คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : My Best Friend 6 : Vanish
My Best Friend
6
Vanish ; อันตรธาน
“ เค้าสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย... ”
แคร้ง!
เสียงโลหะกระทบเรียกสติธัญญ์กลับมา
เมื่อหันไปก็พบว่าดรีมใช้โซ่เหล็กพันรอบเสาเอาไว้ด้านหนึ่ง
อีกด้านเธอนำมันมาพันรอบข้อมือของตน ความยาวของโซ่ราว ๆ หกเมตรได้
สิ่งที่เธอหาในกระเป๋าคงเป็นเจ้านี่เอง ดรีมจับปลายโซ่ด้านที่ติดกับเสาใส่มือธัญญ์
“ฉันจะเข้าไปจ้ะ
ถ้าฉันดึงโซ่สามครั้งแล้ว ช่วยดึงฉันกลับมาสุดแรงเลยนะจ๊ะ”
แม้จะสงสัยว่าไปเอาโซ่มาจากไหน
แต่ธัญญ์ก็พยักหน้าแต่โดยดี ตอนนี้การช่วยนนท์สำคัญกว่าเรื่องหยุมหยิมนั้น
สัตว์ประหลาดนั้นดูไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่ง
แม้มันจะยังไม่ได้ทำอะไรแต่กลิ่นคาวเลือดรุนแรงในตอนที่เปิดประตูเป็นเครื่องยืนยันว่า
มันไม่น่าแค่ยืนดูเหยื่อเฉย ๆ แน่ เธอกระชับสายโซ่เอาไว้ พยักหน้าให้ดรีม
ดรีมหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าสะพายแล้วโยนกระเป๋าเปล่าไว้แทบเท้าของธัญญ์
เธอใส่หูฟังที่ม้วนปลายสายเก็บเข้าไปในเสื้อ กระชับของในมือทั้งสอง
ดวงตาสีทองหม่นเพ่งเล็งเป้าหมาย ก่อนจะออกวิ่งไปเหมือนได้ยินเสียงสัญญาณ
ซ่าาาาาาาาา!! แคร้งงงงงง
เสียงฝนสาดกระจายรอบทิศซ้อนกับเสียงโซ่ถูกลากไปบนพื้น
ดรีมวิ่งอย่างปราดเปรียวไปยังจุดเกิดเหตุ โชคดีที่ระยะทางมันไม่เกินสามเมตรของโซ่
เสียงแหลมสูงของต้นไม้ในนั้นทำอะไรเธอไม่ได้เมื่อมีหูฟังเสียบอยู่
เธออยากจะพุ่งตรงไปโดยไม่สนใจอะไรเลยสักสิ่ง ทว่าหางตาเธอเห็นบางอย่างที่อยู่กลางสวน
เป็นป้ายที่สะดุดตา ปกติต้องเป็นชื่อของสวนพอพียง หากแต่วันนี้
แม้มองผ่านความขมุกขมัวของสายฝนไปก็ยังเห็นว่าข้อความถูกสับเปลี่ยน
‘ฝนตกฟ้าร้อง’
คำใบ้?
ครืน!!
อสนีบาตฟาดตามหลังลงมาติด
ๆ ทำให้ไม่มีเวลาสนใจป้ายนั่น เด็กสาวตวัดสิ่งที่อยู่ในมือโดยไม่กลัวว่ามันจะเป็นสายล่อฟ้า
มันพุ่งผ่านอากาศโดนกบประหลาดนั้นแบบเฉียด ๆ แต่ดูเหมือนเจ้ากบจะไม่สนใจ
มันส่งเสียงต่ำ ๆ
ฟันคมเหมือนเอามีดไปยัดไว้ในปากแบบส่ง ๆ เรียงราย ท่วงทำนองที่เละเทะถูกส่งออกมา
“ฝนตกฟ้าร้อง
น้ำนองท่วมบ้าน กบเขียดวิ่งพล่าน แมลงเม่าบินไขว้”
ลิ้นยาวที่เห็นแล้วรู้สึกขยะแขยงมากกว่าจะกลัว
พุ่งออกไป นนท์ที่มัวแต่คดคู้กุมหูเอาไว้ทั้งสองข้างไม่ทันระวัง
เขาถูกลิ้นโอบรัดรอบตัวแล้วดึงเข้าใกล้ปากที่กำลังเปิดกว้าง
ฉัวะ—!
ก่อนที่จะได้ขย้ำศีรษะของเด็กหนุ่ม
ความแหลมคมเฉือนลึกเข้าไปที่ขาซ้ายของมัน ท่อนขาของมนุษย์ลอยลิ่ว ตกลงไปบนดินเปียก
ๆ ฝนชะล้างสีแดงนั้นหายไปอย่างรวดเร็ว
มันเงยหน้ามองฟ้าสีตะกั่ว ก่อนจะหันไปเผชิญหน้ากับเด็กสาวที่ตัวเปียกโชก
ผมสีขาวลู่ลง ท่ามกลามความมืดสลัว ร่างของเธอลอยเด่นเหมือนจันทร์ข้างขึ้น
ธัญญ์มองภาพทั้งหมดจากบริเวณที่ไกลออกไปด้วยอาการตกตะลึง
ดรีมยิ้มอ่อนโยน
ในมือทั้งสองกำสิ่วกับความประสงค์ร้ายไว้แน่น
ธัญญ์มองภาพเด็กสาวที่ขยับสร้างรอยแผลให้กับตัวประหลาดอย่างคล่องแคล่วและงดงาม
ภาพนั้นชวนให้นึกถึงสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์ ไฮยีน่างั้นหรอ? ไม่ใช่ มันไม่สง่างามเท่านี้
สิงโตงั้นหรือ? เสืองั้นหรือ? ไม่ใช่สักอย่าง ธัญญ์เลิกคิดหาข้อสรุป
เพราะไม่รู้ว่าจะเปรียบสิ่งที่เห็นกับอะไรได้ ระบุได้เพียงว่า
ภาพนั้นงดงามยิ่งนัก...
ริมฝีปากของดรีมขยับ
ถักทอบทเพลงเช่นเดียวกับที่สัตว์ประหลาดทำ
“Mary Mary
quite contrary (แมรี่ แมรี่ ช่างขัดแย้ง)
How does your garden
grow? (สวนของเธองอกงามได้อย่างไร?)
With silver bells and
leshells (ด้วยซิลเวอร์เบลกับเลสเชลล์)
And pretty maids all in
a row. (และสาวใช้คนสวยในแถว)”
มนุษย์กบไม่ส่งเสียงร้อง
มันหันมามองดรีมทั้งที่ยังใช้ลิ้นพันนนท์ไว้แบบนั้น บทเพลงของมาเธอร์กูส(1)ดังคลอไปกับฝน
เพียงแต่ทุกคนในที่นั้น ไม่เว้นแม้แต่ดรีมก็ไม่ได้ยิน
สิ่วทั้งสองในมือเธอกวัดแกว่งอย่างคล่องแคล่วเหมือนอาวุธนั้นงอกออกมาจากมือ
ความคมของสิ่วคู่นั้นฝากรอยแผลไว้ให้มนุษย์กบหลายแผล
น่าแปลกที่มันไม่โต้ตอบดรีมเลย มันเพียงแต่มองเธอด้วยดวงตากลมโตสีทอง
ราวกับว่าบาดแผลนั้นไม่ก่อความรู้สึกใด ๆ ให้
ก่อนจะกระโดดด้วยขาข้างเดียวไปถึงป้ายที่เขียนว่าฝนตกฟ้าร้องนั้น
---------------------------------------------
(1)หญิงม่ายที่โด่งดังในฐานะนักเล่านิทาน
เพลงกล่อมเด็กของเธอเต็มไปด้วยเนื้อหาโหดร้ายทารุณ
“ตายจริง โซ่ก็ไม่ถึงสิจ๊ะแบบนั้น”
ดรีมกล่าวด้วยรอยยิ้มประจำตัวแต่ไม่ได้มีความตึงเครียดเจือปน
ราวกับว่าทั้งฝน ทั้งสัตว์ประหลาดนั้นไม่มีผลกระทบต่อจังหวะการหายใจของตัวเองเลย
กบยักษ์มองเธอโดยไร้ความรู้สึกก่อนจะใช้ลิ้นเหวี่ยงร่างของนนท์ขึ้นไป
ปากของมันอ้าอีกครั้งรอรับเหยื่อที่จะจับกิน
“อ๊ากกกกกกกกก!!!!!!!!!!”
นนท์ที่รู้ถึงชะตากรรมส่งเสียงร้องออกมาลั่นจนรู้สึกว่าเส้นเสียงอาจจะพัง
ดรีมที่เสียบหูฟังไว้คาหูก็ยังรู้สึกได้ว่าเขาร้องดังมาก เพราะได้ยินเสียงเบา ๆ
ลอดเข้ามา ทุกสิ่งเกิดในช่วงพริบตาเดียว
ต่อให้ตอนนี้ดรีมมีความเร็วระดับนักกีฬาโอลิมปิกก็เข้าไปช่วยไม่ได้ทันแล้ว
ทะเล่อทะล่าเข้าไปตอนนี้ คนเดือดร้อนจะเป็นเธอเอง เธอจะไม่พุ่งเข้าไปหาอันตราย หากไม่มีแผนการชนะแน่นอน
เด็กสาวตัดใจเงียบ ๆ
เธอเอาสิ่วทั้งสองเหน็บไว้แถวเอวแล้วดึงโซ่หมายจะรีบกลับโถงทางเดิน
กรุบ
เสียงที่ไม่น่าจะได้ยินดังเหมือนส่งตรงเข้ามายังสมอง
ดรีมทำเป็นไม่สนใจ เธอหันหลังให้ภาพนั้นและไต่โซ่ไปอย่างคล่องแคล่ว
ทว่ามีผู้โชคร้ายที่ได้เห็นเต็มตา นั่นคือธัญญ์ที่อยู่ริมประตูของสวน
ดวงตาสีหยกเบิกกว้าง
ร่างของนนท์ถูกฉีกออกเป็นสองท่อนด้วยฟันหน้า
กบยักษ์ใช้ขาหน้าที่มีพังผืดดึงลำตัวส่วนบนของนนท์ขึ้น ระยะทางทำให้ธัญญ์เห็นรายละเอียดของร่างกายที่มีไส้และอวัยวะภายในห้อยรุ่งริ่งไม่ชัด
แต่ธัญญ์ไม่คิดอยากเห็นอยู่แล้ว เด็กหนุ่มเหลือกตาส่งเสียงกรีดร้องดังกว่าเดิมขณะรับรู้ความรู้สึกของการถูกกินทั้งเป็น
ความเจ็บปวดแทบจะฉีกกระชากร่างส่วนที่เหลือ เลือดไหลออกมาจากลำคอ จมูก ปาก
แต่ถูกฝนชะล้างไป เขายังไม่ตายในทันที แต่มันคงจะดีกว่าถ้าเป็นแบบนั้น เพราเขาจะไม่ต้องรับรู้ความทรมานและกรีดร้องอยู่แบบนั้นจนถูกเขี้ยวฝังจมคอ
“....ขึก.....อั่ก.....อัก.....”
ธัญญ์เอามือปิดปาก
สิ่งนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก หนึ่งนาที? หนึ่งวินาที?
ธัญญ์ไม่สามารถหาคำที่บรรยายความเร็วชั่วเสี้ยววินั้นได้
บอกได้เพียงว่ากบตัวนั้นกัดลำตัวและหัวของเด็กหนุ่มจนตายเท่านั้น น้ำตาของเธอไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่
สีแดงและเรื่องราวทั้งหมด
ถูกชะล้างไปกับสายฝน..
ปึดปึดปึด
เพราะมัวแต่ตกใจทำให้ธัญญ์ไม่สังเกตถึงอาการกระตุกของโซ่สามครั้งตามที่ตกลงกันไว้กับดรีม
แต่ถึงสนใจ ก็น่ากลัวว่าแขนขาทั้งสองข้างของเธอจะขยับไปดึงโซ่นั้นไม่ไหวอีกแล้ว
“เอ
ผิดแผนแบบนี้จะเอาไงดีล่ะจ๊ะ”
พูดเช่นนั้น
แต่ดรีมกำลังสาวโซ่ด้วยความเร็ว จนอีกประมาณสองสามเมตรก็ถึงประตูแล้ว
แต่ดูเหมือนโชคร้ายจะไม่รอช้า เปลี่ยนเป้าหมายไปหาดรีมทันที....
เจ้ากบยักษ์ดีดตัวกับพื้น แม้จะไม่ไกลเหมือนครั้งแรก
แต่ก็เข้ามาอยู่ใกล้พอจะจับตัวดรีมได้แล้ว
ดวงตาสีทองวาววับมองเธออย่างประเมินคุณค่า ดรีมยังคงยิ้มอย่างอ่อนโยน
มองมันเหมือนเอ็นดู
สวบ!
ดรีมเอียงคออย่างสงสัยเมื่อเหยียบลงไปบนดินแล้วขาทั้งข้างของเธอจมไป
เธอขยับขาข้างนั้นแต่ไม่รู้สึกถึงสัมผัสของดิน ไม่นานขาอีกข้างของเธอก็จมลงไปเหมือนกัน
ดรีมรีบพันโซ่เอาไว้ที่มือแน่นก่อนจะหันไปหามนุษย์กบ หน้าของมันยื่นเข้ามาใกล้
ทว่าสายฝนกระหน่ำมากขึ้นจนแทบมองไม่เห็น
“เริ่มแล้วสินะจ๊ะ”
“ฝนตกฟ้าร้.....“
มนุษย์กบเตรียมจะพูดคำเดียวกับที่พูดให้เหยื่อคนก่อนฟัง
แต่ชะงักเหมือนรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างเหมือนกับเด็กสาว ดรีมพยักหน้าให้มันน้อย ๆ
ก่อนจะคืนชีพคำพูดอีกอย่างหนึ่งของเพื่อนให้มันฟังโดยไม่ใส่ใจว่ามันจะเข้าใจหรือไม่
“มิตินี้มีความผันผวนของสภาพแวดล้อมมาก
บางทีวัตถุก็เปลี่ยนจากของแข็งเป็นก๊าซ บางครั้งพื้นเป็นของเหลวและตกลงไปข้างล่างได้
ระวังตัวกันหน่อยน้อ”
สิ้นคำพูด พื้นก็ระเหิด
ใช่แล้ว
พื้นที่เป็นของแข็งเปลี่ยนเป็นกลุ่มควัน
พื้นกลายสภาพเป็นหมอก
ไล่มาจากด้านหลังของกบตัวนั้น หมอกหนาสีน้ำตาลแก่ หรืออดีตพื้นจับตัวกัน
ให้ความรู้สึกเหมือนก้อนเมฆ แต่ดูหนาแน่นน้อยกว่ามาก หมอกราง ๆ
นั้นเผยให้เห็นรากไม้ไม้ที่เคยซ่อนอยู่ใต้พื้น
หนึ่งในนั้นคือรากไม้หน้าคนที่เป็นต้นเหตุเสียงกรีดร้องจนนนท์เลือดอาบหูเมื่อกี้
แมนเดรก.....
ต้นไม้ในตำนานที่เสียงกรีดร้องสามารถฆ่าคนได้
ดรีมไม่รอช้าเอื้อมมือไปคว้ามันมา
เธอยัดมันเข้าไปในกระเป๋ากระโปรง มันส่งเสียงร้องแหลม
แต่อาจเพราะเป็นต้นอ่อนจึงไม่อาจทะลวงการป้องกันจากหูฟังราคาแพงของเธอได้
ทุกอย่างถูกประมวลผลในเวลาสามวินาที ไม่ขาด ไม่เกิน
เป็นเวลาเดียวกับที่พื้นดินกลายสภาพเป็นหมอกไปหมด ดรีมกำโซ่แน่น
เตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับแรงโน้มถ่วงของโลก
วูบ! แคร้ง!!!
ร่างของเธอร่วงลงไปพร้อมกับทุกอย่างที่เคยอยู่บนพื้น
รวมทั้งกบตัวนั้นด้วย แม้จะโชคดีที่โซ่คล้องมือนั้นรับน้ำหนักของเธอได้
แต่แรงกระชากก็เจ็บไม่ใช่น้อย ดรีมถอนหายใจบ่นเบา ๆ
“อุ๊ย
ข้อมือคงจะไม่เคล็ดใช่ไหมจ๊ะเนี่ย”
ดวงตาสีทองหม่นมองลงไปเบื้องล่าง
ที่ ๆ ทุกอย่างนอกจากเธอถูกดูดลงไปตามแรงโน้มถ่วง ต้นไม้ อุปกรณ์การเกษตรทั้งหลาย
หรือแม้แต่สายฝน ร่วงลงไปอย่างไร้ระเบียบ ภาพนั้นชวนให้คิดถึงความวุ่นวายของอลิซที่มุ่งหน้าไปวันเดอร์แลนด์ครั้งแรก
ที่สุดปลายทางตรงนั้นคือหลุมสีดำขนาดใหญ่
แต่วงรีสีขาวที่ล้อมรอบอยู่ชวนให้คิดว่ามันเป็นดวงตามากกว่า.....
ดวงตาของมนุษย์ขนาดใหญ่ อันที่จริงมหึมาเลย ขนาดที่คำนวณจากระยะความไกลด้วยตาเปล่าแล้ว
ดรีมคิดว่าถ้าเทียบกับตัวเองที่ความสูงเดียวกัน ดวงตาจะนั้นจะมีขนาดใหญ่เท่าเมือง
ดวงตาสีดำเหลือบมองนิ่ง
ๆ เหมือนกำลังจ้องเธอ เมื่อวัตถุชิ้นแรกเข้าใกล้ มันก็เคี้ยวสิ่งนั้น ใช่
ไม่ได้ตาฝาด แต่ดรีมเห็นจริง ๆ ว่าเปลือกตามันปิดลง แนวเส้นขยับเหมือนคลื่น คล้ายปากที่กำลังเคี้ยวอาหาร
ก่อนจะลืมตาอีกครั้ง รับเอาทุกอย่างบนพื้นผิวแล้วเคี้ยวเข้าไป ทำซ้ำ ๆ
กับทุกอย่างที่ตกลงไปถึงเบื้องล่าง ทั้งที่ดวงตาไม่มีฟัน ไม่มีเหงือก ไม่มีลิ้น
แต่มันส่งเสียงบดเคี้ยวที่ไม่น่าเป็นไปได้ออกมา ดรีมได้ลงข้อสรุปไว้กับตัวเองแล้วว่า
ดวงตานั้นจะเคี้ยวขย้ำกลืนกินสิ่งมีชีวิตเข้าไป
ดรีมละความสนใจจากดวงตานั้น
เสียงหลอนเกิดขึ้นในหัวอีกครั้ง เสียงที่คล้ายผู้หญิงวัยกลางคน
มันสะท้านอย่างยินดีว่า อร่อย อร่อยเหลือเกิน อยากจะกินอีก และเสียงกรุบ ๆ
ก็ดังตามมา ทั้งที่ควรรู้สึกสยดสยองแต่เธอกลับไม่ยี่หระ เธอรู้ว่านั่นคิดไปเอง
เพราะดวงตาพูดไม่ได้
เด็กสาวสีขาวปืนขึ้นไปบนโซ่ราวกับมันเป็นกิจวัตรประจำวันที่แสนธรรมดา
เสียงที่คิดว่าเป็นเสียงหลอน....คล้ายเป็นอาการทางจิตถามขึ้นในหัวของเธอ
ไม่กลัวหรอ?
ไม่กลัวหรอก
เธอตอบกลับในใจโดยไม่ชะงักหรือตั้งคำถามใด
ๆ กลับไป อาการราวกับไม่แยแสสิ่งใด ทำให้รอยยิ้มของเธอดูเย็นชามากกว่าอ่อนโยน
ทำไมล่ะ?
ดรีมไม่ได้ตอบคำถามนั้น
เธอมุมานะปีนขึ้นไปจนถึงจุดหมาย คือประตูทางเข้าหอประชุม เวลาที่ใช้ในการปีนนั้นคือห้านาทีพอดี
เด็กสาวถอนหายใจ ใช้แรงทั้งหมดดันตัวเองขึ้น
ไปยืนอยู่ตรงหน้าประตูได้สำเร็จในที่สุด ทันทีที่ก้าวขากลับสู่โถงทางเดินโดยไม่หันกลับไปมอง
ประตูก็ปิดด้วยตัวเอง
ปึง
ความวุ่นวายทั้งหมดหายไปเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น
หยดน้ำและคราบดินตามตัวของดรีมก็เช่นกัน ราวกับว่าหลักฐานของความคลุ้มคลั่งทั้งหมดถูกเคี้ยวขย้ำไปในดวงตาจนสิ้น
พื้นแห้งสนิทเหมือนเธอเดินอยู่ในอาคารมาตลอดเวลา มือขาว ๆ
ยื่นไปคว้ากระเป๋าสะพายขึ้นมาประทับบ่า เธอใส่ต้นอ่อนของแมนเดรก สิ่วทั้งสอง
แล้วจึงแก้โซ่ม้วนใส่ตามลงไป
ธัญญ์หายไปแล้ว
----------------
เด็กสาวดันแว่นทรงกลมสีแดงขึ้นด้วยท่าทีเคอะเขิน
มือบางข้างหนึ่งกำโทรศัพท์เอาไว้แนบหู ทำท่าลุกลี้ลุกลนเหมือนกำลังรอสายสำคัญ
ข้าง ๆ กันก็มีเด็กหนุ่มที่ทำแบบเดียวกัน แต่อากัปกริยาดูสงบนิ่งกว่า เขาทำหน้านิ่งจนอ่านได้ยากว่ากำลังคิดอะไร
[ตู๊ด....กริ๊ก ฮัลโหลเอล!!]
“ลูกแกะ!! เป็นยังไงบ้าง! ตอนนี้อยู่ที่ไหน ปลอดภัยไหม แล้วอยู่กับใคร!”
เด็กสาวผมเปียชมพู....เอล ร้องเรียกชื่อเพื่อนออกมาอย่างดีใจ
เสียงรอสายที่บีบคั้นหัวใจ จนนึกกลัวว่าอาจเกิดอะไรขึ้นกับลูกแกะก็ได้ทำให้เธอรู้สึกใจแป้ว
เธอรัวคำถามเพื่อนสนิทด้วยน้ำเสียงคล้ายจะร้องไห้
[ใจเย็น ๆ นะเอล ฉันสบายดี ตอนนี้อยู่กับโคนแล้วก็ปราชญ์ที่อาคารหลัง
พวกเรากำลังหาทางเดินไปอาคารหลัก แล้วเธอล่ะ?]
“เค้าอยู่กับออโต้ ที่ตึก 30 ปี กำลังหาทางไปอาคารหลักเหมือนกัน
ถ้ายังไงเราไปด้วยกันไหม ลูกแกะก็ต้องผ่านทางนี้นี่ เดี๋ยวเค้ารอ”
อาคาร 30 ปี
เป็นอาคารที่สร้างขึ้นเนื่องในโอกาสครบวันก่อตั้งสามสิบปีของโรงเรียนรดาวรรณ
ไม่ได้มีอายุสามสิบปีแต่อย่างใด เป็นอาคารของห้องเรียนพิเศษ พวกห้อง Gifted หรือ EP
ก็จะเรียนที่นี่ทั้งหมด ที่สำคัญคือมันติดแอร์
อาคารหลังนี้มีทั้งหมดห้าชั้น ถูกสร้างขึ้นห่างจากอาคารหลังประมาณ
200 เมตร เรียกได้ว่าอยู่ใกล้อาคารหลังที่สุดก็ว่าได้ แต่อาคารนี้มีสิ่งที่อาคารหลังไม่มี
คือทางเชื่อมตึกอยู่ที่ชั้นสามเหมือนตึกอื่น ๆ ดังนั้น หากจะเดินจากอาคารหลังไปขึ้นอาคารหลัก
นักเรียนจะนิยมเดินเข้าอาคารสามสิบปีแล้วค่อยขึ้นทางเชื่อมไปอาคารหลัก
ไม่ใช่เพราะใกล้กว่า แต่เพราะยังไงก็ต้องขึ้นบันไดอยู่แล้ว
จึงเลือกขึ้นบันไดที่ใกล้ที่สุด
[ก็ดีนะ
เดี๋ยวฉันบอกพวกโคนแล้วรีบไป รอแปบนึงนะ]
ตู๊ด
เอลถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอยิ้มน้อย ๆ
เมื่อร็ว่าเพื่อนรักยังปลอดภัยอยู่ แถมทางนั้นก็มีผู้ชายอย่างปราชญ์อยู่ด้วย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น
ปราชญ์คงจะช่วยดูแลทั้งลูกแกะและโคนได้ ลึก ๆ แล้วเธอก็รู้ว่าปราชญ์เป็นคนดี
อันที่จริงเอลก็คิดว่าทุกคนเป็นคนดีหมดแหละนะ!
เอลหันไปถามออโต้ที่ดูมีออร่าเหมือนหงุดหงิดทั้งที่ยังทำหน้าง่วงมึน
ดวงตาสีซัฟไฟร์ฉายแววความเป็นห่วง เสียงหวานเอ่ยคล้ายไม่ค่อยมีความกล้านัก
“เป็นไงบ้างออโต้?“
“เปรมไม่รับโทรศัพท์....”
เขาขยี้ผมสีเทาจนยุ่งกว่าเดิม “ไม่สิ ก็รับแหละ แต่มันไม่พูดอะไร มีแต่เสียงซ่า ๆ เหมือนคุยจากตรงที่คลื่นไม่แรง”
ออโต้ล็อคหน้าจอโทรศัพท์แล้วเก็บใส่กระเป๋า เขาโทรหาต้าด้วย
แต่ผลเหมือนเดิม รายนั้นก็มีเสียงซ่า ๆ ดังมาแทนที่จะเป็นเสียงพูด
เรียกนั้นชวนให้รู้สึกไม่ดีจนออโต้ยอมแพ้เพราะคิดว่าหากโทรต่อไปก็เป็นไปได้ว่าจะไม่ติดอีก
โทรศัพท์ของเขาคงจะเสียซะแล้ว
“งั้นหรอ.....
บางทีพวกเขาอาจจะอยู่ชั้นใต้ดินรึเปล่า? แถวนั้นไม่ค่อยมีสัญญาณโทรศัพท์นี่นา”
เอลนึกไปถึงชั้นจอดรถใต้ดินของรดาวรรณ มันอยู่ใต้อาคารหลักพอดี
ความกว้างครอบคลุมไปถึงสนามฟุตบอลหน้าอาคารหลัง เป็นที่จอดรถของครูและบุคลากรในโรงเรียน
แต่บางครั้งก็ให้ผู้ปกครองลงไปจอดได้กรณีมีกิจกรรมภายใน
เป็นสถานที่หลอนติดอันดับของโรงเรียนรองจากเรือนไทย เพราะบรรยากาศที่วังเวง และชั้นใต้ดินก็มีหลอดไฟประดับไว้พอให้แสงสลัว
ๆ เท่านั้น
“ก็อาจจะ.....แล้วที่โทรหาลูกแกะเป็นยังไงบ้างล่ะ?”
“อ้อใช่ ลูกแกะบอกว่าอยู่อาคารหลังกับปราชญ์แล้วก็โคนน่ะ
เดี๋ยวเขาจะมารวมกลุ่มกับเราแล้วเดินไปอาคารหลักด้วยกัน ออโต้ก็ไปพร้อมกันเลยสิ
ยังไงทุกคนก็ต้องหาทางไปห้องประชาสัมพันธ์อยู่แล้ว อาจจะเจอเปรมระหว่างทางก็ได้นะ”
“อืม ก็ดูมีเหตุผลดี”
เอลยิ้มรับ “จริงสิ เค้าขอลองโทรหานาโนดูก่อนนะ
เผื่อจะอยู่แถวนี้ จะได้ไปด้วยกันอีก อยู่รวมกันไว้น่าจะดีกว่านะ”
ออโต้พยักหน้าเหมือนจะบอกว่าตามสบาย ก่อนเขาจะหันความสนใจไปที่กระจกขุ่นมัว
ตอนนี้ทั้งสองอยู่ที่ห้อง ม.3/14 เป็นห้องเรียนประจำของเด็กกิฟเต็ด หนึ่งในสิทธิประโยชน์ของนักเรียนห้องพิเศษที่แลกมาด้วยค่าเทอมแพงรากเลือดก็คือ
การไม่ต้องเปลี่ยนห้องเรียนนี่แหละ พวกเขาจะได้นั่งเรียนห้องแอร์ทั้งวัน
แถมครูทุกคนยังต้องมาสอนถึงห้อง แทนที่จะเดินเปลี่ยนห้องเรียนเมื่อหมดคาบเหมือนห้องเรียนปกติ
ทำให้เด็กห้องเรียนปกติไม่ค่อยถูกกับพวกห้องเรียนพิเศษพวกนี้ ว่าง่าย ๆ
ก็คงอิจฉาล่ะมั้ง? ทุกวันนี้ออโต้ก็ยังคงไม่เข้าใจการแบ่งชนชั้นทางสังคมในโรงเรียน
แต่เขาก็รู้อย่างนึง
นั่นคือกลุ่มของเขา.....ไม่สิ กลุ่มของนาโน
ก็ไม่ค่อยถูกกับพวกคนส่วนใหญ่เหมือนกัน
จะว่ายังไงดี เพราะทำตัวตามใจชอบมากไปล่ะมั้ง?
ก็เลยถูกมองว่าประหลาด พวกที่โหวกเหวกก็มี คนปกติก็คงอยากจะมองด้วยความอิดหนาระอาใจ
อยากจะเบือนหน้าหนีนั่นแหละ เขาก็ไม่ได้ว่าคนพวกนั้นไม่ดีหรอก
แต่จะบอกว่าตัวเองผิดก็คงไม่ใช่ คิดแล้วก็มีแต่ความรู้สึกคลุมเครือ เขาก็รู้สึกว่าพวกนั้นมันบ้า
ๆ บอ ๆ และตัวเองก็เป็นหนึ่งในองค์ประกอบนั้นอย่างเงียบ ๆ ด้วย แต่จะให้ยืดอกภูมิใจมันก็ไม่ได้
เขายังแคร์สายตาที่คนอื่นมองตัวเองอยู่ นั่นทำให้บางครั้งก็ชอบแสดงออกเหมือนอยากจะไล่พวกนาโนไปไกล
ๆ แต่ความจริงแล้ว.....
“.....”
ไม่อ่ะ จริง ๆ
แล้วก็ไม่สนิทกับพวกผู้หญิงเท่าไหร่ ทุกวันนี้ที่คุยเล่นกันก็มีแต่กลุ่มผู้ชาย
เอาเป็นว่าช่างหัวนาโนเถอะ ไว้เจอปราชญ์แล้วค่อยคุยกันอีกทีแล้วกัน
หมอนั่นก็คงไม่อยากเดินไปพร้อมพวกนี้หรอกมั้ง
ดวงตาสีควันบุหรี่มองปฏิกิริยาของเอลเงียบ ๆ
“...นาโนปิดเครื่องน่ะ”
ออโต้รีบเบือนหน้าไปอีกทางเมื่อเอลหันมาราวกับกลัวจะถูกจับได้มาแอบมอง
เอลทำหน้าวิตก เหมือนจะไม่ได้สนใจเลยว่าออโต้มีท่าทางแปลก ๆ เธอเอาโทรศัพท์แนบไว้ที่อก
“เค้าสังหรณ์ใจไม่ค่อยดีเลย...”
ออโต้แทบกลั้นหายใจ
เขาเองก็รู้สึกเช่นนั้น แต่ไม่ได้พูดออกไปเพราะนึกว่าคิดไปเอง
แต่เมื่อผู้ร่วมชะตาเพียงหนึ่งเดียวในห้องนี้ออกปากว่างั้นก็คงใช่แล้วล่ะ.....
ความรู้สึกในบรรยากาศ ชวนให้รู้สึกกระสับกระส่าย
ไม่สบายตัวและรู้สึกหน่วงในท้องแบบแปลก ๆ กลิ่นอับของห้องที่ไม่ได้ระบายอากาศปนกับกลิ่นเฟอร์นิเจอร์และกลิ่นจาง
ๆ ที่สดใหม่
ออโต้รู้สึกแปลก ๆ กับกลิ่นนั้น แต่เอลกลับรู้จักดี
มันเป็นกลิ่นที่ทำให้นึกถึงประจำเดือน
กลิ่นเลือด....
ลอยปนอยู่ในอากาศ
สมองทำงานเชื่อมโยงกลิ่นนั้นกับสีแดงอย่างรวดเร็ว ดวงตาสีซัฟไฟร์กวาดไปรอบ ๆ
หาต้นตอ แต่ไม่พบอะไร ไม่มีวัตถุสีแดงในบริเวณโดยรอบ ไม่มีอะไรเลยนอกจากกระดานไวท์บอร์ด
โต๊ะนักเรียน โต๊ะครู เก้าอี้และถังขยะ
ถังขยะ.....
เอลกลั้นใจเดินเข้าไปใกล้ถังขยะที่ตั้งอยู่ตรงมุมห้องอย่างเงียบสงบนั้น
เหมือนเธอจะมาถูกทาง เพราะยิ่งเข้าใกล้กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้นจนต้องปิดจมูก ไม่รู้ว่าเอลไปเอาความกล้านั้นมาจากไหน
เพราะปกติเธอจะเป็นคนที่ขี้กลัว ถึงจะไม่เท่าเอวา แต่เธอก็มีความกล้าไม่มาก
เมื่อเทียบกับสาว ๆ คนอื่นอยู่ดี
ยิ่งเข้าใกล้ต้นเหตุของกลิ่นคาวเลือดนั้นมากเท่าไหร่
หัวใจเธอยิ่งเต้นแรง เด็กสาวเปียชมพูกลืนน้ำลายก่อนจะทำใจกล้าชะโงกหน้าเข้าไปดู
“…!!!”
โครม!
เอลรู้สึกเหมือนจะกรีดร้อง แต่เอามือปิดปากไว้ทัน
ทว่าการรีบถอยหลังทำให้มือเธอไปกวาดเอาเก้าอี้ใกล้ ๆ ล้มลง เอลคลานหนีออกมาจากตรงนั้นด้วยอารามตกใจ
พลอยให้ออโต้เข้ามาถามอย่างตื่น ๆ ไปด้วย
“อะ...อะไรเอล เจออะไรน่ะ?”
“..มะ....มะ.....”
เอลเบิกตาเกาะแขนออโต้ไว้ขณะพยายามลุกขึ้น
แต่เหมือนขาจะไม่มีแรงแล้วทำให้ล้มลงไปกองกับพื้นอีกครั้ง ออโต้จึงพยายามกล่อมให้เธอใจเย็นแล้วพาเธอไปนั่งที่โต๊ะครูหน้าชั้นเรียน
ดวงตาของเอลจับจ้องไปที่ถังขยะนั้นไม่วางตา เหมือนกำลังหวาดกลัว
ยิ่งทำให้ออโต้สงสัยว่าในนั้นมีอะไรอยู่
“เอาล่ะ ใจเย็นแล้วใช่มั้ยเอล
ในถังขยะนั้นมีอะไร?”
“....มัน....มัน...มี....”
เอลหายใจหอบ
เหงื่อผุดขึ้นมาเต็มใบหน้าที่ซีดเผือด ภาพของสีแดงชื้น ๆ เป็นหยด ๆ
บนถุงพลาสติกยังติดตามเธออยู่เลย เธอคิดถึงก้อนเนื้อสีแดง ๆ ดำ ๆ
นั้นแล้วพาลจะอาเจียน น้ำตาเอ่อขึ้นที่ขอบตาของเธอก่อนจะเอ่ยให้ออโต้ฟัง
“มัน...มี.....มดลูก.....อยู่ในนั้น”
ออโต้เบิกตากว้าง
ถังขยะยังตั้งอยู่เงียบ ๆ เหมือนไม่มีพิษภัยอะไร ทำเอาเขากลืนน้ำลาย
ออโต้ตั้งใจจะไปพิสูจน์สิ่งที่อยู่ภายในด้วยตัวเอง ถ้าไม่ติดว่าได้ยินเสียงจากทางเดินเสียก่อน
“นกเขากาเหว่าลายเอย ไข่ให้...แม่กาฟัก”
เสียงเย็น ๆ ลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง เอลและออโต้มองหน้ากัน
เพลงกล่อมเด็กดังสะท้อนภายในอาคารจนก้อง เสียงเหมือนผู้หญิงมีอายุดังซ้อนกับเสียงฝีเท้า
ชวนให้คิดถึงเพลงโบราณ ออโต้อาศัยความที่ตัวสูง เขย่งมองภาพภายนอกจากกระจกมัว ๆ เขาเห็นอะไรบางอย่าง
สิ่งนั้นดูคล้ายผู้หญิง
รูปร่างสูงสง่า
คล้ายได้รับการอบรมมาอย่างดี ทั้งเสื้อผ้าทรงผมทั้งหมดถูกจัดเรียบร้อย ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดไทยโบราณเรียบ
ๆ ดูเหมือนทาสในสมัยเก่าแก่มากกว่าคุณหนูผู้มีชาติตระกูล เธอเดินตรงไปเรื่อย ๆ พลางร้องเพลงกล่อมเด็กแบบนั้น
สองมือของเธอโอบบางอย่างไว้ในผ้าปอน
ๆ
ออโต้ขมวดคิ้ว ผมของเธอปรกลงจนมองไม่เห็นหน้า
ความมืดก็ให้ความร่วมมือซ่อนร่างของเธอไว้อย่างดี แต่ออโต้ก็สังเกตถึงความผิดแผก
แขนทั้งสองข้างของผู้หญิงคนนั้นมีอะไรบางอย่างห้อยย้อยลงมา มันดูเปียกชุ่มแต่บางเบา...
ขนนกสีดำทะลุออกมาจากผิวของมนุษย์
ภาพนั้นดูคล้ายนกที่วิวัฒนาการเป็นมนุษย์อย่างบิดเบี้ยว
แต่เป็นไปไม่ได้ ทั้งนกและมนุษย์ไม่มีทางเอามารวมกันได้แน่ ๆ ถ้างั้นผู้หญิงคนนี้คืออะไร?
ออโต้ละสายตาจากภาพที่คล้ายงานศิลปะอันต่ำช้านั้น
เอลจับขอบโต๊ะเพื่อจะลุกขึ้น แล้วเธอสังเกตเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะ
มันอยู่ในที่ที่สะดุดตา แต่เพราะพวกเธอไม่ได้สนใจโต๊ะครูจึงไม่เห็น กระดาษนั้นคือคำใบ้อย่างไม่ต้องสงสัย
‘กาฟักไข่’
“แม่กาก็หลงรักเอย... นึกว่าลูกในอุทร....”
เสียงเพลงกล่อมเด็กยังคงดังต่อไป
และยังดังต่อไป
WB : ศพแรกค่ะ
นนท์ตายเปิดงานฮู่เร่ ว่าแต่ตองไปไหนกันน้า คิดถึงตองไหมคะ อิอิ
ต่อไปก็คาแรกเตอร์ตัวละครอีกเช่นเคยค่ะ
เอลผมชมพูฟรุ้งฟริ้ง
ออโต้ง่วงๆมึนๆ
จะบอกว่าวาดเอลตั้งใจมาก ชอบ///// น่ารักชิมิ ฟฟฟ รอบนี้ใช้ธีมของบัตเตอร์ธีมค่ะ
ไว้เจอกันบทหน้าค่ะ
ปล. เพลงนกกาเหว่าเอามาจากคลิปนี้ค่ะ
ความคิดเห็น