ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #11 : My Best Friend 11 : Encumber

    • อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 62


    My Best Friend

    11

    Encumber ; กีดขวาง

    บอกว่าไม่พร้อมได้ด้วยหรอ?

     

     

     

    ไรส์ ตอง ภูมิและเมก้าเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย เวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ แยกด้วยความคิดไม่ได้เลย รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปแล้วหลายวัน แต่ในความเป็นจริงมันจะเป็นไปได้หรือที่เวลาจะผ่านเลยเป็นวัน ๆ โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกหิวกระหายอะไรเลย

     

    มันเป็นเรื่องประหลาด ทั้งที่ไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้กินอาหาร แต่ก็ไม่รู้สึกหิวสักนิด

     

    ที่น่าแปลกกว่านั้น ไม่รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเลย

     

    ถ้ามองในแง่ดี เวลาอาจจะยังผ่านไปไม่นาน แต่เพราะมองทิวทัศน์ที่หยุดนิ่งทำให้เผลอคิดไปว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ไม่อาจสลัดความคิดที่ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วออกไปได้ ก็เดินมานานจนขาแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงห้องประชาสัมพันธ์ได้เลย ผ้าพันแผลที่พันรอบดวงตาของเด็กสาวผมหางม้าสีทองชุ่มเลือดและดูมอมแมม นั่นเป็นผ้าพันแผลม้วนสุดท้ายที่มีในกระเป๋า ตองไม่มีผ้าพันแผลให้เปลี่ยนแล้ว ยาระงับปวดก็ใกล้หมด ถึงจะพ้นกรณีการเสียเลือดตายมาได้ แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี แผลอาจจะติดเชื้อได้

     

    “ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว?”

     

    เพราะเป็นคนเดียวที่มองไม่เห็น ตองจึงต้องถามเป็นระยะ แต่ปฏิกิริยาตอบรับดูอึมครึม  ความเงียบก่อตัวขึ้นมาราว ๆ สามนาที ไม่มีใครตอบคำถามของตองเลย ตองใช้ขาโต๊ะพัง ๆ แทนไม้เท้านำทาง เคาะ ๆ ไปรอบตัวเบา ๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเผลอพลัดหลงหรือเปล่า แต่เพียงไม่กี่อึดใจขาโต๊ะเหล็กนั้นก็แตะโดนบางอย่างที่นุ่มหยุ่น ตองชะงักสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใครกัน? นี่ใช่เพื่อนของเธอหรือเปล่า? เมื่อดวงตาใช้ไม่ได้ ตองก็ต้องอยู่กับความหวาดระแวงแบบนั้นมาตลอด

     

    ถูกทิ้งหรือเปล่า... ทุกคนทิ้งไปแล้วหรือเปล่า เพราะว่าตาบอดมองไม่เห็นไปซะแล้ว

     

    “ขอโทษนะตอง ไรส์กับเมก้ากำลังพยายามเปิดประตูอยู่น่ะ”

     

    “ภูมิ.....”

     

    ในเสียงของเธอมีความโล่งใจ เมื่อเสียงที่ตอบกลับมาเป็นของคนคุ้นเคย ถัดไปไม่ไกลมีเสียงดังเหมือนใครกำลังพยายามหมุนลูกบิด คงเป็นเมก้ากับไรส์อย่างที่ภูมิบอก แต่ว่าเสียงนั้นค่อยทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เกิดเสียงเหมือนมีบางอย่างหักตกพื้นจุดประกายความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น

     

    ปึ้ง!!

     

    เสียงอันแสนคุ้นเคยทำเอาสะดุ้งโหยงอีกครั้ง ภูมิเหมือนจะชินไปแล้ว แต่ตองที่มองไม่เห็น ยังไงก็ไม่อาจคุ้นชินกับมันได้ เจ้าตัวที่ก่อเสียงรบกวนเตะซ้ำที่ประตูอีกครั้ง สภาพของเธอเองก็แทบไม่ไหวแล้วเพราะต้องกินยาระงับปวดร่วมกับตอง ตรงที่เคยเป็นใบหูถูกผ้าก็อซโทรม ๆ แปะเอาไว้แบบหยาบ ๆ ไรส์หมุนลูกบิดอีกสองสามที มันส่งเสียงเหมือนมีอะไรติด ตมด้วยเสียงจิ๊ปากของไรส์

     

    “นี่ก็เปิดไม่ได้ ทำไมมันล็อคหมดเลยเนี่ย!”

     

    “ใจเย็นก่อนไหมไรส์ ไปนั่งพักกันก่อนเถอะ เราเดินกันจนทั่วอาคารหลังแล้ว ยังไม่เจออันตรายอะไรเลย นี่ ตองมานั่งมา มีโต๊ะกับเก้าอี้อยู่นะ”

     

    เมก้าว่าพร้อมดึงเก้าอี้มาให้ตอง ถึงจะเก่าไปบ้าง แต่เก้าอี้นี้ก็ใช้แก้ขัดได้อยู่ ตอนนี้ทั้งสี่คนอยู่บริเวณชั้นสาม มีสิ่งเดียวที่ผิดปกติในอาคารนี้ นั่นคือโต๊ะและเก้าอี้จำนวนมหาศาลถูกยกมาขวางบันไดไว้ทำให้ขึ้นไปชั้นสี่และห้าไม่ได้ บันไดทางขึ้นของตึกนี้มีแค่บันไดเดียว นอกจากเก้าอี้แล้ว อุปสรรคอีกอย่างที่เข้ามากั้นก็คือซากวัชพืชและเศษสีแดงจำนวนมากที่แหลกเละอยู่หลังเก้าอี้ หากมองในแง่ร้ายสุด ๆ สิ่งนั้นก็คือเศษเนื้อของคนที่ถูกโต๊ะอัดติดกับกำแพง

     

    กลิ่นเนื้อเน่าปนอยู่ในอากาศที่ไม่ไหลเวียน กลิ่นนั้นตามไปทุกที่จนเริ่มที่จะชินกับพวกมันขึ้นมา แต่นั่นเป็นความเคยชินที่อยากปฏิเสธการยอมรับอย่างสุด ๆ  ไม่อยากจะให้กลิ่นนี้ติดจมูกจนลืมกลิ่นของลมโปร่ง ๆ เลยจริง ๆ  ไอ้กลิ่นที่มาพร้อมสังหรณ์ร้ายนี่ ไม่อยากจะสูดเข้าไปสักนิด

     

    ตองนั่งลงด้วยความช่วยเหลือของเมก้ากับภูมิ เก้าอี้อีกสองสามตัวถูกลากมาให้เพิ่มโดยเมก้า ทั้งสามคนนั่งลงล้อมโต๊ะตัวหนึ่งไว้พร้อมจะประชุม เหลือแต่ไรส์ที่กำลังทำอะไรยักแย่ยักยันอยู่ตรงประตู

     

    เธอบิดของในมือครั้งสุดท้าย เสียงเหมือนมีบางอย่างหักตกพื้นเกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมการถอนหายใจ ไรส์ท่าทางดูหงุดหงิดยอมเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้พร้อมทั้งสามโดยดี

     

    “เมื่อกี้ทำอะไรอยู่หรอไรส์?”

     

    “อ้อ พยายามจะสะเดาะกลอน แต่ล้มเหลวจนกิ๊บหักไปห้าอันแล้ว กิ๊บที่พกมาเจ๊งหมดเลยเลิกละ”

     

    “ปกติเธอพกกิ๊บด้วยหรอ?”

     

    “พกแล้วแปลกรึไง?”

     

    ตองหลุดขำพรืดกับเสียงที่ดูหาเรื่อง จินตนาการภาพของไรส์ที่กำลังขมวดคิ้วหน้าตึงใส่ได้โดยไม่มองด้วยซ้ำ เสียงต่อมาของตองดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ก็ไม่ได้ว่าอะไร ผู้หญิงจะพกกิ๊บมันก็ไม่แปลกหรอก ยังไงถ้าผมมันเกะกะตาก็ต้องใช้กิ๊บหนีบนี่เนอะ”

     

    ด้วยว่าตองมองไม่เห็น ไรส์เลยหลิ่วตามองบนใส่เพื่อนสนิทเหมือนจะบอกว่า เออ เอาเถอะ แต่คำพูดต่อมาของตองทำให้เธอเปลี่ยนท่าที เด็กสาวผมสีน้ำเงินมีท่าทางแข็งกระด้างอีกครั้ง

     

    “แต่ไม่คิดว่าไรส์จะเป็นคนที่พกอะไรผู้หญิง ๆ แบบนี้ไว้ด้วยน่ะ”

     

    “หา? สรุปแล้วไม่พอใจรึไง ฉันจะพกกิ๊บ พกน้ำหอมหรือกำไลข้อมือมามันก็เรื่องของฉันไหมล่ะ มีใครห้ามรึไงว่าฉันห้ามมีของพวกนี้ติดตัว”

     

    “ใจเย็น กลัวโดนชมว่าเป็นสาวน้อยแล้วเขินรึไง?”

     

    “เปล่าว้อย! แค่หงุดหงิดที่เธอพูดเหมือนฉันพกกิ๊บติดตัวไม่ได้!!”

     

    ไรส์ตบโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้นด้วยอารมณ์ร่วม สีหน้าดูโมโหขวางโลกตามสไตล์ ท่าทางเหมือนปกติ แต่ตองรู้ว่าไรส์เป็นพวกรับมือกับคำชมไม่ถูกเลยแซวใหญ่ เมก้ากับภูมิทำได้เพียงมองหน้ากัน ไม่กล้าเข้าไปแทรกวงสนทนาของผู้หญิง ตองหัวเราะแล้วบอกให้เพื่อนนั่งลงคุยกันดี ๆ จะเลิกแกล้งแล้ว ไรส์มุ่ยหน้าแต่ก็ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย

     

    “ย..ยังไงก็เถอะ ถึงจะพักก็ไม่อยากนิ่งนอนใจ มาหารือกันดีกว่า”

     

    “หารืออะไรล่ะ” เมก้าถามขึ้น ท่าทางอยากรู้ขึ้นมาทันที

     

    “ก่อนอื่นเลยก็คงต้องวิธีออกจากอาคารหลังล่ะนะ....”

     

    ย้อนกลับไปตอนเล่นเกมกับพวกปลาทอง หลังจากที่พวกปลาหายไปหมด ทั้งสามคนก็พากันประคองตองเดินออกจากสระว่ายน้ำไป เมื่อเปิดประตูด้วยความรู้สึกที่หลากหลายสุดจะบรรยาย พวกเขาก็มาโผล่ที่ทางเดินของอาคารหลัง ระเบียงไม้เก่ากับวอลเปเปอร์สีขาวสกปรก กลิ่นเนื้อเน่าผสมกลิ่นอับลอยวนในอากาศ เป็นสถานที่ที่มีกลิ่นชวนไม่ให้เข้าไปอย่างมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะประตูของสระน้ำมีแค่บานนี้ที่เปิดได้ จึงต้องเดินกันไปสู่ชั้นล่างของอาคารหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้

     

    แสงจันทร์สีหมองลอดหน้าต่างเป็นรูปเรขาคณิตสี่เหลี่ยมตามพื้น ทั้งสามนั่งหลบมาจากแสงจันทร์นั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจจะรู้สึกสะดุดตาเกินไปใต้แสงนั้นเลยไปหลบอยู่ตรงกองเก้าอี้ล่ะมั้ง

     

    ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามา ทั้งสี่คนยังไม่ได้ออกไปไหนเลย

     

    ไม่สิ ที่ถูกคือออกไปไหนไม่ได้มากกว่า

     

    ประตูทุกบานตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสามถูกล็อคทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ประตูห้องเก็บของ ในตอนแรกทุกคนก็พยายามสะเดาะประตูอย่างละมุนละม่อมอยู่หรอก แต่พอเริ่มหัวเสีย ไรส์ก็เป็นคนแรกที่เอาตัวเข้าชน พยายามจะพังประตูให้ได้ ทุกคนเคยห้ามเธอในตอนแรก แต่ผ่านไปพักใหญ่ พอเห็นว่ามันอับจนหนทางจริง ๆ ก็ฝากความหวังไว้ที่การพังประตูเช่นกัน ไม่มีใครห้ามอีกต่อไป มีแต่จะช่วยเตะประตูซ้ำ

     

    “ไอ้ประตูพวกนี้ทำมาจากแร่ไวแบรเนียมหรอ พังเท่าไหร่ก็ไม่เปิด ถ้ามันจะพังยากขนาดนี้ไม่ต้องประกาศออกไมค์ว่ากลัวประตูพังก็ได้นะ แรดขวิดยังไม่พังอ่ะ ดูจากลักษณะ”

     

    “ตอนนี้ก็จนปัญญาแล้ว คงต้องขึ้นไปชั้นบน...”

     

    เสียงลมหายใจชะงักน่าจะเป็นความเห็นที่มีต่อคำแนะนำนั้น สภาพที่โต๊ะเก้าอี้กั้นเศษเนื้อด้านบนไว้ แปลว่าต้องมีเกมอะไรอยู่ข้างบนแน่ จากประสบการณ์การผ่านเกมโพงพางแล้ว การเข้าเล่นเกมอีกครั้งเป็นเรื่องอันตราย ตอนนี้มีคนเจ็บมากพอแล้ว ทั้งไรส์และตองไม่อยู่ในสภาพที่จะเริ่มเกมใหม่ได้ เมก้าตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี ไม่คิดจะพาไปเสี่ยงด้วย แต่ในเมื่อประตูมันล็อคหมด ทางเลือกก็มีไม่มากนัก

     

    “ฝากภูมิดูแลคนเจ็บได้ไหม เราจะไปดูข้างบน”

     

    “เฮ้ย ทำไรไม่ปรึกษาเพื่อนเลยนังเมก้า อันตรายนะ ขี้เกียจขึ้นไปเก็บศพให้”

     

    เมก้ายิ้มเจื่อน ๆ ตอบไรส์ที่เหน็บแนมขึ้นมา “แต่ถ้าไม่รีบไปห้องประชาสัมพันธ์ สภาพทั้งสองคนจะแย่กว่านี้อีกนะ อุปกรณ์ปฐมพยาบาลไม่เหลือแล้ว ยาก็ใกล้จะหมดด้วย ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราขึ้นไปดู ถ้าปลอดภัยจะลงมาพาขึ้นไปนะ”

     

    “แล้วถ้าไม่ปลอดภัยล่ะ?”

     

    “........”

     

    “ฉันไปด้วย หูขาดไม่ทำให้เป็นง่อย ไปสองคนดีกว่า ถ้าไปคนเดียวแล้วตาย ใครจะไปตรัสรู้ได้” ไรส์จับพนักพิงเก้าอี้ ยืนขึ้นพร้อมกระชับไม้ในมือ แววตาจริงจัง “ตองอุตส่าห์ช่วยขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ตอบแทนบ้างก็เลวระยำสุด ๆ เพราะงั้นจะไปด้วย ให้ภูมิเฝ้าก็พอ”

     

    “แต่ถ้าไปกันหมดแล้วภูมิจะระวังให้ตองไหวหรอ...”

     

    เมก้าแย้งเพราะเพื่อนภูมินั้นเป็นคนรักสันติ แทบไม่เคยมีเรื่องกับใคร ภาพลักษณ์ที่จำติดตาก็เป็นคนเงียบ ๆ ไม่ค่อยสู้คน....ถึงจะมีความเป็นงูพิษเล็กน้อยก็ตาม

     

    “ไหวดิ รด.ก็เรียนมา อ่ะ เอาขาเก้าอี้ไป ใครที่ไม่ใช่พวกฉันมาหาก็ฟาดแม่ง”

     

    “หัวรุนแรงจังวะ”

     

    “เออ ขอบใจคนหัวรุนแรงที่จะไปช่วยนายสำรวจด้วยแล้วกัน”

     

    ขากเก้าอี้เหล็กถูกเลาะออกมาจากโต๊ะ ลักษณะที่หยิบเอาแค่เพียงโครงขึ้นมาเป็นการกระทำที่ชวนให้นึกถึงการเลาะกระดูก ภูมิรับเก้าอี้มาพร้อมลบจินตนาการน่าสยดสยองในหัวออกไป อย่างที่ไรส์บอกนั่นแหละ เขาเรียนรด. สภาพร่างกายก็ไม่ได้มีปัญหา อย่างน้อยก็ต้องพอทำอะไรได้ด้วยตัวเองได้แน่นอน

     

    “เราจะทำเต็มที่”

     

    “แรงใจน่าชื่นชม”

     

    “เพื่อจะได้กลับไปหาแฟนโดยสวัสดิภาพ”

     

    “เหม็นความรักโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!”

     

    ไรส์อุดหูข้างที่ยังใช้ได้ เบะปากมองบนใส่ภูมิ ใช่สิ ไอ้พวกคนมีความรัก มีแฟนแล้วมันก็ทิ้งเพื่อน ไอ้พวกเวร ต่อไปแกก็จะหมางเมินแล้วหายหน้าหายตาไปจากกลุ่มเพื่อน แล้วกลับมาอีกทีตอนอกหักเหมือนเพื่อนเป็นของตาย อีเพื่อนเลว!! ไรส์ตัดพ้อในใจพร้อมทรุดลงร้องไห้เล่นใหญ่รัชดาลัยเทียเตอร์

     

    “เออ เอาเถอะ จะอยากกลับไปหาแฟน จะกลับไปหาพ่อแม่หรือไอ้แดงที่คาบกระดูกที่บ้านก็ไม่ว่า ถ้ามันจะช่วยให้เอาตัวรอดกันได้ก็เอาเถอะ ฝากด้วยละกัน”

     

    “แน่นอน ระวังด้วยนะทั้งสองคน”

     

    เมก้าชูสองนิ้วขึ้นมาแตะหางคิ้วแล้วเลื่อนออกเป็นสัญลักษณ์เหมือนการวันทยาวุธของลูกเสือสำรองรุ่นเล็ก ภูมิลากเก้าอี้อีกสองสามตัวมาทำบังเกอร์ไว้กันเหนียว พอเห็นแบบนั้นไรส์กับเมก้าจึงเริ่มขยับโต๊ะที่กีดขวางทางเดิน ไม่ได้โยนลงไปมั่ว ๆ  ทั้งสองคนใช้โต๊ะที่ถูกรื้อมาวางเป็นกำแพงขนาดใหญ่ กันไว้เผื่อกรณีมีตัวอะไรตามลงมา ตองกับภูมิจะได้ไม่ถูกลูกหลง

     

    กลิ่นเนื้อเน่าทวีความรุนแรงขึ้น ต้นตอของกลิ่นมาจากชั้นบนไม่ผิดแน่

     

    “พร้อมนะ”

     

    “บอกว่าไม่พร้อมได้ด้วยหรอ?”

     

    เมก้ายิ้มแห้งใส่คำพูดนั้นแล้วเริ่มเดินขึ้นบันได ในมือมีเหล็กปลายแหลมที่เคยเป็นสวิงอยู่ ส่วนไรส์ก็เอาตาโต๊ะเหล็กขึ้นสนิมมาใช้แทนไม้ป้องกันตัว บันไดไม้เก่าส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด

     

    “ดังไปถึงดาวอังคาร นี่ไม้หรือเครื่องดนตรีชนิดเคาะ”

     

    “นี่จะแดกดันทุกอย่างเลยใช่ไหม?”

     

    “ใช่ หงุดหงิด”

     

    เหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ ไรส์ไม่ได้บอกเสริมออกไปว่า ความหงุดหงิดนั้นคือเครื่องมือบังหน้าความกลัวชนิดหนึ่ง ตราบใดที่ยังโกรธอยู่ก็จะไม่รู้สึกกลัว ขอบคุณความหัวร้อนของตัวเองที่ทำให้มีช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้ เอามงไปเลยจ้า

     

    “คิดดีแล้วแน่นะที่จะมากับเราอ่ะ?”

     

    กลิ่นคาวและเนื้อเน่าลอยคลุ้งมาจากชั้นสี่ จากความเข้มข้นแล้ว ท่าทางจุดกำเนิดคงจะใหญ่มาก นั่นหมายถึงภูเขาซากศพ หรืออะไรที่เลวร้ายกว่านั้น เพราะงั้นก็เลยถามย้ำไปอีกว่าตอนนี้ยังเปลี่ยนใจทัน แต่คนผมสีน้ำเงินส่ายหน้า เธอกระชับอาวุธติดตัวแน่น

     

    “อืม สังหรณ์ใจไม่ดีก็เลยตามมาเนี่ย”

     

    “รู้ว่าไม่ดีแล้วยังจะตามมาอีกนะ..”

     

    “ก็เหมือนไอ้พวกที่ชอบแอบมาสูบบุหรี่ในห้องน้ำนั่นแหละ รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ยังจะสูบ มะเร็งอัดมวนไม่เห็นจะมีข้อดีอะไร ถ้าชอบควันก็ไปซื้อเตาผิงมาสิวะ”

     

    “เป็นการยกตัวอย่างที่เข้าไม่ถึงเลย”

     

    ขอบใจ ไรส์ยักไหล่แบบว่าเรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง เมก้าเป็นคนเปิดทาง แล้วไรส์ก็ช่วยยกโต๊ะและเก้าอี้ไปไว้ข้าง ๆ ไม่ให้เกะกะ  บันไดไม่ได้มีความยาวมาก ตอนนี้ผ่านมาถึงพื้นตรงที่เป็นชั้นสามครึ่งแล้ว อีกแค่บันไดเดียวก็จะไปถึงชั้นสี่

     

    กึ่ก

     

    ประตูบันไดหนีไฟปิด

     

    ถ้าประตูบานนี้ล็อคอยู่ก็จบกัน ในขณะเดียวกันหากเปิดได้ก็ไม่รู้จะไปโผล่ที่ไหน ทำให้เกิดความลังเลในการเปิดประตูบานนั้น เมก้าที่นำทางอยู่กลืนน้ำลาย เขาหันไปพยักหน้าให้ไรส์ เธอก็ตอบรับด้วยการกะพริบตาแล้วผงกหัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งแตะลูกบิด ความเย็นทำให้หนาวสันหลัง แต่เมก้าก็บิดมันแล้วเปิดออก

     

    แอ๊ด...ด....

     

    ประตูส่งเสียงลั่นจนน่าตกใจ ความจริงที่สามารถเปิดประตูได้ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ไม่นาน เสียงประตูลั่นสนั่นก็ทำลายความดีใจนั้นไปจนสิ้น ชั้นนี้เงียบมาก ไม่มีเสียงอะไรเลยทำให้เสียงประตูเป็นเสียงผู้บุกรุกที่ชัดเจน ถ้าในชั้นนี้ไม่มีอะไรอยู่ก็ดีไป แต่ถ้ามี...มันคงรู้ตัวแล้วว่ามีคนเข้ามาเยือนในถิ่นมัน

     

    เบื้องหลังประตูเป็นภาพที่คุ้นตา ประตูนี้เชื่อมต่อไปถึงชั้นสี่อย่างปกติดี ไม่มีการพาไปที่แปลก ๆ ที่ไหนทั้งนั้น อย่างน้อยเรื่องนั้นก็ทำให้เมก้ากับไรส์เบาใจขึ้นมาบ้าง

     

    แต่กลิ่นที่ลอยคลุ้งเข้ามากับความหนาวเย็นคือกลิ่นเน่าอย่างรุนแรง ทั้งสองแทบจะอาเจียนออกมาเพราะกลิ่นทวีความเข้มข้นคล้ายจะบาดลึกในโพรงจมูก มือชาเพราะอากาศเย็น จมูกก็แสบไปหมดเพราะกลิ่นไม่พึงประสงค์ เท่ากับว่าตอนนี้ ประสาทสัมผัสด้านการรับรู้และได้กลิ่นชาด้านไปแล้วสองอย่าง จากนี้ไปคงต้องพึ่งตากับหู....ใช่ ถึงมีข้างเดียวก็ต้องพึ่งพาให้คล่อง หากใช้การรับรสช่วยได้ก็คงต้องทำ

     

    “ไม่มีคน?”

     

    “ไม่มีอะไรเลย...”

     

    เมก้าตอบไรส์พลางชะโงกหน้าออกไปดูอีกรอบ นอกจากกลิ่นและความหนาวเย็นก็ไม่มีอะไร ความมืดขุ่นมัวแช่แข็งฝุ่นไว้ในอากาศ ความรับรู้ด้านเวลาตายด้านอย่างสมบูรณ์ เมก้าแตะผนังเย็นเยียบเหมือนสำรวจแทงก์น้ำ สภาพที่หยุดนิ่งสร้างบรรยากาศของบ่อเลี้ยงปลาขึ้นมา รู้สึกราวกับเป็นสัตว์ในฟาร์มที่เลี้ยงระบบปิด ไรส์ย่องลงบันไดไปหยิบขาเก้าอี้เยิน ๆ มาข้างหนึ่งเงียบ ๆ

     

    “จะทำอะ....”

     

    แคร้งงงงงงงงงงงงง!!!!!

     

    ยังไม่ทันถามจบ ขาเก้าอี้ก็บินโฉบผ่านหน้าผู้มีความสงสัยอย่างเมก้า มันลอยผ่านเขาแบบฉิวเฉียดไปปะทะกับประตูกระจกที่บังเอิญอยู่หลังประตูบันไดหนีไฟพอดี ทว่าขาเก้าอี้เด้งสะท้อนกลับมาโดยที่กระจกไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน เมก้ารีบจับลูกบิดประตูดึงเข้ามาทันที เสี่ยงเกินไปแล้ว!

     

    “ทำอะไรเนี่ย!?”

     

    ชู่ว”

     

    ไรส์ชูนิ้วชี้ เธอขึ้นไปนำหน้าแทนเมก้า หูข้างที่ยังอยู่รอดปลอดภัยแนบกับประตู มีเสียงคล้ายกับสุนัข เป็นเสียงคำรามของสัตว์ป่า ครางต่ำ ๆ ระวังภัยพร้อมจะขย้ำผู้บุกรุก จินตนาการได้ถึงสัตว์สีดำตัวใหญ่ที่มีฟันแหลมคมและน้ำลายไหลเป็นทาง ไรส์จับลูกบิดไว้แน่น ไม่รู้ว่ามันเปิดประตูได้ไหม แต่จับลูกบิดไว้กันเหนียวก่อนดีกว่า

     

    ปึ้ง

     

    ไม่นานก็เกิดเสียงดังปึ้งเบา ๆ และตามมาด้วยอีกปึ้ง ปึ้งติดกันแบบห่าง ๆ เมก้ากลั้นใจกับเสียงนั้น ถึงจะไม่รู้จักต้นเสียงของเสียงในโลกทั้งหมด แต่ก็พอเข้าใจว่าเสียงนั้นคืออะไร ทุกครั้งที่เสียงดังถี่ขึ้นก็มีเสียงเปียก ๆ ดังซ้อนขึ้นมา ความรุนแรงมีมากขึ้นพร้อมกับที่ช่องว่างใต้ประตูมีของเหลวสีคล้ำล้นออกมา มันมีกลิ่นชวนให้นึกถึงประจำเดือน เลือดข้น ๆ ไหลลงไปตามขั้นบันไดราวน้ำตก พื้นตรงที่ไรส์นั่งอยู่เจิ่งนองไปด้วยสิ่งนั้น ไรส์เบ้หน้าขยะแขยง เธอดึงประตูเอาไว้สุดชีวิต เพื่อกันไม่ให้ใครบางคนนั่นเปิดประตูได้

     

    มีคนกำลังเอาหัวกระแทกประตู...

     

    หัวที่มีแผลสดใหม่แต้มจนเต็มศีรษะ เลือดปริมาณมากเกินกว่าจะเป็นของมนุษย์ไหลท่วม จนกระโปรงเปียกไปหมด ไรส์กัดฟัน แย่แน่ แรงเยอะมาก ดึงเอาไว้ไม่ไหวแน่

     

    “เมก้า เปลี่ยนกันที”

     

    “ได้”

     

    เพื่อนชายตอบรับอย่างขันแข็งแม้จะคิดว่าถ้าไรส์ไม่ปาขาเก้าอี้แต่แรกคงไม่ลงเอยแบบนี้ เมก้าพุ่งไปจับลูกบิดไว้ ไรส์ผละออกมาจากกองเลือดตรงบันได กลิ่นเลือดกับเนื้อเน่าปนกันไปหมด นี่เป็นสถานที่ที่กลิ่นเลือดเข้มข้นกว่าแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลเสียอีก ไรส์เดินพรวด ๆ ลงไป ประตูชั้นสี่เปืดออกจากด้านใน เอาอะไรไปคานไว้ก็ไม่มีความหมาย ต้องล็อคเท่านั้น

     

    กุญแจ...กุญแจอยู่ที่ไหน

     

    ไรส์คิดอย่างร้อนรน เริ่มจะเข้าใจสาเหตุว่าทำไมประตูที่นี่จึงถูกล็อค มันไม่ได้ล็อคจากอีกฝั่ง แต่มันล็อคจากข้างในนี้เอง ถึงขนาดต้องปิดตายชั้นทั้งหมด แปลว่าไอ้ตัวที่อยู่หลังประตูนี่ไม่ใช่ย่อย ตายแน่ ตายแน่!

     

    ไรส์ขบริมฝีปากล่างเมื่อต้องใช้ความคิดอย่างหนัก ของที่มีตอนนี้มีแค่ขาเก้าอี้ จะคานประตูยังไงดีถ้ามีเชือกสักหน่อยล่ะก็...

     

    เชือก....จริงสิ!

     

    ไรส์ก้มมองชุดนักเรียนของเธอ ซึ่งเป็นชุดโรงเรียนรัฐบาลโง่ ๆ  ไม่รู้หรอกนะว่าเนื้อผ้าโรงเรียนเอกชนจะเลิศเลอขนาดไหน แต่เสื้อชุดนักเรียนนี่ฉีกด้วยมือเปล่าได้แน่นอน อยากน้อยก็ชุดไรส์ล่ะ เพราะเคยโดนต้นไม้เกี่ยวจนขาดมาแล้ว

     

    ไม่รอช้า ไรส์รีบถอดเสื้อนักเรียนออกมาทันที เมก้าหันมามองด้วยสีหน้างงสุดขีด แต่พอเห็นไรส์ฉีกมันแล้วมัดพันกัน เขาก็เข้าใจทันทีว่าเธอจะทำอะไร ไรส์ผูกเสื้อกับขาเก้าอี้เหล็ก นำขาเก้าอี้ลอดช่องบันไดผูกเงื่อนทแยงระหว่างขาเก้าอี้กับบันไดเป็นรูปกากบาท ไรส์เอื้อมมือไปหาประตู แต่จับไม่ถึง

     

    “เมก้า ขอเสื้อ”

     

    “จบจากนี่ขอด่าโทษฐานพาซวยหน่อยนะ”

     

    ไรส์เบ้หน้าเหมือนรู้ความผิดและผลัดไปจับลูกบิดประตูแทน เมก้าลุกขึ้น เลือดอาบไปทั้งตัวแล้ว แต่ไม่มีเวลาใส่ใจ เขาจัดการถอดเสื้อชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกับไรส์ มือฉีกมันอย่างคล่องแคล่ว เสร็จแล้วก็รีบจัดแจงผูกกับเสื้อของไรส์ พอฉีกแบ่งแล้วความยาวก็มาถึงประตูพอดี ทั้งสองคนช่วยกันมัดเสื้อไว้กับลูกบิดเพื่อไม่ให้ประตูถูกดึงเปิดได้

     

    แม้จะทุกลักทุเลในการยื้อแย่งประตูกับใครอีกคนที่พยายามเอาหัวกระแทกเข้ามา แต่เมื่อผูกเสร็จ คู่กรณีก็เงียบเสียงลงไป เมก้าหอบหายใจ เหนื่อยก็เหนื่อย แต่สูดอากาศได้ไม่เต็มปอดเลย กลิ่นศพชวนฝันร้ายนี่นอกจากจะไม่พึงประสงค์แล้ว ยังทำให้แสบจมูกแทบอ้วกอีก

     

    “เอาอยู่ไหม”

     

    “จะตรัสรู้ไหม”

     

    ได้ยินแบบนั้น คนเจ็บที่เหลือหูข้างเดียวจึงโดนตบกะโหลกเข้าให้ เสียงดังเพียะเน้น ๆ ทำให้รู้ว่าตบแรงมาก หน้าสั่น 7.8 ริกเตอร์ วันนี้เป็นรอบสองแล้วที่โดนเพื่อนทำร้ายร่างกาย ต่อจากตองก็เมก้าหรอ ทำไมไม่อ่อนโยน

     

    “แล้วจะปาเก้าอี้ไปทำไม เกือบแย่แล้วเห็นไหม!”

     

    “น่าจะขอบคุณฉันนะ เพราะถ้าไม่ปาแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้”

     

    “หรือไม่ไอ้ตัวนั้นก็อยู่เงียบ ๆ แล้วตื่นตอนได้ยินเสียงกระแทก”

     

    ไรส์เบ้หน้า

     

    “ประตูก็ทำเสียงดัง ดังกว่าฉันอีก ทำไมไม่ด่าประตูบ้าง สองมาตรฐานว่ะ เสียใจ เพื่อนเป็นคนลำเอียง ไม่เที่ยงธรรมเป็นกลางเบย จะฟ้องนาโน แง ๆ ”

     

    เมก้าถอนหายใจเมินไรส์พลางมองประตู ท่าทางจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปสักพักใหญ่ ๆ ประตูบานสุดท้ายที่เปิดได้ก็ลงมือปิดไปแล้ว

     

    แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางโถงบันไดเล็ก ๆ เนื้อตัวของทั้งคู่เลอะเทอะไปด้วยสีแดงคล้ำ กลิ่นเลือดเข้มข้นมากจนแทบคลื่นไส้ ไรส์มองเก้าอี้มากมายแล้วเริ่มยกมันขึ้นมาขวางประตู เสื้อที่มัดลูกบิดไว้ไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น เอาพวกโต๊ะมาทำบังเกอร์อีกทีน่าจะปลอดภัยกว่า กันไว้ดีกว่าแก้ ไรส์ยกโต๊ะมือสั่นขึ้นไปวางแต่เมก้าไม่ได้ว่าอะไร คนที่เจอมาขนาดนี้แล้วยังเฉยไม่กลัวสิแปลก นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบรับอันแสนปกติสำหรับมนุษย์ด้วยซ้ำ

     

    “เชี่ยเอ๊ย หน้าสั่น แขนสั่นไปหมดแล้วอีเวร”

     

    ไรส์สบถออกมา พยายามยกโต๊ะขึ้นไปกองจนเมก้าต้องเข้ามาช่วย เขาไล่ให้เพื่อนไปนั่งพักและต่อโต๊ะให้แทน ไรส์มองเมก้าค่อย ๆ ยกโต๊ะไปต่อได้ประมาณหนึ่ง แล้วก็พึมพำเสียงเบา

     

    โทษที”

     

    “........”

     

    เมก้าไม่ได้ตอบอะไรแค่ส่ายหน้ามาเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่มันก็ตีความไปความหมายอื่นได้ เช่นไม่ได้ตั้งใจช่วย ไม่ต้องมายุ่ง อย่าทำแบบนั้นอีก หรือแม้แต่จะส่ายเพราะเอือมระอา

     

    “แล้วนี่เราจะทำยังไงต่อดี ....กุญแจ....จะอยู่ชั้นล่างไหมนะ”

     

    “มองในแง่ดี ถ้ามันอยู่ชั้นบน ไอ้ตัวนั้นน่าจะไขประตูไปแล้ว”

     

    ก็จริง เธอพยักหน้าตอบ เกิดอะไรขึ้นที่นี่นั้นไม่อยากจะรู้เลย ดูสภาพซากและความเข้มข้นของกลิ่นเน่า คาดว่าจะมีเหยื่อสังเวยไปหลายศพแล้ว ไม่รู้หรอกนะว่าใครจัดการ แต่นอกจากประตูที่ทั้งสองคนเพิ่งมัด ประตูทุกบานก็ล็อคหมด อย่างน้อยก็สบายใจไปสักระยะ

     

    “นะนะนะนะนะนะนี่ มะมะมะมีใครยะอยู่ตะโตรงนั้นหรอหรอหรอ?”

     

    เฮือก

     

    น้ำเสียงชวนหนาวสันหลังดังลอดมาจากประตู เป็นเสียงของผู้หญิง น่าจะประมาณวัยรุ่น เสียงแหบยานตะกุกตะกักนั้นคล้ายกับว่าพยายามเปล่งเสียงจากลำคอที่พังยับ ทั้งไรส์และเมก้าผละออกจากประตูทันที แต่น้ำเสียงอีกฝ่ายดูยินดีมากขึ้น

     

    “มะ..มะ..มานุด...ระหระหรอ?”

     

    ขนลุกชันอย่างชิงชังไปทั้งกายด้วยคำถามเพียงคำถามเดียว

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×