีปีกนกไม่เข้าโจมตี พวกเขาจึงไม่ต้องรีบเร่งตัดสินใจอะไรนัก?
ทว่าหากคิดด้วยเหตุผลอีกครั้ง ถ้าไม่รีบเข้าไปช่วย บาดแผลของเอลจะต้องถึงชีวิตแน่
ๆ
ปราชญ์กลอกตามองไปรอบ ๆ
“แล้วออโต้ล่ะ...?”
พวกเขาไม่เห็นเพื่อนผมควันบุหรี่คนนั้นที่ไหนเลย
นอกจากเอลและผู้หญิงปีกนกที่นั่นก็ไม่มีใครอีก โคนกลืนความสงสัยว่าเขาจะเป็นอันตรายลงไป
มีกองเลือดแต่ไม่มีศพ คิดเสียว่าบาดเจ็บจะดีกว่า เธอกำราวบันไดแน่น
สมองคิดเรียบเรียงเหตุการณ์อย่างเอาเป็นเอาตาย นี่คือเกมงั้นหรอ
งั้นก็แปลว่าพวกเอลแพ้? นั่นเป็นเหตุผลที่ออโต้หายไปหรือเปล่า
ไม่มีเวลาคิดนานนักเมื่อเอลส่งเสียงร้องอย่างทรมานอีกครั้งและผู้หญิงปีกนกก็เปิดปาก
ขับขานท่วงทำนองที่ชวนให้ขนลุกขึ้น
“นกเขากาเหว่าลายเอย ไข่ให้...แม่กาฟัก
แม่กาก็หลงรักเอย
นึกว่าลูก...ในอุทร....”
นั่นคือเนื้อเพลงกล่อมเด็ก...เพลงนกกาเหว่า
เสียงที่เอื้อนยานเหมาะสำหรับการกล่อมให้เด็กนอนหลับลอยผ่านไป ทั้งที่เพลงกล่อมเด็กถูกออกแบบมาเพื่อให้ฟังแล้วสบายใจ
เพื่อให้หลับได้ง่าย ทว่าสิ่งนั้นเมื่อถูกขับขานตอนนี้ กลับชวนให้สังหรณ์ร้ายแล่นพล่าน
แผละ
เสียงชื้น ๆ
ดังขึ้นเหมือนมีอะไรถูกบี้ โคนหายใจกระตุกอย่างชัดเจน
รู้สึกว่าประสาทสัมผัสการรับกลิ่นขยายตัว.. กลิ่นเลือดที่สดใหม่ติดจมูก
ราวกับว่ามีเครื่องในถูกเอามากองตรงหน้า ดวงตาสีน้ำเงินอความารีนไล่หาต้นตอของสิ่งนั้น
ก่อนจะสะดุดที่สิ่งที่อยู่ในมือของผู้หญิงปีกนก
สีแดงสดดูชุ่มฉ่ำไหลย้อยไปตามง่ามนิ้ว โคนขยับถอยหลังทันทีที่พิสูจน์ได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
มดลูกสีแดงที่ยังตอบสนอง เต้นตุบ ๆ อยู่บนมือนั้น..
ปราชญ์เบิกตากว้างเมื่อเห็นอวัยวะภายในที่อยู่บนมืออีกฝ่าย
รู้สึกราวกับจะสำลักกลิ่นเลือดเข้มข้นนั้น เสียงเพลงไหลเรื่อยต่อไปทว่าบรรยากาศกลับดูหนักขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ทั้งสองยังคงไม่สามารถขยับตัวราวกับถูกสาปให้เป็นหิน ผู้หญิงคนนั้นแหวกท้องของเอลออก
เครื่องในสีแดงกระตุกตอบรับพร้อมหลั่งเลือดจำนวนมาก
สีแดงความตายไหลทะลักจากข้างใน ก่อนอวัยวะภายในนั้นจะตอบสนองต่อกัน
มดลูกที่อยู่ในมือผู้หญิงปีกนกเกิดเส้นใยสีกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกับช่องท้องที่ถูกเปิด
เส้นด้ายถูกถักทอด้วยความเร็วน่าเหลือเชื่อ สีเนื้อตายประสานเข้ากับช่องท้องอย่างรวดเร็ว
การเคลื่อนไหวนั้นเป็นภาพที่ชวนให้นึกถึงเนื้อเยื่อซ่อมแซมตัวเอง
ความรู้สึกที่ควรก็มีต่อสิ่งนั้นเป็นได้แค่ความขยะแขยง
แต่กระนั้น...
โคนกลับกลืนน้ำลาย เพราะรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นอย่างรุนแรงจากภาพตรงหน้า
รอยยิ้มอันวิปริตแผ่กลืนใบหน้าของผู้หญิงปีกนก
แม้จะมองไม่เห็นสีหน้า ทว่า—
ปึง!!!
ความเข้าใจถูกตัดกะทันหัน
มีสีแดงอื่นพุ่งเข้ามาในสายตา สีแดงคนละโทนกับสีเลือด
เป็นสีที่ถูกใช้ด้วยวัตถุประสงค์ว่าถูกเน้นให้สำคัญ..
ผู้ที่เปิดประตูแล้วกระโจนออกมาเหมือนเป็นนักกีฬาทีมชาติขว้างถังดับเพลิงที่บุบทิ้ง
สีแดงนั้นกลิ้งออกไปนอกสายตา เขาเช็ดเลือดที่มุมปาก เส้นผมสีควันบุหรี่ถูกเสยขึ้น
“ออโต้!”
เลือดที่หัวไหลย้อยตอบสนอง
ออโต้ที่ถูกตีหัวจนสลบอยู่ในห้องและฟื้นขึ้นมาด้วยความเร็วอันน่าตกใจ
แม้จะมีอาการมึนหัวอยู่บ้างแต่ก็ตอบสนองต่อเสียงเรียกของปราชญ์ได้ เขามองร่างของเอลที่หายใจรวยรินแล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“ปฐม...พยาบาล...”
“อ๊ะ...อ..เอล!!”
ราวกับถูกคำลายคำสาปให้กลายเป็นหินด้วยคำพูดนั้น
โคนที่เหมือนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองสามารถขยับตัว ก็รีบพุ่งเข้าไปหาร่างเพื่อนสาวที่แน่นิ่งทันที
เสียเลือดมากเกินไป.. แค่ไม่ตายก็ปาฏิหาริย์แล้ว ต้องรีบทำให้ปากแผลติดกันเท่าที่จะทำได้! ไม่สิ ปากแผลเหวอะขนาดนี้คงไม่ได้ ถ้างั้น—
โคนคิดอย่างร้อนรน
ก่อนจะตัดสินใจมองหาของมีคมรอบ ๆ ..นั่นไง เศษเหล็กจากถังดับเพลิง
มือเรียวยื่นไปคว้าแล้วนำมาใช้แทนมีด กระชากปลายเสื้อมาตัดอย่างลวก ๆ แล้วขยุ้มกดลงไปกดปากแผล
อาจจะไม่สะอาดนักตามหลักการแต่ก่อนจะเสียเลือดหมดตัว
เอาความกังวลเรื่องจะติดเชื้อไว้ทีหลังแล้วกันนะ เลือดสีแดงซึมเลอะเศษผ้าสีขาว โคนมองดวงตาของเอลที่เลื่อนลอยก่อนกัดฟันเมื่อรู้ว่าผ้ายังไม่พอ
เธอตัดสินใจถอดเสื้อนักเรียนออกอย่างแรงจนกระดุมหลุดกระเด็น
ก่อนจะใช้เศษเหล็กตัดผ้านั้นเป็นริ้ว ๆ แล้วนำมันมาพันรอบเอวของเพื่อนสาวไว้
“...ค....โคน”
เอลเรียกทั้งที่ยังดูไร้สติ
ทำให้โคนยื่นมือออกไปกุมมือที่เย็นเยียบของอีกฝ่ายไว้ เธอตอบเสียงสั่น “ไม่เป็นไรเอล
อดทนไว้นะ ไม่เป็นไร”
“อืม... โอเคจ้ะ....
แล้วลูกแกะล่ะ”
“เดี๋ยวก็ตามมาแล้วล่ะ...”
“เค้าง่วงจังโคน
ทำไมเค้ามองไม่เห็นหน้าโคนเลยล่ะ...?”
“อย่าหลับนะ
อย่าหลับเชียวนะเอล!”
ลูกแกะบีบมือของเธอแน่นขึ้น
สภาพของเด็กสาวที่ไร้แสงสว่างในแววตาดูราวกับศพ มือที่เปื้อนเลือดของโคนสัมผัสไปที่ใบหน้าของเอล
ไหล่เล็ก ๆ ทั้งสองข้างสั่นสะท้าน เอลยิ้มเพราะสัมผัสความกังวลในน้ำเสียงได้แต่ไม่สามารถตอบอะไรได้
ทว่าความเข้าใจนั้นผิดไป หากเอลได้มองเห็นหน้าของโคนตอนนี้ล่ะก็..
นั่นคือสีหน้าแห่งความลุ่มหลง
ราวกับสีหน้าของคนเสพยา
โคนกดกระตุ้นความรู้สึกยินลงไป
เธอควานหาความเศร้า ความเจ็บปวดที่หลงเหลืออยู่ในใจ ทว่าสิ่งนั้นถูกกลบไปด้วยความรู้สึกปีติยินดี
ความรู้สึกดีจนแทบรู้สึกว่าแกนสมองจะละลายทำให้เธอแทบจะหัวเราะออกมา
พวกปราชญ์และออโต้ที่ไม่ได้เห็นสีหน้านั้นทำท่าลำบากใจ
พวกเขาเกือบจะเข้าไปปลอบโคนแล้ว ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งหันเหความสนใจไปก่อน
“อื่อ อือ ฮืม..ปีกหางยังอ่อนเอย พึ่งจะสอนบิน...”
เสียงที่ไร้ที่มาทำให้ขนลุก
ออโต้มองไปยังระเบียงมืด ๆ เมื่อมองไปยังจุดที่ผู้หญิงปีกนกถูกถังดับเพลิงฟาดล้มลงก็มีแต่ความว่างเปล่ากองรออยู่เท่านั้น
เด็กหนุ่มทั้งสองเพิ่มความระวังแล้วเริ่มสนทนาทั้งที่หันหลังให้กัน
“เก็บคำทักทายไว้ก่อน
ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครวะออโต้ แล้วนี่พวกแกกำลังเล่นเกมอยู่รึเปล่า?”
“ใช่
เล่นอยู่ แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงนั่นตัวอะไร”
“เจอคำใบ้บ้างไหม?”
“เจอกระดาษอยู่บนโต๊ะครู
เขียนว่า ‘กาฟักไข่’ คิดว่าเป็นเกมกาฟักไข่”
“งั้นผู้หญิงคนนั้นก็คงเป็นกา
แล้วเป้าหมายของเกมคือแข่งไข่มา? ไหนล่ะไข่ ผู้หญิงคนนั้นจะไปมีไข่ได้ไงวะเนี่ย!”
“....คิดว่าไข่เป็นความหมายโดยนัยที่แปลถึงลูก
ตอนแรกผู้หญิงคนนั้นอุ้มห่อผ้ามา พวกฉันเลยไปแย่ง มันก็ไม่ได้ขัดขืนอะไร
จนกระทั่งเปิดห่อผ้าดู... แทบอ้วก ในนั้นมีแต่มดลูกเปื้อนเลือดถูกห่อ แล้วจู่ ๆ
ผู้หญิงคนนั้นก็เริ่มโจมตี มันเอาถังดับเพลิงฟาดฉันจนสลบ แล้วพอฉันฟื้นก็เห็นเอล....”
กาฟักไข่
เพลงนกกาเหว่า แล้วก็มดลูก ของสามอย่างทำให้ปราชญ์เห็นความเชื่อมโยงบางอย่าง
อย่าบอกนะว่า....
“ทุกอย่างเชื่อมโยงไปถึงเด็ก...
อย่าบอกนะว่า เกมนี้จะต้องเอาเด็กมาสังเวย กรณีเลวร้ายที่ไม่มีเด็กก็ต้อง”
“มีเด็กขึ้นมา..?”
แย่แล้ว..!
ทั้งสองคนหันไปหาโคนที่นั่งอยู่กับเอลตามลำพัง
ทว่าสายไป เพราะผู้หญิงปีกนกคนนั้นกำลังก้มหน้าพินิจดูเด็กสาวอยู่
โคนแทบกลั้นหายใจกับความงดงามอันต่ำช้าที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า ลมหายใจที่มีกลิ่นเลือดปนทำให้สติเธอล่องลอยออกไป
“เจ้าพาลูกเที่ยวหากินเอย
ที่ปากน้ำแม่คงคา.......”
...ทันใดนั้น เสียงเพลงก็ขาดห้วง
โคนรู้สึกถึงอุณหภูมิที่เย็นลงกะทันหันของพื้น
เธอขมวดคิ้ว พวกปราชญ์ก็รู้สึกประหลาดใจเพราะสัมผัสของพื้นหายไปกะทันหัน
กลุ่มคนที่อยู่ ณ ที่นี้พยายามเปลี่ยนตำแหน่งปัจจุบันด้วยสัญชาตญาณ แต่ทว่าสายไป—
พื้นตรงที่เด็กหนุ่มทั้งสองยืนระเหิดเป็นควันกะทันหัน
มือของทั้งคู่พยายามจะคว้าบางอย่าง แต่ก็จับอะไรไว้ไม่ได้เลย ส่วนตรงโคนนั่งทรุดอยู่ก็ละลายกลายเป็นของเหลว
ร่างทั้งสี่ตกลงไปเบื้องล่างด้วยความเร็วที่ต่างกัน
ทั้งปราชญ์และออโต้ร่วงลงอย่างรวดเร็วจนคิดว่าตกไปชั้น 1 แล้ว
แต่โคนกับผู้หญิงปีกนกกลับถูกดูดลงไปช้า ๆ ราวกับถูกทรายดูด โคนยื่นมือออกไป
ยังพื้นเบื้องบนที่อยู่ไกลออกไป ร่างของเอลนั้นเธอไขว่ขว้าไว้ไม่ได้
แต่หูที่จมลงไปแล้วกลับได้ยินเพลงขับกล่อมดังมา
“ลูกเอ๋ย นอนเถิดนอนเสียเจ้า ยังอ่อน ยังเยาว์.....”
เสียงอันอ่อนโยนนั้นล่องลอยไป
ปลายตาสีอความารีนมีเงาทาบทับร่างของเด็กหญิงผมชมพู ใครกัน.. เธอไม่รู้จักร่างนั้น
ที่ตรงนั้นเธอรู้จักแค่เอ—
หืม?
รู้จักใครนะ
เด็กสาวผมชมพู— ไม่สิ ใครกัน?
สติสุดท้ายถูกแย่งชิง พร้อมร่างที่กระแทกพื้นด้านล่าง ความทรงจำของเด็กสาวด้านบนถูกลบหายไปสิ้นแล้ว เธอทำได้เพียงปิดเปลือกตาอย่างไม่อาจต่อต้าน
WB : ศพที่สองค่ะ
แหม่ตายกันเกลื่อนกลาดจุงเบย 555 ภาพประกอบเดะเราอัพพรุ่งนี้นะคะ
ตอนนี้น้องแมวนอนตักอยู่ ไม่อาจขยับตัว แง
ความคิดเห็น