คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : My Best Friend 11 : Encumber
My Best Friend
11
Encumber ; กีดขวาง
“ บอกว่าไม่พร้อมได้ด้วยหรอ? ”
ไรส์ ตอง
ภูมิและเมก้าเดินไปเรื่อยอย่างไร้จุดหมาย เวลาผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ
แยกด้วยความคิดไม่ได้เลย รู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปแล้วหลายวัน
แต่ในความเป็นจริงมันจะเป็นไปได้หรือที่เวลาจะผ่านเลยเป็นวัน ๆ
โดยที่พวกเขาไม่รู้สึกหิวกระหายอะไรเลย
มันเป็นเรื่องประหลาด
ทั้งที่ไม่ได้ดื่มน้ำ ไม่ได้กินอาหาร แต่ก็ไม่รู้สึกหิวสักนิด
ที่น่าแปลกกว่านั้น
ไม่รู้สึกอยากเข้าห้องน้ำเลย
ถ้ามองในแง่ดี
เวลาอาจจะยังผ่านไปไม่นาน
แต่เพราะมองทิวทัศน์ที่หยุดนิ่งทำให้เผลอคิดไปว่าเวลาผ่านไปนานแล้ว ถึงอย่างนั้น
พวกเขาก็ไม่อาจสลัดความคิดที่ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วออกไปได้
ก็เดินมานานจนขาแทบจะหมดแรงอยู่แล้ว
ยังไม่มีทีท่าว่าจะไปถึงห้องประชาสัมพันธ์ได้เลย
ผ้าพันแผลที่พันรอบดวงตาของเด็กสาวผมหางม้าสีทองชุ่มเลือดและดูมอมแมม
นั่นเป็นผ้าพันแผลม้วนสุดท้ายที่มีในกระเป๋า ตองไม่มีผ้าพันแผลให้เปลี่ยนแล้ว ยาระงับปวดก็ใกล้หมด
ถึงจะพ้นกรณีการเสียเลือดตายมาได้ แต่ถ้าปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี
แผลอาจจะติดเชื้อได้
“ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว?”
เพราะเป็นคนเดียวที่มองไม่เห็น
ตองจึงต้องถามเป็นระยะ แต่ปฏิกิริยาตอบรับดูอึมครึม ความเงียบก่อตัวขึ้นมาราว ๆ สามนาที
ไม่มีใครตอบคำถามของตองเลย ตองใช้ขาโต๊ะพัง ๆ แทนไม้เท้านำทาง เคาะ ๆ ไปรอบตัวเบา
ๆ เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเผลอพลัดหลงหรือเปล่า
แต่เพียงไม่กี่อึดใจขาโต๊ะเหล็กนั้นก็แตะโดนบางอย่างที่นุ่มหยุ่น
ตองชะงักสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ ใครกัน? นี่ใช่เพื่อนของเธอหรือเปล่า?
เมื่อดวงตาใช้ไม่ได้ ตองก็ต้องอยู่กับความหวาดระแวงแบบนั้นมาตลอด
ถูกทิ้งหรือเปล่า...
ทุกคนทิ้งไปแล้วหรือเปล่า เพราะว่าตาบอดมองไม่เห็นไปซะแล้ว
“ขอโทษนะตอง
ไรส์กับเมก้ากำลังพยายามเปิดประตูอยู่น่ะ”
“ภูมิ.....”
ในเสียงของเธอมีความโล่งใจ
เมื่อเสียงที่ตอบกลับมาเป็นของคนคุ้นเคย
ถัดไปไม่ไกลมีเสียงดังเหมือนใครกำลังพยายามหมุนลูกบิด คงเป็นเมก้ากับไรส์อย่างที่ภูมิบอก
แต่ว่าเสียงนั้นค่อยทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เกิดเสียงเหมือนมีบางอย่างหักตกพื้นจุดประกายความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ปึ้ง!!
เสียงอันแสนคุ้นเคยทำเอาสะดุ้งโหยงอีกครั้ง
ภูมิเหมือนจะชินไปแล้ว แต่ตองที่มองไม่เห็น ยังไงก็ไม่อาจคุ้นชินกับมันได้
เจ้าตัวที่ก่อเสียงรบกวนเตะซ้ำที่ประตูอีกครั้ง
สภาพของเธอเองก็แทบไม่ไหวแล้วเพราะต้องกินยาระงับปวดร่วมกับตอง ตรงที่เคยเป็นใบหูถูกผ้าก็อซโทรม
ๆ แปะเอาไว้แบบหยาบ ๆ ไรส์หมุนลูกบิดอีกสองสามที มันส่งเสียงเหมือนมีอะไรติด
ตมด้วยเสียงจิ๊ปากของไรส์
“นี่ก็เปิดไม่ได้
ทำไมมันล็อคหมดเลยเนี่ย!”
“ใจเย็นก่อนไหมไรส์
ไปนั่งพักกันก่อนเถอะ เราเดินกันจนทั่วอาคารหลังแล้ว ยังไม่เจออันตรายอะไรเลย นี่
ตองมานั่งมา มีโต๊ะกับเก้าอี้อยู่นะ”
เมก้าว่าพร้อมดึงเก้าอี้มาให้ตอง
ถึงจะเก่าไปบ้าง แต่เก้าอี้นี้ก็ใช้แก้ขัดได้อยู่
ตอนนี้ทั้งสี่คนอยู่บริเวณชั้นสาม มีสิ่งเดียวที่ผิดปกติในอาคารนี้
นั่นคือโต๊ะและเก้าอี้จำนวนมหาศาลถูกยกมาขวางบันไดไว้ทำให้ขึ้นไปชั้นสี่และห้าไม่ได้
บันไดทางขึ้นของตึกนี้มีแค่บันไดเดียว นอกจากเก้าอี้แล้ว
อุปสรรคอีกอย่างที่เข้ามากั้นก็คือซากวัชพืชและเศษสีแดงจำนวนมากที่แหลกเละอยู่หลังเก้าอี้
หากมองในแง่ร้ายสุด ๆ สิ่งนั้นก็คือเศษเนื้อของคนที่ถูกโต๊ะอัดติดกับกำแพง
กลิ่นเนื้อเน่าปนอยู่ในอากาศที่ไม่ไหลเวียน
กลิ่นนั้นตามไปทุกที่จนเริ่มที่จะชินกับพวกมันขึ้นมา
แต่นั่นเป็นความเคยชินที่อยากปฏิเสธการยอมรับอย่างสุด ๆ ไม่อยากจะให้กลิ่นนี้ติดจมูกจนลืมกลิ่นของลมโปร่ง
ๆ เลยจริง ๆ
ไอ้กลิ่นที่มาพร้อมสังหรณ์ร้ายนี่ ไม่อยากจะสูดเข้าไปสักนิด
ตองนั่งลงด้วยความช่วยเหลือของเมก้ากับภูมิ
เก้าอี้อีกสองสามตัวถูกลากมาให้เพิ่มโดยเมก้า
ทั้งสามคนนั่งลงล้อมโต๊ะตัวหนึ่งไว้พร้อมจะประชุม เหลือแต่ไรส์ที่กำลังทำอะไรยักแย่ยักยันอยู่ตรงประตู
เธอบิดของในมือครั้งสุดท้าย
เสียงเหมือนมีบางอย่างหักตกพื้นเกิดขึ้นอีกครั้งพร้อมการถอนหายใจ ไรส์ท่าทางดูหงุดหงิดยอมเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้พร้อมทั้งสามโดยดี
“เมื่อกี้ทำอะไรอยู่หรอไรส์?”
“อ้อ
พยายามจะสะเดาะกลอน แต่ล้มเหลวจนกิ๊บหักไปห้าอันแล้ว กิ๊บที่พกมาเจ๊งหมดเลยเลิกละ”
“ปกติเธอพกกิ๊บด้วยหรอ?”
“พกแล้วแปลกรึไง?”
ตองหลุดขำพรืดกับเสียงที่ดูหาเรื่อง
จินตนาการภาพของไรส์ที่กำลังขมวดคิ้วหน้าตึงใส่ได้โดยไม่มองด้วยซ้ำ
เสียงต่อมาของตองดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “ก็ไม่ได้ว่าอะไร
ผู้หญิงจะพกกิ๊บมันก็ไม่แปลกหรอก ยังไงถ้าผมมันเกะกะตาก็ต้องใช้กิ๊บหนีบนี่เนอะ”
ด้วยว่าตองมองไม่เห็น
ไรส์เลยหลิ่วตามองบนใส่เพื่อนสนิทเหมือนจะบอกว่า เออ เอาเถอะ
แต่คำพูดต่อมาของตองทำให้เธอเปลี่ยนท่าที
เด็กสาวผมสีน้ำเงินมีท่าทางแข็งกระด้างอีกครั้ง
“แต่ไม่คิดว่าไรส์จะเป็นคนที่พกอะไรผู้หญิง
ๆ แบบนี้ไว้ด้วยน่ะ”
“หา?
สรุปแล้วไม่พอใจรึไง ฉันจะพกกิ๊บ พกน้ำหอมหรือกำไลข้อมือมามันก็เรื่องของฉันไหมล่ะ
มีใครห้ามรึไงว่าฉันห้ามมีของพวกนี้ติดตัว”
“ใจเย็น
กลัวโดนชมว่าเป็นสาวน้อยแล้วเขินรึไง?”
“เปล่าว้อย! แค่หงุดหงิดที่เธอพูดเหมือนฉันพกกิ๊บติดตัวไม่ได้!!”
ไรส์ตบโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้นด้วยอารมณ์ร่วม
สีหน้าดูโมโหขวางโลกตามสไตล์ ท่าทางเหมือนปกติ แต่ตองรู้ว่าไรส์เป็นพวกรับมือกับคำชมไม่ถูกเลยแซวใหญ่
เมก้ากับภูมิทำได้เพียงมองหน้ากัน ไม่กล้าเข้าไปแทรกวงสนทนาของผู้หญิง
ตองหัวเราะแล้วบอกให้เพื่อนนั่งลงคุยกันดี ๆ จะเลิกแกล้งแล้ว
ไรส์มุ่ยหน้าแต่ก็ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย
“ย..ยังไงก็เถอะ
ถึงจะพักก็ไม่อยากนิ่งนอนใจ มาหารือกันดีกว่า”
“หารืออะไรล่ะ”
เมก้าถามขึ้น ท่าทางอยากรู้ขึ้นมาทันที
“ก่อนอื่นเลยก็คงต้องวิธีออกจากอาคารหลังล่ะนะ....”
ย้อนกลับไปตอนเล่นเกมกับพวกปลาทอง
หลังจากที่พวกปลาหายไปหมด ทั้งสามคนก็พากันประคองตองเดินออกจากสระว่ายน้ำไป
เมื่อเปิดประตูด้วยความรู้สึกที่หลากหลายสุดจะบรรยาย
พวกเขาก็มาโผล่ที่ทางเดินของอาคารหลัง ระเบียงไม้เก่ากับวอลเปเปอร์สีขาวสกปรก
กลิ่นเนื้อเน่าผสมกลิ่นอับลอยวนในอากาศ
เป็นสถานที่ที่มีกลิ่นชวนไม่ให้เข้าไปอย่างมาก แต่ก็ไม่มีทางเลือก
เพราะประตูของสระน้ำมีแค่บานนี้ที่เปิดได้ จึงต้องเดินกันไปสู่ชั้นล่างของอาคารหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้
แสงจันทร์สีหมองลอดหน้าต่างเป็นรูปเรขาคณิตสี่เหลี่ยมตามพื้น
ทั้งสามนั่งหลบมาจากแสงจันทร์นั้นด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจจะรู้สึกสะดุดตาเกินไปใต้แสงนั้นเลยไปหลบอยู่ตรงกองเก้าอี้ล่ะมั้ง
ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าเข้ามา
ทั้งสี่คนยังไม่ได้ออกไปไหนเลย
ไม่สิ
ที่ถูกคือออกไปไหนไม่ได้มากกว่า
ประตูทุกบานตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นสามถูกล็อคทั้งหมด
ไม่เว้นแม้แต่ประตูห้องเก็บของ
ในตอนแรกทุกคนก็พยายามสะเดาะประตูอย่างละมุนละม่อมอยู่หรอก แต่พอเริ่มหัวเสีย
ไรส์ก็เป็นคนแรกที่เอาตัวเข้าชน พยายามจะพังประตูให้ได้ ทุกคนเคยห้ามเธอในตอนแรก
แต่ผ่านไปพักใหญ่ พอเห็นว่ามันอับจนหนทางจริง ๆ
ก็ฝากความหวังไว้ที่การพังประตูเช่นกัน ไม่มีใครห้ามอีกต่อไป
มีแต่จะช่วยเตะประตูซ้ำ
“ไอ้ประตูพวกนี้ทำมาจากแร่ไวแบรเนียมหรอ
พังเท่าไหร่ก็ไม่เปิด ถ้ามันจะพังยากขนาดนี้ไม่ต้องประกาศออกไมค์ว่ากลัวประตูพังก็ได้นะ
แรดขวิดยังไม่พังอ่ะ ดูจากลักษณะ”
“ตอนนี้ก็จนปัญญาแล้ว
คงต้องขึ้นไปชั้นบน...”
เสียงลมหายใจชะงักน่าจะเป็นความเห็นที่มีต่อคำแนะนำนั้น
สภาพที่โต๊ะเก้าอี้กั้นเศษเนื้อด้านบนไว้ แปลว่าต้องมีเกมอะไรอยู่ข้างบนแน่
จากประสบการณ์การผ่านเกมโพงพางแล้ว การเข้าเล่นเกมอีกครั้งเป็นเรื่องอันตราย ตอนนี้มีคนเจ็บมากพอแล้ว
ทั้งไรส์และตองไม่อยู่ในสภาพที่จะเริ่มเกมใหม่ได้ เมก้าตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี
ไม่คิดจะพาไปเสี่ยงด้วย แต่ในเมื่อประตูมันล็อคหมด ทางเลือกก็มีไม่มากนัก
“ฝากภูมิดูแลคนเจ็บได้ไหม
เราจะไปดูข้างบน”
“เฮ้ย
ทำไรไม่ปรึกษาเพื่อนเลยนังเมก้า อันตรายนะ ขี้เกียจขึ้นไปเก็บศพให้”
เมก้ายิ้มเจื่อน
ๆ ตอบไรส์ที่เหน็บแนมขึ้นมา “แต่ถ้าไม่รีบไปห้องประชาสัมพันธ์
สภาพทั้งสองคนจะแย่กว่านี้อีกนะ อุปกรณ์ปฐมพยาบาลไม่เหลือแล้ว ยาก็ใกล้จะหมดด้วย
ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราขึ้นไปดู ถ้าปลอดภัยจะลงมาพาขึ้นไปนะ”
“แล้วถ้าไม่ปลอดภัยล่ะ?”
“........”
“ฉันไปด้วย
หูขาดไม่ทำให้เป็นง่อย ไปสองคนดีกว่า ถ้าไปคนเดียวแล้วตาย ใครจะไปตรัสรู้ได้”
ไรส์จับพนักพิงเก้าอี้ ยืนขึ้นพร้อมกระชับไม้ในมือ แววตาจริงจัง
“ตองอุตส่าห์ช่วยขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ตอบแทนบ้างก็เลวระยำสุด ๆ เพราะงั้นจะไปด้วย
ให้ภูมิเฝ้าก็พอ”
“แต่ถ้าไปกันหมดแล้วภูมิจะระวังให้ตองไหวหรอ...”
เมก้าแย้งเพราะเพื่อนภูมินั้นเป็นคนรักสันติ
แทบไม่เคยมีเรื่องกับใคร ภาพลักษณ์ที่จำติดตาก็เป็นคนเงียบ ๆ
ไม่ค่อยสู้คน....ถึงจะมีความเป็นงูพิษเล็กน้อยก็ตาม
“ไหวดิ
รด.ก็เรียนมา อ่ะ เอาขาเก้าอี้ไป ใครที่ไม่ใช่พวกฉันมาหาก็ฟาดแม่ง”
“หัวรุนแรงจังวะ”
“เออ
ขอบใจคนหัวรุนแรงที่จะไปช่วยนายสำรวจด้วยแล้วกัน”
ขากเก้าอี้เหล็กถูกเลาะออกมาจากโต๊ะ
ลักษณะที่หยิบเอาแค่เพียงโครงขึ้นมาเป็นการกระทำที่ชวนให้นึกถึงการเลาะกระดูก
ภูมิรับเก้าอี้มาพร้อมลบจินตนาการน่าสยดสยองในหัวออกไป อย่างที่ไรส์บอกนั่นแหละ
เขาเรียนรด. สภาพร่างกายก็ไม่ได้มีปัญหา
อย่างน้อยก็ต้องพอทำอะไรได้ด้วยตัวเองได้แน่นอน
“เราจะทำเต็มที่”
“แรงใจน่าชื่นชม”
“เพื่อจะได้กลับไปหาแฟนโดยสวัสดิภาพ”
“เหม็นความรักโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย!!”
ไรส์อุดหูข้างที่ยังใช้ได้
เบะปากมองบนใส่ภูมิ ใช่สิ ไอ้พวกคนมีความรัก มีแฟนแล้วมันก็ทิ้งเพื่อน ไอ้พวกเวร
ต่อไปแกก็จะหมางเมินแล้วหายหน้าหายตาไปจากกลุ่มเพื่อน
แล้วกลับมาอีกทีตอนอกหักเหมือนเพื่อนเป็นของตาย อีเพื่อนเลว!! ไรส์ตัดพ้อในใจพร้อมทรุดลงร้องไห้เล่นใหญ่รัชดาลัยเทียเตอร์
“เออ
เอาเถอะ จะอยากกลับไปหาแฟน จะกลับไปหาพ่อแม่หรือไอ้แดงที่คาบกระดูกที่บ้านก็ไม่ว่า
ถ้ามันจะช่วยให้เอาตัวรอดกันได้ก็เอาเถอะ ฝากด้วยละกัน”
“แน่นอน
ระวังด้วยนะทั้งสองคน”
เมก้าชูสองนิ้วขึ้นมาแตะหางคิ้วแล้วเลื่อนออกเป็นสัญลักษณ์เหมือนการวันทยาวุธของลูกเสือสำรองรุ่นเล็ก
ภูมิลากเก้าอี้อีกสองสามตัวมาทำบังเกอร์ไว้กันเหนียว พอเห็นแบบนั้นไรส์กับเมก้าจึงเริ่มขยับโต๊ะที่กีดขวางทางเดิน
ไม่ได้โยนลงไปมั่ว ๆ
ทั้งสองคนใช้โต๊ะที่ถูกรื้อมาวางเป็นกำแพงขนาดใหญ่
กันไว้เผื่อกรณีมีตัวอะไรตามลงมา ตองกับภูมิจะได้ไม่ถูกลูกหลง
กลิ่นเนื้อเน่าทวีความรุนแรงขึ้น
ต้นตอของกลิ่นมาจากชั้นบนไม่ผิดแน่
“พร้อมนะ”
“บอกว่าไม่พร้อมได้ด้วยหรอ?”
เมก้ายิ้มแห้งใส่คำพูดนั้นแล้วเริ่มเดินขึ้นบันได
ในมือมีเหล็กปลายแหลมที่เคยเป็นสวิงอยู่
ส่วนไรส์ก็เอาตาโต๊ะเหล็กขึ้นสนิมมาใช้แทนไม้ป้องกันตัว บันไดไม้เก่าส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด
“ดังไปถึงดาวอังคาร
นี่ไม้หรือเครื่องดนตรีชนิดเคาะ”
“นี่จะแดกดันทุกอย่างเลยใช่ไหม?”
“ใช่
หงุดหงิด”
เหงื่อชื้นเต็มฝ่ามือ
ไรส์ไม่ได้บอกเสริมออกไปว่า
ความหงุดหงิดนั้นคือเครื่องมือบังหน้าความกลัวชนิดหนึ่ง
ตราบใดที่ยังโกรธอยู่ก็จะไม่รู้สึกกลัว
ขอบคุณความหัวร้อนของตัวเองที่ทำให้มีช่วงเวลาดี ๆ แบบนี้ เอามงไปเลยจ้า
“คิดดีแล้วแน่นะที่จะมากับเราอ่ะ?”
กลิ่นคาวและเนื้อเน่าลอยคลุ้งมาจากชั้นสี่
จากความเข้มข้นแล้ว ท่าทางจุดกำเนิดคงจะใหญ่มาก นั่นหมายถึงภูเขาซากศพ
หรืออะไรที่เลวร้ายกว่านั้น เพราะงั้นก็เลยถามย้ำไปอีกว่าตอนนี้ยังเปลี่ยนใจทัน
แต่คนผมสีน้ำเงินส่ายหน้า เธอกระชับอาวุธติดตัวแน่น
“อืม
สังหรณ์ใจไม่ดีก็เลยตามมาเนี่ย”
“รู้ว่าไม่ดีแล้วยังจะตามมาอีกนะ..”
“ก็เหมือนไอ้พวกที่ชอบแอบมาสูบบุหรี่ในห้องน้ำนั่นแหละ
รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ยังจะสูบ มะเร็งอัดมวนไม่เห็นจะมีข้อดีอะไร
ถ้าชอบควันก็ไปซื้อเตาผิงมาสิวะ”
“เป็นการยกตัวอย่างที่เข้าไม่ถึงเลย”
ขอบใจ
ไรส์ยักไหล่แบบว่าเรื่องนั้นจะเป็นยังไงก็ช่าง เมก้าเป็นคนเปิดทาง
แล้วไรส์ก็ช่วยยกโต๊ะและเก้าอี้ไปไว้ข้าง ๆ ไม่ให้เกะกะ บันไดไม่ได้มีความยาวมาก
ตอนนี้ผ่านมาถึงพื้นตรงที่เป็นชั้นสามครึ่งแล้ว อีกแค่บันไดเดียวก็จะไปถึงชั้นสี่
กึ่ก
ประตูบันไดหนีไฟปิด
ถ้าประตูบานนี้ล็อคอยู่ก็จบกัน
ในขณะเดียวกันหากเปิดได้ก็ไม่รู้จะไปโผล่ที่ไหน ทำให้เกิดความลังเลในการเปิดประตูบานนั้น
เมก้าที่นำทางอยู่กลืนน้ำลาย เขาหันไปพยักหน้าให้ไรส์
เธอก็ตอบรับด้วยการกะพริบตาแล้วผงกหัวเล็กน้อย มือข้างหนึ่งแตะลูกบิด
ความเย็นทำให้หนาวสันหลัง แต่เมก้าก็บิดมันแล้วเปิดออก
แอ๊ด...ด....
ประตูส่งเสียงลั่นจนน่าตกใจ
ความจริงที่สามารถเปิดประตูได้ทำให้ใจชื้นขึ้นมาบ้าง แต่ไม่นาน
เสียงประตูลั่นสนั่นก็ทำลายความดีใจนั้นไปจนสิ้น ชั้นนี้เงียบมาก
ไม่มีเสียงอะไรเลยทำให้เสียงประตูเป็นเสียงผู้บุกรุกที่ชัดเจน
ถ้าในชั้นนี้ไม่มีอะไรอยู่ก็ดีไป แต่ถ้ามี...มันคงรู้ตัวแล้วว่ามีคนเข้ามาเยือนในถิ่นมัน
เบื้องหลังประตูเป็นภาพที่คุ้นตา
ประตูนี้เชื่อมต่อไปถึงชั้นสี่อย่างปกติดี ไม่มีการพาไปที่แปลก ๆ ที่ไหนทั้งนั้น
อย่างน้อยเรื่องนั้นก็ทำให้เมก้ากับไรส์เบาใจขึ้นมาบ้าง
แต่กลิ่นที่ลอยคลุ้งเข้ามากับความหนาวเย็นคือกลิ่นเน่าอย่างรุนแรง
ทั้งสองแทบจะอาเจียนออกมาเพราะกลิ่นทวีความเข้มข้นคล้ายจะบาดลึกในโพรงจมูก มือชาเพราะอากาศเย็น
จมูกก็แสบไปหมดเพราะกลิ่นไม่พึงประสงค์ เท่ากับว่าตอนนี้
ประสาทสัมผัสด้านการรับรู้และได้กลิ่นชาด้านไปแล้วสองอย่าง จากนี้ไปคงต้องพึ่งตากับหู....ใช่
ถึงมีข้างเดียวก็ต้องพึ่งพาให้คล่อง หากใช้การรับรสช่วยได้ก็คงต้องทำ
“ไม่มีคน?”
“ไม่มีอะไรเลย...”
เมก้าตอบไรส์พลางชะโงกหน้าออกไปดูอีกรอบ
นอกจากกลิ่นและความหนาวเย็นก็ไม่มีอะไร ความมืดขุ่นมัวแช่แข็งฝุ่นไว้ในอากาศ
ความรับรู้ด้านเวลาตายด้านอย่างสมบูรณ์ เมก้าแตะผนังเย็นเยียบเหมือนสำรวจแทงก์น้ำ สภาพที่หยุดนิ่งสร้างบรรยากาศของบ่อเลี้ยงปลาขึ้นมา
รู้สึกราวกับเป็นสัตว์ในฟาร์มที่เลี้ยงระบบปิด ไรส์ย่องลงบันไดไปหยิบขาเก้าอี้เยิน
ๆ มาข้างหนึ่งเงียบ ๆ
“จะทำอะ....”
แคร้งงงงงงงงงงงงง!!!!!
ยังไม่ทันถามจบ
ขาเก้าอี้ก็บินโฉบผ่านหน้าผู้มีความสงสัยอย่างเมก้า มันลอยผ่านเขาแบบฉิวเฉียดไปปะทะกับประตูกระจกที่บังเอิญอยู่หลังประตูบันไดหนีไฟพอดี
ทว่าขาเก้าอี้เด้งสะท้อนกลับมาโดยที่กระจกไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
เมก้ารีบจับลูกบิดประตูดึงเข้ามาทันที เสี่ยงเกินไปแล้ว!
“ทำอะไรเนี่ย!?”
“ชู่ว”
ไรส์ชูนิ้วชี้
เธอขึ้นไปนำหน้าแทนเมก้า หูข้างที่ยังอยู่รอดปลอดภัยแนบกับประตู
มีเสียงคล้ายกับสุนัข เป็นเสียงคำรามของสัตว์ป่า ครางต่ำ ๆ ระวังภัยพร้อมจะขย้ำผู้บุกรุก
จินตนาการได้ถึงสัตว์สีดำตัวใหญ่ที่มีฟันแหลมคมและน้ำลายไหลเป็นทาง
ไรส์จับลูกบิดไว้แน่น ไม่รู้ว่ามันเปิดประตูได้ไหม แต่จับลูกบิดไว้กันเหนียวก่อนดีกว่า
ปึ้ง
ไม่นานก็เกิดเสียงดังปึ้งเบา
ๆ และตามมาด้วยอีกปึ้ง ปึ้งติดกันแบบห่าง ๆ เมก้ากลั้นใจกับเสียงนั้น
ถึงจะไม่รู้จักต้นเสียงของเสียงในโลกทั้งหมด แต่ก็พอเข้าใจว่าเสียงนั้นคืออะไร
ทุกครั้งที่เสียงดังถี่ขึ้นก็มีเสียงเปียก ๆ ดังซ้อนขึ้นมา ความรุนแรงมีมากขึ้นพร้อมกับที่ช่องว่างใต้ประตูมีของเหลวสีคล้ำล้นออกมา
มันมีกลิ่นชวนให้นึกถึงประจำเดือน เลือดข้น ๆ ไหลลงไปตามขั้นบันไดราวน้ำตก
พื้นตรงที่ไรส์นั่งอยู่เจิ่งนองไปด้วยสิ่งนั้น ไรส์เบ้หน้าขยะแขยง
เธอดึงประตูเอาไว้สุดชีวิต เพื่อกันไม่ให้ใครบางคนนั่นเปิดประตูได้
มีคนกำลังเอาหัวกระแทกประตู...
หัวที่มีแผลสดใหม่แต้มจนเต็มศีรษะ
เลือดปริมาณมากเกินกว่าจะเป็นของมนุษย์ไหลท่วม จนกระโปรงเปียกไปหมด ไรส์กัดฟัน
แย่แน่ แรงเยอะมาก ดึงเอาไว้ไม่ไหวแน่
“เมก้า
เปลี่ยนกันที”
“ได้”
เพื่อนชายตอบรับอย่างขันแข็งแม้จะคิดว่าถ้าไรส์ไม่ปาขาเก้าอี้แต่แรกคงไม่ลงเอยแบบนี้
เมก้าพุ่งไปจับลูกบิดไว้ ไรส์ผละออกมาจากกองเลือดตรงบันได
กลิ่นเลือดกับเนื้อเน่าปนกันไปหมด
นี่เป็นสถานที่ที่กลิ่นเลือดเข้มข้นกว่าแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลเสียอีก
ไรส์เดินพรวด ๆ ลงไป ประตูชั้นสี่เปืดออกจากด้านใน เอาอะไรไปคานไว้ก็ไม่มีความหมาย
ต้องล็อคเท่านั้น
กุญแจ...กุญแจอยู่ที่ไหน
ไรส์คิดอย่างร้อนรน
เริ่มจะเข้าใจสาเหตุว่าทำไมประตูที่นี่จึงถูกล็อค มันไม่ได้ล็อคจากอีกฝั่ง
แต่มันล็อคจากข้างในนี้เอง ถึงขนาดต้องปิดตายชั้นทั้งหมด แปลว่าไอ้ตัวที่อยู่หลังประตูนี่ไม่ใช่ย่อย
ตายแน่ ตายแน่!
ไรส์ขบริมฝีปากล่างเมื่อต้องใช้ความคิดอย่างหนัก
ของที่มีตอนนี้มีแค่ขาเก้าอี้ จะคานประตูยังไงดีถ้ามีเชือกสักหน่อยล่ะก็...
เชือก....จริงสิ!
ไรส์ก้มมองชุดนักเรียนของเธอ
ซึ่งเป็นชุดโรงเรียนรัฐบาลโง่ ๆ
ไม่รู้หรอกนะว่าเนื้อผ้าโรงเรียนเอกชนจะเลิศเลอขนาดไหน
แต่เสื้อชุดนักเรียนนี่ฉีกด้วยมือเปล่าได้แน่นอน อยากน้อยก็ชุดไรส์ล่ะ
เพราะเคยโดนต้นไม้เกี่ยวจนขาดมาแล้ว
ไม่รอช้า
ไรส์รีบถอดเสื้อนักเรียนออกมาทันที เมก้าหันมามองด้วยสีหน้างงสุดขีด
แต่พอเห็นไรส์ฉีกมันแล้วมัดพันกัน เขาก็เข้าใจทันทีว่าเธอจะทำอะไร ไรส์ผูกเสื้อกับขาเก้าอี้เหล็ก
นำขาเก้าอี้ลอดช่องบันไดผูกเงื่อนทแยงระหว่างขาเก้าอี้กับบันไดเป็นรูปกากบาท
ไรส์เอื้อมมือไปหาประตู แต่จับไม่ถึง
“เมก้า
ขอเสื้อ”
“จบจากนี่ขอด่าโทษฐานพาซวยหน่อยนะ”
ไรส์เบ้หน้าเหมือนรู้ความผิดและผลัดไปจับลูกบิดประตูแทน
เมก้าลุกขึ้น เลือดอาบไปทั้งตัวแล้ว แต่ไม่มีเวลาใส่ใจ
เขาจัดการถอดเสื้อชุดนักเรียนโรงเรียนเดียวกับไรส์ มือฉีกมันอย่างคล่องแคล่ว
เสร็จแล้วก็รีบจัดแจงผูกกับเสื้อของไรส์ พอฉีกแบ่งแล้วความยาวก็มาถึงประตูพอดี
ทั้งสองคนช่วยกันมัดเสื้อไว้กับลูกบิดเพื่อไม่ให้ประตูถูกดึงเปิดได้
แม้จะทุกลักทุเลในการยื้อแย่งประตูกับใครอีกคนที่พยายามเอาหัวกระแทกเข้ามา
แต่เมื่อผูกเสร็จ คู่กรณีก็เงียบเสียงลงไป เมก้าหอบหายใจ เหนื่อยก็เหนื่อย
แต่สูดอากาศได้ไม่เต็มปอดเลย กลิ่นศพชวนฝันร้ายนี่นอกจากจะไม่พึงประสงค์แล้ว
ยังทำให้แสบจมูกแทบอ้วกอีก
“เอาอยู่ไหม”
“จะตรัสรู้ไหม”
ได้ยินแบบนั้น
คนเจ็บที่เหลือหูข้างเดียวจึงโดนตบกะโหลกเข้าให้ เสียงดังเพียะเน้น ๆ
ทำให้รู้ว่าตบแรงมาก หน้าสั่น 7.8 ริกเตอร์
วันนี้เป็นรอบสองแล้วที่โดนเพื่อนทำร้ายร่างกาย ต่อจากตองก็เมก้าหรอ
ทำไมไม่อ่อนโยน
“แล้วจะปาเก้าอี้ไปทำไม
เกือบแย่แล้วเห็นไหม!”
“น่าจะขอบคุณฉันนะ
เพราะถ้าไม่ปาแล้วเดินดุ่ม ๆ เข้าไปจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้”
“หรือไม่ไอ้ตัวนั้นก็อยู่เงียบ
ๆ แล้วตื่นตอนได้ยินเสียงกระแทก”
ไรส์เบ้หน้า
“ประตูก็ทำเสียงดัง
ดังกว่าฉันอีก ทำไมไม่ด่าประตูบ้าง สองมาตรฐานว่ะ เสียใจ เพื่อนเป็นคนลำเอียง
ไม่เที่ยงธรรมเป็นกลางเบย จะฟ้องนาโน แง ๆ ”
เมก้าถอนหายใจเมินไรส์พลางมองประตู
ท่าทางจะต้องติดอยู่ที่นี่ไปสักพักใหญ่ ๆ
ประตูบานสุดท้ายที่เปิดได้ก็ลงมือปิดไปแล้ว
แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางโถงบันไดเล็ก
ๆ เนื้อตัวของทั้งคู่เลอะเทอะไปด้วยสีแดงคล้ำ กลิ่นเลือดเข้มข้นมากจนแทบคลื่นไส้
ไรส์มองเก้าอี้มากมายแล้วเริ่มยกมันขึ้นมาขวางประตู เสื้อที่มัดลูกบิดไว้ไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น
เอาพวกโต๊ะมาทำบังเกอร์อีกทีน่าจะปลอดภัยกว่า กันไว้ดีกว่าแก้
ไรส์ยกโต๊ะมือสั่นขึ้นไปวางแต่เมก้าไม่ได้ว่าอะไร
คนที่เจอมาขนาดนี้แล้วยังเฉยไม่กลัวสิแปลก
นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบรับอันแสนปกติสำหรับมนุษย์ด้วยซ้ำ
“เชี่ยเอ๊ย หน้าสั่น
แขนสั่นไปหมดแล้วอีเวร”
ไรส์สบถออกมา
พยายามยกโต๊ะขึ้นไปกองจนเมก้าต้องเข้ามาช่วย เขาไล่ให้เพื่อนไปนั่งพักและต่อโต๊ะให้แทน
ไรส์มองเมก้าค่อย ๆ ยกโต๊ะไปต่อได้ประมาณหนึ่ง แล้วก็พึมพำเสียงเบา
“ ‘โทษที”
“........”
เมก้าไม่ได้ตอบอะไรแค่ส่ายหน้ามาเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร
แต่มันก็ตีความไปความหมายอื่นได้ เช่นไม่ได้ตั้งใจช่วย ไม่ต้องมายุ่ง
อย่าทำแบบนั้นอีก หรือแม้แต่จะส่ายเพราะเอือมระอา
“แล้วนี่เราจะทำยังไงต่อดี
....กุญแจ....จะอยู่ชั้นล่างไหมนะ”
“มองในแง่ดี
ถ้ามันอยู่ชั้นบน ไอ้ตัวนั้นน่าจะไขประตูไปแล้ว”
ก็จริง เธอพยักหน้าตอบ เกิดอะไรขึ้นที่นี่นั้นไม่อยากจะรู้เลย
ดูสภาพซากและความเข้มข้นของกลิ่นเน่า คาดว่าจะมีเหยื่อสังเวยไปหลายศพแล้ว
ไม่รู้หรอกนะว่าใครจัดการ แต่นอกจากประตูที่ทั้งสองคนเพิ่งมัด
ประตูทุกบานก็ล็อคหมด อย่างน้อยก็สบายใจไปสักระยะ
“นะนะนะนะนะนะนี่
มะมะมะมีใครยะอยู่ตะโตรงนั้นหรอหรอหรอ?”
เฮือก
น้ำเสียงชวนหนาวสันหลังดังลอดมาจากประตู
เป็นเสียงของผู้หญิง น่าจะประมาณวัยรุ่น เสียงแหบยานตะกุกตะกักนั้นคล้ายกับว่าพยายามเปล่งเสียงจากลำคอที่พังยับ
ทั้งไรส์และเมก้าผละออกจากประตูทันที แต่น้ำเสียงอีกฝ่ายดูยินดีมากขึ้น
“มะ..มะ..มานุด...ระหระหรอ?”
ขนลุกชันอย่างชิงชังไปทั้งกายด้วยคำถามเพียงคำถามเดียว
ความคิดเห็น