ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    RE;My Best Friend

    ลำดับตอนที่ #2 : My Best Friend 2 : Beginner

    • อัปเดตล่าสุด 12 มิ.ย. 60


    My Best Friend

    2

    Beginner ; ผู้เริ่มต้น

    “ รอให้ใครสักคนมาเจอเราเองแบบนี้...มันจะดีจริงๆหรอ?

     

     

     

    “....โลกที่ถูกลืม”

     

    เสียงพูดทวนเบาๆเป็นของเด็กสาว หลังจากฟื้นคืนสติได้ไม่นาน สมองยังไม่ทันตื่นตัวดีก็ถูกใช้งานเสียแล้ว ผมหยักศกสีเดียวกับตาดูโดดเด่น แม้หน้าตาจะไม่ถึงกับสวย แต่ผิวพรรณสุขภาพดีที่ล้อมกรอบด้วยสีหยกนั้น ขับให้ดูเป็นคนน่ารักและอัธยาศัยดี พูดได้เต็มปากว่าเป็นคนหน้าตาดีในระดับหนึ่งเลย ตาสีหยกฉาบประกายความกังวลสอดส่ายไปหาบุคคลข้างๆ

     

    เขามีจมูกรั้นขึ้นมาทำให้ดูเป็นคนหัวแข็ง ผมสีราตรีมีจุดหนึ่งที่กระดกขึ้นมา ดวงตาสีดำไร้แววความเป็นมิตร...เด็กชายที่ตัวสูงพอๆกับเธอนั้น คือเพื่อนของเพื่อนที่เธอจำชื่อไม่ได้ แต่เรื่องที่เคยเห็นเมื่อตอนอยู่ม.ต้นที่โรงเรียนรดาวรรณเป็นเรื่องที่มั่นใจว่ามีแน่ๆ อยู่ในกลุ่มของเด็กสาวผมสีน้ำเงินในความทรงจำ เธอนึกออกแค่นั้นและคิดว่าจะต้องรู้แค่นั้นก็พอ เพราะรู้สึกคุ้นๆว่าเขาจะเคยอยู่ในกลุ่มที่มีการแกล้งกันในโรงเรียน แม้ดูเหมือนว่าเขาจะย้ายโรงเรียนไปแล้วโดยสังเกตจากเครื่องแบบ แต่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากยุ่งด้วยสักเท่าไหร่

     

    “ ทุกคนคงสงสัยใช่ไหมว่ามาที่นี่ได้ยังไง~ไม่ต้องกังวลน้า เราจะอธิบายให้ฟังเอง

     

    นี่มันเรื่องอะไรกัน?

     

    เธอกัดริมฝีปากแต่ไม่ได้พูดอะไรออกไป เด็กสาวเหลือบตามองรอบตัว ภาพที่ภายในห้องวิทยาศาสตร์โต๊ะล้มระเนระนาด โหลดองสิ่งมีชีวิตแตกกระจายเต็มพื้น กลิ่นฟอร์มาลีนคลุ้งเต็มห้องจนแสบจมูก ระเบียงไม้เต็มไปด้วยร่องรอยความผุพัง ไม้ปูพื้นกลายเป็นซากหักๆหมิ่นเหม่จนน่าหวาดเสียว หลุมที่เกิดจากบริเวณที่ไม้แยกจากกันมองไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างล่าง ราวกับกำลังมองลงไปในหลุมดำ...ที่ๆแม้แต่แสงก็ไม่อาจจะหลุดรอดออกมา สภาพเลวร้ายจนจำแทบไม่ได้ว่าสิ่งที่เห็นตอนก่อนตกลงมาเป็นยังไง สิ่งเหล่านั้นทำให้เธอเริ่มเชื่อขึ้นมาจริงๆว่าอยู่ในโลกอีกใบ

     

    “.....”

     

    เสียงประกาศเงียบไปราวๆ3-5วินาที สร้างช่องว่างที่น่าอึดอัด คนผมสีหยกต้องการให้คนข้างๆเปิดประเด็นคุยอะไรสักเรื่องขับไล่ความกังวลในตอนนี้ แต่เด็กหนุ่มกลับใช้ความเงียบเป็นอาวุธป้องกันไม่ให้เธอเข้ามารุกล้ำในโลกส่วนตัว เธอจึงยอมแพ้และสนทนากับตัวเองในความคิดแทน

     

    “ เอ ก่อนอื่นเลยก็นะ นาโน อย่าพังประตูนั่นจะได้ไหม ไม่งั้นจะหาว่าเราไม่เตือนน้อ ถ้าประตูเจ๊งไปล่ะก็ต้องจ่ายค่าเสียหายเทียบเท่าชีวิตเลยน้า?

     

    “นาโนหรอ! / ยัยนาโน?”

     

    สองเสียงแต่คนละใจความดังซ้อนกัน ทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาวมองหน้ากัน เสียงประกาศนั่นพูดชื่อของเพื่อนคนเดียวกันที่ทั้งสองรู้จัก กระจายเสียงไปถึงเธอทั่วโรงเรียนโดยไม่สนใจว่าจะมีคนอื่นฟังอยู่ไหม แต่สิ่งนั้นก็ทำให้โล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง เพราะชื่อนั้นเป็นชื่อของคนที่พึ่งพาได้...เป็นชื่อที่ทำให้โล่งใจได้นั่นเอง

     

    และในที่สุดชื่อของคนข้างๆที่เด็กสาวนึกไม่ออกก็หลุดออกจากปากอย่างน่าขอบคุณ

     

    “เจ๊ชื่อนนท์...ใช่ไหม ถ้าเราจำไม่ผิดนะ”

     

    “.....ใช่?”

     

    เด็กหนุ่มเลิกคิ้วกับคำว่าเจ๊.... ยัยนี่มีอะไรผิดปกติรึเปล่า เขาเป็นชายแท้ทั้งแท่งแต่ก็ดันมาเรียกว่าเจ๊ มันทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา แน่นอน เขาที่อยู่ต่างโรงเรียนโดยแทบไม่ได้คุยหรือรู้จักมักจี่กับเธอเป็นพิเศษ ย่อมไม่มีทางรู้ว่าสำหรับเด็กสาวตรงหน้านั้น ไม่ว่าใครเธอก็ใช้สรรพนามว่า เจ๊ อย่างไม่ลังเลหรือเกี่ยงเพศ จึงกลายเป็นว่านนท์กำลังหงุดหงิดเงียบๆโดยที่เด็กสาวไม่รู้เลย

     

    “เอ่อ เราชื่อธัญญ์นะ เคยเรียนอยู่ที่รดาวรรณตอนม.ต้น แต่ตอนนี้ย้ายมาที่มารีอาน่าคอนแวนต์แล้ว เพิ่งเคยได้คุยกันครั้งแรกสินะ ยินดีที่ได้รู้จัก”

     

    “..อืม....”

     

    นนท์รับคำทั้งหน้าบูดๆ ทำให้ธัญญ์สงสัยว่าเขากำลังโกรธเธอหรือเป็นหน้าตามปกติกันแน่ เมื่อนนท์ไม่สังเกตเห็นความสงสัยของเธอและตอบคำถาม เธอจึงสรุปคำตอบเอาเองว่าเป็นอย่างหลัง

     

    “ โอเค ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือ~ เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันต่อ อย่างที่บอกว่านี่คือ โลกที่ถูกลืมดังนั้นไม่มีใครจะมาสนใจพวกเธอตั้งแต่ก้าวเข้ามาในนี้แล้วล่ะ! อื้มอื้ม ตอนนี้ทุกคนถูกทิ้งโดยสมบูรณ์เลยล่า เหมือนลูกหมาน้อยที่โดนทิ้งไว้กลางสายฝนอย่างน่าสงสารน่ะ~ เพราะงั้นเราก็เลยเก็บพวกเธอมาไง! สุดยอดเลยใช่ไหม ไม่ต้องปรบมือนะ ฮึฮึ แหม เรานี่ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใจดีซะจริง ”

     

    นนท์เริ่มอยากเบ้หน้าให้กับคนพูดประโยคนั้น มันอารมณ์ดีเกินไปจนน่าหงุดหงิด เขาไม่ชอบอะไรที่มันร่าเริงเกินเหตุไปเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มันทำให้รู้สึกรกเกะกะลูกตายันสมอง ที่สำคัญ ไม่ใช่ว่าถูกทิ้ง แต่เป็นโดนลักพาตัวซะมากกว่ามั้ง เขาคิดกับตัวเองในใจ ตั้งใจว่าจะพูดอะไรสักคำให้กับคู่สนทนาเพียงหนึ่งเดียวในห้อง แต่พอลอบมองสีหน้าของเด็กสาวที่คิดอย่างจริงจังก็ต้องเงียบปากไปและเริ่มเข้าสู่โหมดจริงจังบ้าง

     

    เอาล่ะ ไม่ว่ายังไงก็ตามต้องรู้ให้ได้ก่อนว่าที่นี่ที่ไหน โลกที่ถูกลืม? โลกอื่นเรอะ ของแบบนั้นใครจะเชื่อลงฟระ ประมาณการณ์เรื่องที่เลวร้ายที่สุดน่าจะเป็นการถูกลักพาตัวโดยใครสักคนมากกว่า

     

    เรียบเรียงสถานการณ์ใหม่ก่อนแล้วกัน หลังจากที่เมื่อกี้นั่งล้อมวงกัน จากนั้นก็เกิดฟ้าผ่าและพื้นถล่มลงมา จำได้แค่นี้แฮะ แล้วจากนั้นดูเหมือนจะถูกพามา แต่เพื่ออะไร? เอาตัวเด็กม.4เจ็ดคน ไม่สิ รวมยัยที่ยืนข้างๆนี่ก็แปดคนแล้ว เอ่อ จะอะไรก็ช่างเถอะ...มาอยู่ในที่แปลกๆแบบนี้จะได้อะไรขึ้นมา หรือเป็นการจัดฉากแกล้งกันตามที่เคยเห็นบ่อยๆในเน็ต? แต่จะเล่นใหญ่ไปแล้วนะเฟ้ย ลงทุนทำห้องที่เหมือนสร้างโรงเรียนเราขึ้นมาใหม่แบบนี้คงมีแต่ไอ้บ้าเท่านั้นที่จะทำ ข้อสันนิษฐานนี้ตกไปละกัน

     

    ไม่ไหว มีแต่เรื่องที่ไม่เข้าใจเต็มไปหมด ยังไงก็ไหลตามน้ำไปก่อนละกัน

     

    “ แหมแต่ว่านะ ที่นี่มันน่าเบื๊อน่าเบื่อน่ะ เลยอยากจะหาอะไรเล่นกันหน่อย เพราะงั้นมาเป็นเพื่อนแล้วเล่นกันเถอะ~ อื้ออ ต้องสนุกแน่ๆ อาววล่ะ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องมีชื่อก่อนละเนอะ เอาเป็นคำง่ายๆ...อือ...เรียกเราว่าเพื่อนแล้วกัน! เอาล่ะ จากนี้ก็กำหนดกติกาสินะ อือ เราไม่ชอบเรื่องยุ่งยากซะด้วยสิ งั้นเอาเป็นแบบ ใครก็ตามที่มาถึงตัวเราจะชนะแล้วกาน แต่ถ้าแค่นั้นคงน่าเบื่อแย่ เราจะเตรียมมินิเกมไว้ให้ด้วยเน้อ แต่จะเป็นแบบไหน ลุ้นเอาเองจะสนุกกว่าล่ะน้า

     

    แม้แต่ธัญญ์ที่มีความอดทนเองก็เริ่มรำคาญไอ้เสียงแหลมก็ไม่เชิงสูงก็ไม่ใช่แต่เสียดหูจนจั๊กจี้นั่นแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะเห็นรึยังไงผู้พูดถึงตะโกนแผดเสียงออกมาดังลั่น

     

    “ อย่าเพิ่งทำท่าหงุดหงิดแบบนั้นซี่ โธ่ เราตั้งใจเตรียมความสนุกมาให้เลยน้าาา ”

     

    จินตนาการถึงสาวน้อยกำลังพองแก้มอย่างน่าเอ็นดู แต่ก็ไม่สามารถลบความหงุดหงิดออกไปได้ ธัญญ์กลายเป็นฝ่ายพองแก้มซะเอง แต่คำพูดต่อมาก็ทำให้เธอตัวแข็งไป

     

    “ อ๊ะ จริงสิเกมก็ต้องมีรางวัลล่ะเนอะ เอาเป็นว่า ถ้าชนะจะยอมไว้ชีวิตให้แล้วกัน? ”

     

    “ว...ไว้ชีวิต?”

     

    จากเสียงที่ฟังดูอารมณ์ดีกลายเป็นราบเรียบจนน่ากลัว ธัญญ์หันไปมองนนท์อย่างขอความเห็น แต่ก็ถูกตอบกลับมาด้วยการส่ายหน้าแบบคนจนปัญญา

     

    “ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่านี่ไม่ใช่การล้อเล่น ถ้าอยากลองดูก็ไม่ว่าหรอก ถึงจะเสียดายก็เถอะ แต่ศพมันบ่นอะไรไม่ได้หรอกน้อออ..~~?

     

    คนตายพูดอะไรไม่ได้...นั่นถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาในโลก ทว่า พอเอามาพูดในเวลาแบบนี้แล้ว มันก่อให้เกิดบรรยากาศที่น่าขนลุกอย่างประหลาด ในสถานที่ที่เหมือนโรงเรียนร้าง... ต่อให้ไม่พยายามคิดในแง่ลบอะไรแต่ดูยังไงก็ไม่น่าจะมีเรื่องดีๆให้เจอได้เลย ธัญญ์กลืนน้ำลายเริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง

     

    “ เรื่องที่จะพูดก็มีแค่นี้แหละน้า~ แยกย้ายๆ ขอให้สนุกล่ะ เจอกันในเสียงประกาศครั้งหน้า บ๊ายบาย”

     

    ฟึ่บ!

     

    เสียงลำโพงถูกตัดไป ทุกอย่างกลับไปเงียบอย่างครั้งแรกอีกครั้ง แต่คราวนี้ธัญญ์รู้สึกใจหาย กำมือจิกเล็บลงบนกระโปรงและหายใจแรงขึ้นเรื่อยๆ เธอเชื่อในสิ่งที่ประกาศนั่นจริงๆ เพราะสภาพโรงเรียนในตอนนี้มันแปลกมากๆ...รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนถนนมืดๆแคบๆคนเดียว ความหวาดกลัวเสียงแทงเข้ามาทุกทิศจนแทบจะสำลักลมหายใจตัวเอง

     

    ศพ...ศพ....เราจะต้องถูกฆ่าแน่ๆ...ไม่เอานะ....กลัวจัง...

     

    เพี๊ยะ!

     

    “…!”

     

    ดวงตาสีหยกเบิกกว้าง ความเจ็บบนแก้มทำเอาตาสว่าง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นเด็กหนุ่มในส่วนสูงระดับสายตาพอดี นนท์มีสีหน้ารุนแรง กอดอกอย่างคนเอาแต่ใจแล้วพูดโดยหรี่ตาครึ่งหนึ่ง

     

    “ตื่นยัง ชั้นเรียกมาสี่ห้ารอบแล้ว หลับในรึไงหา?”

     

    ธัญญ์อยู่ระหว่างการเลือกคำพูดไม่ถูก ไม่คิดว่าจะถูกตบหน้า ยิ่งอีกฝ่ายเป็นผู้ชายแล้วยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่ แต่รอยแดงและความเจ็บจี๊ดๆบนใบหน้ากำลังชี้ว่านี่คือความจริง ขนาดแม่ยังไม่เคยตบหน้าเธอเลยนะ!? แล้วคนตรงหน้าเป็นใครถึงมาถือวิสาสะตบหน้ากันแบบนี้ ธัญญ์คิดแล้วอยากจะร้องไห้ เรื่องที่คิดว่าเขาคงจะเคยอยู่ในกลุ่มที่แกล้งกันในโรงเรียนคงจะจริง ขนาดเธอเป็นผู้หญิงยังตบโดยไม่รู้สึกผิดขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องต่อยกันคงไม่แปลกอะไร ดูสิ...หน้าชาไปครึ่งนึง มือหนักเป็นบ้า!!

     

    “เอ้า จะเหม่ออีกนานไหม ตามมาเร็วๆ จะเดินไปหาคนอื่น”

     

    เอ...ไอ้อิมเมจแบบนี้มันอะไรนะ? เจ้านายกับทาสรึไงหว่า...

     

    “ค่า...”

     

    เป็นอีกครั้งที่ธัญญ์คิดอะไรแค่ในใจและได้แต่ก่นด่าโชคชะตาในตอนนี้ เธอวิ่งตามคนเอาแต่ใจไป โดยพยายามคิดในแง่ดีว่านนท์คงพูดไม่เก่งเลยแสดงออกด้วยการกระทำมากกว่า

     

    ตราบเท่าที่รอยมือยังอยู่บนหน้า ขอเอาความคิดด้านบนพับเก็บไว้ก่อนนะ อันนี้ธัญญ์ก็คิดในใจเหมือนกัน

     

     

    ——————————————— v ———————————————

     

     

    โทรศัพท์มือถือ ยางมัดผมสำรอง ในกระเป๋าตังค์ก็มีบัตรนักเรียน บัตรประชาชน แบงค์ร้อย1ใบ เหรียญสิบ3เหรียญ เหรียญห้า5เหรียญ เหรียญบาท18เหรียญ รวมเป็น173บาท

     

    ดูไม่ค่อยมีอะไรใช้ได้เลยนะ..

     

    เด็กสาวยิ้มแหยๆหลังจากตั้งสติได้ เธอก็เริ่มตรวจสอบของติดตัวเพื่อจะพบว่าแทบไม่มีอะไรใช้ได้เลย... เสียงประกาศเงียบไปเกือบสิบนาทีแล้วแต่เธอก็ยังไม่ยอมออกจากห้องพักครู สำหรับเธอที่ตัวเล็กและไม่มีเรื่องอะไรที่เก่งไปกว่าการเรียน ถ้ารอความช่วยเหลืออยู่กับที่จะดีกว่า ที่สำคัญเธอก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งในประกาศนั่น...ให้พูดตามจริงเลยก็กลัวเกินจะออกไปด้วย เธอกอดเข่าพิงประตูบานเดียวแล้วมองสำรวจห้อง

     


     

    ห้องพักครูหมวดภาษาต่างประเทศ เพราะเป็นห้องแอร์แต่ไม่ได้เปิดเครื่องปรับอากาศจึงทำให้เหม็นอับ มีฝุ่นลอยแน่นิ่งในอากาศและหยากไย่ตามตู้เก็บเอกสาร ข้างๆกันมีหน้าต่างที่มู่ลี่ปิดไม่สนิทอยู่ แสงสีเงินหมองของดวงจันทร์ลอดเข้ามาตกกระทบบนพื้นห้องสีน้ำเงินเป็นเส้นๆ สิ่งนั้นทำให้นึกถึงอควาเรียม บรรยากาศไม่ดีเอามากๆ เหงื่อเย็นๆไหลโชกเหนียวหนึบและอึดอัด อาจจะเพราะอากาศปิดทึบด้วยเลยทำให้หายใจลำบากเหมือนอยู่ใต้น้ำ เด็กสาวซบหน้าลงบนเข่า เธอที่อ้าปากพะงาบรับออกซิเจนเข้าไปดูราวกับปลาทอง

     

    ไม่ไหวแฮะ...อากาศแย่มาก จะเป็นลมแล้ว

     

    เด็กสาวคิดพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลา เธอตั้งใจจะเช็คเวลาว่าผ่านมานานแค่ไหนแล้วเพราะไม่คิดว่าจะมีสัญญาณโทรศัพท์ ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่ตกลงมาเป็นเวลาหนึ่งทุ่ม หน้าหนาวมืดเร็วมาก สมมติว่าตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มแต่มืดอย่างกับเที่ยงคืนก็คงไม่แปลกนัก ดวงตาสีน้ำตาลไหม้เบิกกว้าง เผลอพึมพำออกมาเบาๆ

     

    “ม..มีสัญญาณด้วย”

     

    หน้าจอกระพริบสัญญาณโทรศัพท์ขึ้นสามขีด เธอคิดว่าจะลองกดโทรออกแต่ก็ชะงักไปเมื่อเปิดหน้าจอ พื้นหลังของโทรศัพท์เป็นภาพนักเรียนหญิงสองคนในชุดม.ต้นโรงเรียนรัฐบาล เด็กสาวมัดผมแกละสีน้ำตาลชูสองนิ้วอย่างร่าเริง มีชื่ออยู่เหนือหัวว่า เอวา’ ….ซึ่งก็คือเธอนั่นเอง ที่ข้างๆกันเป็นเด็กสาวผมดำตัดสั้นหน้านิ่ง ดวงตาสีราตรีราวกับปลาตาย ถึงอย่างนั้นเธอก็ชูสองนิ้วท่าเดียวกันแต่คนละด้านกับคนข้างๆ เอวาลูบภาพนั้นอย่างแสนรักแล้วอ่านชื่อของเด็กสาวคนนั้นออกมา

     

    “นาโน....”

     

    เหนือภาพเป็นข้อความที่ถูกเขียนเอาไว้ว่า ‘My Best Friend’ เธอค่อนข้างโล่งใจที่ได้ยินชื่อนี้เมื่อสักครู่ หากนาโนยังไปมีแรงพังประตูอยู่ที่ไหนสักแห่งคงไม่ต้องเป็นห่วงมาก คนอย่างนาโนเก่งอยู่แล้ว เธอมักจะเป็นที่พึ่งของเพื่อนๆทุกคน ไม่ว่าใครก็จะถูกดึงดูดเข้ามาหานาโนอยู่เสมอ เพื่อนๆในกลุ่มที่เธอรู้จักทุกคนก็มารวมกันเพราะนาโน เธอมักจะเป็นจุดศูนย์กลางของผู้คนมากมาย ต่างกับเธอที่ทั้งพูดไม่เก่ง ไม่มีความมั่นใจ นอกจากเรียนแล้วแทบไม่มีข้อดีอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่เอวาก็ไม่เคยน้อยใจ เพราะไม่ว่ายังไงนาโนก็คือเพื่อนสนิทของเธอ เป็นคนที่โกรธเกลียดไม่ลงสักที

     

    รอให้ใครสักคนมาเจอเราเองแบบนี้...มันจะดีจริงๆหรอ?

     

    เอวามักจะหลบอยู่ข้างหลังนาโน หากมีปัญหาก็เลือกที่จะหนีแล้วก็รอใครสักคนมาช่วย และคนๆนั้นก็มักจะเป็นนาโน หลายครั้งที่เอวาอยากจะขอบคุณและขอโทษแต่ก็ไม่กล้าพอสักที จนกระทั่งย้ายโรงเรียนมาที่มารีอาน่าคอนแวนต์ แม้จะยังติดต่อกันอยู่ แต่ยิ่งเธอคุยกันก็รู้สึกเหมือนรู้จักกับนาโนน้อยลงเรื่อยๆ อย่างวันนี้ที่มาหานาโนที่โรงเรียนก็คุยกันอย่างไม่คุ้นชิน ราวกับคุยกับคนที่รู้จักกันแค่ผิวเผิน

     

    เกลียดตัวเองจัง

    งั้นเริ่มเปลี่ยนมันตอนนี้เลยก็คงดีสินะ?

     

    เอวาหยัดตัวขึ้นช้าๆแล้วสูดหายใจเข้าไปเต็มปอด ฝุ่นที่อัดแน่นทุกอณูอากาศเข้าไปในโพรงจมูกจนแทบสำลัก เอวายังคงรู้สึกไม่ดีอยู่ แต่เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เธอก็จะไม่ผิดคำพูดต่อตัวเอง มือบางสัมผัสลูกบิดเย็นเฉียบและเปิดมัน

     

    แอ๊ดดดด..ด..

     

    เสียงประตูเก่าๆเปิดออก ทำให้ละอองฝุ่นเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวล พวกมันดูราวกับปลาที่แหวกว่ายในน้ำ ลมเบาๆพัดอากาศตรงทางเดินเข้ามาแทนที่กลิ่นอับ บรรยากาศที่มีกลิ่นเน่าลอยวนทำให้เอวาจินตนาการไปถึงภาพที่น่าสยดสยอง

     

    มีอะไรกำลังเน่าอยู่หรอ?

     

    แวบแรก ใบหน้าของเด็กสาวผมดำสั้นที่ถูกทับด้วยไม้หนักๆผุดเข้ามาในหัว แล้วเธอก็ข่มตาไล่ความคิดนั้นไป ต่อให้นาโนตายไปแล้วจริงๆ มันก็ยังเร็วไปที่ศพจะเน่า เอวาขยุ้มเสื้อแล้วสงบลมหายใจลง พยายามฝืนลืมตาที่ปรับสภาพไม่ทันจนน้ำตาร้อนๆไหลริน โถงทางเดินทอดไม้ยาวออกไป มันมืดมากจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากแสงจันทร์สลัวๆ สิ่งนั้นขัดแย้งกับห้องสีน้ำเงินจนปวดตา เอวาขยี้ตาแล้วตัดสินใจเดินไปทางซ้ายมือ เป้าหมายของเธอคือห้องคหกรรมที่คาดว่านาโนจะอยู่โดยใช้สัญชาติญาณล้วนๆ

     

    เอวาไม่ได้ตระหนักถึงความจริงหนึ่งข้อ

     

    ถึงศพของนาโนจะไม่ได้เน่าเร็วขนาดนั้นหรือนาโนจะยังไม่ตาย แต่ความจริงที่ว่ามีกลิ่นเนื้อเน่ารุกเข้ามาเต็มโถงทางเดินก็ไม่เปลี่ยน มันขัดแย้งกับความว่างเปล่าของระเบียงทางเดิน เอวาไม่ได้สนใจประตูห้องธุรการที่อยู่ข้างๆ ถ้าเธอสนใจจะรู้สึกถึงประตูที่ถูกใส่กุญแจไว้ราวกับเก็บความลับอะไรไว้อยู่

     

    ตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบตุบ

     

    “...หือ?”

     

    เธอรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าซ้อนทับกับตัวเองมาจากข้างหลัง เอวาชะงักหมุนตัวกลับไปแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากความมืดสลัวของทางเดิน เอวาจับต้นคอเพื่อเช็ดเหงื่อเย็นๆออกไป เธอพยายามลบสังหรณ์ร้ายออกไปจากสมองแล้วตั้งหน้าตั้งตามุ่งไปยังที่หมายอย่างเดียว

     

    “เอวา

     

    แปะ

     

    “กรี๊...!! อุ๊บ

     

    “ชู่ว์! ใจเย็น นี่ฉันเอง”

     

    เอวาตั้งท่าจะร้องลั่นจนบุคคลที่ตามมาต้องย้ายมือจากไหล่มาตะครุบปากเธอ ยัยนี่จะกรี๊ดดังไปแล้ว! เดี๋ยวไอ้นั่นก็ตามเสียงมาเจอหรอก!! ดวงตาสีน้ำตาลไหมเปิดอย่างกล้าๆกลัวๆ ภาพของเด็กสาวผมทองตาสีน้ำเงินเป็นประกายชูนิ้วชี้แตะปากเหมือนจะบอกให้เงียบๆ เอวารู้จักคนๆนั้น เมื่อเห็นท่าทีของเธอสงบลง ผู้ที่แอบตามเธอจึงปล่อยมือออก

     

    “ตอง!”

     

    “ใช่ ฉันเอง เธออยู่คนเดียวหรอ?”

     

    “อืม ตั้งแต่รู้สึกตัวก็อยู่คนเดียวแหละ” เอวาถอนหายใจโล่งอก “แล้วตองล่ะ?”

     

    “เหมือนกัน ประกาศเมื่อกี้ทำใจแป้วเลยแหละ เธอจะไปไหนรึเปล่า”

     

    “คิดว่าจะเดินไปห้องคหกรรมน่ะ นาโนน่าจะอยู่แถวนั้น....แต่ไม่ได้มีหลักการอะไรหรอกนะ แค่เดาเฉยๆว่าน่าจะอยู่อ่ะ สัญชาติญาณล้วนๆเลย ว่าแต่ตองดูเหนื่อยๆนะ มีอะไรหรอ”

     

    “อ๋อ ป..เปล่าหรอก พอดีเห็นเอวาเดินอยู่เลยรีบวิ่งมาน่ะ กลัวจะคลาดกัน แหะๆ”

     

    ตองหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน ทำให้เอวาไม่อยากจะถามต่อ สาวผมทองบอกกับเธอว่าจะไปห้องคหกรรมด้วยเพราะถึงนาโนจะไม่อยู่ที่นั่น แต่ถ้าเข้าไปลองหาพวกน้ำหรืออะไรที่พอจะกินรองท้องได้ก็คงดีจะดี ที่สำคัญ ใกล้ๆห้องคหกรรมก็เป็นทางลงจากตึกด้วย ถ้าไปถึงแล้วออกไปก่อนคงไม่มีปัญหาอะไร คิดว่าคนอื่นๆก็คงออกไปกันแล้วด้วย เอวาพยักหน้ารับคำแล้วเดินไปพร้อมกับตอง

     

    “คิดว่านาโนจะอยู่ที่นั่นจริงๆไหม?”

     

    “ไม่รู้สินะ มีแต่ต้องลองล่ะนะ ฮะๆ...” ตองหัวเราะ “นาโนน่ะไม่เป็นไรหรอก แค่ต้องสงสัยว่าอยู่ที่ไหนตอนนี้เท่านั้นเอง”

     

    พอมีเพื่อนมาเดินด้วยก็เหมือนมีคนช่วยหารความไม่สบายใจลง เมื่อตองก็ยืนยันว่านาโนจะไม่เป็นไร เอวาก็เบาใจลงได้ เธอจับมือของตอง มือนั้นเย็นเฉียบ

     

    สิ่งที่ถูกแปะไว้ด้วยเทปใสบนกระจกห้องธุการห้องหนึ่ง....หากเอวาหันไปมองก็คือใบประกาศสั้นๆ

     

     

    “ ประกาศเตือนตัวปลอม ระวังคนข้างๆไว้ให้ดี

    แน่ใจไหมว่าเธอ / หมอนั่นเป็นตัวจริง? ”

     

     

    ——————————————— v ———————————————

     

     

    ร่างในเงามืดหัวเราะรื่นเริงภายใต้แสงสีเงินยวง กระชับกระเป๋าสะพายให้มั่นแล้วหย่อนช่อดอกไม้ลงไป ดอกไม้สีขาวมีลักษณะเหมือนดอกไม้จัน มันถูกวางไว้ตามจุดต่างๆที่ห่างกันอย่างประณีต ภาพนั้นดูราวกับงานไว้อาลัย สีขาวบริสุทธิ์สะอาดที่ผุดขึ้นมาในความมืดเหมือนดวงวิญญาณ ขาเรียวก้าวผ่านโถงทางเดินร้างๆนั้นไปก้าวแล้วก้าวเล่าอย่างสบายอารมณ์ราวกับที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง ร่างนั้นเปล่งเสียงกังวานเติมเต็มโถงทางเดินอย่างนุ่มนวล เพลงที่ร้องนั้นคือRequiem1

     

    “Requiem aeternam dona eis, Domine,      (อวยพรให้พวกเขาหลับใหลชั่วนิรันดร์เถิด พระองค์เจ้า

    et lux perpetua luceat eis                          และให้แสงสว่างส่องบนร่างพวกเขาตลอดกาล

    Te decet hymnus, Deus, in Sion,             พวกคุณจะถูกสรรเสริญ พระเจ้าข้า ในศิโยน2

    et tibi reddetur votum in Jerusalem      และการแสดงความเคารพจะส่งไปถึงคุณ ในกรุงเยรูซาเล็ม3)

     

    เสียงนุ่มนวลขับร้องเพลงส่งวิญญาณแบบประสานเพียงคนเดียวได้อย่างไม่ติดขัด ไม่มีทั้งเสียงคอรัสและการกรรเลงดนตรี เสียงกังวานใส ขับกล่อมบทเพลงให้แก่ผู้วายชนม์โดยไม่มีแม้แต่โลงศพอยู่บนพื้น ภาพลักษณ์ที่ร่างในเงาจัดทำให้นึกถึงเป็นงานศพขนาดย่อม

     

    เสียงเพลงดังไกลออกไป พร้อมกับร่างที่ละลายหายไปในความมืด เหลือไว้เพียงดอกไม้สีขาวเท่านั้น


    ___________________________________________________________________________________________

    1เพลงของโมสาร์ท(Mozart) ประพันธ์ขึ้นในค.ศ. 1791 ผลงานชิ้นสุดท้ายของโมสาร์ทซึ่งโมสาร์ทเสียชีวิตลงก่อนจะแต่งจบ เป็นเพลงไว้อาลัยในงานศพภาษาละติน

    2ศิโยน เป็นชื่อภูเขา ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์หมายถึง นครที่ปลอดภัยของพระเจ้า

    3ในที่นี้ยึดตามความเชื่อของชาวคริสต์ คือ เป็นเมืองที่พระเยซูเจ้าทรงประกอบภารกิจในช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ

     

    ——————————————— v ———————————————

     

     

    “ เอ ขอโทษที่ประกาศมากะทันหันน้า พอดีว่าเมื่อกี้ลืมบอกอะไรไปอย่างนึงน่ะ ”

     

    “ ตอนนี้น่ะ มีคนที่เกินมา1คนนะ เลยจะทำเรื่องง๊ายง่ายอย่างยุติธรรมให้เอง เอาล่ะ ทุกคนที่โทรศัพท์ยังใช้งานได้ช่วยโหวตชื่อ คนที่ไม่ต้องการ มาทีน้า
     ง่ายๆเนอะ แม้แต่ลิงยังเข้าใจเลยล่ะ

     




     


    WB :  ตามมาแล้วกับบทที่สองค่ะ ฟหกด่าว ว่ากันตามตรง ช่วงต้นๆนี้ยังไม่ออกลายhorrorเท่าไหร่นะคะ จะเป็นแค่หม่นๆคล้ายmysteryมากกว่า แต่ความดาร์กจะรออยู่จากนี้เป็นคนไปล่ะค่ะ ๕๕๕ ตอนนี้การบ้านเยอะมากเลยล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าจะได้ลงตอนสามเมื่อไหร่orz หากฟ้าเมตตา เราคงได้พบกัน(?)

    ตอนนี้ สำหรับสถานะตัวละคนที่โผล่มาแล้วนะคะ

    ตองกับเอวา ทางเดินชั้น2

    นนท์กับธัญญ์ ห้องวิทยาศาสตร์ชั้น3 ทางปีกขวาของอาคารค่ะ

    ทั้งสี่คนอยู่ในตึกเดียวกันนะคะ แต่ยังไม่เจอกัน๕๕ แมพจะมาในเร็ววันนี้แหละค่ะ ขอไปมโน+วาดแปบ๕๕๕ มีความคิดเห็นยังไง รักใคร อวยใครก็เม้นมาได้นะคะ ๕๕๕ วันนี้เราลาไปก่อน หนาวๆแบบนี้รักษาสุขภาพด้วยนะคะ //นอนตายแบบคนขี้หนาว

    คราวนี้ใช้ธีมของที่นี่ค่ะ

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×