ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #4 : My Best Friend 4 : Betrayer

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 60


    My Best Friend

    4

    Betrayer ; คนทรยศ

    “ เมื่อกี้ตั้งใจไม่ช่วยหรอ? ”

     

     

     

    “จะโหวตแล้วใช่ไหมเอวา?”

     

    ตอนนี้ก็ผ่านมาสามนาทีแล้วจากประกาศนั่น ตองกับเอวาหยุดยืนอยู่ตรงทางไปปีกซ้ายของอาคารหลัก เสียงใสๆ ของตองถามขึ้น ขณะที่เอวากำโทรศัพท์แน่นพร้อมพยักหน้า ดวงตาสีน้ำตาลไหม้หลุบลง ตองมองเด็กสาวอย่างเห็นใจ เพราะถูกบีบเวลาเข้ามาทำให้เอวาต้องรีบตัดสินใจไปเดี๋ยวนี้เลย มือถือของตองหายไปไหนแล้วไม่รู้ จึงเหลือเพียงเอวาที่ต้องโหวตในตอนนี้ เธอยกโทรศัพท์ขึ้นในมือที่ประสานกันไว้คล้ายกำลังภาวนา ตองจึงหันไปมองทางอื่นเพื่อให้เวลาส่วนตัวกับเธอ และ...

     

    กร็อบ!!

     

    “อ...เอวา เฮ้! ทำอะไรของเธอน่ะ!?”

     

    “พะ..พังโทรศัพท์”

     

    เอวาตอบเสียงสั่นๆ เหมือนตัวเองก็ทำใจไม่ได้เหมือนกัน รองเท้านักเรียนยี่ห้อดีขยี้อดีตโทรศัพท์ ที่ตอนนี้กลายเป็นซากสำทับอีกครั้ง เศษหน้าจอกระจายปักติดพื้นรองเท้านิดหน่อยแต่ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร เอวาถอดรองเท้าออกมาแล้วดึงเศษพลาสติกเหล่านั้นออกมา ท่ามกลางสายตาต้องการทำอธิบายของตอง

     

    “ทำแบบนั้นทำไมหรอเอวา?”

     

    “? ก็ถ้าไม่เอาออกมันจะติดพื้นรองเท้า แล้วดอกยางมันจะเสียน่ะสิ”

     

    “ไม่ๆ ฉันหมายถึงพังโทรศัพท์ทำไม”

     

    “อ๋อ เรื่องนั้นนี่เอง” เมื่อเศษทั้งหมดหลุดออกไป เอวาก็เคาะรองเท้ากับพื้นสองสามทีพร้อมยิ้มพอใจแต่แฝงด้วยความกังวล “ก็ประกาศนั่นบอกนี่ว่า ทุกคนที่โทรศัพท์ยังใช้งานได้ ช่วยโหวตชื่อคนที่ไม่ต้องการมาทีน่ะ แปลว่าคนที่โทรศัพท์ใช้ไม่ได้ก็ไม่ต้องโหวตไง ฉันก็เลยพังมันซะเลย”

     

    ตองเลิกคิ้วให้กับการกระทำอันสุดโต่งนั้น โทรศัพท์รุ่นดังราคาเกือบหมื่นในเคสสีชมพูเครื่องนั้น เอวาเพิ่งไปถอยมาใหม่เมื่อเดือนก่อนนี่เอง  ยังไม่หมดระยะประกันเลยด้วย แต่เละขนาดนี้คงเคลมไม่ได้แล้วมั้ง เอวาถอนหายใจแล้วยักไหล่

     

    “จริงๆ ก็เสียดายนะ แต่ฉันไม่อยากโหวตน่ะ”

     

    “แต่....แบบนั้นแค่ปิดเครื่องซะก็ไม่มีปัญหาแล้วนี่?”

     

    “มันพูดไว้ชัดเจนเลยนะว่า โทรศัพท์ยังใช้งานได้ แค่ปิดเครื่องน่ะไม่ได้หรอกตอง มันเป็นการไม่เล่นตามกฎ ถ้าเป็นแบบนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเจออะไรบ้างน่ะสิ ก็ต่างโลกนี่นะ” เอวายิ้มแหย

     

    “แปลว่าเธอเชื่อที่มันประกาศหรอ?”

     

    “ก็ 50-50 น่ะ แต่กันไว้ดีกว่านะ ถ้าแม่รู้ค่อยบอกว่าทำตกจนพัง ฮะๆ...”

     

    ตองทำหน้ายุ่งยากใจ เพราะโทรศัพท์นั้นสามารถใช้แทนไฟฉายในที่มืดได้ แถมจากที่คุยเมื่อกี้เอวาก็บอกว่ามีสัญญาณด้วย อาจจะโทรออกไปขอความช่วยเหลือได้ รู้งี้น่าจะขอใช้ก่อนเอวาจะพังไปก็ดี นับเป็นเรื่องที่เธอพลาดเอง ร่างผมหางม้าสีทองซ่อนนัยน์ตาไว้ในเงามืดโดยไม่พูดอะไร

     

    ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

     

    “ตอง.....?”

     

    เอวาหันกลับไปเพราะรู้สึกถึงความผิดปกติ ตองยืนอยู่ในเงามืดระหว่างหน้าต่างสองบาน นัยน์ตาสีน้ำเงินเป็นประกายเรืองแสงวาบ เอวาสัมผัสบรรยากาศที่ไม่ปลอดภัยบางอย่างได้ จึงถอยหลังไปช้าๆ เด็กสาวในชุดนักเรียนรัฐบาลเอียงหัวจนคอแทบตั้งฉากกับลำตัว เกิดเสียงเปราะๆ ลั่นที่ลำคอ เสียงนั้นเป็นเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ

     

    ตองก้าวเท้าเข้ามาในแสงจันทร์ทั้งอย่างนั้น หัวของเธอห้อยต่องแต่ง หมุนไปมาเหมือนลูกโยโย่ ดวงตาคู่นั้นเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง มันกลอกไปมาแล้วพลิกไปข้างหลังทำให้เห็นแต่ตาขาวอย่างเดียว เอวายืนสั่นอยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับไปไหน

     

    “ต....ตะ.....ตอง.....?”

     

    กรอบกรั่กๆ กรึ่ก!

     

    “อื้อ เรียกฉันทำไม กลัวลืมชื่อหรอ?”

     

    ตองยิ้มอย่างเป็นมิตร ทว่ากับดวงตาสีขาวและคอที่หมุนได้รอบนั้น มันชวนให้ขวัญผวากว่าเดิม เอวารู้สึกขาสั่นจนก้าวไม่ออก เธอคิดหาทางอย่างรวดเร็ว ขณะที่สัตว์ประหลาดตัวนั้นก้าวเข้ามาใกล้

     

    ห..ห้องคหกรรมอยู่ข้างหลัง.....ระยะทาง...ประมาณ 30 เมตร

     

    ระหว่างเอวากับเจ้าตัวคอหัก ยังไม่มีใครขยับมากกว่านั้น เหมือนกำลังดูเชิงกันอยู่ ทั้งสองรู้ดีว่าหากใครออกวิ่งก่อน อีกคนจะทำตามทันที เพียงแต่ยังไม่วางใจจะทำแบบนั้นหากไม่รู้สถานะว่าใครคือเหยื่อ ใครคือผู้ล่าจริง ๆ  ตองตัวปลอมก็ดูท่าทีของเอวาไปก่อนว่าจะมีลูกไม้อะไรมาเล่นใส่เธอไหม ส่วนเอวาก็กำลังหาจังหวะจะวิ่งหนี

     

    ทั้งที่ยืนนิ่ง ๆ แต่เอวารู้สึกเหมือนหัวใจกำลังเต้นเร็วจนแทบจะแหวกเนื้อข้างในออกมาอยู่แล้ว ปลายนิ้วชาดิก เธอมองหาจังหวะและคิดจะวิ่งเมื่อพร้อมจริงๆ เท่านั้น เพราะเธอไม่เก่งกีฬา เรื่องวิ่งไม่ต้องพูดเลย ตัวก็เล็กเธอวิ่งไม่ทันแน่ๆ ที่จริงเธอเห็นจังหวะที่ว่านั่นมาสองสามครั้งแล้ว แต่ความกลัวกลับทำให้เธอเผลอคิดถึงสภาพที่ตัวเองวิ่งไปไม่กี่ก้าวแล้วถูกจับลากกับพื้นไปข้างหลัง ทำให้ขาเกิดอาการแข็งทื่อขึ้นมา และต้องมายืนวัดใจอยู่แบบนี้ แต่เธอรู้ดีว่าจะมายืนอยู่แบบนี้ไปตลอดไม่ได้แน่ หากสัตว์ประหลาดนั่นออกวิ่งก่อนเธอแม้วินาทีเดียว เธอก็จะตั้งหลักวิ่งไม่ทันทันที เธอต้องเปิดก่อนตอนที่ยังทำได้ ไม่งั้นอาจไม่มีโอกาสอีกแล้ว

     

    เอวากลืนน้ำลาย

     

    ดูเหมือนตองที่คอหักคนนี้จะมั่นใจแล้วว่าเอวาไม่มีแผนอะไรซ่อนไว้ เธอจึงหายใจเข้าเบาๆ หากแต่นั่นคือสัญญาณสำหรับเอวา ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพร้อมกระโจนเข้าใส่แล้ว มือบางซุกเข้าไปในกระเป๋ากระโปรง

     

    แกร๊ง!!!!!

     

    “หืม”

     

    เอวากำเหรียญทั้งหมดในกระเป๋าแล้วปาใส่มัน โชคร้ายที่มันหลบได้ แต่โชคดีคือนั่นช่วยสร้างโอกาสให้เอวาออกวิ่งก่อนได้สำเร็จ พอปาได้เธอก็รีบพุ่งตรงไปยังห้องคหกรรมทันที ริมฝีปากของสัตว์ประหลาดที่กำลังจะเผยอยิ้มเยาะเย้ยฝีมือการปาของเอวาเป็นต้องหยุดชะงัก แต่กระนั้นมันก็ยิ้มขึ้นมาใหม่ แล้วเริ่มวิ่งตามเอวาแม้จะช้าไปสองสามจังหวะก็ตาม

     

    “จะไปไหนกันล่ะเพื่อน”

     

    “ม...ไม่ แกไม่ใช่ตอง!!”

     

    “อ้าว แต่เธอบอกว่าฉันคือตองนะ”

     

    เอวากัดฟัน อีกแค่ 10 เมตร! ทว่าเสียงฝีเท้าที่ไล่หลังมานั้นใกล้ขึ้นทุกที ไม่ต้องหันไปมองก็รับรู้ถึงความรู้สึกกลัวจนแทบจะระเบิดออกมาได้อย่างชัดเจนแล้ว เธอรู้สึกสาปแช่งตัวเองที่ไม่ค่อยออกกำลังกายขึ้นมา เธอวิ่งไปเรื่อยๆ จนเมื่อห้องคหกรรมอยู่ในระยะสายตา ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ก็เบิกโพลง เพราะประตูห้องนั้นปิดอยู่ ถ้าให้วิ่งไปเปิดเข้าไปแล้วปิดคงไม่ทันเจ้าตัวที่ตามข้างหลังแน่ๆ

     

    “...ไม่จริงน่า….”

     

    เอวารู้สึกเหมือนสมองกำลังหยุดการประมวลผล ฝีเท้าที่วิ่งอย่างยากลำบากหมดแรงไปเสียดื้อๆ เธอถลาไปข้างหน้าทำท่าเหมือนจะล้มลงในระยะที่เอื้อมมือไปถึงประตูได้ กระนั้นมือข้างหนึ่งของเธอก็ยังคงเอื้อมไปข้างหน้า

     

    “ไม่อ่ะเพื่อน นี่ความจริง”

     

    !!!”

     

    ไม่รู้ว่าเด็กสาวผมสั้นคนนั้น ยืนอยู่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อไหร่   ตาสีราตรีมีประกายความเย่อหยิ่งอย่างร้ายกาจ เธอส่งมือออกมาแล้วออกแรงฉุดให้คนผมทวินเทลสีน้ำตาลไหม้เข้าไปข้างใน เมื่อทั้งสองปลอดภัยแล้ว แม้ท่าล้มลงไปกองกับพื้นนั้นดูน่าจะเจ็บไม่น้อย บุคคลที่สามในห้องก็ปิดประตูแล้วลั่นกุญแจทันที

     

    แกร๊ก!

     

    “พวกแก!!! คิดว่าจะรอดไปได้งั้นหรอ! ฉันรู้ว่าพวกแกอยู่ในนั้น ออกมานะ!!”

     

    “ออกก็ควายแล้ว”

     

    เด็กสาวผมยาวสยายสีน้ำเงินแปลกตาแค่นยิ้ม เธอปล่อยมือจากประตูที่ลงมือปิดเอง แล้วหันไปมองสองคนที่กองกับพื้น มือข้างหนึ่งยื่นมืออกไปช่วยเอวาให้ลุกขึ้น เอวาที่ยังผวากับเสียงเดินกระแทกเท้านอกประตูผุดสีหน้าลังเล

     

    “ร...รีบเอาโต๊ะไปกันประตูไว้เถอะไรส์ เดี๋ยวมันเข้ามานะ”

     

    “ไม่เป็นไร แค่นี้ก็อยู่แล้วล่ะ” ไรส์ยักไหล่

     

    “เอ๊ะ แต่ว่า....”

     

    “น่า ดูเหมือนประตูที่นี่จะสำคัญมากเลยน่ะ ถึงขนาดออกประกาศห้ามตอนที่เธอจะพังเลยนี่ จริงไหมนาโน?”

     

    “อืม ถ้าประตูพังต้องชดใช้ด้วยชีวิตสินะ ดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขที่เท่าเทียมกันทุกคน”

     

    คำพูดของเด็กสาวทำให้เอารู้ว่านาโนกับไรส์อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ก่อนเสียงประกาศแรก นาโนเป็นเด็กสาวที่มีผมแสกซ้ายสีดำขลับเหมือนขนอีกา เครื่องหน้างดงามประดับด้วยรอยยิ้มที่ดูสง่าอยู่เสมอ และเธอยังคงยิ้มเช่นนั้นตอนที่ตอบคำถามของไรส์ เอวาจึงคลายกังวลไปได้บ้าง เมื่อรู้สึกว่าปลอดภัยแล้วเธอจึงนิ่วหน้าแล้วโผเข้ากอดนาโน ไหล่เล็กไหวสั่นเหมือนกำลังกลั้นสะอื้น ไรส์เท้าเอวมองทั้งคู่ก่อนจะตัดสินใจไปเดินสำรวจห้องนี้เพื่อให้เวลาทั้งคู่คุยกัน

     

    ย้อนกลับไปสมัยม.ต้น ทั้งไรส์ เอวาและนาโน เป็นเพื่อนอยู่กลุ่มเดียวกันที่โรงเรียน เป็นเพื่อนสนิทด้วยซ้ำ แต่ในความรู้สึกของไรส์ เอวาจะสนิทกับนาโนมากที่สุด รองลงมาเป็นตองแล้วค่อยเป็นเธอ ถึงตอนนี้เอวาจะย้ายไปโรงเรียนอื่นแล้ว แต่ความเป็นเพื่อนสมัยม.ต้นก็ยังแน่นแฟ้นโดยเฉพาะเอวากับนาโนที่ติดต่อกันอยู่เสมอ จึงไม่แปลกที่ตอนนี้คนที่เอวาจะวางใจที่สุดคือนาโน ดังนั้นยกหน้าที่ปลอบให้เขาไปเถอะ ไม่คิดจะแย่งด้วย เอวาเป็นคนที่อ่อนไหวมาก ๆ เรื่องนั้นเธอรู้ดี และรู้อีกด้วยว่าตัวเองที่ปากไม่ดีควรอยู่ให้ห่างเพื่อนที่กำลังร้องไห้

     

    มองเอวาแล้ว เธอก็คิดคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับนาโน ที่ออกจะพูดยากหน่อย

     

    นาโนเป็นหัวโจกของกลุ่มเสมอ หลังจากขึ้นม.ปลาย เพื่อนของเธอที่เป็นกลุ่มใหญ่ก็กระจายกันไปตามโรงเรียนต่าง ๆ ทั้งกลุ่มมีราวยี่สิบกว่าคน เมื่อนัดเจอกัน นาโนจะต้องเป็นคนนัดทุกครั้ง เพราะเป็นคนเดียวที่มีช่องทางติดต่อเพื่อนทุกคน น่าตกใจที่นาโนมีความจำเกี่ยวกับเพื่อนที่ดีเยี่ยม เธอจำเบอร์เพื่อนทุกคนได้โดยไม่ต้องจด นอกจากเบอร์แล้ว เรื่องน่าอายต่าง ๆ ที่เพื่อน ๆ ก่อไว้ เธอก็จำได้ดีเช่นกัน (หัวเราะแห้งๆ) อีกทั้งเธอยังมีความเป็นผู้นำและสามารถแก้ปัญหาให้เพื่อนได้ เรียกได้ว่าจักรวาลเพื่อน ๆ แทบหมุนรอบนาโน นั่นเป็นส่วนที่ไรส์คิดว่านาโนเจ๋งมาก

     

    และจะมีอีกส่วนที่ไรส์คิดว่าเฮงซวยมาก คือเพราะไอ้ความจำดีนี่แหละ บางทีก็ขุดเรื่องที่อยากจะลืมของเพื่อนมาพูด บางทีก็พูดแรงไป ทัศนคติโดยรวมของนาโนเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ทำให้เธอไม่ค่อยชอบ อันที่จริงไรส์ก็มองโลกในแง่ร้ายเหมือนกัน แต่ดูเหมือนมันจะร้ายคนละแบบเลยรู้สึกไม่ถูกกัน แถมบางครั้งนาโนยังชอบขัดเวลาเธอทำอะไรด้วย พูดตรง ๆ สำหรับเธอแล้ว บางทีนาโนก็เป็นเพื่อน บางทีก็เป็นศัตรูอย่างคาดไม่ถึง

     

    จะว่าไปแล้ว พูดถึงเพื่อนก็นึกถึงรายชื่อโหวต

     

    พอเลื่อนดูใบรายชื่อแล้วเธอก็ต้องขมวดคิ้ว เพราะในนั้นล้วนเป็นชื่อเพื่อนที่คุ้ยเคยทั้งนั้น ถึงจะแค่ชื่อเล่น แต่ความสัมพันธ์ของชื่อทั้งหมดที่อยู่ติดกันทำให้อดคิดไม่ได้ว่าทั้งหมดคือเพื่อนของเธอ กระนั้นก็มีรายชื่ออยู่สามสี่ชื่อที่ไม่คุ้นตา ดูเหมือนที่นี่จะไม่ได้มีแค่กลุ่มเพื่อนของตัวเอง ไรส์หลับตาไล่ภาพศพในความคิดออกไป นั่นคือสิ่งที่สำรวจเจอในห้องคหกรรม ทำให้ทั้งเธอและนาโนเชื่อคำพูดประกาศ ศพนั้นดูเหมือนจะตายมาสักพักแล้ว ร่างกายเริ่มเน่า น่าแปลกที่มันไม่ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกมา ได้แต่หวังไม่ให้เอวาไปเจอเข้าไม่งั้นคงกลัวแย่

     

    เธอหันไปหาทั้งสองที่อยู่แถวประตู

     

    ดวงตาสีอำพันเบิกโพลง

     

    “พวกเธอ ถอยมาเดี๋ยวนี้!!!”

     

    “….?!”

     

    ปึง!!

     

    นาโนที่มีประสาทสัมผัสเฉียบคมเป็นพิเศษรู้สึกตัวก่อน เธอกดแผ่นหลังของเพื่อนสนิทให้ชิดกัน แล้วกระโดดถอยหลังมาทั้งแบบนั้น ตู้ล้มลงมาใส่พื้นที่ทั้งสองเคยยืน ฝุ่นฟุ้งขึ้นมาจนบดบังสายตา พร้อมกับเศษไม้ที่แตกกระจาย เอวาหวีดร้องออกมาแต่เพราะใบหน้าซุกอยู่กับอกเพื่อน จึงเป็นเสียงอู้อี้เบา ๆ เมื่อควันจาก ก็ปรากฏสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งสามคนต้องผงะ

     

    “บัดซบ ต่อจากตองก็ศพขยับได้หรอ!

     

    ไรส์สบถคำผรุสวาทออกไป  เด็กหนุ่มที่ถูกพบเป็นศพในห้องนี้ตอนสำรวจครั้งแรกขยับขึ้นมา เขาเดินฝ่าฝุ่นหนาเข้ามาอย่างเชื่องช้า ไรส์คว้าเก้าอี้ที่ใกล้ตัวยกขึ้นมาป้องกันตัว นาโนยืนอยู่ข้างหลังเธอ ใช้มือกันเอวาให้ออกห่าง เขาขยับกรามเหมือนพยายามพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่มีเสียงออกมา

     

    “อะไรน่ะ.....?”

     

    เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่โจมตี ไรส์จึงลดการป้องกันลงเล็กน้อย ทว่าเขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาหา ซ้ำท่ายืนที่สั่นสะท้านไปทั้งตัวแบบนั้น ชวนให้คิดว่าแค่ยืนก็เต็มกลืนแล้ว ดูไม่น่าจะทำอันตรายได้ ไรส์หันไปหานาโนเหมือนขอความเห็น นาโนพยักหน้าเบา ๆ แล้วผินหน้าไปทางผู้ชายคนนั้น เป็นสัญญาณว่า เข้าไปดูได้แต่ระวังตัวด้วย

     

    “...เฮ้......อุบ....”

     

    ไรส์แทบชะงักกับกลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงที่ออกมาจากตัวอีกฝ่าย เขาเป็นเด็กหนุ่มที่ดูแล้วอายุน่าจะมากกว่าพวกเธอ ชุดที่ใส่อยู่เป็นเครื่องแบบนักเรียนชายโรงเรียนรัฐบาล แต่เพราะเลอะเลือดมากเกินไปจึงดูไม่ออกว่าเป็นของโรงเรียนอะไร ศพที่ยืนขึ้นนั้นยังคงสั่นสะท้าน มือไรส์ที่เอื้อมออกไปก็สั่นเหมือนกัน

     

    เขายังไม่ตายหรอ แต่ตอนมาดูครั้งแรกก็จับชีพจรแทบจะทุกจุดแล้วนะ ไม่พลาดแน่นอน ไม่สิ ไม่จับดูก็รู้ว่าไม่น่ามีชีวิต แผลที่คอใหญ่ขนาดนั้นอ่ะ แต่หรือแค่นั้นมันจะไม่ตายจริง ๆ  โอ๊ย กลิ่นเน่ามันแรงขึ้นรึเปล่าเนี่ย..... จะอ้วกอยู่แล้ว

     

    “...ช.....ช่วย.......”

     

    “หะ?” ไรส์พยายามเงี่ยหูฟังเสียงเบา ๆ นั้นอีกครั้ง

     

    “...ช่วย.....ด้วย.......ไม่...อยากตาย........”

     

    “เฮ้ย...!!”

     

    เด็กสาวอาศัยสัญชาติญาณล้วน ๆ ในการกระโดดถอยหลังออกมา ผู้ชายคนนั้นล้มลง แต่มือยังชูขึ้น คล้ายจะยังต้องการคว้าตัวเธออยู่ เขาคลานเข้ามาใกล้ ส่วนไรส์ก็ถอยหนีอย่างสุดชีวิต ในใจสาปแช่งนาโนที่ไม่คิดเข้ามาช่วยเลยสักนิด ถึงเอวาจะกลัวก็เถอะ แต่ตอนนี้ควรมาช่วยเธอก่อนไม่ใช่หรอไง!?

     

    เพราะมัวแต่คิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเธอจึงสะดุดล้มก้นจ้ำเบ้า ชายคนนั้นคลานขึ้นมาบนตัวเธอ ทำให้เห็นเขาได้อย่างชัดเจน ผิวที่ควรเป็นสีเนื้อกลายเป็นสีคล้ำ บางที่หนังกำพร้าก็หลุดลอกทำให้เห็นสีของเนื้อตายภายใน ลูกตาห้อยย้อยลงมา ของเหลวจากศพทั้งหลายเปรอะเปื้อนเต็มเสื้อของเธอ กลิ่นเหม็นเน่ารุกเข้ามาเต็มจมูก ไรส์รู้สึกเหมือนเสียงกรีดร้องพุ่งขึ้นมาถึงลำคอแล้ว แต่ระยะที่ใบหน้าแทบจะชนกันทำให้เธอกรี๊ดไม่ออก แขนก็เกิดไม่มีแรงขึ้นมาจนไม่สามารถสลัดสิ่งมีหรือไม่มีชีวิตตรงหน้าไปได้

     

    “ช...ช่วย.....ช่วย....ด้วย...”

     

    ฉันสิต้องพูดคำนั้น ไรส์นึกอยู่ในใจ มองไปทางเพื่อนทั้งสอง เอวานั้น ไม่ต้องสงสัย กลัวจนไม่ขยับตัว ส่วนนาโน... ดวงตาสีรัตติกาลจองมองเธอด้วยความหยิ่งยโสเช่นเดิม รู้ทั้งรู้ว่าทางนี้กำลังโดนศพคลานเข้าใส่ก็ยังจะวางท่าเฉย ราวกับว่าไม่ใช่เรื่องของตนเอง เมื่อรู้ว่าถูกมอง เธอก็ผุดรอยยิ้มเย้ยหยันให้ ทำให้ไรส์คิ้วกระตุก เกิดแรงฮึดยกขาขึ้นมา แล้วถีบร่างที่อยู่ด้านบนออกไปเต็มแรง

     

    ปั่ก!!

     

    “ระยำเอ๊ย...”

     

    ดวงตาสีอำพันตวัดมองศพที่พุ่งไปติดผนังอีกฝั่ง เธอสบถแล้วหันมองนาโนที่ตอนนี้เหมือนจะยิ้มพอใจอยู่ยังไงยังงั้น พอเห็นแบบนั้นเธอก็เริ่มปรี๊ดขึ้นมา ไรส์รีบลุกขึ้น กองเหลวกลิ่นเหลือรับทั้งหมดไหลลงจากตัวเธอ เด็กสาวตรงเข้าหาเพื่อนสาวหมายจะเอาเรื่อง

     

    “เมื่อกี้ตั้งใจไม่ช่วยหรอ?”

     

    “ก็เห็นว่าเธอจัดการได้นี่นา” นาโนยิ้มเหมือนแมว “แล้วก็จัดการได้จริง ๆ เห็นมั้ย? ไม่ต้องช่วยก็ได้”

     

    “นั่นน่าจะเป็นข้ออ้างที่เธอจงใจทิ้งให้ฉันเจอเรื่องพรรค์มากกว่ามั้ง”

     

    นาโนไม่ตอบอะไรอีก เพียงแต่ยิ้มแบบเดิม ทำให้ไรส์หงุดหงิด เธอเดินไปที่ก๊อกน้ำอย่างฉุนเฉียว หมายจะล้างคราบที่ติดเสื้อ เด็กสาวไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายไว้ว่า

     

    “อย่าให้ถึงทีฉันบ้างล่ะ”

     

    นาโนถอนหายใจ มองส่งคนผมฟ้าไปจนลับตา ก่อนจะหันมองคนข้างหลัง เอวาตัวสั่นริก ดวงตาสีน้ำตาลไหม้ยังคงจับจ้องไปยังศพอย่างไม่วางตา ใบหน้าที่ซีดเผือดทำเอานาโนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ เธอคิดจะดุเอวาที่ทำตัวขี้กลัว แต่ก็ใจแข็งทำไม่ลงสักที เพราะพอเป็นเอวาที่เป็นเพื่อนสนิททีไร ก็ดูเหมือนเธอจะใจอ่อนให้ซะทุกเรื่อง

     

    “เอ้า”

     

    นาโนส่งเสียงสั้น ๆ แล้วสวมกอดคนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง เอวาทำท่าตกใจแต่ก็กอดตอบ แล้วเธอก็ร้องไห้อีกครั้ง นาโนจึงลูบหัวปลอบใจ ดวงตาสีดำมองศพที่แน่นิ่งไป เธอลูบหัวเอวาอีกสองสามครั้ง ก่อนจะคว้าเก้าอี้ เดินตรงเข้าไปหาศพนั้น

     

    ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ! ผัวะ!!!

     

    เสียงชื้น ๆ ดังขึ้นติดต่อกัน ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เอวาปิดตาให้พ้นจากภาพอันโหดร้ายตรงหน้า เธอหันหลังให้ภาพคลุ้มคลั่งตรงหน้า นาโนยังคงฟาดเก้าอี้นั้นใส่ศพต่อไปด้วยหน้านิ่ง ๆ ซึ่งศพนั้นก็ไม่ได้ขยับขึ้นมาอีก มันไร้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น แต่นั่นทำให้ความหงุดหงิดของนาโนยิ่งทวีคูณ เธอฟาดต่อไปโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า จนศพนั้นมีแผลเหวอะหวะทั่วตัว จำเค้าเดิมแทบไม่ได้ว่าเป็นยังไง เธอจึงหยุดมือ เด็กสาวถ่มน้ำลายใส่ใบหน้าบวม ๆ ก่อนจะเปล่งเสียงที่เอวาฟังแล้วยังขนลุก

     

    “อย่าได้บังอาจมาแตะต้องเพื่อนของฉัน”

     

    เอวากลืนน้ำลาย ปากที่เคยคิดจะถามว่าทำไมถึงไม่ช่วยไรส์ หุบลงเพราะได้คำตอบแล้ว นาโนหันมามองเธอ มีเหงื่อหยดเล็กเกาะตามแขนและใบหน้าของเธอ เอวาตั้งใจจะพูดบางอย่าง แต่เสียงประกาศที่เป็นเหมือนฝันร้ายดังขึ้นก่อน เธอมองไปรอบ ๆ ทว่าไม่พบร่างของเด็กสาวผมสีน้ำเงิน

     

    .......

     

    “สวัสดีอีกครั้งเพื่อน ๆ เสียงประกาศนั้นคงจะทำให้พวกเธอตกใจสินะ ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ เราเป็นคนใจร้อนผิดคาดน่ะ”

     

    ลำโพงส่งเสียงแตก ๆ ทำให้ผู้ฟังชักสีหน้าเหมือนอยากจะด่าว่า ตอแหลทั้งเพ อันที่จริงไม่แค่สีหน้า แต่เขาพึมพำออกมาแล้ว เด็กหนุ่มผู้อยู่หน้าห้องแนะแนวนั่งไขว่ห้างกระดิกเท้าอย่างที่ชอบทำประจำ สีหน้าของเขาหงุดหงิดถึงขีดสุด จนเพื่อนร่วมชะตาพยายามหดตัวเป็นผ้าอนามัยใช้แล้วด้วยความกลัว ท่าทางของเขาก็ทำให้เด็กหนุ่มผมน้ำตาลแก่หงุดหงิดเช่นกัน

     

    “จะสั่นทำเชี่ยอะไรนักหนาวะเบสท์?”

     

    “เปล่าจ้ะ มะ...ไม่ได้สั่น ตามสบายนะเกม”


     

     

    เกมขมวดคิ้ว เขาปลดเนคไทด์ชุดสูทของโรงเรียนออกเพราะเริ่มร้อน ส่วนเบสท์ที่มาด้วยกันแต่นั่งห่างคนละฟากโซฟายังคงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ เด็กหนุ่ม....หรือสาว ผมดำรวมครึ่งหัว ใบหน้าประทินด้วยเครื่องสำอางบาง ๆ คนนั้นชื่อว่าเบสท์ ทั้งเขาและเกมต่างก็เป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกับไรส์ นาโน และเอวา แต่ไม่สนิทเท่าทั้งสามคน โดยเฉพาะเกมที่เป็นชายแท้ทั้งแท่ง ถึงจะอยู่กลุ่มใหญ่ ๆ เดียวกัน แต่ในกลุ่มก็แบ่งเป็นกลุ่มย่อยระหว่างชายกับหญิงอีกที เขาจึงไม่ได้คุยกับพวกเธอเท่ากับผู้หญิงด้วยกัน แต่ในเกณฑ์เมื่อเทียบกับคนรู้จักก็นับว่าสนิทนั่นแหละ

     

    เบสท์กับเกมเป็นหนึ่งในเพื่อนที่ย้ายโรงเรียนไปจากรดาวรรณตอนม.ต้น หากแต่ว่าเกมนั้นเป็นหนึ่งในสองคนในกลุ่มที่ไปเรียนต่อสายอาชีวะ ในขณะที่เบสท์ไปเรียนต่อในโรงเรียนเอกชนที่เดียวกับลูกแกะ เกมกับเบสท์ไม่ค่อยถูกกันตั้งแต่สมัยม.ต้น พูดให้ถูกคือเกมไม่ชอบขี้หน้าเบสท์อยู่ฝ่ายเดียว เพราะเบสท์เป็นผู้ชายที่ตัวเล็ก และทำตัวเหมือนผู้หญิง เกมที่มีชีวิตขาลุยจึงหมั่นไส้

     

    ตอนม.ต้นถามว่าเป็นไหม บอกไม่เป็น ๆ พอม.ปลายบอก ไม่เป็นผู้ชาย มันน่าไหม....

     

    แต่ถ้าถามว่าเกลียดไหม เกมก็บอกได้ว่าไม่เกลียด แค่หมั่นไส้ปนรำคาญเฉย ๆ ดังนั้นหากเลือกได้ เขาจะไม่ขอติดอยู่ในสถานการณ์นี้ร่วมกับคนข้าง ๆ เด็ดขาด คิดแล้วก็หงุดหงิด เขาและเบสท์เผลอขอในสิ่งเดียวกันอย่างไม่รู้ตัวคือ ให้เมก้า เปรม ไนท์ ปราชญ์รีบ ๆ มาสักที

     

    เกมละความสนใจจากเสียงประกาศไปนานพอสมควร แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะดูเหมือนคำพูดพวกนั้นจะเป็นน้ำมากกว่าเนื้อ พร่ำเพ้อไปเรื่อย ถามว่ารู้ได้ไง ก็ต้องบอกว่าอ้างอิงจากประสบการณ์การเล่นเกมแบบ skip เนื้อเรื่องทั้งหมดเพราะขี้เกียจแปล แต่ก็ยังเล่นจบแบบเข้าใจยังไงล่ะ

     

    “เอาล่ะ แล้วเรื่องส่วนเกิน

     

    กึ่ก

     

    เอาล่ะ นี่แหละประโยคสำคัญ เกมแทบกลั้นหายใจฟัง ดูเหมือน เพื่อน จะเห็นปฏิกิริยานั้น จึงจงใจทำเสียงยืดยาวและเว้นช่วงไปหลายนาที

     

    “ส่วนเกินที่ถูกโหวตและต้องกำจัดทิ้งก็คือ.....”

     

    เบสท์ที่นั่งอยู่อีกฝั่งของเกมเริ่มกัดเล็บ เขายกขาขึ้น นั่งชันเข่า นัยน์ตาสีดำฉ่ำชื้นจับจ้องลำโพงไม่วางตา หากดวงตาของเขาเป็นลูกศร ลำโพงนั้นคงโดนขยี้ไม่เหลือชิ้นดี เกมสังเกตถึงลมหายใจของอีกฝ่ายที่รุนแรงขึ้น แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะเสียงหัวใจของเขาก็กำลังเต้นถี่เหมือนกัน

     

    คนที่จะตายก็คือ.....

     


    “ไม่-มี

     


    “หา?”

     

    จะปล่อยไปง่าย ๆ งั้นหรอ เกมรู้สึกความผิดปกติ ไม่ใช่ความความใจดีที่ถูกหยิบยื่นให้ เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างอยู่เบื้องหลัง ไม่มีทางที่คนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี่จะตั้งการโหวตเล่น ๆ เพื่อดูความเชื่อใจกันของพวกเขาหรืออะไรแบบนั้นหรอก ลางสังหรณ์เขาบอกแบบนั้น

     

    “อา โล่งใจใช่ม้า แน่นอน เราไม่ใช่คนใจจืดใจดำอะไรขนาดนั้นสักหน่อย จะฆ่าเพื่อน ๆ ให้ตายน่ะ มันโหดร้ายมาก ๆ เลยนะ”

     

    เสียงนั้นแสร้งทำเป็นเศร้าจนเกมรู้สึกไม่สบอารมณ์

     

    “แต่เราก็ไม่ได้จัดโหวตขึ้นเล่น ๆ นะ?”

     

    นั่นไง เกมพึมพำอยู่ในใจ เขากำหมัดเพราะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหนอีก ดวงตาสีเลือดนกวาวโรจน์ ประกาศครั้งแรกบอกว่านี่คือเกม ผู้ที่ไปถึงตัวเพื่อนก่อนจะชนะ และเขาก็ชอบเล่นเกมสมชื่อเสียด้วย สาบานได้ว่าหากเจอตัว จะไม่แค่ทักทายด้วยการจับมือ แต่จะขอกระทืบสักสองสามทีก่อน ถึงจะค่อยคุยกัน

     

    “อาาา รู้สึกได้เลยว่าเพื่อน ๆ กำลังกระวนกระวาย~ ไม่ต้องกลัวนะ โอ๋ ๆ ไม่มีใครตายหรอก อย่ากังวลไปเลย เราน่ะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใจดีนะ ไม่มีใครตายหรอก....”

     

    “อ้อมค้อมชิบ จะทำอะไรก็รีบพูดสิวะ” เกมเผลอสบถออกมาและเงียบไปเมื่อเพื่อนพูดปะโยคถัดไป

     

    “จะมีก็แต่คนทรยศเท่านั้นแหละ

     

    หา....?

     

    “คน....ทรยศ.....?”

     

    ทั้งเกมทั้งเบสท์เผลอพูดออกมาพร้อมกัน คนทรยศ.... หมายความว่าไง ในกลุ่มนี้มีใครคิดจะหักหลังพวกเขาอย่างงั้นหรอ?

     

    “ไม่ต้องตกใจเราจะอธิบายเอง” เพื่อนปล่อยให้แต่ละคนครุ่นคิดเกือบหนึ่งนาทีแล้วจึงเฉลย “คนที่มียอดโหวตสูงสุด จะถูกเลือกเป็นคนทรยศ ซึ่งจะแฝงอยู่ในกลุ่มพวกเธอ เขาจะเป็นผู้เล่นของฝั่งเรา หน้าที่และบทบาทของคนทรยศจะแตกต่างจากทุกคนโดยสิ้นเชิง การชนะของเพื่อน ๆ คือชนะในมินิเกมของเรา และมาถึงตัวเราก่อน แต่การชนะของคนทรยศคือ ขัดขวางไม่ให้พวกเธอทำสำเร็จ และจะได้รับชัยชนะเมื่อทุกคนแพ้หมด ถ้าคนทรยศชนะ ก็เท่ากับเราชนะด้วย และเราจะส่งคน ๆ นั้นกลับบ้าน”

     

    Rrrrr…rr..r

     

    เบสท์สะดุ้ง ส่วนเกมหยิบมือถือขึ้นมาดูนิ่ง ๆ เขาขมวดคิ้วกับข้อความถาดเข้า ข้อความพื้นหลังสีดำเหมือนตอนโหวตชื่อแสดงบนจอ หัวข้อเขียนว่า Role ตามลงมาด้วยเนื้อหา เขาหันไปมองเบสท์ เด็กหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าหนักใจเล็กน้อย เสียงประกาศแทรกอีกครั้งก่อนเขาจะพูดต่อ

     

    “ทุกคนได้รับข้อความแล้วสิน้า นั่นคือบทบาทของทุกคนจ้า! ผู้เล่นธรรมดาจะได้รับข้อความอย่างนึง แต่คนทรยศจะได้รับข้อความอีกอย่างหนึ่ง ใช่แล้ว ‘You’re Betrayer’ ไงล่ะ~ ส่วนคนที่มือถือใช้การไม่ได้ก็อดทนรอหน่อยน้า จะรีบส่งกระดาษโน้ตแจ้งบทบาทไปให้ ทีนี้ก็แบ่งทีมกันได้แล้วนะ อ้อแล้วก็คุณคนทรยศที่น่ารัก.....”

     

    เพื่อนเว้นวรรคไปช่วงหนึ่งก่อนจะประซิบใส่ไมค์

     

    “กรุณาทรยศเพื่อน ๆ ของเธอทั้งหมดยกเว้นเรานะ? เราไม่ชอบหมากที่ดื้อดึงซะด้วยสิ นี่ เราเป็นเพื่อนแท้ของเธอนะ? คิดดูสิ เธอถูกโหวตสูงสุดตอนที่ถูกบอกว่าจะตายเชียวนะ? หมายความว่า เพื่อนเก่าของเธออยากให้เธอตายไงล่ะ? น่าแค้นใจใช่ม้า พวกเศษขยะพวกนั้นน่ะ มาช่วยกันลงโทษเถอะ รบกวนด้วยนะ แล้วก็ ทุกคนลบข้อความเดี๋ยวนี้ ไม่ลบจะระเบิดหัวตู้มให้ดู ให้เวลาห้านาที”

     

    สิ้นเสียงขู่ มือที่ถือโทรศัพท์ไว้ก็สั่นระริก ไม่ใช่เพราะกลัวแต่เพราะโกรธ!

     

    โกรธตัวเองนี่แหละ เกมลบข้อความนั้นไปพร้อมสาปแช่งตัวเอง หลงกลมุกตื้น ๆ แบบนี้ได้ไงนะ เพราะชื่อที่เขาโหวตนั้นไม่ได้สนใจว่าจะเป็นหรือตายอยู่แล้ว เป็นคนที่เขาเกลียดนั่นแหละ

     

    งั้นก่อนอื่นก็...ตรวจสอบเพื่อนร่วมทีม

     

    ดวงตาสีเลือดนกมองไปยังร่างเล็กอีกฝั่งของโซฟา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ต้องสงสัยว่าจะเป็นคนทรยศเหมือนกัน เพราะบรรดาผู้ชายในกลุ่มอาจจะคิดว่านี่เป็นการโหวตเล่น ๆ และโหวตชื่อเขา ซึ่งอัตราประชากรชายในกลุ่มนั้นแทบจะเท่าผู้หญิง ดังนั้นกรณีเลวร้ายที่สุดคือทุกคนนอกจากเขาโหวตให้เบสท์ นั่นถือเป็นความชิบหายอย่างสุด ๆ

     

    “เบสท์....ได้ข้อความว่าอะไร”

     

    Y….You are.... Player”

     

    ข้อความเดียวกัน.... เกมถอนหายใจโล่งอก เขาไม่คิดจะคาดคั้นอะไรหากเบสท์โกหกอยู่แล้ว เพราะเบสท์ไม่มีทางโกหกเขาได้ ไม่ใช่แค่เบสท์ รวมถึงทุกคนด้วย เบสท์เองก็มองเกมเหมือนจะถามว่าเขาได้อะไร เกมจึงตอบเสียงรำคาญนิด ๆ

     

    “ข้อความเดียวกัน”

     

    เบสท์ถอนหายใจโล่งอก ก่อนเสียงประกาศจะดังขึ้นอีกครั้ง

     

    “เอาล่ะ ส่วนตัวผู้เล่นก็เคลียร์ไปแล้ว ต่อไปก็มินิเกมของเราล่ะนะ หวายตื่นเต้นสุด ๆ ไปเลย ตื่นเต้นจนฉี่จะราดอยู่แล้ว ไม่ไหวเลยนะเราเนี่ย~

     

    เพื่อนหัวเราะเบา ๆ ในเรื่องที่เกมลงความเห็นว่ามันไม่ได้น่าขำตรงไหนเลย

     

    “ก็คือว่านะ มินิเกมที่ว่านั่นคือตัวสถานที่เอง~ โรงเรียนรดาวรรณที่พวกเธอทุกคนยืนอยู่นี้คงจะรู้จักกันดีใช่ม้า แต่นอกจากที่มันจะดูเก่าแล้ว มันยังมีสิ่งพิเศษอีกเยอะเลยล่ะ.....” เพื่อนยืดเสียงยาน พยายามดัดให้ฟังดูลึกลับ “หนึ่งในนั้นก็คือเขาวงกต

     

    เขาวงกต...

     

    “อะไรอีกวะเนี่ย...”

     

    “บอกแล้วใช่ไหม ว่านี่คือโลกที่ถูกลืม เป็นอีกโลกหนึ่ง ดังนั้นเส้นทาง สภาพแวดล้อม รวมถึงสิ่งมีชีวิตย่อมแตกต่างกัน เส้นทางในโรงเรียนนี้ถูกปรับเปลี่ยน ดังนั้นการเดินเข้าห้องหนึ่ง เธออาจจะไปโผล่อีกห้องหนึ่งของอีกตึกก็ได้ เพราะงั้นเราถึงบอกว่าประตูมันสำคัญมากล่นะ นั่นคือความพิเศษหนึ่งของมิตินี้”

     

    เหมือนกับใช้เวทมนตร์

     

    แต่ในกรณีนี้น่าจะเป็นมนตร์ดำมากกว่า เกมใช้ความคิด ปกติเขาก็เชื่อเรื่องพรรค์นี้อยู่แล้ว ยิ่งบรรยากาศของที่นี่ยิ่งทำให้เขาเชื่อว่ามันเป็นตามที่พูดจริง ๆ แต่ก็แปลก เพราะตั้งแต่ตื่นมาเขาเดินเข้าออกห้องแนะแนวทุกห้อง แต่ไม่ยักจะมีห้องไหนนำทางไปยังส่วนที่ผิดปกติ เห็นทีต้องคุยเรื่องนี้กับพวกเพื่อน ๆ อีกที แต่ถ้ามันเป็นอย่างที่เสียงประกาศว่าจริง เขาก็เริ่มกังวลแล้วว่าพวกเมก้าจะมาถึงหน้าห้องแนะแนวได้ไหม

     

    “อย่างที่สอง มิตินี้มีความผันผวนของสภาพแวดล้อมค่อนข้างมาก บางทีวัตถุก็เปลี่ยนสภาพจากของแข็งเป็นก๊าซอะไรทำนองนั้น บางครั้งมันก็ทำให้พื้นเป็นของเหลวและตกลงไปข้างล่างได้ ระวังตัวกันหน่อยน้อ ถึงมันจะไม่เกิดขึ้นปุบปับ แต่ถ้าไม่รู้พวกเธอจะเป็นอันตรายน่ะ เพราะเป็นห่วงหรอกนะ ถึงบอกน่ะ

     

    “เออ ขอบใจ!” เกมประชด

     

    “และอย่างสุดท้าย ด้วยอะไรแปลก ๆ หลายอย่างที่นี่ จึงมีเรื่องประหลาดที่พวกเธออาจเจอได้ เราจะมาอธิบายทีหลัง เมื่อต้องอธิบายแล้วกัน อิอิ เอาล่ะ ทีนี้แยกย้ายกันไปได้ แต่ละที่จะมีกระดาษโน้ตคำแนะนำติดไว้ในที่ ๆ สะดุดตา ขอให้ใช้มันเป็นคำใบ้ผ่านเกมแต่ละด่านก็แล้วกันนะ โชคดี รักษาตัวด้วยล่ะเพื่อน ๆ บ๊ายบาย

     

    เสียงประกาศจบลง พร้อมเกมที่ทรุดลงไปนั่งบนโซฟาจนเบสท์ลังเลว่าจะเข้าไปช่วยดีไหม

     

    “หมายความว่า.....”

     

    “...ว่า...?” เบสทวนคำช้า ๆ และสะดุ้งโหยงเมื่อดวงตาสีเลือดนกมองเข้ามาตรง ๆ อันที่จริงเขาตกใจแทบหยุดหายใจเลยแหละ เกมยื่นมือมาตบไหล่เบสท์อย่างหนักแน่นเสียงดัง ปั่บ

     

    “กูต้องอยู่กับมึงไปอีกนานหรอ ซังกะบ๊วยเอ๊ย!!!!”

     

    เราสิต้องพูดคำนั้น...

     

    เบสท์แอบเช็ดน้ำตาเงียบ ๆ ในโชคชะตาอันโหดร้ายที่จะต้องเผชิญ





     

    WB :  ดองเป็นไห ดองเป็นไหไปหมดเลยยย~ *หัวเราให้งานที่กองไว้อย่างบ้าคลั่ง*

    งวดนี้ก็เผารูปอีกแล้ว ฟฟฟ ว่าแต่สรุปนี่เป็นนิยายตลกสินะ ไม่พูดมากแล้ว เอาเป็นว่าตัวละครที่เพิ่มมาในตอนนี้นะคะ

     


    นาโนคนเทพ


    ไรส์คนซวย


    เกมคนเถื่อน


    เบสท์คนสวยน้อย 


    รายชื่อสถานศึกษาในเรื่อง / รายชื่อคนที่อยู่โรงเรียนนั้นและมีบทแล้ว :

    1.รดาวรรณ (รัฐบาล) / ตอง, ไรส์, นาโน, โคน, เมก้า

    2.มารีอาน่าคอนแวนต์ (เอกชนคริสต์) / ธัญญ์, เอวา, 

    3.สาธิตดารณีวิทยา (เอกชน) / ลูกแกะ, เบสท์

    4.Sophie International School (นานาชาติ) / นนท์, ปราชญ์

    5.นิศาชล (อาชีวะ) / เกม


    จริง ๆ ยังมีอีก แต่ยังไม่มีนักเรียนที่นั่นโผล่มาเลยยังไม่บอกนะคะ แฮ่ สำหรับวันนี้ก็ขอลาไปก่อยนะ บะบาย


    *รายชื่อโรงเรียนทั้งหมดเป็นโรงเรียนสมมตินะคะ หากไปซ้ำกับสถานศึกษาใด ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ //กราบ*


    **ขอบคุณธีมตอนนี้ เป็นของ Berlin ค่ะ !


    B
    E
    R
    L
    I
    N
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×