คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : 250% ll #พีคเมษา ll THE CHIAN PEAK : EPISODE 03
THE CHIAN PEAK : EPISODE 03
“ของเมเหรอคะ”
ฉันยังถามย้ำเพราะไม่น่าจะมีใครส่งมานี่นา ฉันเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์เพื่อดูช่อดอกไม้นั้นใกล้ๆ
แต่ตอนฉันเหลือบตามามองทางเดิมก็เห็นพีคยืนมองอยู่ เขายังคงมองฉันอยู่แบบนั้น และสลับไปมองดอกไม้บนเคาท์เตอร์นั้นด้วย
“ใครฝากมาเหรอคะพี่”
“ลงชื่อว่าคุณพีรทัชค่ะ”
พอได้ฟังฉันก็ถึงบางอ้อว่านคนที่ฝากดอกไม้เอาไว้คือพฤกษ์นั่นเอง
“อ๋อ
ค่ะ” ฉันกระอักกระอวนใจหน่อยๆหลังจากได้ฟัง คือฉันน่ะบอกพฤกษ์ไปแล้วว่าฉันยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้
และฉันไม่ได้อยากเป็นมากกว่าเพื่อนกับเขาแต่เขาก็ยังรุกฉันไม่หยุด
สำหรับฉันแล้วฉันจะมีเซ้นต์บางอย่างกับบางคนว่าควรจะเป็นสถานะไหน
มันจะมีความรู้สึกว่ากับคนนี้เป็นมากกว่าเพื่อนไม่ได้ ฉันเห็นนิสัยใจคอของพฤกษ์
คำพูดและความคิดหลายอย่างทำให้ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนกันมันคงดีกว่ามาก
แต่ฉันก็ไม่กล้าจะพูดกับเขาแรงมากเพราะเห็นว่ายังเป็นเพื่อนกัน
“เมฝากไว้ก่อนได้มั้ยคะ
เดี๋ยวกลับมาจะมาเอา ถ้าพี่เลิกงานแล้วก็วางไว้ตรงนี้ก็ได้ค่ะ”
ฉันคิดว่าคงไม่หอบดอกไม้ที่พฤกษ์ให้ไปไหนมาไหนด้วยหรอกเลยฝากพี่นิติฯเอาไว้
หลังจากนั้นก็เดินกลับมาหาน้องพีคที่ยืนรออยู่ที่เดิม “ไปกันเถอะค่ะ”
“ครับ”
เขารับคำก่อนจะเดินนำมาที่รถ รถพี่ก็จอดอยู่ใกล้กันกับรถฉัน แต่ทว่ายี่ห้อและราคามันก็คงต่างกันมาก
ฉันรู้ว่าบ้านพราวมีฐานะที่ดีอยู่แล้วจึงไม่ได้แปลกใจ
พีคเปิดประตูรถให้ฉันด้วย
มันทำเอาฉันกระอักกระอวนใจจนอธิบายไม่ถูกเลยแฮะ เกิดมาทั้งชีวิตยังไม่เคยมีใครทำให้ฉันแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆนะ
“ขอบคุณค่ะ”
ฉันตอบรับกลับไปและเขาก็ค้อมหัวให้พร้อมปิดประตูรถลงก่อนจะเดินไปขึ้นฝั่งคนขับ
ในตอนที่พีคกำลังถอยหลังรถเขาได้วางมือบนพนักเบาะฝั่งที่ฉันนั่งแล้วหันไปมองด้านหลัง
ฉันรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงกว่าเดิมมาก ไม่รู้สิอธิบายไม่ถูกเหมือนกันแต่รู้สึกอย่างนั้น
ฉันแอบเผลอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพีค
แนวสั้นกรามนั้นน่ะ หากมันคมมากและพุงมาแทงฉันได้ฉันก็คงเลือดอาบไปแล้ว
“มองผมทำไมครับ”
เขาถามทั้งที่ไม่ได้หันมามองหน้าฉันด้วยซ้ำจนกระทั่งเขาสามารถเลี้ยวรถเข้าสู่ทางตรงที่จะออกจากคอนโดได้
ฉันที่ถูกทักท้วงจึงรีบหันหนี
“เปล่าค่ะ”
ฉันตอบกลับไปเสียงเบาก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่
“หึ”
พีคส่งเสียงหัวเราะในลำคออกมาเบา ๆ ฉันเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเสตาออกไปนอกรถ “ใครส่งดอกไม้มาให้เหรอครับ
ผมถามได้มั้ย”
คำถามนั้นทำให้ฉันเอียงหน้ากลับมามองเขา
พีคมองฉันครู่หนึ่งก็หันกลับไปมองทาง
“ถามได้”
อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะปิดบังอะไรอยู่แล้วน่ะนะ “เพื่อนส่งมาค่ะ”
“เพื่อนกันทำไมถึงส่งดอกไม้มาให้กันเหรอครับ”
หากเป็นคนอื่นฉันก็คงเลี่ยงที่จะไม่พูดไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเพียงแค่พีคมองตาฉันก็รู้สึกว่าควรพูดความจริง
อาจจะเพราะเขามีรังสีบางอย่างล่ะมั้ง แต่ไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามนั้นพีคก็ส่งคำถามถัดไปมาเลย
“คุยกันอยู่หรือเขาจีบพี่”
ราวกับว่ามานั่งอยู่ในใจหรือมีญาณหยั่งรู้เลยนะ
“ก็.....ไม่ได้คุยกันค่ะ”
เป็นคำตอบอ้อมๆที่ฉันไม่กล้าพูดว่า พฤกษ์จีบฉันเพราะกลัวว่าจะดูมั่นหน้าเกินไปน่ะนะ
ฉันไม่ได้เป็นคนมั่นอกมั่นใจอะไรขนาดนั้นเลยไม่กล้าพูด
“งั้นเขาเขาจีบพี่
ถูกมั้ยครับ?” ฉันเลิ่กลั่กนิดหน่อยแต่ก็ยอมตอบไป พีคน่ะเป็นหมอดูหรือเปล่า
“ค่ะ”
ฉันตอบเสียงเบามาก แต่หลังจากได้ฟังพีคก็ไม่ตอบอะไรออกมา สีหน้าเขาดูเรียบกว่าเดิมมาก
มากจนคิดว่ามันเปลี่ยนไป แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ฉันว่าฉันควรเปลี่ยนเรื่องคุย “วันหยุดยาวพีคไม่อยู่กับครอบครัวที่บ้านเหรอคะ”
“ไม่ครับที่บ้านไม่มีใครอยู่
แม่กับป๊าไปหาน้องสาวผมที่นิวซีแลนด์ ส่วนพี่พราวก็ไปบ้านแฟน” ฉันครางรับพลางพยักหน้าให้เขาเบาๆ
“แล้ววันหยุดยาวพี่เมไม่กลับบ้านเหรอครับ”
“ไม่ค่ะ
ที่บ้านก็คงไม่มีคนอยู่เหมือนกัน” ฉันตอบไปแล้วก็อธิบาย “พี่ชายคนโตพี่เรียนอยู่ที่ต่างประเทศน่ะค่ะ
ส่วนอีกคนก็เรียนที่โรงเรียนXX นครนายกน่ะค่ะ หยุดนี้ไม่ได้ออก”
“โรงเรียนเดียวกับผมหนิครับ
อยู่ปีอะไร” เขาถามมาและบรรยากาศตอนแรกที่ฉันรู้สึกว่ามันตึงก็กลับมาเป็นปกติกว่าเดิมมาก
“ปีที่สี่ค่ะ”
ฉันรู้แล้วตั้งแต่ที่พราวเล่าให้ฟังว่าพีคเรียนที่ไหนตั้งแต่ยังไม่รู้จักเขา
แต่ฉันก็ไม่เคยบอกใครเรื่องพี่ชายฉันเรียนอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรน่ะนะ คือถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีคนถามก็จะไม่เล่าเลย
“พี่ชายเป็นทหาร
โหดมั้ยครับ” ในตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าพี่ถามทำไมเหมือนกันนะ
“ไม่โหดหรอก
แค่ไม่ค่อยพูดเฉยๆ” ฉันบอกเมื่อนึกถึงพี่ชายคนรองที่ตอนนี้เขานั้นเรียนทหารอยู่เขาโตกว่าฉันสองปีสัปดาห์นี้หยุดยาวแต่เขาก็ไม่ได้ออกมา
แต่ถึงออกมาเขาก็น่าจะอยู่หอแฟนที่กรุงเทพ
ฉันมีพี่ชายสองคน
คนโตชื่อพี่หมอกอายุห่างฉันหกปีเขาสอบชิงทุนไปต่างประเทศได้
เขาเป็นคนที่ฉันเคารพเหมือนพ่อ เขาทำเพื่อฉันและพี่ไม้หมายอย่าง
เป็นคนที่ส่งฉันเรียนจนจบมอปลายด้วย เขาเสียสละให้ฉันกับพี่ไม้ได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ
ตอนแรกฉันเกิดและโตที่บุรีรัมย์
ช่วงฉันอยู่มอหนึ่งพี่หมอกจบมอหกก็สอบเรียนนายสิบทหารต่อหลังจากเรียนจบเขาก็ส่งฉันกับพี่ไม้เรียน
พี่ไม้ย้ายไปอยู่ลพบุรีซึ่งเป็นจังหวัดที่พี่หมอกได้ประจำการก่อน ตอนแรกฉันไม่อยากไปเพราะอยากอยู่กับย่า
แต่ตอนมอสี่ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นกับฉันทำให้ฉันไม่อยากอยู่ที่บ้านย่า
และพี่หมอกอยากเอาฉันไปดูแลเองเพราะย่าแก่แล้วและไม่อยากรบกวนคุณอาฉันเลยต้องย้ายไปเรียนที่ลพบุรี
ฉันอยู่ในบ้านพักทหารชั้นประทวนจนจบมอหกก็สอบได้ที่นี่แล้วมาเรียน
เงินเดือนนายสิบมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น
ฉันรู้ว่าพี่หมอกคงส่งฉันไม่ไหวเพราะไม่ใช่ลูกมันเลยเบิกสวัดิการการศึกษาไม่ได้
ฉันเลยตัดสินใจทำงาน เพราะหากฉันไม่ทำพี่หมอกก็ต้องรับจ้างเข้าเวรหนักขึ้น
ฉันกลับไปที่บุรีรัมย์ครั้งล่าสุดตอนไปเอาเอกสารเกี่ยวกับพ่อตอนรายงานตัวเข้ามหาลัยและไม่ได้กลับไปอีก
พ่อฉันแต่งงานใหม่ ส่วนแม่ก็เหมือนกัน แม่ทิ้งฉันไว้ตอนอายุได้แค่ห้าเดือนเองมั้งฉันไม่เคยเห็นหน้าเขาหรอกแล้วก็ไม่อยากเห็นด้วย
พ่อเองก็เหมือนกัน เขาไม่รู้หรอกว่าพวกเราเป็นอยู่กันยังไง
“ไม่โหดกับพี่เม
แต่อาจจะโหดกับผมก็ได้” เขาพูดไปและไม่ได้หันหน้ามามองฉันเลย มันเลยทำให้ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“ทำไมต้องโหดกับพีคด้วยล่ะ”
ฉันถามกลับส่วนพีคก็
“ไม่มีพี่ชายคนไหนใจดีกับคนที่อยากจีบน้องสาวของตัวเองหรอกครับ”
คำพูดของเขาทำให้ฉันเอ๋อมาก ๆ ฉันหันไปมองเขาตาปริบ ๆ
แบบว่าพูดไม่ออกและใจเต้นแรงมาก แรงจนฉันกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจฉันเลย “ผมมีน้องสาวเหมือนกัน
ก็คงไม่ใจดีกับคนที่มาจีบน้องผมหรอก”
“......”
ฉัน....ฉันต้องตอบว่าอะไรล่ะ เขาได้มีท่าทีหยอกเลย หน้าเขาเรียบนิ่งดูจริงจัง
น้ำเสียงก็ไม่มีความตลกขบขันเลยสักนิด “อ่า....”
“อ๋า
ผมทำพี่เมตกใจ” เขาพึ่งรู้ตัวเหรอ เขารู้ตัวตอนฉันส่งเสียงเอ๋อ ๆ ออกไปแบบนั้น
เขาหันมามองฉันเพียงไม่กี่วิแล้วก็ยกยิ้มมุมปากเหมือนที่ชอบทำก่อนจะหันกลับไป
ให้ตายเถอะกระโดดลงจากรถไปตอนนี้ได้มั้ย มันเป็นสถานการณ์ที่ชวนกระอักกระอวนมากจริงๆ
“พี่เมดูไม่ออกเหรอครับ”
เขาถามกลับมาและฉันก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ พูดจริงๆ ใครมันจะไปดูออก
ทุกคนดูออกมั้ย ฉันว่าไม่นะ หรือว่าดูออกอ่ะ ผู้ชายอย่างพีคเหรอจะมาจีบฉัน ตลกน่า
“ล้อเล่นใช่มั้ย”
นั่นเป็นคำที่ฉันประมวลได้อย่างแรกหลังจากสติหลุดไปพักหนึ่ง
อันที่จริงฉันก็เคยโดนรุกจีบอย่างจริงจัง
รวดเร็ว และรุนแรงอยู่สองสามหน แต่ว่ามันก็ไม่ได้กระอักกระอวนใจเท่านี้
กับคนอื่นหากฉันไม่ชอบฉันก็ปฏิเสธไปเลยตรง ๆแต่ว่ากับพีค มันต่างออกไป
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นน้องของเพื่อนสนิทฉัน แล้วน้องก็ดูมีแฟนแล้ว....
ทำไมถึงคิดว่าผมล้อเล่นล่ะครับ
เขาถามกลับมาและในตอนนั้นเองก็ติดไฟแดงพอดี พีคหันหน้ามามองฉันที่น่าจะหน้าเอ๋อไม่น้อย
“ผมกำลังจริงจังอยู่นะ”
“พีคมีแฟนแล้ว”
ฉันพูดไปตามที่รู้และเห็นมากับตาในวันนั้น เขาจูบกับผู้หญิงคนหนึ่งและดูแนบแน่นกันมาก
หากบอกว่าไม่ใช่แฟนฉันคงไม่เชื่อหรอก นอกจากว่า
“พี่คงหมายถึงผู้หญิงที่ร้านเหล้าอาทิตย์ก่อน”
ราวกับว่ามองตาแล้วอ่านทะลุถึงหัวใจและสมองฉันได้ง่ายดายนัก “ไม่ใช่แฟนหรอกครับ
เป็นแค่ Friend with benefit. เฉยๆ”
“......”
ฉันตกใจแมตต์ที่สองในจังหวะนี้ คือฉันรู้จักดีว่า FWB คืออะไร เคยฟังจากคนอื่นว่ามี
หรือเคยฟังจากในยูทูปบ้างแต่ไม่เคยคิดว่าจะเจอคนใกล้ตัวขนาดนี้ แต่ฉันก็โตและทันสมัยพอที่จะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้น่าเกลียดหากพึงพอใจทั้งสองฝ่าย
“ผมกับเขาตกลงกันชัดเจนว่าจะเป็นแบบนั้น
ผมว่ามันแฟร์นะเพราะผมก็ไม่ได้อยากมีแฟน ส่วนเซ็กซ์มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนอยากมีไม่ใช่เหรอครับ?”
ฉันไม่แน่ใจว่าอะไรมันทำให้เรามาคุยกันเรื่องนี้
และไม่เข้าใจว่าทำไมพีคถึงกล้าพูดมันกับฉัน “แต่ตอนนี้ผมหยุดแล้ว”
“ทำไมล่ะ”
ฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมาและฉันไม่ได้เถียงในสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้
ฉันเองก็อยู่ในสังคมที่เปิดกว้างมากพอและไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใครหากมันไม่ทำให้ฉันวุ่นวาย
“เธออยากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนครับ
และผมไม่ได้เป็นผู้ชายในแบบที่เธออยากได้เป็นแฟน” เขาอธิบายให้ฟังส่วนฉันก็ตั้งใจฟังเขามากๆ
“ส่วนผมก็เจอคนที่อยากจะเป็นแฟนด้วยแล้ว เราก็เลยจบกัน ผมคิดว่าผมคงดีกว่าหากจบกันตอนนี้
ผมไม่อยากให้แฟนในอนาคตของผมมีปัญหา”
“......”
แล้วฉันต้องตอบว่าอะไรดี ฉันยังงงไม่หายเลย พีคเขาพูดมาแบบไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะโอเคมั้ย
ฉันจะชอบหรือเปล่า แต่ก็นะ.....
“พี่เมโอเคมั้ย”
เขาถามกลับมา
“หืม
คะ” ฉันเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่องเลยนะ แบบว่าเอ๋อไปเลยหลังจากได้ฟังตั้งแต่ประโยคที่บอกว่าจะจีบแล้ว
แต่ก็แน่ล่ะใครมันจะไปสติดีอยู่ “โอเคเรื่องอะไร”
“ก็เรื่องที่ผมจะจีบพี่
แล้วก็เรื่องFWB” แล้วฉันต้องตอบว่าอะไร
มันไม่ใช่ส่งที่จะตอบว่าโอเคได้ง่ายๆนะ ฉันไม่ได้เป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องความรักง่ายขนาดนั้น
และฉันก็เป็นคนคิดเยอะเสียทีเดียว ไม่รู้จะตอบอะไรเลยจริงๆ
“พี่ไม่ได้อะไรกับFWB แต่ว่าทำไมถึงอยากจีบพี่เหรอ”
เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้ดูจะโดดเด่นหรือมีดีมากพอขนาดที่ให้ผู้ชายอย่างพีคมาจีบเลย
เขาหล่อมากในแบบที่ฉันมองแล้วรู้เลยว่าหล่อ
หลายคนก็คงมองแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนฐานะเขาด็ดี จัดว่าดีกว่าฉันหลายเท่าตัว เขาเกิดมาพร้อมกับทุกอย่างในขณะที่ฉันต้องพยายามดิ้นรนมากๆ
ฉันไม่ใช่คนมีฐานะดี ไม่ได้มีแต้มต่อทางสังคมที่สูงแบบเขา
แล้วด้วยอาชีพเขาในอนาคตแล้วด้วย
เขาสามารถหาผู้หญิงดีๆและเท่าเทียมกันทางฐานะ สังคม หรือหน้าตาได้ง่ายดายกว่ามาก
ในขณะที่ฉันเป็นผู้หญิงที่ธรรมดามาก ฉันมองตัวเองอย่างนั้น
“พี่น่าสนใจดีครับ”
เป็นคำตอบที่เรียบง่ายสำหรับเขา แต่สำหรับฉันมันสร้างความแปลกใจและงงงวยขึ้นมามาก
มากจนฉันไม่รู้จะต้องพูดอะไรดีอีกต่อไปแล้ว “น่าสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยครับ”
“......”
ฉันเงียบ อันที่จริงฉันก็อยากบอกว่าพีคกับพฤกษ์นั้นให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว
แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ใช่ความรู้สึกแบบแฟนมั้ย หรือมันคืออะไร
พีคทำให้ฉันใจเต้นแรงทั้งที่ฉันไม่ชอบคนเด็กกว่า
ฉันรู้สึกเขินเวลามองแววตาที่ลุ่มลึกและดูมีอะไรของเขาด้วย
แต่ทั้งหมดนั้นฉันก็ลบมันออกไปด้วยความกลัวการมีความรัก
ฉันเคยเจ็บปวดกับความรักมาหลายรูปแบบจนฉันไม่กล้าเปิดใจ
ฉันไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่ดีและอบอุ่น
แต่พี่ชายฉันก็ให้ความรักดี ๆ กับฉันเสมอ
ฉันเลิกกับแฟนทั้งสองครั้งได้ย่ำแย่จนฉันคิดว่าฉันอาจจะไม่เหมาะกับการมีแฟน
ฉันเคยโดนเพื่อนหักหลังด้วยนั่นก็ทำให้ฉันกลัว สิ่งเหล่านั้นเป็นกำแพงที่หนาเกินกว่าฉันจะกล้าพังให้คนอื่นเข้ามา
“แล้วตกลงพี่โอเคมั้ยครับถ้าผมจะจีบพี่”
เขาย้ำกลับมาคำถามนี้
“พี่ยังไม่อยากมีแฟนเลยค่ะ”
ฉันตอบออกไปตามตรง เพราะอย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละว่าฉันมีปมในใจหลายอย่างมาก
มากเกินกว่าจะกล้าเปิดใจให้ใครง่ายๆ
ถึงแม้เพื่อนๆเคยบอกว่าผู้ชายในโลกนี้ไม่ได้แย่ทุกคนก็เถอะ แต่ใครจะรู้กันล่ะ
ว่ามั้ย....
“งั้นผมก็คงเสียใจ”
พีคพูดมาแล้วหน้าตาเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดเลย ตาเขาละห้อยมาก มากจนฉันไม่กล้าสบตาเขาเลย
ไม่นานนักเราก็มาถึงเซนฯกัน
เราพักเรื่องนั้นเอาไว้ ฉันว่าพีคก็คงจะเข้าใจ และระหว่างเราไม่ได้ดูน่าอึดอัดอย่างที่คิด
พีคปกติ ฉันปกติ และฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับเขา
แม้ว่าสถานการณ์คล้ายกันนี้
พฤกษ์เคยบอกชอบฉัน และฉันก็เคยปฏิเสธเขาด้วยประโยคแบบเดียวกันกับพีค
แต่ฉันกลับรู้สึกอึดอัดกับพฤกษ์มากกว่าพีคโขเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพฤกษ์เคยเป็นเพื่อนมาก่อนหรือเปล่า
เวลาต้องเจอกันทุกวันและจำได้ว่าเขาบอกชอบกันมันเลยอึดอัด
ตอนซื้อของพีคให้ฉันช่วยเลือกหลายอย่างมาก
ตั้งแต่ชุดถ้วย จาน แก้วน้ำต่างๆ ชั้นวางของ แล้วก็รวมไปถึงพวกชุดเครื่องนอนด้วย
“พีคชอบสีอะไร”
ระหว่างอยู่ตรงโซนที่ขายผ้าห่มชุดเครื่องนอนอะไรพวกนี้ฉันก็ถามเขา
“แล้วพี่เมชอบสีอะไรล่ะครับ”
เขาถามย้อนกลับมาเลยทำให้ฉันมุ่นคิ้ว คือไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาถามทำไมจนเขาพูดต่อ “เอาที่ที่พี่เมชอบ”
“แต่พี่ชอบสีชมพูนะ”
ฉันเป็นผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองจะเป็นสาวหวานหน่อยๆจึงชอบสีชมพูด สีฟ้า สีพีช
อะไรที่มันพาสเทลและผู้หญิงมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คำว่าสี หรือแบบเสื้อผ้ามันก็ไม่ใช่ข้อจำกัดในเรื่องเพศแล้ว
ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถใช้ได้ทุกสี ในความคิดฉันนะ
แต่ฉันคิดว่ามันคงหวานไปสำหรับพีคหรือเปล่า
“อ่า....”
เขาผงะหน่อยๆตอนฉันตอบ “เข้มกว่านี้ไม่มีเหรอครับ”
“อืม....ถ้าสีเข้มๆสีกลม
กับสีดำ พอได้มั้ย” เขาพยักหน้าน้อยๆก่อนที่เขาจะหยิบชุดเครื่องนอนทั้งสองสีลงบนรถเข็นแล้วก็เข็นนำหน้าจนฉันต้องเดินตามหลังไปถาม
“ทำไมถึงต้องให้พี่เลือกให้
แล้วก็ใช้สีที่พี่ชอบล่ะ พีคเป็นคนนอน”
ฉันพูดไปแล้วเขาก็หยุดรถตรงโซนที่ขายหมอนหนุนกับหมอนข้าง
“เพราะผมแค่อยากใช้อะไรแบบที่พี่ชอบ”
ฉันไม่พูดอะไรและหยิบหมอนยางพาราใส่รถเข็นไปโดยที่มีพีคเข็นรถตามมเงียบๆ
เราใช้เวลาอยู่ในโซนของใช้ในบ้านอยู่ร่วมชั่วโมงก็ได้ของมาเต็มรถเข็น
ในช่วงเวลาตรงนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักจนกระทั่งออกจากห้าง ฉันเข้าใจว่าพีคจะกลับคอนโดเลยแต่ไม่ใช่แฮะ
เขาพาฉันขับรถอ้อมมาเส้นในเมืองเข้าถนนเส้นบางแสน-อ่างศิลา จนมาถึงเขาสามสุกและจดลงที่หน้าร้านอาหารที่พึ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน
ร้านนี้เป็นร้านที่พราวมากับเต้เมื่ออาทิตย์ก่อน
ที่พราวชวนฉันแต่ฉันก็ไม่ได้มาด้วย เพราะเกรงใจและไม่อยากเป็นก้างขวางคอเพื่อนน่ะนะ
“ทานข้าวกันก่อนครับ
ผมเลี้ยง” เขาพูดและปลดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย “อย่าบอกว่าไม่หิวนะครับ
ผมได้ยินเสียงท้องพี่ร้องด้วย”
อ่า...แล้วฉันโกหกอะไรได้ก่อน
“ค่ะ
ไปก็ไป” ฉันต้องยอมจำนนกับเด็กคนนี้ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ วันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันหยุด
แต่โชคดีมากที่โต๊ะติดฝั่งทะเลพึ่งมีคนออกไปพอเราได้เลยได้โต๊ะริม พระอาทิต์ตกแล้ว
แต่ท้องฟ้ายังมีความมีน้ำเงินอมส้มอยู่ ไม่ได้มืดนัก
ระหว่างรออาหารฉันจึงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปท้องฟ้าลงสตอรี่
พอหันกลับมาก็เห็นว่าพีคก็กำลังถ่ายรูปท้องฟ้าอยู่เหมือนกัน
จริงท้องฟ้าวันนี้สวย มันไม่ได้มีเมฆหนามากและมืดทึบไปเลย ทำให้หลายคนก็คงชอบเหมือนกัน
“ปกติพี่เมต้องส่งของวันละเยอะๆแบบวันนั้นเลยเหรอครับ”
เขาเริ่มถามมา และเข้าใจว่าคงหมายถึงวันก่อนที่เขาช่วยยกพวกกล่องพัสดุที่แพ็คแล้วลงมาใส่รถให้ฉัน
“ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ
แต่จริงๆก็แล้วแต่วัน” ในตอนที่ฉันพูดพีคสบตาฉันที่เป็นคุณสมบัติของผู้ฟังที่ดี
เขาดูสนอกสนใจเกินกว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่ฉันคิดเอาไว้
“เหนื่อยมั้ยครับ”
คำถามของพีคทำให้ฉันสะตั้นไปชั่วอึดใจเลย นอกจากพี่ชายสองคนของฉันพีคเป็นคนแรกที่ถามฉันแบบนี้
มันเป็นคำถามที่ทัชใจมาก ปกติแล้วไม่ค่อยมีคนถามอะไรฉันแบบนี้หรอก และถึงแม้คำว่าเหนื่อยมั้ยจะเป็นคำที่เรียบง่ายมากๆ
แต่หรับคนที่ไม่ค่อยได้รับมันเป็นคนที่ดีมากเลยนะ
“ก็เหนื่อยแหละ
แต่ว่าพี่ชินแล้ว” ฉันตอบและปลายประโยคก็ติดยิ้มหน่อยๆ
“พี่เมเก่งมากเลยนะ
ขายของวันละเยอะๆแบบนั้น แถมยังมีร้านกาแฟเป็นของตัวเองอีก” แววตาเขาดูชื่นชมจากใจจริงมากกว่าจะเสแสร้ง
วูบนั้นทำให้ฉันเผลอคิดว่าเขาเป็นคนที่ดี
แต่จริงๆหากใครมาเห็นสายตาแบบนี้ของเขาก็คงจะเผลอคิดเหมือนกัน
“พี่ไม่ได้เก่งหรอก
แต่มันจำเป็นต้องทำนี่นา” ฉันพูดอย่างไม่อายและเสแสร้ง
ฉันจะบอกทุกคนเสมอว่าฉันไม่ได้ร่ำรวยมาแต่เกิด อาจจะเพราะมีคนชอบคิดว่าฉันเกิดมาในกลุ่มคนมีอันจะกิน
ไม่แน่ใจว่าอะไร หากวัดจากหน้าตาผิวพรรณนั้นฉันว่ามันคงไม่เกี่ยว
“ทำไมถึงต้องทำงานเหรอครับ
ทั้งที่เรียนอยู่ ผมถามได้มั้ย” ฉันพยักหน้าเบาๆ
“ก็ฐานะทางบ้านพี่ไม่ได้ดีขนาดนั้นไง
พี่ชายคนโตของพี่เป็นคนส่งพี่กับพี่ชายคนรองเรียนตอนมอปลายน่ะ
พอขึ้นมหาลัยค่าใช้จ่ายมันเยอะพี่ไม่อยากหี่ชายพี่ต้องทำงานหนักก็เลยหาอะไรมาแบ่งเบาภาระ”
ฉันอธิบายด้วยความใจเย็นและไม่ได้รู้สึกเศร้าที่เล่าถึง
มันคือFact และฉันก็ไม่ได้อายด้วย พีคไม่ได้เป็นคนแรกที่ถามฉันแบบนี้
เพื่อนๆรวมถึงอาจารย์ก็เคยถามเหมือนกัน และฉันก็ยินดีที่เล่าถึงพื้นเพของตัวเองโดยไม่ได้ปิดบังอะไร
“......”
พอฟังประโยคพวกนั้นจบพีคก็มีท่าทางอั้มอึ้งไปหน่อยๆ ฉันรู้ว่าถ้าหากฉันเล่าถึงเรื่องพี่ชายเป็นคนส่งฉันเรียนก็ต้องมีคนสงสัยต่อว่าพ่อกับแม่ฉันไปไหน
แล้วพีคก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน “ขอโทษนะครับ แล้วพ่อกับแม่พี่ล่ะ”
“พ่อกับแม่พี่เลิกกันตั้งแต่พี่อายุห้าเดือนน่ะ
แม่พี่กลับไปที่บ้านเกิดตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพี่ก็ไม่เคยเจอ” ท้ายประโยคฉันก็กลืนก้อนแข็งๆลงคอ
“ส่วนพ่อพี่ก็แต่งงานใหม่แล้วย้ายไปอยู่กับภรรยาเขา พี่แล้วก็พี่ชายอยู่กับคุณย่า
แต่พอพี่ชายพี่ทำงานแล้วพี่ขึ้นมอปลายพี่ชายพี่ก็เลยพาไปอยู่ด้วย”
“อ่า
ครับ” เขาตอบรับแล้วพยักหน้าเบาๆ บางทีมันดูเป็นเรื่องน่าสงสารใช่มั้ยล่ะ
ฉันได้รับสายตาที่ดูสงสารจากพีคเหมือนกัน ใครได้ฟังก็คงทำสายตาแบบนั้น ฉันชินแล้ว
หลังจากเงียบไปอีกชั่วอึดใจพีคก็ถามต่อ “แล้วพี่เมเคยมีแฟนหรือเปล่าครับ”
“เคยค่ะ
เคยมีสองคนแต่จบไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ว่าจบฉันก็หลุบตาลง เหตุการณ์ที่แฟนคนที่สองจะข่มขืนฉันยังอยู่อยู่เลย
ฉันจำได้แม่นแม้พยายามจะลืมก็ทำไม่ได้ แต่ในจังหวะที่ฉันได้ช้อนสายตากลับขึ้นมาก็เห็นพีคมองอยู่
แววตาเขาลึกซึ้งเกินกว่าจะจ้องได้นานๆเลย ใจเต้นแรงจังแฮะ
“เพราะว่าจบกับสองคนนั้นไม่ดีหรือเปล่า
พี่เลยไม่อยากให้ผมจีบ” เป็นคำถามที่ทำให้ฉันสะอึกได้เลย แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าเหตุผลที่ฉันไม่อยากมีแฟนก็เพราะเรื่องพวกนั้น
“ค่ะ”
ฉันยอมรับตามตรง แผลที่แฟนเก่าสองคนสร้างไว้มันไม่หายไปไหน มันยังอยู่
ฉันเปรียบตัวฉันเป็นเหมือนกระบองเพชร
ความเจ็บปวดจากทั้งเรื่องครอบครัว คนรักเก่า เรื่องเพื่อน ฐานะครอบครัว
ความดิ้นรนพยายามใช้ชีวิตให้ดีของฉันเป็นหนามแหลมๆที่อยู่รอบตัว มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันเวลาที่คนเข้ามาหาฉัน
หากฉันมีแฟนและตอนนี้ฉันนยังสลัดหนามพวกนั้นไปไม่ได้คนที่เข้ามาจะเจ็บปวด
ฉันยังไม่พร้อมเพราะงั้นการที่ฉันปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่เข้ามามันคือการที่จะเซฟทั้งเขาและฉันด้วย
ฉันคิดว่าหากฉันเปิดใจคุย
สร้างความสัมพันธ์ทั้งที่ตัวเองยังเจ็บปวดกับอดีตแบบนั้น
แล้วฝ่ายตรงข้ามเกิดรักฉันอย่างลึกซึ้งขึ้นมาเขาจะเจ็บปวด ฉันเองก็กลัวพีคจะเป็นแบบนั้น
การที่เราไม่พร้อมเราควรจะปฏิเสธอีกฝ่ายไปตรงๆเลยดีกว่า
ไม่ใช่ไปคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์จนผูกพัน พอวันนึงมาบอกว่าไม่ได้รู้สึกเหมือนกันมันไม่ดีหรอก
ไม่ดีเลย
“ผู้ชายไม่ได้จะไม่ดีเหมือนแฟนเก่าพี่ทุกคนนะครับ”
ประโยคของพีคทำให้ฉันยิ้ม
“เป็นน้องพราว
ก็พูดเหมือนพราวเลย” ฉันว่าแกมเกาท้ายทอยของตัวเองเบาๆ “พี่รู้ว่าทุกคนไม่ได้แย่เหมือนกันหมด
แต่พี่แค่ยังไม่พร้อมจริงๆ”
“โอเคครับ”
เขาตอบกลับมา “แต่ว่าพี่อย่าตีตัวออกห่างผมได้มั้ย”
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนั้นด้วย”
ฉันแอบไม่เข้าใจในประโยคที่พีคพูดเมื่อกี้ แต่ก็นะ...
“ผมกลัวว่าถ้าเกิดว่าพี่รู้ว่าผมอยากจีบพี่
แล้วพี่จะไม่โอเค” พอได้ฟังฉันก็ยิ้มบางๆ ฉันไม่คิดว่าพีคจะเป็นแบบนี้
จากตอนแรกที่ฉันก็รู้สึกหวั่นๆกับเขาเพราะสายตา อาจจะเพราะครั้งแรกด้วยมั้ง
แต่พอได้รู้จักเขาเยอะขึ้นอีกหน่อยก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาดูไม่ได้น่ากลัวอะไร
“ไม่หรอก
ไม่ต้องคิดมากนะ” ฉันบอกไปตอนนั้นแล้วก็อาหารมาเสิร์ฟพอดี เราทานข้าว ชมวิวแล้วก็ฟังเพลงไปด้วย
บรรยากาศดีมากแถมอาหารก็อร่อยมากอีกเหมือนกัน
บอกตามตรงฉันผ่อนคลายกับพีคขึ้นมาก
ตอนแรกฉันเกร็งมากทีเดียวเวลาที่ต้องอยู่กับเขา หรือเจอหน้าเขา
อาจจะเป็นเพราะฉันนคิดว่าเขามีแฟนแล้วแต่ยังมาทำสายตาแปลกๆชวนหวั่นไหวใส่กันล่ะมั้ง
แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่แฟนฉันก็โอเคขึ้นมาหน่อย
อันที่จริงฉันก็แค่ไม่อยากมีปัญหากับใครก็เท่านั้นเอง
ฉันคิดว่าพีคเป็นคนที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาดีมากและฉันก็คิดว่ามีเรื่องจำเป็นที่จะต้องรู้สึกไม่ดีกับเขา
หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็กลับคอนโดกัน
ฉันช่วยพีคถือของเข้ามาในห้องและฉันก็เห็นว่าห้องเขานั้นตกแต่งด้วยสไตล์ที่แตกต่างจากฉันมาก
มันค่อนข้างจะออกไปโทนมืดๆเลยล่ะ
พอเอาของให้เขาเสร็จฉันก็ต้องกลับห้องตัวเอง
เคลียร์ออร์เดอร์ต่าง ๆ และแพ็คของเตรียมส่งในวันพุธหลังจากขนส่งเปิด ฉันส่งของล่าสุดคือวังเสาร์หลังจากนั้นขนส่งก็คงปิดถึงวันอังคารซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์
ฉันรับออร์เดอร์วันละเกือบร้อย บางวันก็ร้อยกว่า เพราะงั้นถึงวันพุธฉันได้แบกของจนตัวหักแน่ๆ
แต่ทำไงได้ล่ะ
ตอนนี้ฉันมีแรงอยู่ต้องรีบหารีบเก็บ ฉันมีความฝันของตัวเหมือนกัน
และคิดว่าคงจะต้องเริ่มเก็บเงินตอนนี้ การมีเงินมันจะช่วยให้ปัญหาทุกอย่างเบาลงได้ไม่มากก็น้อย
ฉันไม่ได้เกิดมามีฐานะที่ดีฉันจึงรู้ว่าตอนไม่มีเงินมันลำบากขนาดไหน
ในตอนก่อนนอนฉันได้เล่นมือไปเรื่อยฉันก็ได้ดูสตอรี่ไอจีซึ่งสตอรี่ของพีคก็ได้อยู่ต่อกับสตอรี่ฉันพอดี
เขาลงท้องฟ้าแบบแทบจะเหมือนกับของฉัน พร้อมกับแท็กสถานที่เหมือนกัน เวลาก็พร้อม ๆ กันอีก
หากคนที่ติดตามเราทั้งสองคนก็คงจะคิดว่าเราไปด้วยกันแหงๆ
แต่พราวก็ไม่น่าจะเห็นมันนะ
พร้าวบอกฉันตั้งแต่เมื่อวานว่าจะทำโซเชียลดีท็อกระหว่างที่ไปตั้งแคมป์กับแฟนน่ะนะ เธอไม่น่าจะได้เล่นโซเชียลด้วย
แต่ถ้าพราวเห็นฉันต้องบอกเพื่อนว่าแบบไหนดี แต่ฉันจะไม่บอกเรื่องที่พีคบอกว่าจะจีบฉันเด็ดขาด
Peak06_ : พี่เมครับ วันนี้ได้ออกไปข้างนอกมั้ย
Peak06_ : ถ้าออกผมวานซื้อยาแก้ไข้ด้วยได้มั้ยครับ พอดีที่ห้องผมไม่มี
ในตอนบ่ายของวันที่ฉันออกมาดูร้านนั้นก็ได้รับข้อความจากพีคจากทางไดเรคไอจี
วันนี้พี่อุ้มบอกว่าลูกค้าเยอะมากและคนที่ฉันจะจ้างมาต่อเติมร้านด้านหลังให้เป็นที่ถ่ายรูปเพิ่มนั้นก็เข้ามาด้วย
แต่ก็เสร็จไปแล้วตั้งแต่เที่ยง เพียงแค่วันนี้ร้านคนเยอะเพราะวันหยุดฉันเลยอยู่ช่วยก่อน
Me : เป็นอะไรมากหรือเปล่า
ฉันส่งไปหาและแอบหวั่นใจว่าพีคจะเป็นอะไรมากมั้ย
ถึงแม้จะไม่ได้คิดอะไรกับเขามากขนาดนั้นและรู้ว่าเขาอยากจีบฉัน แต่ฉันก็เพิกเฉยต่อการป่วยของเขาไม่ได้หรอก
Peak06_ : เหมือนจะเป็นไข้ แล้วก็ปวดหัวมากเลยครับ
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
- BABYBOW -
อ่ะ ล่อลูกฉันแล้วหนึ่ง อีพีคก็คือเห็นพี่ดีด้วยแล้วยังไม่สำนึกอีก เขาก็บอกอยู่ว่าเขาไม่พร้อม จริงๆเมน่าสงสารนะ เมยังไม่เคยลงลึกถึงทั้งเรื่องครอบครัสแล้วก็เรื่องแฟนทั้งสองคนแต่แบบน่าสงสารอ่ะ ฟังแค่นี้ก็สงสารแล้วแต่อีพีคก็คือ...นะ
Contact me
FB : Babybow TW : Babybbow_ Group NC : Bababow [H+]
ความคิดเห็น