ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE CHAIN - PEAK

    ลำดับตอนที่ #3 : 250% ll #พีคเมษา ll THE CHIAN PEAK : EPISODE 03

    • อัปเดตล่าสุด 15 มิ.ย. 64


    THE CHIAN - PEAK

    Hashtag on Twitter #พีคเมษา

    THE CHIAN PEAK : EPISODE 03

     

    “ของเมเหรอคะ” ฉันยังถามย้ำเพราะไม่น่าจะมีใครส่งมานี่นา ฉันเดินเข้าไปที่เคาท์เตอร์เพื่อดูช่อดอกไม้นั้นใกล้ๆ แต่ตอนฉันเหลือบตามามองทางเดิมก็เห็นพีคยืนมองอยู่ เขายังคงมองฉันอยู่แบบนั้น และสลับไปมองดอกไม้บนเคาท์เตอร์นั้นด้วย “ใครฝากมาเหรอคะพี่”

    “ลงชื่อว่าคุณพีรทัชค่ะ” พอได้ฟังฉันก็ถึงบางอ้อว่านคนที่ฝากดอกไม้เอาไว้คือพฤกษ์นั่นเอง

    “อ๋อ ค่ะ” ฉันกระอักกระอวนใจหน่อยๆหลังจากได้ฟัง คือฉันน่ะบอกพฤกษ์ไปแล้วว่าฉันยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้ และฉันไม่ได้อยากเป็นมากกว่าเพื่อนกับเขาแต่เขาก็ยังรุกฉันไม่หยุด

    สำหรับฉันแล้วฉันจะมีเซ้นต์บางอย่างกับบางคนว่าควรจะเป็นสถานะไหน มันจะมีความรู้สึกว่ากับคนนี้เป็นมากกว่าเพื่อนไม่ได้ ฉันเห็นนิสัยใจคอของพฤกษ์ คำพูดและความคิดหลายอย่างทำให้ฉันคิดว่าเป็นเพื่อนกันมันคงดีกว่ามาก แต่ฉันก็ไม่กล้าจะพูดกับเขาแรงมากเพราะเห็นว่ายังเป็นเพื่อนกัน

    “เมฝากไว้ก่อนได้มั้ยคะ เดี๋ยวกลับมาจะมาเอา ถ้าพี่เลิกงานแล้วก็วางไว้ตรงนี้ก็ได้ค่ะ” ฉันคิดว่าคงไม่หอบดอกไม้ที่พฤกษ์ให้ไปไหนมาไหนด้วยหรอกเลยฝากพี่นิติฯเอาไว้ หลังจากนั้นก็เดินกลับมาหาน้องพีคที่ยืนรออยู่ที่เดิม “ไปกันเถอะค่ะ”

    “ครับ” เขารับคำก่อนจะเดินนำมาที่รถ รถพี่ก็จอดอยู่ใกล้กันกับรถฉัน แต่ทว่ายี่ห้อและราคามันก็คงต่างกันมาก ฉันรู้ว่าบ้านพราวมีฐานะที่ดีอยู่แล้วจึงไม่ได้แปลกใจ

    พีคเปิดประตูรถให้ฉันด้วย มันทำเอาฉันกระอักกระอวนใจจนอธิบายไม่ถูกเลยแฮะ เกิดมาทั้งชีวิตยังไม่เคยมีใครทำให้ฉันแบบนี้มาก่อนเลยจริงๆนะ

    “ขอบคุณค่ะ” ฉันตอบรับกลับไปและเขาก็ค้อมหัวให้พร้อมปิดประตูรถลงก่อนจะเดินไปขึ้นฝั่งคนขับ ในตอนที่พีคกำลังถอยหลังรถเขาได้วางมือบนพนักเบาะฝั่งที่ฉันนั่งแล้วหันไปมองด้านหลัง ฉันรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลงกว่าเดิมมาก ไม่รู้สิอธิบายไม่ถูกเหมือนกันแต่รู้สึกอย่างนั้น

    ฉันแอบเผลอมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพีค แนวสั้นกรามนั้นน่ะ หากมันคมมากและพุงมาแทงฉันได้ฉันก็คงเลือดอาบไปแล้ว

    “มองผมทำไมครับ” เขาถามทั้งที่ไม่ได้หันมามองหน้าฉันด้วยซ้ำจนกระทั่งเขาสามารถเลี้ยวรถเข้าสู่ทางตรงที่จะออกจากคอนโดได้ ฉันที่ถูกทักท้วงจึงรีบหันหนี

    “เปล่าค่ะ” ฉันตอบกลับไปเสียงเบาก่อนจะกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่

    “หึ” พีคส่งเสียงหัวเราะในลำคออกมาเบา ๆ ฉันเม้มปากน้อย ๆ ก่อนจะเสตาออกไปนอกรถ “ใครส่งดอกไม้มาให้เหรอครับ ผมถามได้มั้ย”

    คำถามนั้นทำให้ฉันเอียงหน้ากลับมามองเขา พีคมองฉันครู่หนึ่งก็หันกลับไปมองทาง

    “ถามได้” อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ฉันจะปิดบังอะไรอยู่แล้วน่ะนะ “เพื่อนส่งมาค่ะ”

    “เพื่อนกันทำไมถึงส่งดอกไม้มาให้กันเหรอครับ” หากเป็นคนอื่นฉันก็คงเลี่ยงที่จะไม่พูดไปแล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเพียงแค่พีคมองตาฉันก็รู้สึกว่าควรพูดความจริง อาจจะเพราะเขามีรังสีบางอย่างล่ะมั้ง แต่ไม่ทันที่จะได้ตอบคำถามนั้นพีคก็ส่งคำถามถัดไปมาเลย “คุยกันอยู่หรือเขาจีบพี่”

    ราวกับว่ามานั่งอยู่ในใจหรือมีญาณหยั่งรู้เลยนะ

    “ก็.....ไม่ได้คุยกันค่ะ” เป็นคำตอบอ้อมๆที่ฉันไม่กล้าพูดว่า พฤกษ์จีบฉันเพราะกลัวว่าจะดูมั่นหน้าเกินไปน่ะนะ ฉันไม่ได้เป็นคนมั่นอกมั่นใจอะไรขนาดนั้นเลยไม่กล้าพูด

    “งั้นเขาเขาจีบพี่ ถูกมั้ยครับ?” ฉันเลิ่กลั่กนิดหน่อยแต่ก็ยอมตอบไป พีคน่ะเป็นหมอดูหรือเปล่า

    “ค่ะ” ฉันตอบเสียงเบามาก แต่หลังจากได้ฟังพีคก็ไม่ตอบอะไรออกมา สีหน้าเขาดูเรียบกว่าเดิมมาก มากจนคิดว่ามันเปลี่ยนไป แต่ฉันก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ฉันว่าฉันควรเปลี่ยนเรื่องคุย “วันหยุดยาวพีคไม่อยู่กับครอบครัวที่บ้านเหรอคะ”

    “ไม่ครับที่บ้านไม่มีใครอยู่ แม่กับป๊าไปหาน้องสาวผมที่นิวซีแลนด์ ส่วนพี่พราวก็ไปบ้านแฟน” ฉันครางรับพลางพยักหน้าให้เขาเบาๆ “แล้ววันหยุดยาวพี่เมไม่กลับบ้านเหรอครับ”

    “ไม่ค่ะ ที่บ้านก็คงไม่มีคนอยู่เหมือนกัน” ฉันตอบไปแล้วก็อธิบาย “พี่ชายคนโตพี่เรียนอยู่ที่ต่างประเทศน่ะค่ะ ส่วนอีกคนก็เรียนที่โรงเรียนXX นครนายกน่ะค่ะ หยุดนี้ไม่ได้ออก”

    “โรงเรียนเดียวกับผมหนิครับ อยู่ปีอะไร” เขาถามมาและบรรยากาศตอนแรกที่ฉันรู้สึกว่ามันตึงก็กลับมาเป็นปกติกว่าเดิมมาก

    “ปีที่สี่ค่ะ” ฉันรู้แล้วตั้งแต่ที่พราวเล่าให้ฟังว่าพีคเรียนที่ไหนตั้งแต่ยังไม่รู้จักเขา แต่ฉันก็ไม่เคยบอกใครเรื่องพี่ชายฉันเรียนอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรน่ะนะ คือถ้าไม่จำเป็นหรือไม่มีคนถามก็จะไม่เล่าเลย

    “พี่ชายเป็นทหาร โหดมั้ยครับ” ในตอนนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าพี่ถามทำไมเหมือนกันนะ

    “ไม่โหดหรอก แค่ไม่ค่อยพูดเฉยๆ” ฉันบอกเมื่อนึกถึงพี่ชายคนรองที่ตอนนี้เขานั้นเรียนทหารอยู่เขาโตกว่าฉันสองปีสัปดาห์นี้หยุดยาวแต่เขาก็ไม่ได้ออกมา แต่ถึงออกมาเขาก็น่าจะอยู่หอแฟนที่กรุงเทพ

    ฉันมีพี่ชายสองคน คนโตชื่อพี่หมอกอายุห่างฉันหกปีเขาสอบชิงทุนไปต่างประเทศได้ เขาเป็นคนที่ฉันเคารพเหมือนพ่อ เขาทำเพื่อฉันและพี่ไม้หมายอย่าง เป็นคนที่ส่งฉันเรียนจนจบมอปลายด้วย เขาเสียสละให้ฉันกับพี่ไม้ได้สิ่งที่ดีที่สุดเสมอ

    ตอนแรกฉันเกิดและโตที่บุรีรัมย์ ช่วงฉันอยู่มอหนึ่งพี่หมอกจบมอหกก็สอบเรียนนายสิบทหารต่อหลังจากเรียนจบเขาก็ส่งฉันกับพี่ไม้เรียน พี่ไม้ย้ายไปอยู่ลพบุรีซึ่งเป็นจังหวัดที่พี่หมอกได้ประจำการก่อน   ตอนแรกฉันไม่อยากไปเพราะอยากอยู่กับย่า

    แต่ตอนมอสี่ได้เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นกับฉันทำให้ฉันไม่อยากอยู่ที่บ้านย่า และพี่หมอกอยากเอาฉันไปดูแลเองเพราะย่าแก่แล้วและไม่อยากรบกวนคุณอาฉันเลยต้องย้ายไปเรียนที่ลพบุรี ฉันอยู่ในบ้านพักทหารชั้นประทวนจนจบมอหกก็สอบได้ที่นี่แล้วมาเรียน

    เงินเดือนนายสิบมันไม่ได้เยอะขนาดนั้น ฉันรู้ว่าพี่หมอกคงส่งฉันไม่ไหวเพราะไม่ใช่ลูกมันเลยเบิกสวัดิการการศึกษาไม่ได้ ฉันเลยตัดสินใจทำงาน เพราะหากฉันไม่ทำพี่หมอกก็ต้องรับจ้างเข้าเวรหนักขึ้น

    ฉันกลับไปที่บุรีรัมย์ครั้งล่าสุดตอนไปเอาเอกสารเกี่ยวกับพ่อตอนรายงานตัวเข้ามหาลัยและไม่ได้กลับไปอีก พ่อฉันแต่งงานใหม่ ส่วนแม่ก็เหมือนกัน แม่ทิ้งฉันไว้ตอนอายุได้แค่ห้าเดือนเองมั้งฉันไม่เคยเห็นหน้าเขาหรอกแล้วก็ไม่อยากเห็นด้วย พ่อเองก็เหมือนกัน เขาไม่รู้หรอกว่าพวกเราเป็นอยู่กันยังไง

    “ไม่โหดกับพี่เม แต่อาจจะโหดกับผมก็ได้” เขาพูดไปและไม่ได้หันหน้ามามองฉันเลย มันเลยทำให้ฉันไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร

    “ทำไมต้องโหดกับพีคด้วยล่ะ” ฉันถามกลับส่วนพีคก็

    “ไม่มีพี่ชายคนไหนใจดีกับคนที่อยากจีบน้องสาวของตัวเองหรอกครับ” คำพูดของเขาทำให้ฉันเอ๋อมาก ๆ ฉันหันไปมองเขาตาปริบ ๆ แบบว่าพูดไม่ออกและใจเต้นแรงมาก แรงจนฉันกลัวว่าเขาจะได้ยินเสียงหัวใจฉันเลย “ผมมีน้องสาวเหมือนกัน ก็คงไม่ใจดีกับคนที่มาจีบน้องผมหรอก”

    “......” ฉัน....ฉันต้องตอบว่าอะไรล่ะ เขาได้มีท่าทีหยอกเลย หน้าเขาเรียบนิ่งดูจริงจัง น้ำเสียงก็ไม่มีความตลกขบขันเลยสักนิด “อ่า....”

    “อ๋า ผมทำพี่เมตกใจ” เขาพึ่งรู้ตัวเหรอ เขารู้ตัวตอนฉันส่งเสียงเอ๋อ ๆ ออกไปแบบนั้น

    เขาหันมามองฉันเพียงไม่กี่วิแล้วก็ยกยิ้มมุมปากเหมือนที่ชอบทำก่อนจะหันกลับไป ให้ตายเถอะกระโดดลงจากรถไปตอนนี้ได้มั้ย มันเป็นสถานการณ์ที่ชวนกระอักกระอวนมากจริงๆ

    “พี่เมดูไม่ออกเหรอครับ” เขาถามกลับมาและฉันก็ส่ายหน้าเป็นคำตอบให้ พูดจริงๆ ใครมันจะไปดูออก ทุกคนดูออกมั้ย ฉันว่าไม่นะ หรือว่าดูออกอ่ะ ผู้ชายอย่างพีคเหรอจะมาจีบฉัน ตลกน่า

    “ล้อเล่นใช่มั้ย” นั่นเป็นคำที่ฉันประมวลได้อย่างแรกหลังจากสติหลุดไปพักหนึ่ง

    อันที่จริงฉันก็เคยโดนรุกจีบอย่างจริงจัง รวดเร็ว และรุนแรงอยู่สองสามหน แต่ว่ามันก็ไม่ได้กระอักกระอวนใจเท่านี้ กับคนอื่นหากฉันไม่ชอบฉันก็ปฏิเสธไปเลยตรง ๆแต่ว่ากับพีค มันต่างออกไป อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเป็นน้องของเพื่อนสนิทฉัน แล้วน้องก็ดูมีแฟนแล้ว....

    ทำไมถึงคิดว่าผมล้อเล่นล่ะครับ เขาถามกลับมาและในตอนนั้นเองก็ติดไฟแดงพอดี พีคหันหน้ามามองฉันที่น่าจะหน้าเอ๋อไม่น้อย “ผมกำลังจริงจังอยู่นะ”

    “พีคมีแฟนแล้ว” ฉันพูดไปตามที่รู้และเห็นมากับตาในวันนั้น เขาจูบกับผู้หญิงคนหนึ่งและดูแนบแน่นกันมาก หากบอกว่าไม่ใช่แฟนฉันคงไม่เชื่อหรอก นอกจากว่า

    “พี่คงหมายถึงผู้หญิงที่ร้านเหล้าอาทิตย์ก่อน” ราวกับว่ามองตาแล้วอ่านทะลุถึงหัวใจและสมองฉันได้ง่ายดายนัก “ไม่ใช่แฟนหรอกครับ เป็นแค่ Friend with benefit. เฉยๆ”

    “......” ฉันตกใจแมตต์ที่สองในจังหวะนี้ คือฉันรู้จักดีว่า FWB คืออะไร เคยฟังจากคนอื่นว่ามี หรือเคยฟังจากในยูทูปบ้างแต่ไม่เคยคิดว่าจะเจอคนใกล้ตัวขนาดนี้ แต่ฉันก็โตและทันสมัยพอที่จะรู้ว่าเรื่องแบบนี้มันไม่ได้น่าเกลียดหากพึงพอใจทั้งสองฝ่าย

    “ผมกับเขาตกลงกันชัดเจนว่าจะเป็นแบบนั้น ผมว่ามันแฟร์นะเพราะผมก็ไม่ได้อยากมีแฟน ส่วนเซ็กซ์มันก็เป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนอยากมีไม่ใช่เหรอครับ?” ฉันไม่แน่ใจว่าอะไรมันทำให้เรามาคุยกันเรื่องนี้ และไม่เข้าใจว่าทำไมพีคถึงกล้าพูดมันกับฉัน “แต่ตอนนี้ผมหยุดแล้ว”

    “ทำไมล่ะ” ฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมาและฉันไม่ได้เถียงในสิ่งที่เขาพูดก่อนหน้านี้ ฉันเองก็อยู่ในสังคมที่เปิดกว้างมากพอและไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใครหากมันไม่ทำให้ฉันวุ่นวาย

    “เธออยากมีแฟนเป็นตัวเป็นตนครับ และผมไม่ได้เป็นผู้ชายในแบบที่เธออยากได้เป็นแฟน” เขาอธิบายให้ฟังส่วนฉันก็ตั้งใจฟังเขามากๆ “ส่วนผมก็เจอคนที่อยากจะเป็นแฟนด้วยแล้ว เราก็เลยจบกัน ผมคิดว่าผมคงดีกว่าหากจบกันตอนนี้ ผมไม่อยากให้แฟนในอนาคตของผมมีปัญหา”

    “......” แล้วฉันต้องตอบว่าอะไรดี ฉันยังงงไม่หายเลย พีคเขาพูดมาแบบไม่ได้สนใจเลยว่าฉันจะโอเคมั้ย ฉันจะชอบหรือเปล่า แต่ก็นะ.....

    “พี่เมโอเคมั้ย” เขาถามกลับมา

    “หืม คะ” ฉันเหมือนคนพูดไม่รู้เรื่องเลยนะ แบบว่าเอ๋อไปเลยหลังจากได้ฟังตั้งแต่ประโยคที่บอกว่าจะจีบแล้ว แต่ก็แน่ล่ะใครมันจะไปสติดีอยู่ “โอเคเรื่องอะไร”

    “ก็เรื่องที่ผมจะจีบพี่ แล้วก็เรื่องFWB” แล้วฉันต้องตอบว่าอะไร มันไม่ใช่ส่งที่จะตอบว่าโอเคได้ง่ายๆนะ ฉันไม่ได้เป็นคนที่ตัดสินใจเรื่องความรักง่ายขนาดนั้น และฉันก็เป็นคนคิดเยอะเสียทีเดียว ไม่รู้จะตอบอะไรเลยจริงๆ

    “พี่ไม่ได้อะไรกับFWB แต่ว่าทำไมถึงอยากจีบพี่เหรอ” เพราะฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่ได้ดูจะโดดเด่นหรือมีดีมากพอขนาดที่ให้ผู้ชายอย่างพีคมาจีบเลย

    เขาหล่อมากในแบบที่ฉันมองแล้วรู้เลยว่าหล่อ หลายคนก็คงมองแบบนั้นเหมือนกัน ส่วนฐานะเขาด็ดี จัดว่าดีกว่าฉันหลายเท่าตัว เขาเกิดมาพร้อมกับทุกอย่างในขณะที่ฉันต้องพยายามดิ้นรนมากๆ ฉันไม่ใช่คนมีฐานะดี ไม่ได้มีแต้มต่อทางสังคมที่สูงแบบเขา

    แล้วด้วยอาชีพเขาในอนาคตแล้วด้วย เขาสามารถหาผู้หญิงดีๆและเท่าเทียมกันทางฐานะ สังคม หรือหน้าตาได้ง่ายดายกว่ามาก ในขณะที่ฉันเป็นผู้หญิงที่ธรรมดามาก ฉันมองตัวเองอย่างนั้น

    “พี่น่าสนใจดีครับ” เป็นคำตอบที่เรียบง่ายสำหรับเขา แต่สำหรับฉันมันสร้างความแปลกใจและงงงวยขึ้นมามาก มากจนฉันไม่รู้จะต้องพูดอะไรดีอีกต่อไปแล้ว “น่าสนใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นเลยครับ”

    “......” ฉันเงียบ อันที่จริงฉันก็อยากบอกว่าพีคกับพฤกษ์นั้นให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันเลยสักนิดเดียว แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไร ใช่ความรู้สึกแบบแฟนมั้ย หรือมันคืออะไร

    พีคทำให้ฉันใจเต้นแรงทั้งที่ฉันไม่ชอบคนเด็กกว่า ฉันรู้สึกเขินเวลามองแววตาที่ลุ่มลึกและดูมีอะไรของเขาด้วย แต่ทั้งหมดนั้นฉันก็ลบมันออกไปด้วยความกลัวการมีความรัก ฉันเคยเจ็บปวดกับความรักมาหลายรูปแบบจนฉันไม่กล้าเปิดใจ

    ฉันไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่ดีและอบอุ่น แต่พี่ชายฉันก็ให้ความรักดี ๆ กับฉันเสมอ ฉันเลิกกับแฟนทั้งสองครั้งได้ย่ำแย่จนฉันคิดว่าฉันอาจจะไม่เหมาะกับการมีแฟน ฉันเคยโดนเพื่อนหักหลังด้วยนั่นก็ทำให้ฉันกลัว สิ่งเหล่านั้นเป็นกำแพงที่หนาเกินกว่าฉันจะกล้าพังให้คนอื่นเข้ามา

    “แล้วตกลงพี่โอเคมั้ยครับถ้าผมจะจีบพี่” เขาย้ำกลับมาคำถามนี้

    “พี่ยังไม่อยากมีแฟนเลยค่ะ” ฉันตอบออกไปตามตรง เพราะอย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละว่าฉันมีปมในใจหลายอย่างมาก มากเกินกว่าจะกล้าเปิดใจให้ใครง่ายๆ ถึงแม้เพื่อนๆเคยบอกว่าผู้ชายในโลกนี้ไม่ได้แย่ทุกคนก็เถอะ แต่ใครจะรู้กันล่ะ ว่ามั้ย....

    “งั้นผมก็คงเสียใจ” พีคพูดมาแล้วหน้าตาเขาก็ทำให้ฉันรู้สึกผิดเลย ตาเขาละห้อยมาก มากจนฉันไม่กล้าสบตาเขาเลย

    ไม่นานนักเราก็มาถึงเซนฯกัน เราพักเรื่องนั้นเอาไว้ ฉันว่าพีคก็คงจะเข้าใจ และระหว่างเราไม่ได้ดูน่าอึดอัดอย่างที่คิด พีคปกติ ฉันปกติ และฉันคิดว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอึดอัดกับเขา

    แม้ว่าสถานการณ์คล้ายกันนี้ พฤกษ์เคยบอกชอบฉัน และฉันก็เคยปฏิเสธเขาด้วยประโยคแบบเดียวกันกับพีค แต่ฉันกลับรู้สึกอึดอัดกับพฤกษ์มากกว่าพีคโขเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าพฤกษ์เคยเป็นเพื่อนมาก่อนหรือเปล่า เวลาต้องเจอกันทุกวันและจำได้ว่าเขาบอกชอบกันมันเลยอึดอัด

    ตอนซื้อของพีคให้ฉันช่วยเลือกหลายอย่างมาก ตั้งแต่ชุดถ้วย จาน แก้วน้ำต่างๆ ชั้นวางของ แล้วก็รวมไปถึงพวกชุดเครื่องนอนด้วย

    “พีคชอบสีอะไร” ระหว่างอยู่ตรงโซนที่ขายผ้าห่มชุดเครื่องนอนอะไรพวกนี้ฉันก็ถามเขา

    “แล้วพี่เมชอบสีอะไรล่ะครับ” เขาถามย้อนกลับมาเลยทำให้ฉันมุ่นคิ้ว คือไม่ค่อยเข้าใจว่าเขาถามทำไมจนเขาพูดต่อ “เอาที่ที่พี่เมชอบ”

    “แต่พี่ชอบสีชมพูนะ” ฉันเป็นผู้หญิงที่คิดว่าตัวเองจะเป็นสาวหวานหน่อยๆจึงชอบสีชมพูด สีฟ้า สีพีช อะไรที่มันพาสเทลและผู้หญิงมากๆ แต่เดี๋ยวนี้คำว่าสี หรือแบบเสื้อผ้ามันก็ไม่ใช่ข้อจำกัดในเรื่องเพศแล้ว ไม่ว่าเพศไหนก็สามารถใช้ได้ทุกสี ในความคิดฉันนะ

    แต่ฉันคิดว่ามันคงหวานไปสำหรับพีคหรือเปล่า

    “อ่า....” เขาผงะหน่อยๆตอนฉันตอบ “เข้มกว่านี้ไม่มีเหรอครับ”

    “อืม....ถ้าสีเข้มๆสีกลม กับสีดำ พอได้มั้ย” เขาพยักหน้าน้อยๆก่อนที่เขาจะหยิบชุดเครื่องนอนทั้งสองสีลงบนรถเข็นแล้วก็เข็นนำหน้าจนฉันต้องเดินตามหลังไปถาม

    “ทำไมถึงต้องให้พี่เลือกให้ แล้วก็ใช้สีที่พี่ชอบล่ะ พีคเป็นคนนอน” ฉันพูดไปแล้วเขาก็หยุดรถตรงโซนที่ขายหมอนหนุนกับหมอนข้าง

    “เพราะผมแค่อยากใช้อะไรแบบที่พี่ชอบ” ว่าจบก็ยกยิ้มมุมปากเหมือนพึงพอใจกับหน้าตาเอ๋อๆของฉันมาก เลือกหมอนให้หน่อยครับ เอาที่นอนสบายๆ

    ฉันไม่พูดอะไรและหยิบหมอนยางพาราใส่รถเข็นไปโดยที่มีพีคเข็นรถตามมเงียบๆ เราใช้เวลาอยู่ในโซนของใช้ในบ้านอยู่ร่วมชั่วโมงก็ได้ของมาเต็มรถเข็น

                ในช่วงเวลาตรงนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนักจนกระทั่งออกจากห้าง ฉันเข้าใจว่าพีคจะกลับคอนโดเลยแต่ไม่ใช่แฮะ เขาพาฉันขับรถอ้อมมาเส้นในเมืองเข้าถนนเส้นบางแสน-อ่างศิลา จนมาถึงเขาสามสุกและจดลงที่หน้าร้านอาหารที่พึ่งเปิดใหม่ได้ไม่นาน

    ร้านนี้เป็นร้านที่พราวมากับเต้เมื่ออาทิตย์ก่อน ที่พราวชวนฉันแต่ฉันก็ไม่ได้มาด้วย เพราะเกรงใจและไม่อยากเป็นก้างขวางคอเพื่อนน่ะนะ

    “ทานข้าวกันก่อนครับ ผมเลี้ยง” เขาพูดและปลดเข็มขัดนิรภัยไปด้วย “อย่าบอกว่าไม่หิวนะครับ ผมได้ยินเสียงท้องพี่ร้องด้วย”

    อ่า...แล้วฉันโกหกอะไรได้ก่อน

    “ค่ะ ไปก็ไป” ฉันต้องยอมจำนนกับเด็กคนนี้ โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ วันนี้คนค่อนข้างเยอะเพราะเป็นวันหยุด แต่โชคดีมากที่โต๊ะติดฝั่งทะเลพึ่งมีคนออกไปพอเราได้เลยได้โต๊ะริม พระอาทิต์ตกแล้ว แต่ท้องฟ้ายังมีความมีน้ำเงินอมส้มอยู่ ไม่ได้มืดนัก ระหว่างรออาหารฉันจึงหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปท้องฟ้าลงสตอรี่

    พอหันกลับมาก็เห็นว่าพีคก็กำลังถ่ายรูปท้องฟ้าอยู่เหมือนกัน จริงท้องฟ้าวันนี้สวย มันไม่ได้มีเมฆหนามากและมืดทึบไปเลย ทำให้หลายคนก็คงชอบเหมือนกัน

    “ปกติพี่เมต้องส่งของวันละเยอะๆแบบวันนั้นเลยเหรอครับ” เขาเริ่มถามมา และเข้าใจว่าคงหมายถึงวันก่อนที่เขาช่วยยกพวกกล่องพัสดุที่แพ็คแล้วลงมาใส่รถให้ฉัน

    “ก็ประมาณนั้นแหละค่ะ แต่จริงๆก็แล้วแต่วัน” ในตอนที่ฉันพูดพีคสบตาฉันที่เป็นคุณสมบัติของผู้ฟังที่ดี เขาดูสนอกสนใจเกินกว่าภาพลักษณ์ภายนอกที่ฉันคิดเอาไว้

    “เหนื่อยมั้ยครับ” คำถามของพีคทำให้ฉันสะตั้นไปชั่วอึดใจเลย นอกจากพี่ชายสองคนของฉันพีคเป็นคนแรกที่ถามฉันแบบนี้ มันเป็นคำถามที่ทัชใจมาก ปกติแล้วไม่ค่อยมีคนถามอะไรฉันแบบนี้หรอก และถึงแม้คำว่าเหนื่อยมั้ยจะเป็นคำที่เรียบง่ายมากๆ แต่หรับคนที่ไม่ค่อยได้รับมันเป็นคนที่ดีมากเลยนะ

    “ก็เหนื่อยแหละ แต่ว่าพี่ชินแล้ว” ฉันตอบและปลายประโยคก็ติดยิ้มหน่อยๆ

    “พี่เมเก่งมากเลยนะ ขายของวันละเยอะๆแบบนั้น แถมยังมีร้านกาแฟเป็นของตัวเองอีก” แววตาเขาดูชื่นชมจากใจจริงมากกว่าจะเสแสร้ง วูบนั้นทำให้ฉันเผลอคิดว่าเขาเป็นคนที่ดี แต่จริงๆหากใครมาเห็นสายตาแบบนี้ของเขาก็คงจะเผลอคิดเหมือนกัน

    “พี่ไม่ได้เก่งหรอก แต่มันจำเป็นต้องทำนี่นา” ฉันพูดอย่างไม่อายและเสแสร้ง ฉันจะบอกทุกคนเสมอว่าฉันไม่ได้ร่ำรวยมาแต่เกิด อาจจะเพราะมีคนชอบคิดว่าฉันเกิดมาในกลุ่มคนมีอันจะกิน ไม่แน่ใจว่าอะไร หากวัดจากหน้าตาผิวพรรณนั้นฉันว่ามันคงไม่เกี่ยว

    “ทำไมถึงต้องทำงานเหรอครับ ทั้งที่เรียนอยู่ ผมถามได้มั้ย” ฉันพยักหน้าเบาๆ

    “ก็ฐานะทางบ้านพี่ไม่ได้ดีขนาดนั้นไง พี่ชายคนโตของพี่เป็นคนส่งพี่กับพี่ชายคนรองเรียนตอนมอปลายน่ะ พอขึ้นมหาลัยค่าใช้จ่ายมันเยอะพี่ไม่อยากหี่ชายพี่ต้องทำงานหนักก็เลยหาอะไรมาแบ่งเบาภาระ” ฉันอธิบายด้วยความใจเย็นและไม่ได้รู้สึกเศร้าที่เล่าถึง

    มันคือFact และฉันก็ไม่ได้อายด้วย พีคไม่ได้เป็นคนแรกที่ถามฉันแบบนี้ เพื่อนๆรวมถึงอาจารย์ก็เคยถามเหมือนกัน และฉันก็ยินดีที่เล่าถึงพื้นเพของตัวเองโดยไม่ได้ปิดบังอะไร

    “......” พอฟังประโยคพวกนั้นจบพีคก็มีท่าทางอั้มอึ้งไปหน่อยๆ ฉันรู้ว่าถ้าหากฉันเล่าถึงเรื่องพี่ชายเป็นคนส่งฉันเรียนก็ต้องมีคนสงสัยต่อว่าพ่อกับแม่ฉันไปไหน แล้วพีคก็เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกัน “ขอโทษนะครับ แล้วพ่อกับแม่พี่ล่ะ”

    “พ่อกับแม่พี่เลิกกันตั้งแต่พี่อายุห้าเดือนน่ะ แม่พี่กลับไปที่บ้านเกิดตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพี่ก็ไม่เคยเจอ” ท้ายประโยคฉันก็กลืนก้อนแข็งๆลงคอ “ส่วนพ่อพี่ก็แต่งงานใหม่แล้วย้ายไปอยู่กับภรรยาเขา พี่แล้วก็พี่ชายอยู่กับคุณย่า แต่พอพี่ชายพี่ทำงานแล้วพี่ขึ้นมอปลายพี่ชายพี่ก็เลยพาไปอยู่ด้วย”

    “อ่า ครับ” เขาตอบรับแล้วพยักหน้าเบาๆ บางทีมันดูเป็นเรื่องน่าสงสารใช่มั้ยล่ะ ฉันได้รับสายตาที่ดูสงสารจากพีคเหมือนกัน ใครได้ฟังก็คงทำสายตาแบบนั้น ฉันชินแล้ว หลังจากเงียบไปอีกชั่วอึดใจพีคก็ถามต่อ “แล้วพี่เมเคยมีแฟนหรือเปล่าครับ”

    “เคยค่ะ เคยมีสองคนแต่จบไม่ค่อยดีเท่าไหร่” ว่าจบฉันก็หลุบตาลง เหตุการณ์ที่แฟนคนที่สองจะข่มขืนฉันยังอยู่อยู่เลย ฉันจำได้แม่นแม้พยายามจะลืมก็ทำไม่ได้ แต่ในจังหวะที่ฉันได้ช้อนสายตากลับขึ้นมาก็เห็นพีคมองอยู่ แววตาเขาลึกซึ้งเกินกว่าจะจ้องได้นานๆเลย ใจเต้นแรงจังแฮะ

    “เพราะว่าจบกับสองคนนั้นไม่ดีหรือเปล่า พี่เลยไม่อยากให้ผมจีบ” เป็นคำถามที่ทำให้ฉันสะอึกได้เลย แต่ก็เถียงไม่ได้ว่าเหตุผลที่ฉันไม่อยากมีแฟนก็เพราะเรื่องพวกนั้น

    “ค่ะ” ฉันยอมรับตามตรง แผลที่แฟนเก่าสองคนสร้างไว้มันไม่หายไปไหน มันยังอยู่

    ฉันเปรียบตัวฉันเป็นเหมือนกระบองเพชร ความเจ็บปวดจากทั้งเรื่องครอบครัว คนรักเก่า เรื่องเพื่อน ฐานะครอบครัว ความดิ้นรนพยายามใช้ชีวิตให้ดีของฉันเป็นหนามแหลมๆที่อยู่รอบตัว มันเป็นเหมือนเกราะป้องกันเวลาที่คนเข้ามาหาฉัน

    หากฉันมีแฟนและตอนนี้ฉันนยังสลัดหนามพวกนั้นไปไม่ได้คนที่เข้ามาจะเจ็บปวด ฉันยังไม่พร้อมเพราะงั้นการที่ฉันปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่เข้ามามันคือการที่จะเซฟทั้งเขาและฉันด้วย

    ฉันคิดว่าหากฉันเปิดใจคุย สร้างความสัมพันธ์ทั้งที่ตัวเองยังเจ็บปวดกับอดีตแบบนั้น แล้วฝ่ายตรงข้ามเกิดรักฉันอย่างลึกซึ้งขึ้นมาเขาจะเจ็บปวด ฉันเองก็กลัวพีคจะเป็นแบบนั้น

    การที่เราไม่พร้อมเราควรจะปฏิเสธอีกฝ่ายไปตรงๆเลยดีกว่า ไม่ใช่ไปคุยเพื่อสร้างความสัมพันธ์จนผูกพัน พอวันนึงมาบอกว่าไม่ได้รู้สึกเหมือนกันมันไม่ดีหรอก ไม่ดีเลย

    “ผู้ชายไม่ได้จะไม่ดีเหมือนแฟนเก่าพี่ทุกคนนะครับ” ประโยคของพีคทำให้ฉันยิ้ม

    “เป็นน้องพราว ก็พูดเหมือนพราวเลย” ฉันว่าแกมเกาท้ายทอยของตัวเองเบาๆ “พี่รู้ว่าทุกคนไม่ได้แย่เหมือนกันหมด แต่พี่แค่ยังไม่พร้อมจริงๆ”

    “โอเคครับ” เขาตอบกลับมา “แต่ว่าพี่อย่าตีตัวออกห่างผมได้มั้ย”

    “ทำไมพี่ต้องทำแบบนั้นด้วย” ฉันแอบไม่เข้าใจในประโยคที่พีคพูดเมื่อกี้ แต่ก็นะ...

    “ผมกลัวว่าถ้าเกิดว่าพี่รู้ว่าผมอยากจีบพี่ แล้วพี่จะไม่โอเค” พอได้ฟังฉันก็ยิ้มบางๆ ฉันไม่คิดว่าพีคจะเป็นแบบนี้ จากตอนแรกที่ฉันก็รู้สึกหวั่นๆกับเขาเพราะสายตา อาจจะเพราะครั้งแรกด้วยมั้ง แต่พอได้รู้จักเขาเยอะขึ้นอีกหน่อยก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาดูไม่ได้น่ากลัวอะไร

    “ไม่หรอก ไม่ต้องคิดมากนะ” ฉันบอกไปตอนนั้นแล้วก็อาหารมาเสิร์ฟพอดี เราทานข้าว ชมวิวแล้วก็ฟังเพลงไปด้วย บรรยากาศดีมากแถมอาหารก็อร่อยมากอีกเหมือนกัน

    บอกตามตรงฉันผ่อนคลายกับพีคขึ้นมาก ตอนแรกฉันเกร็งมากทีเดียวเวลาที่ต้องอยู่กับเขา หรือเจอหน้าเขา อาจจะเป็นเพราะฉันนคิดว่าเขามีแฟนแล้วแต่ยังมาทำสายตาแปลกๆชวนหวั่นไหวใส่กันล่ะมั้ง แต่ตอนนี้ก็รู้แล้วว่าไม่ใช่แฟนฉันก็โอเคขึ้นมาหน่อย

    อันที่จริงฉันก็แค่ไม่อยากมีปัญหากับใครก็เท่านั้นเอง ฉันคิดว่าพีคเป็นคนที่ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขาดีมากและฉันก็คิดว่ามีเรื่องจำเป็นที่จะต้องรู้สึกไม่ดีกับเขา

    หลังจากทานอาหารเสร็จเราก็กลับคอนโดกัน ฉันช่วยพีคถือของเข้ามาในห้องและฉันก็เห็นว่าห้องเขานั้นตกแต่งด้วยสไตล์ที่แตกต่างจากฉันมาก มันค่อนข้างจะออกไปโทนมืดๆเลยล่ะ

    พอเอาของให้เขาเสร็จฉันก็ต้องกลับห้องตัวเอง เคลียร์ออร์เดอร์ต่าง ๆ และแพ็คของเตรียมส่งในวันพุธหลังจากขนส่งเปิด ฉันส่งของล่าสุดคือวังเสาร์หลังจากนั้นขนส่งก็คงปิดถึงวันอังคารซึ่งเป็นวันหยุดนักขัตฤกษ์ ฉันรับออร์เดอร์วันละเกือบร้อย บางวันก็ร้อยกว่า เพราะงั้นถึงวันพุธฉันได้แบกของจนตัวหักแน่ๆ

    แต่ทำไงได้ล่ะ ตอนนี้ฉันมีแรงอยู่ต้องรีบหารีบเก็บ ฉันมีความฝันของตัวเหมือนกัน และคิดว่าคงจะต้องเริ่มเก็บเงินตอนนี้ การมีเงินมันจะช่วยให้ปัญหาทุกอย่างเบาลงได้ไม่มากก็น้อย ฉันไม่ได้เกิดมามีฐานะที่ดีฉันจึงรู้ว่าตอนไม่มีเงินมันลำบากขนาดไหน

    ในตอนก่อนนอนฉันได้เล่นมือไปเรื่อยฉันก็ได้ดูสตอรี่ไอจีซึ่งสตอรี่ของพีคก็ได้อยู่ต่อกับสตอรี่ฉันพอดี เขาลงท้องฟ้าแบบแทบจะเหมือนกับของฉัน พร้อมกับแท็กสถานที่เหมือนกัน เวลาก็พร้อม ๆ กันอีก หากคนที่ติดตามเราทั้งสองคนก็คงจะคิดว่าเราไปด้วยกันแหงๆ

    แต่พราวก็ไม่น่าจะเห็นมันนะ พร้าวบอกฉันตั้งแต่เมื่อวานว่าจะทำโซเชียลดีท็อกระหว่างที่ไปตั้งแคมป์กับแฟนน่ะนะ เธอไม่น่าจะได้เล่นโซเชียลด้วย แต่ถ้าพราวเห็นฉันต้องบอกเพื่อนว่าแบบไหนดี แต่ฉันจะไม่บอกเรื่องที่พีคบอกว่าจะจีบฉันเด็ดขาด

     

     

    Peak06_ : พี่เมครับ วันนี้ได้ออกไปข้างนอกมั้ย

    Peak06_ : ถ้าออกผมวานซื้อยาแก้ไข้ด้วยได้มั้ยครับ พอดีที่ห้องผมไม่มี

    ในตอนบ่ายของวันที่ฉันออกมาดูร้านนั้นก็ได้รับข้อความจากพีคจากทางไดเรคไอจี วันนี้พี่อุ้มบอกว่าลูกค้าเยอะมากและคนที่ฉันจะจ้างมาต่อเติมร้านด้านหลังให้เป็นที่ถ่ายรูปเพิ่มนั้นก็เข้ามาด้วย แต่ก็เสร็จไปแล้วตั้งแต่เที่ยง เพียงแค่วันนี้ร้านคนเยอะเพราะวันหยุดฉันเลยอยู่ช่วยก่อน

    Me : เป็นอะไรมากหรือเปล่า

    ฉันส่งไปหาและแอบหวั่นใจว่าพีคจะเป็นอะไรมากมั้ย ถึงแม้จะไม่ได้คิดอะไรกับเขามากขนาดนั้นและรู้ว่าเขาอยากจีบฉัน แต่ฉันก็เพิกเฉยต่อการป่วยของเขาไม่ได้หรอก

    Peak06_ : เหมือนจะเป็นไข้ แล้วก็ปวดหัวมากเลยครับ


     ••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

    - BABYBOW -

    อ่ะ ล่อลูกฉันแล้วหนึ่ง อีพีคก็คือเห็นพี่ดีด้วยแล้วยังไม่สำนึกอีก เขาก็บอกอยู่ว่าเขาไม่พร้อม จริงๆเมน่าสงสารนะ เมยังไม่เคยลงลึกถึงทั้งเรื่องครอบครัสแล้วก็เรื่องแฟนทั้งสองคนแต่แบบน่าสงสารอ่ะ ฟังแค่นี้ก็สงสารแล้วแต่อีพีคก็คือ...นะ

    Contact me

    FB : Babybow TW : Babybbow_ Group NC : Bababow [H+]



     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×