ตอนที่ 2 : บทที่ 2
บทที่ 2
ประเทศไทยยุคปัจจุบัน
เมืองหลวงศิวิไลอย่างกรุงเทพมหานครในตอนนี้คราคร่ำไปด้วยรถยนต์หลากหลายยี่ห้อบนถนนสายหลัก เกือบทุกคันที่พยายามจะแทรกรถของตัวเองให้ได้ไปก่อน ยิ่งในวันหยุดสุดสัปดาห์อย่างนี้ผู้คนส่วนมากมักจะออกไปตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารแถวบ้านของตัวเอง ซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ในรถเก๋งสีขาวก็เป็นหนึ่งในบุคคลเหล่านั้นที่กำลังจะตรงไปยังห้างสรรพสินค้าชื่อดัง
“โอ๊ย! มันจะรีบไปไหนกันนักหนาเนี่ย แทรกกันไปแทรกกันมาอย่างนี้ไม่เห็นมันจะไปได้ไกลตรงไหนเลย มันก็มาติดไฟแดงเหมือนกันล่ะวุ้ย” เสียงบ่นดังขึ้นจากริมฝีปากอิ่มของมนปรียาที่นั่งอยู่ข้างๆ คนขับอย่างหงุดหงิดที่เห็นรถหลายคันพยายามเบียดรถของเธอ นัยน์ตากลมโตสีดำจ้องเขม็งไปยังรถคันเหล่านั้นอย่างไม่ชอบใจ
“นี่ยัยม่อน แกจะรีบไปไหนเนี่ย ฉันเป็นคนขับฉันยังไม่รีบเลย” เสียงเล็กๆ ของปอฉัตรเอ่ยว่าเพื่อนสนิททันทีที่อีกฝ่ายเอ่ยจบ
“ก็ฉันจะรีบไปซื้อหนังสือน่ะสิ วันนี้มีเล่มใหม่ออกมาแล้วนะปอ ฉันไม่อยากพลาด เล่มนี้เด็ดจริงๆ แกขับให้มันไวๆ หน่อยได้ไหม” มนปรียา หรือ ม่อน เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นดีใจราวกลับว่าหนังสือที่ออกมานั้นพิเศษพิศดารมากกว่าเล่มอื่นๆ แต่ปลายประโยคกลับไม่ลืมที่จะเร่งเพื่อนให้ขับเร็วๆ
“แกก็เห็นว่ารถมันติดจะให้ไวยังไงฮะ อ่อ..อย่าบอกนะว่าเกี่ยวกับอียิปต์อีกแล้ว?” คิ้วเรียวสวยของปอฉัตรเลิกขึ้นถามประกอบคำพูดของตัวเอง
“ฮ่าๆ แน่นอนปอฉัตรเพื่อนรัก” มนปรียาตบไหล่เพื่อนเบาๆ พร้อมกับพยักหน้าว่าที่ปอฉัตรเข้าใจนั้นถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่นิดเดียว
“นี่ยัยม่อน เมื่อไหร่จะเลิกบ้าหนังสือเกี่ยวกับอียิปต์สักทีห๊า! อ่านไปเท่าไหร่ก็ไม่หลงยุคกลับไปได้เหมือนในหนังสือนิยายหรอก” เสียงเล็กตวาดกลับอย่างหมดความอดทนที่เพื่อนรักเข้าขั้นบ้า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เกี่ยวกับอียิปต์หรือฟาโรห์มันจะต้องวิ่งไปซื้อมาทุกทีจนตอนนี้ห้องเล็กๆ ของยัยม่อนเพื่อนซี้ของเธอจะเต็มไปด้วยหนังสือทั้งประวัติศาสตร์ทั้งนิยายอยู่แล้ว
“บ้าที่ไหนยัยปอ แค่มีความสนใจย่ะ” คนที่โดนว่า ‘บ้า’ เถียงกลับแบบน้ำขุ่นๆ จนปอฉัตรถึงกับส่ายหัวระอา
“อย่างแกนี่ล่ะยัยม่อน เขาเรียกว่าบ้ามากถึงมากที่สุดจะบอกให้” นิ้วเรียวสวยชี้ไปที่ขมับของมนปรียาเพื่อบอกให้รู้ว่าคนที่บ้าเข้าขั้นนั้นคือใคร
“ก็แหมยัยปอ เล่มนี้น่ะฉันรอมานานแล้วนะ ตั้งแต่อ่านในเว็บจนได้ออกเป็นหนังสือ นักเขียนคนนี้ฉันปลื้มสุดๆ ฟาโรห์ที่รักของฉันอีก แสนจะสุภาพและรักราชินียิ่งกว่าสิ่งใด” หญิงสาวทำหน้าเคลิบเคลิ้มเมื่อเอ่ยถึงฟาโรห์ นัยน์ตากลมโตสีดำแพรวพราวอย่างคนมีความสุข
“บ้าจนกู่ไม่กลับไปแล้วเพื่อนฉัน เฮ้อ!” ปอฉัตรเอ่ยพร้อมกับเสียงถอนหายใจอย่างปลงตกกับนิสัยที่บ้าระห่ำคว้านซื้อหนังสือประวัติศาสตร์และนิยายเกี่ยวกับอียิปต์โบราณมาไว้ครอบครอง
“ถ้าฉันบ้า แกก็ไม่แตกต่างหรอกยัยปอ”
“ทำไมย่ะ ฉันทำไม ฉันไม่ได้บ้าฟาโรห์เหมือนแกนี่ยัยม่อน”
“ก็ถ้าแกไม่บ้า แล้วทำไมแกคุยกับฉันรู้เรื่องล่ะ จริงมั้ยยัยปอเพื่อนร๊ากกก..” ปลายประโยคหญิงสาวลากเสียงยาว ตากลมโตสีดำดูไหวระริกด้วยความชอบใจที่ได้กัดเพื่อนรัก คิ้วสวยกระดกขึ้นลงอย่างเป็นต่อ
“ไอ้ม่อน แกตาย!” มือเรียวเอื้อมไปบีบคอขาวๆ ของเพื่อนรักอย่างโมโหแต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากมายแค่ต้องการแกล้งกลับเท่านั้น ปกติเธอกับมนปรียาก็เล่นอะไรกันแผลงๆ บ้าๆ บอๆ แบบนี้อยู่แล้ว
“เฮ้ย! ยัยปอ! หยุดก่อนๆ เดี๋ยวก็ได้ตายจริงๆ ทั้งคู่ โน้น..ดูโน้น ไฟเขียวแล้วเห็นมั้ย” นิ้วเรียวชี้ให้เพื่อนรักดูที่สัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียว ปอฉัตรที่หันไปมองตามที่มนปรียาชี้ก็ได้แต่ร้องฮึ่มฮัมในคออย่างคนที่โดนขัดใจ
“ฮึ่ม! ฝากไว้ก่อนนะยัยม่อน” พูดจบก็ชักมือกลับมาจับพวงมาลัยรถ ดวงตาเรียวมองทางข้างหน้าพร้อมกับใบหน้าที่งอง้ำ มนปรียาที่เห็นเพื่อนรักทำหน้างอก็ได้แต่อมยิ้มขำ
“โอ๋..ปอคนสวย อย่างอนเลยน๊า ทำหน้างอแบบนี้เดี๋ยวก็ได้แก่เร็วหรอก” ประโยคแรกเหมือนหญิงสาวจะง้อแต่ปลายประโยคกลับทำให้คนที่ถูกง้อหันขวับมามองหน้าทันที
“ไอ้ม่อน! แกยังอยากจะไปซื้อหนังสืออยู่อีกมั้ย?” เสียงเล็กตวาดขึ้นอย่างโมโห เมื่อกี้มันยังง้อเธออยู่เลยแต่ทำไมปลายประโยคมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ
“โอ๋ๆ ปอจ๋า ฉันล้อเล่นน๊า ไม่เอาไม่โกรธน๊า ปอคนสวย ใจดี๊ใจดี” หญิงสาวเอ่ยเสียงหวานอย่างประจบ ขืนไอ้ปอโกรธจริงวันนี้เธอคงจะชวดหนังสือนิยายเรื่องโปรดอย่างแน่นอน
“ดีมาก ถ้ายังอยากไปก็นั่งให้มันเฉยๆ ขืนพูดอีกคำฉันจะกลับรถ” ปอฉัตรทำเสียงโหดจนมนปรียายู่หน้าใส่ รู้อย่างนี้เธอเป็นคนขับเองดีกว่า เฮ้อ!
“จ้า..ไอ้ปอโหด!” มนปรียารับเสียงหวานก่อนที่จะเอ่ยว่าเพื่อนโหดเบาๆ แต่ทว่าหูของคนที่โดนว่า ‘โหด’ กลับดีเกินคาด
“ไอ้ม่อน! อีกแล้วนะ ฉันกลับรถจริงๆ ด้วย” ปอฉัตรค้อนขวับเข้าให้เตรียมจะกลับรถตามที่พูด
“โอเคๆ ไม่ว่าแล้วปอจ๋า รีบไปกันเถอะเนอะ เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันจะพาไปเลี้ยงข้าวอร่อยๆ สักมื้อ ตกลงมั้ย”
“งั้นก็ค่อยยังชั่ว ดีมากถึงมากที่สุดจ้ะเพื่อนรัก ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะที่ดังตามหลังมาทำให้มนปรียาเพิ่งรู้ว่าตัวเองหลงกลเจ้าเพื่อนรักสุดแสบไปเรียบร้อยแล้ว
..ยัยปอนะยัยปอ เล่นกันแบบนี้ คอยดูเถอะถึงทีไอ้ม่อนมั่งจะเอาให้เข็ดเลย ไอ้เพื่อนตัวแสบ งกได้ตลอดเวลา..มนปรียานึกไว้ในใจก่อนที่จะหันไปมองคนจอมวางแผนที่นั่งลอยหน้าลอยตาขับรถไปอย่างสบายใจ
ครึ่งชั่วโมงต่อมารถเก๋งสีขาวก็ขับเคลื่อนเข้าไปจอดภายในตัวอาคารของห้างสรรพสินค้าชื่อดัง ขาเรียวของมนปรียาก้าวฉับๆ โดยไม่ลืมที่จะลากปอฉัตรให้เดินตามมาด้วย
“คุณม่อนเจ้าคะ เดินให้เหมือนคนอื่นเขาเดินหน่อยได้ไหมเจ้าคะ อิฉันตามแกไม่ทันแล้วนะ แกสวมรองเท้าผ้าใบแต่ฉันรองเท้าส้นสูงนะเว้ย รอกันบ้าง” ปอฉัตรตะโกนโหวกเหวกโวยวายจนคนที่เดินภายในห้างสรรพสินค้าหันหน้ามามองเป็นสายตาเดียวกันที่หญิงสาวทั้งสองคน
“ก็ฉันรีบนี่ แกก็เดินให้มันไวๆ หน่อยไม่ได้หรือไง ถ้าขืนหนังสือฉันหมด ฉันจะบีบคอแกให้ตายเลยยัยปอ” หันมาแว้ดใส่คนที่เดินตามทันทีด้วยใบหน้ามุ่ยจัด
“บ้ามากไปแล้วนะยัยม่อน หนังสือนะเว้ย ไม่หมดง่ายๆ หรอก สงบสติหน่อย จะคลั่งไคล้อะไรฟาโรห์มากมายขนาดนี้ล่ะเนี่ย” ปอฉัตรเอ่ยด้วยเสียงติดจะหอบปนโมโหนิดๆ เพราะต้องรีบเดินตามเพื่อนรักให้ทัน
ทันทีที่ปอฉัตรเอ่ยจบ มนปรียาก็หยุดเดินทันทีเป็นผลให้หน้าของคนที่เดินตามมากระแทกเข้ากับหลังของเพื่อนอย่างแรง มือบางลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ ด้วยความเจ็บ
“นี่! ยัยม่อน นึกจะหยุดก็หยุด ฉันเจ็บนะ” เสียงใสตวาดแว้ดเข้าให้ด้วยความเจ็บ
“ก็แกบ่นว่าเดินตามไม่ทันนี่ ฉันก็เลยหยุดรอแกไง ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะไม่เบานั้นทำให้ปอฉัตรถึงกับแยกเขี้ยวใส่คนที่หยุดรอ
“เออๆ ฉันไม่เถียงกับแกแล้ว แล้วนี่จะไปซื้อไหมหนังสือเนี่ย” ปอฉัตรเอ่ยตัดบท ถึงจะเถียงให้ตายก็ไม่ชนะยัยม่อนได้สักครั้ง ทั้งๆ ที่บางทีเธอก็ไม่ได้ผิด ไอ้เพื่อนตัวดีก็ไปได้ข้างๆ คูๆ ตลอด แต่ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ยังรักเพื่อนคนนี้ไม่เคยเปลี่ยน ถึงมันจะชอบกวนประสาทและทะเล้นไปบ้างก็เถอะ แต่จริงๆ แล้วมนปรียาเป็นคนที่รักเพื่อนมากกว่าตัวเองเสียอีก
“ฮ่าๆ ถามทำไมเนี่ย น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว” ตอบแบบกวนประสาทพร้อมกับยิ้มทะเล้นจนปอฉัตรอดไม่ได้เขกกระโหลกคนทะเล้นไปเสียที
“โอ๊ย! ไอ้ปอ ฉันเจ็บนะเนี่ย” คนโดนเขกกระโหลกถึงกับร้องเสียงหลงด้วยความเจ็บ
“เว่อร์ไปแล้วไอ้ม่อน เขกไปนิดเดียวทำร้อง” หญิงสาวว่าพร้อมกับเท้าสะเอว
“ก็มันเจ็บนี่หว่า” คนเจ็บทำหน้ามุ่ยเสียงอ่อย
“ตกลงจะไปไหมเนี่ยร้านหนังสือน่ะ ถ้าไม่ไปฉันจะได้ไปกินข้าว หิวจนไส้จะกิ่วแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่ว่าปอฉัตรหันหลังกลับเตรียมจะตรงไปยังร้านอาหารที่อยู่อีกด้านทันที แต่ไม่ทันได้ก้าวไปไหน มือบางของมนปรียาก็คว้าแขนเพื่อนรักไว้ได้อย่างรวดเร็ว
“เฮ้ย! ได้ยังไงล่ะ ไปซื้อก่อนแล้วค่อยไปกิน ก็บอกแล้วว่าจะเลี้ยง หรือจะจ่ายเองมื้อนี้ ฉันจะได้ปล่อยแกไปกินคนเดียวก่อน ว่าไง?”
“เออก็ได้ แล้วจะไปหรือยัง หากช้ากว่านี้ฉันจะกินแกแทนข้าว” ปอฉัตรแยกเขี้ยวใส่คนตรงหน้า กว่าจะมาถึงห้างสรรพสินค้าได้ก็นานโข หิวก็หิว รอยัยม่อนซื้อหนังสืออีก ไม่น่าชวนมันเถียงเลย ไม่งั้นป่านนี้เธอคงได้นั่งปั้นจิ้มปั้นเจ่ออยู่ในร้านอาหารสักร้านในห้างนี้แล้ว เฮ้อ!
“ฉันรีบแกก็บ่น นี่ยัยปอ ตกลงจะเอายังไงจ๊ะเพื่อนรัก จะให้รีบหรือปกติ” มนปรียายิ้มกวนให้ปอฉัตรก่อนที่จะรีบวิ่งปรู๊ดเหมือนเด็กเล็กๆ ที่เล่นวิ่งไล่จับเมื่อเห็นสีหน้าของปอฉัตรที่แทบจะกินเธอทั้งตัวได้อย่างนี้ ขืนอยู่รอมีหวังโดนยัยปอเขกกระโหลกหรือไม่ก็ประทุษร้ายอย่างอื่นแน่นอน
ภายในร้านหนังสือชั้นนำตอนนี้เต็มไปด้วยหนอนหนังสือ มีตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่ ชั้นวางหนังสือถูกแยกไว้เป็นประเภทต่างๆ ตามแต่ละประเภท ทำให้คนที่เดินเข้ามาหาซื้อหนังสือได้เลือกกันอย่างสะดวกสบาย
ทันทีที่มนปรียาเข้ามาภายในร้านหนังสือ ขาเรียวก้าวฉับๆ ไปยังชั้นหนังสือที่ต้องการอย่างคุ้นเคยดี เวลาว่างเธอมักจะชอบมาที่ร้านหนังสือที่ห้างนี้เป็นประจำ แต่ยังไปได้ไม่ถึงไหนเสียงของปอฉัตรก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ม่อน..เดี๋ยวฉันไปดูหนังสือทางโน้นนะ แกก็ดูนิยายแกไปก็แล้วกัน เสร็จแล้วก็มาเรียกด้วยล่ะ” ปอฉัตรเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วไปให้มนปรียาดูชั้นหนังสือที่เธอจะเดินไปดู
“โอเค” มนปรียายิ้มหวานพร้อมกับทำมือโอเคตามที่พูด ปอฉัตรเห็นอย่างนั้นก็ยิ้มให้เพื่อนรักก่อนที่จะเดินไปทางที่ตัวเองบอกเมื่อครู่
หลังจากที่แยกตัวมา หญิงสาวก็เดินมายังชั้นหนังสือนิยายทันที นัยน์ตาสีดำกลมโตไล่สายตาไปยังสันหนังสือตั้งแต่ชั้นแรกลงมาเรื่อยๆ
“อ่ะ!..เจอแล้ว” เสียงหวานเอ่ยออกมาอย่างดีใจที่หาหนังสือนิยายที่ตัวเองต้องการเจอสักที หลังจากที่ก้มหามาสักพักนึง ริมฝีปากอิ่มยิ้มกว้างอย่างมีความสุข มือบางหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการออกมาก่อนที่จะลูบไล้อย่างแผ่วเบา
“ฟาโรห์สุดที่รักจ๋า วันนี้ม่อนจะกลับไปอ่านให้จบเลยนะจ๊ะ รอม่อนน๊า..” พูดจบก็ยกหนังสือขึ้นจรดริมฝีปากตัวเองโดยไม่สนสายตาของคนที่อยู่ข้างๆ แม้แต่น้อย
ทางด้านปอฉัตรที่หายมาอยู่อีกมุมของร้าน หญิงสาวเดินตรงไปที่ล็อคของประวัติศาสตร์ เธอสนใจเกี่ยวกับประวัติของประเทศในแถบเอเซียมากกว่ามนปรียาที่สนใจแต่อียิปต์และฟาโรห์ ไม่รู้จะสนใจอะไรได้มากถึงเพียงนั้น นึกแล้วปอฉัตรก็ส่ายหัวไปมาพร้อมกับยิ้มขำเพื่อนตัวเอง ไม่คิดว่ายัยม่อนจะบ้าได้ถึงขนาดนี้
นัยต์ตาเรียวสีน้ำตาลค่อยๆ ไล่สายตาไปยังหนังสือแต่ละเล่มอย่างใจเย็น นิ้วเรียวก็ค่อยๆ ไล่หาหนังสือที่สนใจจนอยู่ๆ หญิงสาวก็มาหยุดชะงักที่หนังสือเล่มหนึ่งที่ค่อนข้างหนาพอสมควร มือบางเลยหยิบออกมาดูจากชั้นทันที
“อียิปต์!” เสียงใสเอ่ยออกมาอย่างตกใจ นี่เธอจะเป็นบ้าเหมือนยัยม่อนอีกคนหรือเปล่าเนี่ย ที่อยู่ๆ ก็บ้าหยิบหนังสือเกี่ยวกับอียิปต์ขึ้นมาซะอย่างงั้น
“เอาว่ะ ไหนๆ ก็หยิบออกมาแล้วนี่ ปกก็สวยขนาดนี้ ขอเปิดอ่านสักหน่อยแล้วกัน” พูดจบมือบางก็เปิดหนังสือทีละหน้าอย่างช้าๆ
ภายในหนังสือเล่มหนาที่มีชื่อว่า ‘ประวัติศาสตร์และสิ่งเร้นลับประเทศอียิปต์’ เต็มไปด้วยข้อมูลต่างๆ ที่ค่อนข้างน่าสนใจ แล้วอยู่ๆ ริมฝีปากอิ่มสีชมพูของปอฉัตรก็ยิ้มออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่ามนปรียาคงจะชอบไม่น้อย หญิงสาวจึงปิดหนังสือก่อนที่จะหยิบหนังสือของตัวเองอีกเล่มมากอดไว้พร้อมกับเดินไปยังแคลชเชียร์สำหรับคิดเงิน จากนั้นก็เดินไปหามนปรียา
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป รถเก๋งสีขาวก็ขับเคลื่อนเข้ามาจอดภายในบ้านหลังสีครีมขนาดกระทัดรัด หน้าบ้านมีสวนย่อมขนาดเล็กและต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ให้ร่มเงาสำหรับตอนกลางวัน
“เฮ้อ! ถึงบ้านเสียที” ปอฉัตรร้องขึ้นพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนบนโซฟา
“นั่นสิ ไม่มีอะไรสบายเท่าที่บ้านอีกแล้วเนอะ” มนปรียาเห็นด้วยกับเพื่อนรัก มือบางวางข้าวของทั้งหมดที่ไปช็อปปิ้งมาบนโต๊ะกระจกตัวเตี้ยก่อนที่จะทิ้งตัวลงนั่งโซฟาด้วยความเหนื่อยล้า
“ตกลงวันนี้จะค้างที่นี่หรือเปล่าปอ” เสียงหวานเอ่ยถามหลังจากนึกขึ้นได้
“ถามมาได้ยัยม่อน ใช้งานฉันทั้งวันให้ขับรถไปโน้นนี่แล้วยังจะให้ฉันกลับบ้านอีกหรอ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วเจ้าคะ” เสียงเล็กเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้ให้เพื่อนมองดูนาฬิกาบนฝาผนังบ้าน
“อ้าว! แล้วฉันจะรู้ไหมเนี่ยว่าแกจะค้าง ก็ปกติเห็นดึกขนาดไหนก็กลับบ้านไม่ใช่หรือไง”
“ก็วันนี้ฉันอยากค้าง ไหนๆ แกก็อยู่บ้านคนเดียวอยู่แล้วนี่ มีฉันมาอยู่เป็นเพื่อนไม่ดีหรือไง” ปอฉัตรเอ่ยพร้อมกับกระเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง
“ก็ดี..แล้วนี่บอกที่บ้านหรือยังว่าจะค้างที่นี่ เดี๋ยวคุณน้าทั้งสองก็ได้เป็นห่วงกันพอดีที่ลูกสาวคนเดียวของบ้านหายตัวไปไหนก็ไม่รู้”
“บอกแล้วย่ะ แหม ฉันไม่ใช่เด็กอายุสิบขวบแล้วนะยัยม่อน ฉันยี่สิบสามแล้ว ทำงานแล้วนะเจ้าคะ”
“งั้นก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าได้แล้ว” ว่าพร้อมกับลุกขึ้นดุนหลังให้ปอฉัตรเดินขึ้นไปข้างบนบ้าน
“เออ..ไปแล้ว ไม่ต้องดันก็ได้ยัยม่อน” คนโดนไล่ให้ไปอาบน้ำทำท่าอืดอาดไม่ค่อยอยากจะลุกไป แต่สุดท้ายก็ต้องจำใจลุกขึ้นก่อนที่จะหอบข้าวของของตัวเองขึ้นบนบ้านของเพื่อนรักอย่างคุ้นเคย
หลังจากที่ปอฉัตรขึ้นด้านบนได้สักพักแล้ว มนปรียาที่นอนเอนตัวอยู่ก็หันไปมองกรอบรูปที่อยู่บนโต๊ะใกล้ๆ กับโทรศัพท์บ้าน มือบางหยิบกรอบรูปขึ้นมามองก่อนที่น้ำตาจะหยดลงด้วยความคิดถึงคนในรูป
“ม่อนคิดถึงพ่อกับแม่จังเลยค่ะ ป่านนี้ถ้าพ่อกับแม่อยู่ ม่อนคงไม่เหงาแบบนี้” เอ่ยพร้อมกับเสียงสะอื้นเล็กน้อยยามคิดถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อนที่ทำให้เธอต้องอยู่คนเดียวในโลก ยังดีที่ว่าครอบครัวของปอฉัตรทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นมาบ้างและไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจนเกินไป
“นี่! ยัยม่อน ไปยืนทำอะไรตรงนั้น รีบไปอาบน้ำได้แล้ว ฉัน..” ปอฉัตรยังพูดไม่ทันจบก็ต้องหยุดชะงักทันทีที่เห็นสีหน้าของมนปรียา คำพูดที่จะเอ่ยเลยกลืนหายลงคอไปในพริบตา
“ม่อน! เป็นอะไรหรือเปล่า” ถามด้วยเสียงอันเบาหวิว ตาเรียวเสมองไปที่กรอบรูปก่อนที่จะรู้ทันทีว่าเพื่อนรักเป็นอะไร
“ฉัน..คิดถึงพ่อกับแม่” น้ำเสียงสั่นเครือถูกเอ่ยขึ้นหลังจากปอฉัตรเอ่ยถาม
“อย่าคิดมากเลยนะม่อน แกก็ยังมีคนที่รักแกอยู่อีกตั้งเยอะ อย่างน้อยๆ ก็มีฉัน พ่อกับแม่ฉันอีก เพื่อนๆ คนอื่นอีกล่ะ แกน่ะไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวหรอกนะ” ขณะที่พยายามเอ่ยปลอบเพื่อนรักที่ยังคงจ้องมองรูปในมือ ปอฉัตรก็เดินเข้าไปกอดเพื่อนด้วยความรักและห่วงใย จริงๆ ถ้าจะบอกว่าเธอกับมนปรียาเป็นพี่น้องคลานตามกันมาแท้ๆ เลยยังได้ เพราะเธอกับมนปรียาสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก
“ขอบใจนะปอ แกและคุณน้าทั้งสองคนดีกับฉันมากจริงๆ” มือบางเลื่อนจากกรอบรูปไปจับแขนของปอฉัตรที่โอบกอดเธอไว้ด้วยความซึ้งใจ
“ไม่เอาแล้ว ขี้แยเหมือนเด็กๆ เลย มนปรียาคนที่กวนประสาทและไม่เคยยอมใครหายไปไหนแล้วล่ะ เรียกยัยคนนั้นกลับมาได้แล้ว”
“นี่ยัยปอ! ฉันจะซึ้งนานๆ หน่อยไม่ได้เลยหรือไง”
“ไม่ได้! เพราะมันไม่สมกับเป็ยยัยม่อนเพื่อนรักของฉันน่ะสิ ฮ่าๆ” แล้วทั้งคู่ก็หัวเราะออกมาพร้อมกันก่อนที่จะเดินขึ้นไปบนบ้าน
หลังจากอาบน้ำเสร็จ มนปรียาที่อยู่ในชุดนอนผ้าคอตตอนสีฟ้าลายจุดแขนยาวขายาว ด้านหน้าเป็นซิบรูดก็เดินออกมาจากห้องน้ำอย่างสดชื่น
“ยังเหมือนเดิมเลยนะยัยม่อนเอ๊ย! แล้วเมื่อไหร่จะมีหนุ่มมาจีบล่ะเนี่ย นิสัยก็แก่นกระโหลกพอแล้ว ยังจะใส่ชุดนอนที่ไร้ซึ่งความเซ็กซี่อีกเพื่อนฉัน” ปอฉัตรทำหน้าเซ็งจัดเมื่อเห็นชุดนอนของเพื่อนตัวเองที่มันแสนจะคิคุ ห่างไกลกับคำว่าเซ็กซี่ไปเยอะ
“ใครจะไปใส่แบบแกแล้วนอนได้ลง สั้นขนาดนั้น ตอนนอนหวิวไปถึงไหนๆ” ว่าพร้อมกับดึงชายกางเกงของปอฉัตรประกอบคำว่าสั้น
คนที่ใส่เสื้อกล้ามสีเทากับกางเกงขาสั้นผ้าเนื้อนุ่มโดนว่าชุดนอนสั้นรีบลุกขึ้นยืนทันที “สั้นตรงไหนเนี่ย ยาวตั้งสองคืบได้ นอนสบายดีออก แบบแกนะยัยม่อน ร้อนตับแตก”
“ก็เปิดแอร์สิ กลัวอะไรเนี่ย” ไม่พูดเปล่าแต่ว่ามือบางคว้ารีโมตคอนโทรลมาเปิดแอร์ทันที
“เออๆ ไม่เถียงด้วยแล้ว มานี่ดีกว่ายัยม่อน ฉันมีอะไรจะให้แกด้วย” ว่าพลางดึงมือเพื่อนรักให้มานั่งบนเตียง มือบางดึงถุงใบใหญ่ที่ใส่หนังสือไว้สองเล่มให้มาอยู่ใกล้ตัว
“มีอะไรยัยปอ เร็วๆ หน่อยได้ไหม ฉันจะไปอ่านพ่อฟาโรห์สุดหล่อของฉัน อุตส่าห์ไปซื้อมาได้แล้ว คืนนี้จะขอนอนอ่านให้จบเลย” สายตามุ่งมั่นของมนปรียาพร้อมกับรอยยิ้มหวานอย่างคนเคลิบเคลิ้มยามนึกถึงฟาโรห์หนุ่มที่อยู่ในหนังสือนิยาย ทำให้ปอฉัตรอดไม่ได้ที่จะ..
“ปลั่ก! นี่แน่ะยัยม่อน บ้าไม่มีใครเกินแกจริงๆ” เสียงปลั่กดังขึ้นเมื่อหมอนใบโตถูกฟาดลงบนศีรษะได้รูปของมนปรียาอย่างเต็มแรง เป็นผลให้มือบางลูบหัวตัวเองพร้อมกับซื้ดปากด้วยความเจ็บ
“โหย! เจ็บนะยัยปอ เล่นแรงทุกที ตกลงว่ามีอะไร ถ้าไม่มีฉันจะได้ไปหาฟาโรห์ของฉันสักที”
“อ่ะนี่! หวังว่าแกคงจะชอบนะ เห็นแล้วมันนึกถึงแกจริงๆ ยัยม่อน ถึงแม้ว่าฉันจะไม่ได้ปลื้มอะไรมากมายกับฟาโรห์หรืออียิปต์แบบแกก็เถอะ” มือบางยื่นหนังสือเล่มหนาไปให้ตรงหน้ามนปรียาที่ยื่นมือมารับ ดวงตากลมโตสีดำเบิกกว้างด้วยความตกใจก่อนแปรเปลี่ยนเป็นระยิบระยับ ริมฝีปากอิ่มยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
“ยัยปอ..ฉันรักแกที่สุดเลย” หญิงสาวโผเข้ากอดปอฉัตรอย่างแรงและแน่นด้วยความดีใจ ทำให้คนที่โดนกอดถึงกับตบหลังเบาๆ
“ฮ่าๆ ชอบก็ดีแล้ว แต่ว่าตอนนี้ปล่อยฉันก่อนได้ไหม ฉันหายใจไม่ออก”
“ฮ่าๆ ขอโทษ ก็ฉันดีใจนี่ นานๆ แกจะซื้อของอะไรที่เกี่ยวกับอียิปต์ให้ฉันสักที เพราะแกพูดแต่ว่าฉันบ้าเรื่องนี้มากเกินไป” รอยยิ้มที่ฉายชัดบนใบหน้าเรียวทำให้ปอฉัตรยิ้มตามไปด้วย..ไม่เสียแรงที่ยอมเสียเงินซื้อมาให้มัน
“งั้นเรามาอ่านด้วยกันนะ” มนปรียาเอ่ยชวนพร้อมกับลงไปนอนคว่ำเปิดหนังสือทันทีโดยไม่รอเสียงตอบรับจากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทำให้ปอฉัตรได้แต่ส่ายหัวไปมากับความคลั่งไคล้อียิปต์เข้าขั้นของเพื่อน
“ประวัติศาสตร์และสิ่งเร้นลับประเทศอียิปต์ โห..แค่ชื่อก็มีเสน่ห์มนต์ขลังแล้วเนอะ”
“อ่านสักทีได้ไหมยัยม่อน มัวแต่ชื่นชมกับหน้าปกแล้วก็รูปด้านในอยู่นั่นแหละ” คนที่บอกไม่ค่อยชอบอียิปต์เริ่มชะโงกหน้าเข้ามาใกล้หนังสือ เมื่อเห็นว่าคนที่น่าจะรู้เกี่ยวกับอียิปต์ควรจะอ่านให้ฟังตั้งนานแล้ว แต่นี่คุณเธอกลับเอาแต่ชื่นชมภาพที่อยู่ภายในเล่มไม่ยอมอ่านสักที
“ฮั่นแน่! ไหนบอกไม่ชอบอียิปต์และฟาโรห์ไงล่ะจ๊ะ” หญิงสาวเลิกสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพร้อมเงยหน้าขึ้นมาทำท่าแปลกใจกับการเปลี่ยนไปของเพื่อนทันที
“เปล๊า! ก็แค่เห็นแกสนใจไง ก็เลยอยากรู้ว่ามันจะมีอะไรมั้งที่น่าสนใจก็เท่านั้นเอง” ปอฉัตรเอ่ยเสียงสูง ทำให้คนที่นอนมองยิ้มอย่างรู้ทันว่าเพื่อนสนิทชักเริ่มติดอาการบ้าอียิปต์ไม่ต่างจากเธอบ้างแล้ว
..ฮ่าๆ มีเพื่อนชอบแบบเดียวกันแล้ววุ้ย ไม่เสียแรงที่กรอกหูยัยปอทุกวัน..มนปรียาอมยิ้มอย่างดีใจ
“ตกลงจะอ่านมั้ย ไม่อ่านก็ไม่อยากรู้แล้ว” เอ่ยเสียงแข็งกลบเกลื่อนความสนใจที่เริ่มมาจากตอนไหนเธอก็ไม่รู้ แต่รู้สึกติดใจกับหนังสือเล่มนี้อย่างประหลาด
“อ่านแล้วจ้า” รับคำเสร็จหญิงสาวก็หันหน้ากลับไปที่หนังสือก่อนที่จะอ่านออกมาเสียงดังให้เพื่อนฟัง
“ทางประวัติศาสตร์เพิ่งระบุใหม่ว่ามีฟาโรห์อยู่พระองค์หนึ่ง ซึ่งถูกลบเลือนไปจากหน้าประวัติศาตร์มานาน เพราะเพิ่งได้ขุดพบเมื่อไม่นานมานี้ ใกล้ๆ กับร่างของพระองค์มีร่องรอยของหนังสือที่เหมือนถูกโจรทะเลทรายปล้นไป”
“หูย น่ากลัวจริงๆ มีปล้นกันด้วย ว่าแต่ไอ้คนที่เอาไปเนี่ยจะไม่โดนสาปเหมือนของฟาโรห์องค์อื่นๆ ที่สาปแช่งไว้หรอ”
“นั่นสิ..อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาบอกว่าข้างๆ กันนั้นมีปาปิรุสที่บันทึกข้อความไว้ด้วยล่ะ” ทันทีที่อ่านถึงตรงนี้ มนปรียาก็รู้สึกหนาวๆ ชอบกล มือบางลูบแขนตัวเองไปมา
“หนาวหรอม่อน?” เลิกคิ้วถามเมื่อเห็นเพื่อนทำท่าขนลุกด้วยความแปลกใจ ปกติยัยม่อนไม่เคยร้องหนาวมีแต่จะชอบด้วยซ้ำไป
“อืม..ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมถึงหนาวก็ไม่รู้ แอร์อาจจะเย็นเกินไป” หญิงสาวตั้งข้อสันนิษฐานให้ตัวเองก่อนเอือมมือไปกดปุ่มเปลี่ยนอุณหภูมิของแอร์คอนดิชั่น
“เสร็จแล้วก็อ่านต่อยัยม่อน ฉันเริ่มสงสัยแล้วว่าเขาเขียนไว้ว่าอย่างไร”
“นั่นแน่..หลงรักฟาโรห์กับมนต์ขลังของดินแดนแห่งอารยธรรมอียิปต์แล้วใช่ม๊ายัยปอ” เสียงหวานเอ่ยล้อพร้อมกับรอยยิ้มขบขันปอฉัตรที่เริ่มอยากรู้เรื่องฟาโรห์ ประวัติศาสตร์และอารายธรรมในดินแดนที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังเหมือนกับเธอมากขึ้นและมากขึ้น
“ก็แหม..แกเล่นกรอกใส่หูฉันบ่อยๆ แบบนี้ เป็นใครก็คงต้องเริ่มอยากรู้มั่งล่ะนะ จริงมั้ย?” ปลายประโยคเอ่ยเสียงสูงเมื่อโดนจับได้ว่าเริ่มสนใจฟาโรห์อียิปต์
“จ้า..ต่อๆ ในปาปิรุสบันทึกไว้ว่า..ไม่ว่ากาลเวลาจักผันผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนไหน ขอให้ดวงจิตของเจ้าที่ผูกติดไว้กับข้า จงนำเจ้า ยอดรักของข้ากลับคืนมาสู่ ณ ดินแดนแห่งไอยคุปต์นี้ ด้วยหัวใจรักของข้าจักยังคงอยู่กับเจ้าตลอดไปแต่เพียงผู้เดียว..ยอดรักยอดดวงใจของข้า ฟาโรห์ราเมเนสแห่งจักรวรรดิอียิปต์” ทันทีที่มนปรียาอ่านข้อความบันทึกนั้นเสร็จ ท้องฟ้าภายนอกกลับมืดครึ้มอย่างประหลาด เมฆลอยวนกันเป็นสีดำทะมึน ก่อนจะเกิดลมพายุอย่างแรงพัดเข้ามาภายในห้องนอนที่หญิงสาวทั้งสองคนอยู่
“เฮ้ย! เกิดอะไรขึ้นเนี่ยยัยม่อน” เสียงปอฉัตรเอ่ยขึ้นด้วยความตกใจทันทีที่ลมพายุพัดกรรโชกเข้ามาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย กระดาษและหนังสือเล่มบางที่อยู่บนโต๊ะถูกพัดปลิวลงมากองระเกะระกะ หญิงสาวทั้งสองคนยกมือขึ้นปิดหน้าตัวเองเมื่อลมนั้นพัดฝุ่นละอองเข้ามาด้วยเช่นกัน ก่อนที่จะสงบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้ก็คือ ฉันรู้สึกว่าข้อความในปาปิรุสนั้นมันทำให้ฉันขนลุกไปทั่วทั้งตัวและรู้สึกคุ้นเคยราวกับมันเคยเป็นข้อความที่เขียนไว้ถึงฉันมาก่อนอย่างนั้นแหละ” มนปรียาเอ่ยบอกเพื่อนพร้อมกับเอามือที่ปิดหน้าลงเมื่อลมพายุสลบ ดวงหน้าเรียวชะโงกหน้าออกไปดูทางหน้าต่างก็ไม่พบกับความผิดปกติอะไรแม้แต่น้อย ทั้งๆ ที่จริงถ้าลมพัดแรงอย่างเมื่อครู่ บ้านหลังอื่นๆ หรือบนถนนคงจะต้องมีร่องลอยของลมที่พัดสิ่งเล็กสิ่งน้อยมาเกลื่อนบ้าง แต่นี่อะไร กลับไม่มีฝุ่นละอองหรือเศษใบไม้แม้แต่สักนิด
..นี่มันอะไรกันแน่ แล้วทำไมเธอถึงได้รู้สึกเจ็บแปลบที่ใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนทันทีที่อ่านข้อความบันทึกที่อยู่ใกล้กับร่างของฟาโรห์ราเมเนสอย่างนี้..มนปรียาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนที่จะหันกลับมามองปอฉัตรที่กำลังทำหน้าสลดสยองกับเหตุการณ์เมื่อครู่
“นี่แกจะบ้ามากไปแล้วยัยม่อน แกจะไปรู้สึกคุ้นเคยได้ยังไง แกไม่ใช่แม่ยอดรักยอดดวงใจของฟาโรห์อะไรนั่นสักหน่อย ยัยบ๊อง!” ว่าพลางก้มเก็บเศษกระดาษที่ปลิวลงมา แต่ยังไม่ทันจะเก็บหมด คนที่โดนว่าบ๊องก็คว้าหนังสือมาอ่านทวนอีกครั้ง
“ไม่ว่ากาลเวลาจักผันผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด หรือไม่ว่าเจ้าจะอยู่ ณ แห่งหนไหน ขอให้ดวงจิตของเจ้าที่ผูกติดไว้กับข้า จงนำเจ้า ยอดรักของข้ากลับคืนมาสู่ ณ ดินแดนแห่งไอยคุปต์นี้” ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะอ่านจบ ลมพายุที่หายไปเมื่อครู่ก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้มันแรงมากกว่าเดิม ทำให้ปอฉัตรที่กำลังก้มเก็บเศษกระดาษและหนังสือขึ้นวางไว้บนโต๊ะยังไม่ทันหมดก็ต้องหลบพายุเข้าไปอยู่ใต้โต๊ะเขียนหนังสือด้วยความตกใจ
“เฮ้ย! มันเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย ยัยม่อนแกจะอ่านอีกทำไม” เสียงที่ดังแข่งกับพายุตะโกนว่าเพื่อนสนิทที่อ่านข้อความเหล่านั้นอีกครั้ง
“ก็ฉันสงสัยนี่ ทำไมฉันคุ้นเคยกับมันอย่างบอกไม่ถูก” เอ่ยทั้งๆ ที่ตัวเองนอนหมอบราบกับพื้น
“ยัยม่อนเอ๊ย!”
“ฉันเลิกอ่านแล้วนี่” ทันทีที่มนปรียาหยุดอ่านและตะโกนตอบปอฉัตร ลมพายุนั้นก็จางหายไปทันทีอย่างมหัศจรรย์
เมื่อลมพายุหยุดลง ปอฉัตรที่อยู่ใต้โต๊ะเขียนหนังสือก็กระเถิบตัวเองออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงของคนตื่นตกใจผสมกับหวาดกลัว “ม่อน..ฉันว่านะ ทิ้งไอ้หนังสือเล่มนี้เถอะ มันชักมีอะไรแปลกๆ แล้วนะ” คนว่าแปลกกระโดดไปคว้าหนังสือที่มนปรียานอนกอดไว้
“เดี๋ยวยัยปอ!” เสียงใสร้องขึ้นพร้อมกับกระโดดไปแย่งหนังสือจากมือของปอฉัตร
“นี่! เอามานะยัยม่อน ฉันจะเอามันไปทิ้ง อย่าไปอยากรู้เรื่องประวัติฟารงฟาโรห์อะไรนั่นอีกเลย น่ากลัวเป็นบ้า” มือบางไล่คว้าหนังสือคืน แต่ว่า..
“เฮ้ยๆ ยัยปอ ดูนี่สิ!” เสียงของมนปรียาเรียกให้ปอฉัตรที่พยายามจะแย่งหนังสือหยุดชะงักทันที
“อะไรของแกอีกล่ะ เมื่อกี้ยังไม่กลัวอีกหรือไง อยู่ดีๆ ลมพายุก็มาแล้วก็จางหายไป” เท้าสะเอวพร้อมกับยืนหอบจากการแย่งหนังสือ
“แกดูนี่สิ” ว่าพร้อมกับเอาหนังสือที่ชูไว้ลงมาให้ปอฉัตรดู
“ในการขุดค้นฟาโรห์ราเมเนสองค์นี้ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้นขณะที่พบหนังสือที่ว่าหายไปจากการโดนขโมย กลับมีร่องรอยของบางสิ่งที่น่าจะเป็นหลักฐานนำไปตามหาหนังสือที่ว่าได้” น้ำเสียงที่อ่านไปมีแววตื่นเต้น นัยน์ตาสีดำกลมโตพราวระยิบยามอ่านมาถึงที่ว่ามีหลักฐานนำไปตามหาหนังสือได้
“ยัยม่อน แกอย่าบอกนะว่าแกจะ..” ปอฉัตรชี้ไปที่มนปรียาที่เงยหน้าขึ้นมายิ้มหวานเสียกว้างอย่างมีเลศนัย
......................................................................................................................................
จบบทที่ 2 แล้วนะคะ เป็นอย่างไรบ้างบอกกันบ้างนะคะ
>>ตอบคอมเม้นท์นิดนึงนะคะ<<
เฮียเอก , ขอบคุณมากๆ ค่ะเฮียที่แวะมาอ่าน ตามกันมาตลอด ^^
คุณ ^..NuTTy..^ , ดีใจมากๆ เลยค่ะที่คุณ ^..NuTTy..^ ยังไม่ลืมดาวเหงา มามะๆ มาจุ๊บๆ ทีนึงเนอะ อย่าลืมอ่านต่อจนจบน๊าค๊า ^^
คุณ peach&pear , ขอบคุณมากๆ เลยค่ะสำหรับคำชมน๊าค๊า ดาวเหงามาอัพให้ตามสัญญาแล้วนะคะ ยังไงแล้วหวังว่าคุณ peach&pear จะแวะมาอ่านเรื่อยๆ จนจบนะคะ ^^
คุณ ตกร่อง , สวัสดีค๊าคุณตกร่อง อ่า ดาวเหงาขอโทษทีน๊าค๊าที่ทำให้คุณตกร่องค้างคาใจ แหะๆ ไม่โกรธกันเนอะๆ อมยิ้มหวานๆ ให้คุณตกร่อง ^^
คุณ เดือนเสี้ยว , สวัสดีค๊าคุณเดือนเสี้ยว ดาวเหงาขอกรี๊ดก่อนได้ไหมคะ ฮ่าๆ ดีใจจังเลยค่ะที่คุณเดือนเสี้ยวยังคอยดาวเหงา รักคุณเดือนเสี้ยวจังเลย มามะๆ กอดทีนึงได้ไหมคะ อิอิ ตอนนี้ดาวเหงายิ้มแก้มบานแล้วค่ะดีใจมากๆ ที่มีคนรอเรา ยังไงแล้วบอกกันบ้างนะคะว่าเรื่องนี้เป็นไงบ้าง ^^
ดาวเหงาขอบคุณนักอ่านทุกๆ คนมากๆ นะคะที่มาอ่าน มาโหวต มาเม้นท์และรวมทั้งแฟนพันธุ์แท้ทุกๆ คน และนักอ่านที่เข้ามาอ่านแม้จะไม่ได้คอมเม้นท์ดาวเหงาขอบคุณมากๆ ค่ะ แค่แวะมาอ่านก็ดีใจแล้วค๊า ยังไงแล้วติดตามกันต่อจนจบเรื่องนะคะ จุ๊บๆ ^^
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้าในวันพฤหัสที่ 14 ก.ค. 54 นี้นะคะ รักษาสุขภาพกันด้วยนะคะ
ด้วยรัก..จากใจ
ดาวเหงา ^^
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

ฝากร้านหน่อยนะคะ จำหน่ายเสื้อผ้าแฟชั่นพร้อมส่ง ราคาไม่แพง http://saszygalz.lnwshop.com
น่ากล๊ววววววววววววววววววววววววววววว
จะย้อนไปอียีปต์ทั้งสองคนไหมเนี่ย ติดตามต่อไป
ทั้งเหนื่อยทั้งเพลียแต่พอหายเพลียก็กระโดดมาอ่านก่อนเลย แค่เริ่มเรื่องก็สนุกแล้วเนอะ นางเอกเหมือนเราเลยอ่ะ เรื่อง
บ้าอะไรที่เกี่ยวกับอียิปต์เนี่ย อ่านแล้วนึกว่าเราเป็นนางเอกซะเอง555555555555555555555(ยัยนี่บ้าไปแระ)