ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE CHAIN - PEAK

    ลำดับตอนที่ #4 : 250% ll #พีคเมษา ll THE CHIAN PEAK : EPISODE 04

    • อัปเดตล่าสุด 18 มิ.ย. 64



    THE CHIAN - PEAK

    Hashtag on Twitter #พีคเมษา




    THE CHIAN PEAK : EPISODE 04

     



    Me : เป็นอะไรมากหรือเปล่า

    ฉันส่งไปหาและแอบหวั่นใจว่าพีคจะเป็นอะไรมากมั้ย ถึงแม้จะไม่ได้คิดอะไรกับเขามากขนาดนั้นและรู้ว่าเขาอยากจีบฉัน แต่ฉันก็เพิกเฉยต่อการป่วยของเขาไม่ได้หรอก

    Peak06_ : เหมือนจะเป็นไข้ แล้วก็ปวดหัวมากเลยครับ

    Me : อีกสักพักพี่คุยงานเสร็จก็กลับค่ะ ทนไหวมั้ย

    เพราะฉันยังคุยกับนักออกแบบอยู่เหลือวางเงินมัดจำด้วยฉันก็เลยยังไปไม่ได้ พรุ่งนี้ฉันก็ไม่ว่างด้วย ต้องไปหาพี่ไม้ที่นครนายกเพราะพี่ไม้บอกว่าน่าจะไม่ได้กลับอีกในสัปดาห์หน้าน่ะนะ

    Peak06_ : น่าจะไหวครับ

    หลังจากพีคตอบมาแล้วฉันก็รีบคุยกับนักออกแบบให้เสร็จ เอาเข้าจริงฉันก็ห่วงพีคอยู่ เขาเป็นน้องของเพื่อนสนิทฉันนี่นา อีกอย่างพราวก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ พีคก็คงไม่มีใครให้ทักหาหลือเปล่า พอคุยธุระเสร็จแล้วฉันก็รีบไปซื้อยาให้พีค ฉันไม่รู้ว่าพีคทานข้าวหรือยัง แต่บ่ายแล้วคงทานแล้วมั้ง

    ก๊อก ๆ ๆ ก๊อก ๆ ๆ ฉันใช้เวลาเคาะประตูอยู่เกือบๆสองนาที ประตูยังไม่ได้ถูกเปิดออก จนฉันชักหวั่นใจ พีคอาจจะหลับอยู่มั้ยนะ แต่ถ้าหลับฉันจะทำยังไงดี การเป็นไข้ก็ควรได้รีบทานยาลดไข้นะ

    “พี่เม” แต่ไม่กี่อึดใจต่อมาประตูก็ถูกเปิดออกโดยเจ้าของห้อง พีคหน้าซีดมากจนเห็นได้ชัดว่าป่วย ขอโทษที่เปิดช้าครับ

    “ไม่เป็นไร แต่พีคโอเคมั้ยตัวร้อนมากหรือเปล่า” เพราะเห็นสภาพเขาฉันก็อดห่วงไม่ได้ จะให้ฉันใจจืดใจดำให้แค่ยาเขาโดยไม่ถามไถ่อะไรมันก็คงจะเกินไป

    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันร้อนขนาดไหน” เขาตอบเสียงเบา

    “งั้นพี่ขอโทษนะ” ว่าจบฉันก็ยืนมือขึ้นไปอังหน้าผากเขา หน้าผากพีคร้อนมาก เขาดูน่าจะไข้สูงมากแน่ๆเลย “ตัวร้อนมากเลยนะ งั้นรีบทานยาก่อนดีกว่า”

    ว่าจบฉันก็รีบเอายาส่งให้เขา แต่ทว่าพอพีครับไปสีหน้าเขากลับดูแย่ลงกว่าเดิม จนสุดท้ายฉันเลยต้องเดินเข้ามาข้างในห้องของเขาด้วย แล้วจัดแจงหาน้ำมาให้เขาดื่ม

    “ไข้สูงมาเลย ทานสองเม็ดเลยดีกว่า” ฉันแกะยาวางลงมือเขาแล้วก่งน้ำให้ พีครับมันไปอย่างง่ายดาย แต่ในตอนระหว่างยืนด้วยกันฉันได้เหลือบมองเขาจากหน้าจรดเท้าแล้วก็คิดว่าคนที่ดูแข็งแรงและออกกำลังกายบ่อยทำไมถึงได้ป่วยขึ้นมา ทั้งที่เมื่อวานยังสบายดีอยู่ “ทำไมถึงป่วยได้”

    “ไม่รู้สิครับ ตื่นมาผมก็เป็นแบบนี้เลย” เขาบอกมาส่วนฉันก็พยักหน้ารับเบาๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเป็นนี่เนอะที่อยู่ดี ๆ เป็นไข้ขึ้นมา ฉันเองก็เคยเป็นเหมือนกัน เอาเข้าจริงก็คงไม่มีใครอยากจะเป็นไม่สบายหรอก มันแย่จะตายการป่วยน่ะ “พี่เมจะทำอะไรต่อครับ”

    “พี่คงไปแพคของต่อแหละ พรุ่งนี้ต้องไปส่งของแต่เช้าแล้วก็ต้องไปนครนายกต่อ” ฉันบอกไปและพีคก็คงเข้าใจว่าฉันจะไปทำอะไรเพราะเขาเองก็เรียนโรงเรียนเดียวกันกับพี่ชายฉันนี่นะ แต่สัปดาห์นี้พี่ชายฉันก็ไม่ได้ออกมาคงเป็นเพราะว่าเขาจะเตรียมออกมาทีเดียวช่วงที่พี่หมอกกลับมาเลย

    “ผมรู้สึกไม่ดีเลย มันจะรบกวนพี่มั้ยถ้าเกิดว่าผมขอไปอยู่ด้วย” ฉันนิ่งไปพักหนึ่งหลังจากได้ฟัง คือจะว่าฉันไม่โอเคก็ไม่ใช่ เพียงแต่หากพีคต้องไปอยู่ในนั้นได้ยินเสียงฉันแพ็คของมันจะทำให้เขาไม่ได้พักผ่อนเปล่าๆ “ทำหน้าแบบนั้นพี่เมคงไม่สะดวกสินะครับ งั้นไม่เป็นไร”

    “ไม่ใช่อย่างนั้น คือพี่แค่กลัวว่าพีคอาจจะรำคาญ ตอนแพ็คของมันอาจจะมีเสียงรบกวน” ฉันอธิบายแล้วก็มองหน้าเขาเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้โกหก “แต่ถ้าพีคไม่กลัวว่าเสียงมันจะให้พีครำคาญก็ไปได้”

    “ไม่รำคาญหรอกครับ มันคงดีกว่าผมอยู่คนเดียวมาก” เมื่อได้ยินแบบนั้นฉันก็พยักหน้ารับรู้ พีคไปหยิบมือถือกับสายชาร์จแล้วเดินตามฉันออกมา

    “ห้องพี่รกนิดนึงนะ พอดีว่าพี่ต้องรีบแพ็คของน่ะ” ฉันบอกแล้วบุ้ยหน้าไปทางกองกล่องพัสดุและพวกสินค้าที่อยู่ตรงห้องนั่งเล่นที่ถูกเปลี่ยนเป็นที่แพ็คของของฉัน “ทานข้าวหรือยัง”

    “ยังครับ” เขาตอบมาแล้วก็ส่ายหัวให้ด้วย

    “ตั้งแต่เช้ายังไม่ได้ทานเลยเหรอ” เขาส่ายหัวเป็นคำตอบให้ฉันอีกทีหนึ่ง แต่จริงๆก็เข้าใจอยู่เพราะว่าคนป่วยน่ะมันไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่หรอก “งั้นพี่ไปหาข้าวมาให้ นั่งรอก่อน ถ้าป่วยแล้วยิ่งไม่ทานข้าวแล้วจะไม่มีแรงเอา ไม่หายนะ”

    “มันจะรบกวนพี่หรือเปล่า” เขาทำหน้าละห้อยเป็นลูกหมา บอกตรงๆมันขัดกับบุคลิกเขามากๆ เขาตัวสูง มาดเข้มและดูเป็นผู้ชายร้ายๆ แววตาเขาบอกอย่างนั้นแต่ทว่าพอมาทำแบบนี้แล้วมันก็น่ารักดี

    “เราเป็นน้องพราว พี่ก็ต้องดูแลอยู่แล้ว ตอนพี่ป่วยพราวก็ดูแลพี่เหมือนกัน” ฉันบอกไปแต่พีคก็...

    “บางทีผมก็แค่ไม่อยากถูกดูแลในฐานะน้องของพี่พราว” น้องน่ะแบบนี้อีกแล้ว เขาจะทำให้ฉันหวั่นไหวไปถึงไหนกัน ฉันพยายามห้ามใจตัวเองอยู่อยากให้น้องรู้บ้าง....

    “......” ฉันเงียบเพราะไม่รู้จะตอบอะไรดี ได้แค่ยิ้มแกนๆแล้วก็เดินเข้าไปในครัว ฉันซื้อข้าวต้มสำหรับเวฟเอาไว้อยู่ก็คงพอให้เขากินได้ จัดแจงเวฟสักพักก็เดินออกมา

    พีคนอนอยู่บนโซฟาห้องของฉัน สำหรับตัวฉันแล้วโซฟามันก็ยาวมากอยู่นะ ฉันนอนได้เกือบจะพอดีเลยถ้าเอาหัวเกยพนักวางแขน แต่ว่าพอเป็นพีคเขาต้องนอนหดตัว ดูแล้วน่าจะปวดขาไม่น้อยเลยด้วย นี่สินะ คนสูงกับคนเตี้ยมันต่างกันมากแบบนี้นี่เอง

    หรือฉันควรยืดกระดูก ไม่ก็ไปหาวิธีเพิ่มความสูงกว่านี้

    “พีค ทานข้าวค่ะ” ฉันวางถ้วยข้าวต้มกุ้งลงบนโต๊ะกระจกด้านหน้า เหลือบตามองนาฬิกาดิจิทัลใกล้ๆทีวีก็พบว่ามันเกือบจะสี่โมงเย็นแล้ว “จะสี่โมงเย็นแล้วไม่ได้ทานข้าวอยู่มาได้ยังไงกัน”

    “ก็มันไม่หิวนี่ครับ” เขาตอบแล้วพยายามลุกขึ้นนั่ง

    “แต่ตอนนี้ต้องกินให้หมดนะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่มาจัดการเอง” ว่าจบฉันก็ว่าจะเดินหันหลังมาทำงานแต่เมื่อนึกขึ้นได้ฉันจึงหันกลับมามอง “จริง ๆ พีคเข้าไปนอนข้างในก็ได้ มันคงสบายกว่า อีกอย่างข้างนอกเสียงติดเทปกาวมันจะกวนเอา”

    “ผมเกรงใจ” เขาพูดเสียงเบา ใบหน้าแสดงออกอย่างนั้นจริงๆจนฉันอดจะเอ็นดูไม่ได้

    “ไม่เป็นไร พี่ไม่ซีเรียส” ฉันบอกแล้วกลับมานั่งทำงานต่อโดยที่พีคก็ทานข้าวต้มอยู่ เขาดูไม่ค่อยมีแรงจนฉันรู้สึกว่าถ้าทิ้งเขาไว้คนเดียวคงจะใจร้ายเกินไป

    อันที่จริงฉันเคยมีเด็กมาจีบนะ น้องเกียร์น่ะเขาเรียนวิศวะเขาเป็นน้องชายของเพื่อนในสาขาฉันเอง น้องก็น่ารักดีแต่ว่าฉันไม่ค่อยชอบคนเด็กกว่า แต่พอมาเทียบๆดูความรู้สึกที่ฉันให้น้องเกียร์กับน้องพีคมันต่างกันมากๆเลย ทั้งที่เกียร์ก็เป็นน้องของเพื่อนเหมือนกัน แต่ฉันผลักไสเขามากๆ

    หรืออาจจะเป็นเพราะฉันไม่เคยคุยกับน้องเกียร์ลึกซึ้งขนาดนั้นด้วยมั้ง แต่ช่างเถอะบางทีฉันก็อาจจะมองพีคเป็นน้องชายคนนึง ฉันรักพราวเหมือนครอบครัว พราวเป็นเพื่อนที่ดีกับฉันมากเพราะงั้นมันก็คงไม่ดีหากฉันจะไม่สนใจหรือทอดทิ้งน้องชายของเธอตอนป่วย

    หลังจากพีคทานข้าวเสร็จฉันบอกให้เขาไปนอนข้างในห้องนอนดีๆ คอนโดที่นี่ห้องจะเป็นแบบประตูกระจกบานเลื่อนกั้น ระหว่างห้องนอนกับห้องนั่งเล่น ไม่ได้เป็นกำแพงปูน

    ฉันไม่ได้ปิดม่านเอาไว้ตอนพีคนอนฉันสามารถมองเข้าไปเห็นเขาได้ จริงๆตอนแรกฉันว่าจะไปเช่าบ้านเป็นหลังอยู่จะได้สะดวกต่อการแพ็คของส่งของอะไรด้วย แต่ราคาเช่าบ้านเดือนละหมื่นกว่าฉันว่าจะเก็บเงินซื้อบ้านทีเดียวเลยดีกว่า

    ฉันแพ็คของทุกออเด้อร์เสร็จไปตอนสามทุ่มกว่า ฉันไปปลุกพีคทานยาอีกรอบแต่เขาดูสะลึมสะลือมากเลยไม่กล้าจะไล่เขากลับห้อง ตัวก็ยังร้อนอยู่ด้วยน่ะนะ

    พออาบน้ำเสร็จฉันเองมานอนที่โซฟาด้านนอกซึ่งมันก็พอดีตัวฉันอยู่แล้ว เลยไม่ได้มองว่ามันลำบากอะไร แล้วก็แชทถามพี่ไม้ด้วยว่าพรุ่งนี้เขาต้องการอะไรอีก แล้วก็เผลอหลับไปตอนเกือบๆห้าทุ่ม

     

     

    ในตอนเช้าของวันถัดมาฉันตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งเอาไว้ ฉันบิดขี้เกียจและหยีตาน้อยๆตอนเห็นว่าห้องมันสว่างมากแล้ว ฉันลืมปิดม่านแน่เลย ฉันควานหามือถือที่อยู่ไหนวักที่เมื่อวาปิดมัน กะว่าจะนอนต่ออีกหน่อย แต่เมื่อฉันตั้งสติดีๆกลับรู้ได้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง

    ฉันลืมตาขึ้นมาจนเต็มตา กรอกสายตามองไปรอบ ๆ เพื่อค้นหาว่าตัวเองอยู่ที่ไหน อยู่ที่ห้องนอนจริง ๆ มั้ยก็พบว่าจริง แล้วพอกรอกตามาด้านข้างก็เห็นว่าพีคนั้นนอนอยู่ ฉันตกใจสะดุ้งลุกขึ้นนั่งจนแทบหงายหลังตกเตียง

    มันน่าตกใจนี่นาที่มานอนอยู่บนเตียงกับผู้ชายแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ตั้งสติแล้วค่อยๆลุกจากเตียง เป็นจังหวะเดียวกับที่พลิกตัวหันหน้ามาทางฉันที่ยังยืนเอ๋ออยู่

    เขาอมยิ้มหน่อยๆ ดูไม่ได้เป็นยิ้มที่จงใจหรือตั้งใจทำ แต่เป็นร้อยยิ้มที่ดูแล้วเหมือนเขาจะกำลังฝันถึงเรื่องดีๆอยู่หรือเปล่านะ ฉันไม่เคยอยู่กับผู้ชายสองต่อสองนานขนาดนี้ บางทีฉันควรรู้สึกกลัว แต่ฉันกลับยืนมองพีคอยู่สักพัก และรู้สึกดีอย่างน่าประหลาด

    เขามีบางอย่างในแบบที่ผู้ชายหลายคนที่เข้ามาหาฉันไม่มี อาจจะหมายถึงความรู้สึกที่ฉันมีให้เขามันไม่เหมือนผู้ชายคนไหนเลยมั้ง แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร

    สมองซีกหนึ่งสั่งฉันว่าอย่าไปสนใจหรือมอบความรู้สึกแบบนั้นให้กับคนที่พึ่งรู้จัก อีกซีกก็บอกว่าให้ทำตามใจของตัวเองเลย อยู่ไปกลัวหรือยังกังวลอะไร แต่ก่อนที่ฉันจะได้กังวลใจหรือรำคาญใจไปมากกว่านี้นาฬิกาปลุกของพีคก็ดังขึ้นมา

    “พี่เม” น้ำเสียงเบาสะลึมสะลือและเบาหวิวมาตอนเรียกฉัน

    “พี่มานอนบนเตียงได้ยัง” ฉันเอ่ยถามไปและมองหน้าเขา ฉันคิดว่าไม่น่าจะเดินมาเองแน่นอนเพราะฉันเป็นคนหลับลึกและไม่ใช่คนที่จะตื่นมาเข้าห้องน้ำกลางดึกด้วย

    “ผมเป็นคนพามาเองแหละครับ พี่เมนอนโซฟาดูน่าจะปวดคอ” นี่เขามีแรงเยอะขนาดอุ้มฉันขึ้นมาได้ด้วยเหรอ “ขอโทษนะครับ”

    “ขอโทษทำไม” ฉันถามกลับไป “แล้วพีคโอเคหรือยัง”

    “ดีขึ้นแล้วครับ แต่ว่ายังไม่ได้รู้สึกดีขนาดนั้น” ฉันพยักหน้ารับหน่อยๆ “แต่วันนี้ผมต้องกลับโรงเรียนแล้ว สงสัยต้องไปฉีดยาหน่อยแล้วครับ”

    “อ๋า ใช่สิวันนี้วันหยุดวันสุดท้ายแล้วนี่” ฉันก็พึ่งนึกได้เหมือนกัน แล้ววันนี้ฉันก็ต้องไปหาพี่ไม้ด้วย พี่ไม้เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับพีคหมือนกันนี่นา “แล้วพีคจะกลับยังไง”

    “ผมอาจจะขับรถเข้ากรุงเทพก่อน แล้วก็คงให้ที่บ้านไปส่ง” ว่าจบเขาก็ไอออกมาสองสามทีทำเอาฉันชักไม่แน่ใจว่าเขาจะขับรถถึงบ้านได้มั้ย

    “ไปพร้อมพี่มั้ย ยังไงพี่ก็ต้องไปที่จปร.เหมือนกัน”

    “ผมไปด้วยได้ใช่มั้ย” ฉันพยักหน้ารับสองสามหน มันไม่ใช่เรื่องแย่อะไรหากพีคจะไปด้วย เขาเรียนอยู่ที่นั่นเหมือนกัน การที่ฉันไม่ชวนเขามันดูน่าเกลียดกว่าอีก แล้วอีกอย่างฉันก็ยังไม่ค่อยชินทางด้วย ฉันไม่ได้ไปหลายเดือนแล้วน่ะนะ ปกติก็จะไปรับพี่ไม้ที่กรุงเทพแค่นั้นเอง

    “พีคไปแต่งตัวแล้วมาทานข้าวนะ เดี๋ยวพี่พาไปหาหมอตอนออกไปทีเดียว โอเคมั้ย”

    “โอเคครับ” เขารับคำแล้วเดินออกไปด้านนอก คงจะไปห้องตัวเอง ส่วนฉันก็ไปอาบน้ำแล้วก็ทำอาหาร การเดินทางจากชลบุรีไปนครนายกจะใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงเกือบสาม ฉันต้องรีบไปเพราะว่าเผื่อตอนเย็นขากลับฝนตกเอามันจะอันตราย

    ปกติแล้วพี่ไม้จะอยู่โรงเรียนหากสัปดาห์ไหนเขาออกมาเขาก็จะมาหาฉันบ้าง ไม่ก็จะกลับบ้านที่ลพบุรี เพราะตอนนี้ที่บ้านไม่มีคนอยู่ก็ต้องกลับไปดูบ้าง อีกไม่กี่สัปดาห์พี่หมอกก็คงกลับมาแล้ว เขาสอบได้ไปเรียนต่อหลักสูตรระยะสั้นที่ทางสังกัดส่งให้น่ะนะ

    พีคไปอาบน้ำแต่งตัวไม่นานนักก็กลับมาฉันให้เขาทานข้าวแล้วก็ทานยาอีกรอบ ที่ฉันดูแลพีคขนาดนี้อาจจะเพราะเมื่อก่อนตอนฉันนอนโรงพยาบาลพราวก็เป็นคนเฝ้าฉันเหมือนกัน

    ประมาณสองเดือนก่อนฉันอาหารเป็นพิษต้องนอนโรงพยาบาลสองคืนพราวก็เป็นคนเฝ้าเพราะพี่ชายคนรองของฉันอยู่ในโรงเรียน ส่วนพี่ชายคนโตก็อยู่เมืองนอกน่ะนะ เพราะงั้นสิ่งที่พราวทำจึงไม่สามารถทำให้ฉันเพิกเฉยต่อการป่วยของพีคได้

    พอทานข้าวเสร็จฉันก็พาพีคมาหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่งเป็นคลินิกโรคทั่วไป หมอฉีดยาให้เขาสองเข็มและฉันก็หวังว่าเขาจะดีขึ้น ไวๆ ฉันน่ะไม่ชอบการป่วยเลย แล้วก็ไม่ชอบที่คนรอบข้างป่วยเหมือนกัน

    ระหว่างทางพีคหลับอีกแล้ว คงจะหลับเพราะฤทธิ์ยาแต่มันก็ดีนะ เขานอนเยอะๆจะได้มีแรง ปกติฉันอยู่คนเดียวอยู่แล้วการเดินทางระหว่างทางเงียบๆมันจึงเป็นเรื่องที่ชินไปเสียแล้ว

    ใช้เวลาอีกสองชั่วโมงเกือบครึ่งก็มาถึงโรงเรียนที่พี่ชายฉันเรียนอยู่ ฉันมาได้เจอพี่ชายฉันเกือบเดือนได้มั้ง เพราะสัปดาห์ก่อนโน้นเขาก็กลับบ้านที่ลพบุรี พีคตื่นช่วงก่อนถึงโรงเรียนพอดีน่ะนะเขาคงรู้สึกดีขึ้นมาเลยดูจากสีหน้าแล้วน่ะ

    “พี่ชายพี่เมจะมาตอนไหนเหรอครับ” ระหว่างนั่งรอในรถฉันไม่ได้ดับเครื่องและแชตหาพี่ไม้ไปด้วย เ”ดี๋ยวผมขอนั่งรอในนี้ก่อน พวกไอ้จิณกำลังมาแล้ว”

    “ได้ค่ะ อีกสักพักแหละ” ฉันตอบไปแล้วก็เปิดประตูลงไปด้านหลังเพื่อเช็คของที่จะให้พี่ไม้ พี่ชายฉันคนนี้เป็นคนพูดไม่เก่ง แต่เขาใจดีกับฉันมาก แต่ก็แอบเข้มงวดกว่าพี่หมอกนิดหน่อย

    “น้องเม” ผ่านไปอีกราวๆห้านาทีพี่ชายฉันก็มาถึงในระหว่างตอนที่กำลังเอาของลงมาจากด้านหลังรถ เขาเรียกชื่อฉันด้วยน้ำเสียงโทนปกติเลย

    “สวัสดีค่ะ” ฉันยิ้มให้พี่ชายตัวเองแล้วก็เดินเข้าไปกอดเขา “คิดถึงจัง”

    “พี่ก็คิดถึงหนู” เขาบอกพลางกอดแล้วก็ลูบหัวฉันด้วย พี่ไม้จะพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงละมุนเสมอ แม้ตอนที่เขาโกรธเขาก็มักจะใช้น้ำเสียงที่ราบเรียบและดูใจร้อนเลยสักนิดเดียว แต่ในจังหวะที่หันหลังมาแล้วเห็นว่าพีคเปิดประตูรถลงมาพอดีเขาก็เปลี่ยนสีหน้า “ใครน่ะ”

    “น้องพีคน้องชายของพราวน่ะค่ะ” พี่ไม้รู้จักพราวอยู่แล้วันจึงไม่ได้กังวลหากจะแนะนำให้รู้จักกัน “น้องอยู่บางแสนแล้วก็ป่วยด้วยเมเลยพาน้องไปหาหมอแล้วก็พามาด้วยเลยค่ะ”

    “ไม่ยักรู้ว่าน้องของน้องพราวเรียนที่นี่ด้วย” เขาพูดและพินิจพิจารณาพีคด้วยสายตาที่ฉันก็คาดเดาไม่ถูก แต่เหมือนบางทีก็ดูจะแอบไม่ชอบหรือเปล่านะ สองคนนี้รู้จักกันเหรอ สายตาที่ทั้งสองมองกันทำให้ฉันคิดแบบนั้น พีคยกมือไว้พี่ชายฉันด้วยท่าทางนอบน้อมมากทีเดียว “อือ หวัดดี”

                   “เดี๋ยวผมต้องไปก่อนนะครับพี่เม พวกไอ้จิณมาแล้ว” หลังจากทักทายพี่ฉันแล้วพีคก็หันมาบอก เขายิ้มให้ฉัน “ยังไงก็ขอบคุณมากนะครับ ไว้เจอกันครับ”

                “ค่ะ หายไว ๆ นะ” ฉันบอกเข้าไปแล้วน้องพีคก็เดินจากไปแล้ว ทิ้งฉันไว้กับพี่ไว้เพียงลำพัง เราจึงเข้ามานั่งด้านในรถกัน แต่ทว่าพอเข้ามาแล้วมองไปที่ช่องวางของตรงกลางระหว่างคนขับกับผู้โดยสารก็เห็นว่าถุงกระดาษสกรีนชื่อคลินิกที่พาพีคไปหาหมอมันวางอยู่ “พีคลืมถุงยานี่”

    ฉันพึมพรำแล้วมองตามหลังพีคไป แต่เขาไปไกลมากแล้วแบบนั้นจึงทำให้พี่ไม้พูดมา

    “เดี๋ยวพี่เอากลับไปให้เอง” ฉันลังเลมองถุงยาสลับกับพี่ไม้

    “รู้จักกันเหรอคะ” เพราะสายตาพี่ไม้กับพีคบอกแบบนั้นแต่ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขารู้จักกันแบบไหน ฉันไม่ได้รู้จักสังคมของพี่ไม้ขนาดนั้น แต่ก็รู้จักเพื่อนเขาทุกคน

    “ไม่เชิงรู้จักกัน แต่รู้จักเพื่อนมันมากกว่า” พี่ชายฉันอธิบายแต่ไม่ได้มีสีหน้าที่เท่าไหร่นัก หากไม่คิดมากเกินไปคงจะไม่มีอะไร แต่ทว่ามันก็ตงิดใจอยู่ พี่ไม้มองตาฉันแล้วก็คงคิดว่าฉันสงสัยอะไรหรือเปล่าสุดท้ายเขาเลยพูดต่อ “ไม่ได้มีปัญหาอะไรกันหรอก”

    “อ๋อ ค่ะ” ฉันตอบรับและรู้สึกสบายใจขึ้นมาหน่อยนึงแต่ก็ไม่ได้สบายใจมากขนาดนั้น เพราะคิดว่าพี่ชายน่าจะมีอะไรในใจกับพีคมากกว่า “พี่ดูไม่ชอบพีค”

    “พี่แค่ไม่ชอบที่เห็นมันมากับเราแค่นั้นแหละ” เขาพูดเสียงเนือยๆ “พวกนั้นมันสนิทกับผู้หญิงเยอะ เคยไปเจอที่ผับเดียวกันหลายครั้งก็เลยเห็น”

    “......” ฉันแค่ฟังเงียบๆไม่ได้พูดอะไรออกไปทั้งนั้น แต่...

    “พีคมันชอบเราหรือเปล่า” คำถามของพี่ชายทำฉันสะอึก ฉันไม่ใช่คนโกหกเก่งเลย อาจจะเพราะไม่ชอบการโกหกและไม่ชอบโกหกคนอื่นด้วยมั้ง การที่ฉันจะปิดบังมันจึงเป็นเรื่องที่ฉันต้องใช้ความพยายามอย่างมากเลยทีเดียว “น้องเม”

    น้ำเสียงพี่ชายส่อประกายจริงจังน้อยๆในตอนที่ฉันเงียบไปในคำถามนั้น ฉันมองหน้าพี่ชายชั่วครู่ก่อนจะส่ายหัวไปมาเบาๆ

    “พี่ไม่ได้จะยุ่งเรื่องส่วนตัวของเรา แต่เพราะเราเป็นน้องพี่ พี่อยากให้เมเจอคนที่ดี” เป็นคำพูดที่ทำให้ฉันยิ้มบางๆหลังจากได้ฟัง “พี่ก็แค่อยากให้เมระวัง”

    End May Mesa Talk

    Peak Pichaphon Talk

               

                “เห้ย วันนี้ทำไมกลับมาเร็วจึงวะ” หลังจากผมเปิดประตูเข้ามาในโรงนอนไอ้จิณก็เป็นคนทัก เหลือบตามองไอ้เอกที่นอนอยู่บนเตียงไอ้จิณครู่หนึ่งผมก็เดินไปทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเอง

    การป่วยนี้มันดูดพลังชะมัดเลย บางทีก็อยากจะตบตัวเองที่ลงทุนถึงขนาดทำให้ตัวเองป่วยเพื่อเรียกร้องความสนใจจากพี่เม แต่จริงๆแล้วมันก็ได้ผลเกินคาดเสียด้วย

    “ก็มีคนมาส่งไว” ผมตอบพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ แตะดูหน้าผากตัวเองแล้วถือว่าดีขึ้นมากแต่ยังไม่สร่างไข้เท่าไหร่

    “มึงมากับใคร” ไอ้เอกถามแล้วทำแววตาริกรี้หากมีหางมันคงส่ายดุ๊กดิ๊กเหมือนหมา

    “มากับพี่เม” คำตอบของผมทำให้ไอ้จิณที่คราแรกไม่ได้สนใจหันมามองด้วย ตั้งแต่วันนั้นที่ไอ้เอกท้าผมไอ้ติณมันก็คอยห้ามผมอยู่ตลอด และมันก็เป็นคนบอกเองด้วยว่าผมคงจีบคนอย่างพี่เมไม่ติดแน่ แต่พอได้ยินว่าผมมากับพี่เมมาส่งมันก็ตารุกวาวเหมือนกัน “เป็นไงจิณตกใจเลยสิ”

    “ทำไมถึงได้มากับพี่เขา” มันหยุดแววตาที่ไม่ค่อยเชื่อหูแถมยังเปลี่ยนมาเป็นสงสัยผมแทน

    “พี่ชายพี่เมเรียนอยู่ที่นี่” ผมพูดเอื่อย ๆ โดยที่ยังไม่ได้กล่าวถึงประเด็นสำคัญเกี่ยวกับพี่ชายของพี่เมว่าเป็นใคร แต่หากพูดถึงไอ้พวกเพื่อนผมทั้งหมดก็คงต้องตกใจ “พี่เมมาหาพี่ชายเขากูก็เลยมาด้วย”

    “กูก็นึกว่าเขาจะมาส่ง” ไอ้จิณพูดพลางส่ายหัว เพราะมันนั้นมั่นใจเต็มร้อยว่าผมคงจีบพี่เมไม่ติด

    “ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่พี่เมจะมาส่งหรือให้มันติดรถมา แต่อยู่ที่เขายอมให้มันมาด้วยได้ไงต่างหาก”

    “เมื่อวานกูป่วย พี่เมเป็นคนดูแลกู กูบอกเขาว่าจะกลับโรงเรียนวันนี้เขาเองก็จะมาหาพี่ชายก็เลยมาด้วยกัน” ผมบอกด้วยท่าทางสบายๆก่อนจะตรวจดูของที่เอามาในกระเป๋า

    “ป่วยเหี้ยไรกูรู้จักมึงมาสี่ปีกว่าไม่เคยเห็นมึงป่วยสักครั้ง ตอแหลน่าพีค” ไอ้เอกว่าบ้าง

    “ป่วยจริง กูพึ่งไปฉีดยามาเมื่อเช้า” ว่าจบผมก็ถอดเสื้ออกและหันแขนข้างที่โดนฉีดยาไปสองเข็มให้พวกมันสองคนดู “ฉีดตั้งสองเข็ม ปวดแขนฉิบ”

    “มึงป่วยได้ไง มึงออกกำลังกายทุกวันกินโปรตีน แล้วก็ยาบำรุงตลอด” ไอ้จิณถามพลางหลี่ตา

    “กูก็แค่เอาน้ำแข็งใส่น้ำให้เย็นมากๆแล้วอาบน้ำ ตามด้วยอาบน้ำร้อนจัดๆ” ว่าไปผมก็นึกถึงวันก่อนไปพลาง คิดมาแล้วขยาดตัวเองมุมนั้นอยู่เหมือนกัน “แล้วก็นอนไม่ใส่เสื้อกับเปิดแอร์เย็นๆทั้งคืน”

    “เพื่อ” ไอ้จิณถามสั้นๆ

    “เมื่อกี้กูบอกว่าใครเป็นคนดูแลกู” ผมถามย้ำถึงหลายประโยคก่อนหน้า

    “พี่เม” ไอ้จิณกับไอ้เอกตอบพร้อมกัน

    “นั้นไงคำตอบว่าทำไมกูถึงต้องป่วย” หลังจากผมตอบไปไอ้สองคนนี้ก็ร้องเหี้ยออกมาดังมาก “ตกใจอะไร มึงคิดว่าคนอย่างกูจะยอมแพ้ง่ายๆแค่เพราะพี่เขาบอกว่าไม่อยากมีแฟนเหรอ”

    ผมพูดก่อนจะใส่เสื้อกลับมาดังเดิม ผมเล่าเรื่องที่พี่เมบอกว่ายังไม่อยากมีแฟนให้พวกมันฟัง พวกมันยิ่งพนันกว่าเดิมว่าผมคงจีบพี่เมไม่ติด และไม่มีวันทำในสิ่งที่พวกมันท้าได้

    “มึงนี่แม่งพยายามกับทุกเรื่องเลยนะ” ไอ้จิณว่าพลางส่ายหน้า “โดยเฉพาะเรื่องเหี้ยๆ”

    ไอ้จิณเป็นแบบนี้เสมอ ถึงแม้ว่ามันจะท้าผมด้วยแต่ถ้าถามว่าใครดีที่สุดในกลุ่มก็คงเป็นมัน แต่บางทีไอ้จิณอาจจะไม่ใช่คนดีอะไร แค่มันดูเป็นคนที่ปกติที่สุดแล้วก็ได้มั้ง

    เราสามคนจบเรื่องนี้ไปแล้วพูดคุยอะไรอีกหลายอย่าง ไอ้เอกดูคันปากยิกๆที่อยากจะพูดถึงเรื่องผมทำให้ตัวเองป่วยก็รีบลงข้อความเข้าไปในกลุ่มเพื่อเล่าเรื่องที่ได้ฟังให้เพื่อนคนอื่นฟัง ทุกคนในกลุ่มรู้ว่าผมจีบพี่เมอยู่ และรู้ว่าผมจีบพี่เมเพราะอะไร

    ในระหว่างที่พูดคุยฆ่าเวลาเพื่อรอเพื่อนๆคนอื่นกลับมานั้นผ่านไปประมาณเกือบชั่วโมง ผมก็เหลือบตามองไปทางประตูแล้วเห็นว่ามีคนเดินมาทางนี้ หน้าตางบานเลื่อนด้านข้างประตูที่เปิดเอาไว้ทำให้ผมเห็นชัดว่าคนเดินมานั้นคือพี่ไม้ พี่ชายของพี่เม

    “พีค” เขาเรียกผมผ่านช่องหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ ทำให้ไอ้เอกกับไอ้จิณที่ตอนแรกไม่ได้สนใจหันไปมอง แต่พอเห็นว่าเป็นใครมันก็รีบหันกลับมามองหน้าผมสลับกับพี่เขาก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนแล้วก็ทำความเคารพตามแบบฉบับของโรงเรียนเรา

    พวกเราไม่ได้เกรงกลัวต่อความแก่ชั้นปีกว่าแต่มันเป็นสิ่งที่เรียกว่าทำเนียมปฏิบัติและเคารพต่อรุ่นพี่ และอีกอย่างพวกเราก็รู้จักพี่เขา จะว่ารู้จักเฉยๆก็คงไม่ใช่ อาจจะเรียกได้ว่าเคยมีเรื่องเขม่นกันอยู่สักพักแต่พวกผมก็รู้ว่าเรื่องมันเกิดมาจากพวกผมนั่นแหละ

    หลายเดือนก่อนโน้นช่วงปิดเทอมพวกผมก็นักเจอกันที่ร้านเหล้าแห่งหนึ่งในข้าวสาร ไอ้เอกเมาแล้วก็เลยเรื้อยไปจีบแฟนของพี่ตง เพื่อนของพี่ไม้ ตอนไอ้เอกเมามันค่อนข้างปากดีก็เลยมีเรื่องกันนิดหน่อย แต่ก็ขอโทษขอโพยกันแล้วและไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน

    กลุ่มผมกับกลุ่มพวกพี่ไม้ดูจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่สปีชีส์ใกล้เคียงกันเพราะงั้นบางทีจึงไม่ได้ถูกกันขนาดนั้น ว่าง่ายๆก็มีผู้หญิงเข้าหาเยอะและในสังคมเราก็ค่อนข้างมีผู้หญิงเยอะน่ะ แต่ผมก็ไม่ได้มั่วนะ

    อาจจะนิยามคล้ายๆเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ทำนองนี้มั้ง

    “ครับพี่” ผมขานรับพร้อมกับที่ไอ้เอกได้สบตาผม แววตามันดูตั้งคำถามว่าทำไมพี่ไม้ถึงมาหา

    “มีเรื่องจะคุยด้วย” พอได้ยินแบบนั้นผมก็เดินออกไปในทันที ผมยืนมองหน้าพี่เขาอยู่ด้านหน้าประตู และเหมือนว่าพี่เขาจะไม่ได้ต้องการจะคุยที่นี่ พี่เขาเลยเดินนำผมมาจนสุดทางเดินของโรงนอนซึ่งตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีคนมา “มึงลืมถุงยาไว้ในรถเม”

    “ขอบคุณครับ” ผมตอบไปหลังจากที่พี่เขายืนของมาให้ อันที่จริงผมตั้งใจจะลืมเพื่อให้พี่เมทักมาบอกผมจะได้ลงไปหาเธออีกรอบ

    แปลกใจนะที่พึ่งรู้ว่ามึงเป็นน้องของน้องพราว โลกกลมดี เขาพูดพลางเอนหลังพิงกับผนัง ก่อนจะยกยิ้มให้ผมหน่อยๆ และหากผมเดาไม่ผิดประโยคต่อไปเขาคงอยากคุยเรื่องพี่เมมั้ย มันไม่มีทางที่คนอย่างพี่ไม้จะมาพูดกับผมเพราะเรื่องพี่พราวหรอก “รู้จักกับเมนานหรือยัง”

    “พี่พราวเคยพูดถึงพี่เมให้ที่บ้านฟังนานแล้วครับ แต่ผมพึ่งเคยเจอพี่เมอาทิตย์ก่อน” ผมเล่าถึงเรื่องที่บ้านพี่พราวชอบให้ป๊ากับม๊าฟังบ่อยว่าพี่เมน่ารักและนิสัยดีขนาดไหน จริงๆที่บ้านผมเคยเจอพี่เมกันหลายหนแล้วที่บางแสน และพี่พราวเคยพามาที่บ้านสองครั้งแต่ ผมแค่ไม่เคยเจอ เคยเห็นแค่รูปเท่านั้น

    “ชอบเมหรือเปล่า” หลังจากที่ได้ฟังผมก็นิ่งคิดหน่อยๆ

    “ชอบแบบไหนเหรอครับ” ผมรู้ความหมายแต่แค่อยากกวนเขา

    “มึงรู้ว่าแบบไหน” เขาย้อนกลับมา เขามองตาผมชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยปาก “เมไม่เหมาะกับมึงหรอก”

    “ทำไมเหรอครั”บ ผมแสร้งถามทั้งที่รู้ดี เขาอาจหมายถึงสังคม การใช้ชีวิต ลักษณะนิสัย ไลฟ์สไตล์ และอีกมากมายหลายอย่าง ยอมรับตามตรงว่าพี่เมแตกต่างออกไปจากผู้หญิงที่ผมชอบทุกคน

    “ทุกอย่างที่เป็นมึง และเมมันต่างกัน” เขาพูดเสียงเบาและใบหน้าก็ดูจริงจังไม่น้อยเลยทีเดียว “ไม่ว่ามึงจะเข้าใจมั้ย แต่เอาเป็นว่าอย่ายุ่งกับเม”

    พูดจบเขาก็ทำท่าจะหันหลังให้ผม เตรียมเดินจากไปไป ส่วนผมก็

    “พี่เมน่ะ” ผมเอยถึงบุคคลที่สามและนั่นทำให้พี่ไม้หันกลับมามองผม “น่ารักมากเลยล่ะครับ”


     ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

    - BABYBOW -

    งานนี้คืออีน้องกวนตีนมากนะ พี่เขาบอกไม่ให้ยุ่งกับน้องเขา แต่อีน้องไปชมน้องเขาว่าน่ารักเสย มุงจะเปิดศึกกับรุ่นพี่เลยเหรอไอ้เด็กนี่ เอาง่ายๆคือพี่ไม้กับอีพีคนิสัยเหมือนกันเลยมองออก เลยไม่อยากให้ยุ่งกับเมเพราะเมคือแบบน่าสงสารนะ

    Contact me

    FB : Babybow TW : Babybbow_ Group NC : Bababow [H+]



     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×