คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : EP. 3 Welcome to Merifa II
EP. 3
Welcome to Merifa II
ถึงแม้เหตุการณ์ระเบิดตึกต้อนรับพนักงานใหม่จะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ถ้าหากหนุ่มหล่อปริศนาโยนขวดยาเข้าไปในกองเพลิงไม่ทัน โลกวิญญาณอาจจะเต็มไปด้วยเพลิง และกลายเป็นนรกแห่งที่สองก็เป็นได้
หากมันเป็นแบบนั้นขึ้นมา ราชาของโลกนี้คงได้ลาพักร้อนถาวรด้วยการกระโดดลงกองเพลิงแน่
“ราเชสสสสสส ในที่สุดเจ้าก็ยอมมาหาข้า!!”
ทั้งที่ยมทูตจำนวนหนึ่งเหน็ดเหนื่อยกับการควบคุมไฟไม่ให้ลามไปทั่ว
แต่ตัวการกลับระริกระรี้ โบกมือทักทายชายหนุ่มผู้ช่วยเหลือโลกวิญญาณด้วยรอยยิ้ม
และแทบจะดึงตัวเขาเข้าไปกอดถ้าไม่โดนเจ้าตัวจ้องเขม็ง
“มาริฟ! ข้าบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเอายาข้าไปเล่น!” หนุ่มหล่อใส่ความโกรธเข้าไปในน้ำเสียง แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังนุ่ม น่าฟัง
ไม่ส่งผลกระทบอะไรเลยสักนิด “เห็นมั้ยว่าตัวเองก่อเรื่องอะไรลงไป นี่ท่านคิดจะระเบิดสำนักงานเล่นหรือไง!!”
“ข้าก็แค่คิดว่าถ้าทำแบบนี้แล้วมันจะเรียกเจ้ามาหาข้าได้น่ะสิ” หัวหน้าหน่วยยิ้มกว้างอย่างคนไม่รู้สำนึก “แล้วมันก็ได้ผล”
คิ้วคมบนใบหน้าของชายหนุ่มรูปหล่อกระตุกน้อยๆ
พร้อมกันกับมือที่ยกขึ้นเหมือนจะทำอะไรสักอย่าง แต่กลับถูกยมทูตหญิงสองตนคว้าหมับ รั้งตัวเอาไว้ไม่ให้ทำอย่างที่ต้องการ
“ใจเย็นๆ ราเชส ถ้าเจ้าฆ่าเขา พวกเราจะไม่มีงานทำนะ”
“แล้วถ้าไม่มีงาน พวกเราก็ไม่มีเงิน คู่หูข้าต้องกินต้องใช้...
ถึงข้าอยากจะฆ่าเขามากขนาดไหน แต่ข้าก็ต้องอดทนไว้เพราะเรื่องนี้นี่แหละ!”
พอได้ฟังเหตุผลของสองสาวเข้าไป ชายหนุ่มก็ต้องหยุดความต้องการอยากฆ่าหัวหน้า
ตวัดตามองเขาอย่างโกรธเคือง ก่อนพูดประโยคที่ทำให้อีกฝ่ายต้องก้าวถอยหลังพร้อมส่ายศีรษะ
“ถ้าคราวหลังทำแบบนี้อีก อย่าหวังเลยว่าข้าจะมาหาท่าน”
“ไม่ ข้าจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าอย่าทำตัวห่างเหินข้าแบบนั้นเลยนะ!”
อาการเหมือนไม่อยากให้คนรักจากไปไกลเช่นนี้ทำเอาดวงวิญญาณหนุ่มหน้าสวยเลิกคิ้วขึ้นสูง
แต่เขาก็ไม่แปลกใจ เพราะโลกของเขาก็มีคนที่ชอบเพศเดียวกันอยู่
แล้วจากการที่ตัวเองมีใบหน้าไม่สมกับเพศที่เป็น บวกกับเจอเรื่องเลวร้ายมา มันก็ทำให้ชายหนุ่มไม่ชอบคนประเภทนี้นัก
อย่างไรก็ตาม เรื่องที่เขาแปลกใจจนอยากจะถามนั้นมันคืออีกเรื่อง
“นี่ ทำไมยมทูตหน้าหล่อนั่นถึงใส่กระโปรงได้ล่ะ” วิญญาณที่ยังไม่หายสงสัยเรื่องนี้สะกิดถามยมทูตใกล้ตัว “พวกผู้ชายก็ใส่กางเกงกันปกตินี่”
“หา?...” ยมทูตตนนั้นขมวดคิ้วเข้าหากัน
แต่เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร จึงตอบกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “อ้อ นั่นน่ะเหรอ ถ้าเป็นราเชส—”
“นี่ วิญญาณตรงนั้นน่ะ!”
บทสนทนาถูกขัดด้วยตัวก่อปัญหาประจำหน่วยเมริฟา นั่นทำให้ดวงวิญญาณที่กำลังอยากรู้อยากเห็นรู้สึกหงุดหงิดได้ไม่น้อย
...เรื่องที่อยากรู้กำลังจะได้รู้ในอีกไม่กี่ประโยคแล้วแท้ๆ ทำไมถึงขัดขวางได้เวลาเสียจริง
แต่ถึงจะอยากเตะก้านคอคนขัดมากขนาดไหน ดวงวิญญาณหนุ่มก็ทำได้แค่หันไปหาต้นเสียง
เพราะรู้ตัวดีว่าถ้าหากเผลอทำร้ายยมทูตขึ้นมา ตัวเองอาจจะโดนส่งไปรับโทษในนรก เขาเลยต้องเก็บความรู้สึกนั้นเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ
แล้วมองชายหนุ่มที่กำลังวิ่งมาด้วยความรู้สึกอยากควักปืนมายิงใจจะขาด
น่าเสียดายที่ปืนไม่อยู่กับตัว
“เจ้าคือเชสเซอร์สินะ
บันทึกของเจ้าเขียนเอาไว้ว่าเจ้าชอบให้คนเรียกชื่อนี้มากกว่า”
เจ้าของชื่อไม่แปลกใจว่าทำไมหัวหน้าหน่วยถึงรู้ชื่อของเขา ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
แล้วขมวดคิ้วมองมือที่ยื่นส่งมาให้
“อะ... ลืมไปว่าเจ้าไม่ชอบ” หัวหน้าหน่วยชะงักก่อนจะรีบขอโทษพร้อมเก็บมือของตัวเองกลับไป “ข้าชื่อมาริฟ เป็นหัวหน้าหน่วยของเจ้า ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“ข้าชื่อเชสเซอร์ ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”
มาริฟยิ้มรับ แล้วถ้ามองให้ดี เชสเซอร์คุ้นหน้าคุ้นตาหัวหน้าคนใหม่ของตัวเองอย่างบอกไม่ถูก
รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหนแต่ก็นึกไม่ออก แต่ที่แน่ๆ เจ้าตัวไม่ใช่คนรู้จักสมัยยังไม่ตายของเขาอย่างแน่นอน
“เอาล่ะ เข้าไปข้างในกันเถอะ ข้าจะได้อธิบายให้เจ้าฟังว่าเมริฟาคืออะไร”
หัวหน้าหน่วยเดินนำเชสเซอร์เข้าอาคารสำนักงานที่ถูกซ่อมแซมจนเสร็จเรียบร้อย
สายตาของยมทูตนับสิบที่มองตามมาริฟต่างเต็มไปด้วยแววเคียดแค้น แต่ละตนรู้สึกอยากฆ่าหัวหน้าของตัวเองอย่างเต็มที่
บ้างก็บ่นพึมพำราวกับกำลังท่องคาถาสาปแช่ง ส่วนยมทูตในชุดพ่อบ้านกำลังเขียนรายงานความเสียหาย
คาดว่าเขาน่าจะนำส่งราชาโลกวิญญาณ
“ขอบใจพวกเจ้ามากนะ ทั้งที่อยู่คนละหน่วยกันแท้ๆ แต่ก็ยังมาช่วยกันแบบนี้”
ราเชสเอ่ยขอบคุณพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ยมทูตหญิงตนอื่นๆ รู้สึกเคลิบเคลิ้ม
ยมทูตชายที่ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะรู้สึกใจเต้นดีหรือไม่ทำเพียงแค่พยักหน้ารับ บ้างก็หลบสายตาหนีอาการหวั่นไหว
“ไม่เป็นไร ดีนะที่เจ้ามาทัน ไม่งั้นไฟคงลามไปไกลกว่านี้”
“เรื่องนี้เจ้าก็มีส่วนผิดอยู่นะเชส” คำพูดของเพื่อนสาวข้างตัวทำเอายมทูตหน้าหล่อต้องสะดุ้งน้อยๆ
และขมวดคิ้วเข้าหากัน
“ไหงงั้นล่ะ”
“ก็ถ้าเจ้าไม่เอาแต่หลบหน้าหลบตาหัวหน้ามาริฟผู้คลั่งไคล้เจ้า
เขาคงไม่ใช้วิธีนี้เรียกร้องความสนใจเจ้าหรอก” หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง “แต่ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าก็หลบหน้าเขาเหมือนกันนั่นแหละนะ”
หัวหน้าหน่วยเมริฟาคลั่งไคล้ราเชสขนาดไหน ยมทูตทุกตนต่างรู้ดี
แต่ถ้าพวกเขาเป็นมาริฟก็คงมีอาการไม่ต่างกันมากนัก
เพราะขนาดไม่มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งอะไรกับราเชสมากเท่ากับหัวหน้า
พวกเขายังรู้สึกชอบเจ้าตัว แล้วถ้าไม่กลัวว่าจะถูกเด้งไปอยู่หน่วยอื่น คงเดินหน้าจีบยมทูตหน้าหล่อโดยไม่เกรงใจพี่ชายไร้ประโยชน์นั่นกันไปแล้ว
“ที่เจ้าพูดมันก็ถูก” ราเชสถอนหายใจพร้อมกุมใบหน้า “ยังไงก็ขอบใจพวกเจ้ามาก ตอนนี้แยกย้ายไปพักผ่อนกันเถอะ
ขอบตาเจ้าคล้ำกันจนจะเป็นหมีแพนด้ากันแล้ว”
“หมีแพนด้าคืออะไร”
“อ่อ ในโลกที่ข้าเคยไปทำงานน่ะมีสัตว์อยู่ชนิดหนึ่ง…”
ในขณะที่ราเชสกำลังอธิบายถึงสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีขนสีขาวดำให้เพื่อนยมทูตฟังอยู่นั้น ทางด้านเชสเซอร์ก็ถูกหัวหน้าหน่วยเมริฟาพาตัวเข้ามาในห้องทำงานที่ดูสะอาดสะอ้าน ใหม่เอี่ยมจากการใช้พลังวิญญาณซ่อมแซมปรับปรุงเมื่อครู่ แน่นอนว่าเป็นฝีมือลูกน้องของหัวหน้าผู้นี้เสียทั้งหมด
ส่วนเจ้าตัวก็ทำเพียงแค่เดินหน้าระรื่นไปนั่งเก้าอี้ประจำตำแหน่งเท่านั้น
“นั่งก่อนสิ” มาริฟบอกให้ดวงวิญญาณนั่งบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
ก่อนที่ตัวเองจะนั่งตาม และกล่าวเสียงอ่อน “เกิดเรื่องวุ่นวายเยอะไปหน่อย ขอโทษด้วยนะ”
ข้าว่าท่านควรไปขอโทษลูกน้องท่าน เชสเซอร์ได้แต่คิด สิ่งที่เขาทำก็คือพยักหน้ารับรู้
“ไหนเจ้าลองพูดมาซิ ว่าเจ้ารู้สึกสงสัยอะไรบ้าง ข้าจะได้อธิบายเป็นข้อๆ ไป”
“เมริฟาคืออะไร” เขาแทบไม่ต้องใช้เวลาคิด
มาริฟที่รู้อยู่แล้วว่าต้องโดนถามแบบนี้
ชายหนุ่มยิ้มบางก่อนจะเริ่มทำการอธิบายสิ่งที่พนักงานใหม่กำลังสงสัย
“เมริฟาเป็นชื่อหน่วยของเรา และหน่วยของเราจะทำหน้าที่เยอะกว่ายมทูตทั่วไป
นั่นคือพวกเราต้องจัดการคนจำพวกนี้” เขาดีดนิ้วหนึ่งครั้ง
เรียกเอาเอกสารปึกหนึ่งออกมา โบกมือให้ข้อความในนั้นลอยเหนือกระดาษ แล้วอธิบาย
“พวกเราต้องจัดการกับมนุษย์ที่ก่อความวุ่นวายให้กับยมทูต” มาริฟหยิบปากกาขนนกมาถือ ปากอธิบาย มือก็ขยับขนนกเลื่อนให้เชสเซอร์ดูเอกสารแผ่นถัดไป
มันเป็นรูปหน้าตรงของคนจำนวนหนึ่งที่เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“พวกก่อปัญหาหลักๆ ก็จะเป็นเจ้าพวกนี้ เห็นรูปแล้วเจ้าน่าจะพอเดาได้”
วิญญาณหน้าสวยพยักหน้ารับ จริงอย่างมาริฟว่า ลักษณะและแววตาของคนที่ปรากฏบนภาพเหล่านี้
ไม่ต้องบอกก็พอเดาออกว่าแต่ละคนทำอาชีพอะไร ดวงตาแข็งกร้าว ใบหน้าถมึงทึง แววตากระหายในความต้องการแบบนี้
คงไม่ได้เย็บตุ๊กตาขายกันเป็นแน่
“ฆาตกรฆ่าร้อยศพ มนุษย์ผู้ต้องการความเป็นอมตะ
แม่มดที่กักขังวิญญาณของเหล่ามนุษย์ ดวงวิญญาณหนีการจับกุม หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตที่เกิดขึ้นด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ
ยกตัวอย่างก็ราวๆ นี้แหละนะ”
เชสเซอร์พยักอีกครั้ง
เขาเริ่มเข้าใจแล้วว่าเป้าหมายที่ต้องจัดการเป็นบุคคลประเภทไหน
แล้วหนึ่งในบุคคลประเภทนั้นก็ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสี
แต่ชายหนุ่มก็รวดเร็วพอที่จะเปลี่ยนกลับมาให้อยู่ในอารมณ์สงบเยือกเย็นตามเดิม
“พวกที่ข้าพูดไปเมื่อกี้เป็นพวกที่ทำให้ยมทูตในโลกวิญญาณต้องหัวหมุนเพราะหาวิญญาณที่ต้องจับกุมไม่เจอ
พอเจอก็ถูกกักขัง ถูกกักขังก็ต้องช่วยเหลือ ทำให้งานที่ควรจะทำต่อไปต้องล่าช้า บางพวกก็ทำให้มนุษย์มีห่วง
ไม่ยอมให้ถูกจับ แบบนี้ทางเราก็ต้องจัดการอีก นี่ยังไม่รวมกรณีจับวิญญาณผิดดวงนะ แต่ดีที่หัวหน้าหน่วยเก็บวิญญาณทำงานดีติดต่อกันมาสองรุ่น
เลยลดภาระไปได้เยอะ” มาริฟเว้นช่วง เขาถอนหายใจ
ก่อนหยิบชามาจิบแล้วเอ่ยต่อ
“แล้วถ้ามัวแต่จะไปช่วย หรือจัดการเรื่องพวกนี้ มันก็จะทำให้เราใช้เวลากันมากขึ้น
การเกิดใหม่ของวิญญาณดวงอื่นจะล่าช้า
ชะตาชีวิตของมนุษย์คนอื่นก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง”
จากที่ได้ฟังมา เชสเซอร์พอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมยมทูตแต่ละตนถึงดูเหน็ดเหนื่อย
ถ้าเดาไม่ผิด ยมทูตในหน่วยนี้ก็คงไม่พ้นเหนื่อยหนักว่า
“ดังนั้นหน่วยเราเลยถูกตั้งขึ้นมาเพื่อคอยดูแลเรื่องพวกนี้แหละนะ” หัวหน้ามาริฟพูดจบก็ส่งยิ้มให้กับคู่สนทนา
เมื่อนึกได้ว่ายังมีอีกเรื่องที่สมควรต้องบอกเขาก็รีบพูดต่อ
“อ่อ
แล้วที่ต้องให้มนุษย์มาทำงานนี้ก็เป็นเพราะพวกเราจะฆ่ามนุษย์โดยตรงไม่ได้ ก็เลยต้องให้มนุษย์อย่างพวกเจ้ามาจับคู่กับยมทูต
แล้วทำงานนี้น่ะ”
ชายหนุ่มชาวมนุษย์พยักหน้าเข้าใจ เขารับรู้แล้วว่าเมริฟาคืออะไร
ทำหน้าที่แบบไหน แล้วทำไมต้องให้มนุษย์อย่างเขามาทำงานนี้ และถึงแม้จะเข้าใจเรื่องนี้แล้วก็ตาม
แต่เขาก็อดสงสัยเรื่องบางเรื่องไม่ได้
“แล้วทำไมถึงเลือกข้าล่ะ”
คำตอบนั้นได้รับการตอบกลับอย่างชัดเจนชนิดที่ไม่ต้องถามต่อ
“ก็เพราะเจ้าเป็นนักฆ่ามาก่อนแล้วน่ะสิ หน่วยเราต้องฆ่าคน จะเอาพวกพ่อพระแม่พระมาทำงานนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องนี่นา”
ข้อสงสัยเรื่องเมริฟาของเชสเซอร์ถูกอธิบายจนเข้าใจแจ่มแจ้ง
และชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตัวเขาไม่มีทางปฏิเสธงานนี้ได้ เพราะถ้าหากปฏิเสธไปก็คงจะได้กลับไปรับโทษตามเดิม
แล้วตัวเขาก็ไม่ใช่พวกโรคจิตชอบความเจ็บปวดที่จะอยากไปรับโทษมากกว่าทำงาน
“อ้อ จริงสิ” เสียงจากมาริฟทำให้คนที่กำลังอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองต้องเงยหน้าขึ้นมอง
“งานนี้มีค่าตอบแทนพอสมควรเลยทีเดียว
เพราะนอกจากเจ้าจะได้เงินจากการทำงานแล้ว
เจ้ายังจะได้อย่างอื่นที่คุ้มกับการทำงานด้วยนะ”
“ได้อะไร”
“ความปรารถนา” คำตอบที่ถูกตอบในทันทีนี้ทำให้มนุษย์รู้สึกงุนงง
หัวหน้าหน่วยที่เห็นดังนั้นจึงยิ้มแล้วพูดต่อ “เจ้าจะต้องทำภารกิจจากข้าให้ครบตามที่กำหนด
ถ้าครบแล้วเจ้าจะได้สิ่งที่เจ้าปรารถนาที่สุดหนึ่งอย่าง”
เมื่อได้ยินแบบนี้เชสเซอร์ก็เริ่มสนใจขึ้นมา
ตัวเขานั้นมีความปรารถนาที่จะกลับไปยังโลกเดิมของตัวเอง แต่ก็ไม่มั่นใจนักว่าอีกฝ่ายจะทำให้ได้หรือไม่
“ถ้าข้าอยากจะกลับไปที่โลกเดิมล่ะ”
“ไม่มีปัญหา เจ้าจะขออะไรก็ได้ แล้วมนุษย์ส่วนใหญ่ก็จะขอแบบเจ้า
เพราะพวกเขายังมีห่วงอยู่ที่โลกมนุษย์
แถมตอนตายอีกรอบยังได้รับสิทธิพิเศษให้ไปเกิดใหม่ได้ในทันที ไม่ต้องกลับมารับโทษด้วยนะ
คุ้มสุดๆ”
งานน่าสนใจ สวัสดิการดี ค่าตอบแทนคุ้มค่าแบบนี้มีหรือที่อดีตนักฆ่าอย่างเชสเซอร์จะไม่อยากได้
ขอแค่ได้กลับไปที่โลกเดิมเพื่อทำในสิ่งที่สมควรให้สำเร็จ ไม่ว่าอะไรเขาก็ยอมทำทั้งนั้น
“หน้าที่และค่าตอบแทนก็มีเท่านี้ เป็นไง น่าสนใจใช่ไหม” คนถูกถามพยักหน้าทันที มาริฟจึงยิ้ม แล้วหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งมายื่นให้เชสเซอร์
พร้อมกล่าวเสียงระรื่น
“ถ้างั้นก็เซ็นสัญญาเลย”
“หา?” หนุ่มหน้าสวยกะพริบตาปริบๆ มองกระดาษแผ่นนั้นอย่างไม่ค่อยเข้าใจ “ต้องเซ็นด้วยเหรอ”
“เซ็นสิ ถึงเจ้าจะตายแล้ว แต่ก็ต้องทำอะไรให้เป็นขั้นเป็นตอน แล้วผลของการเซ็นสัญญามันทำให้ข้าติดตามเจ้าได้สะดวก
ถ้าเจ้าไม่ไว้ใจข้า จะอ่านมันก่อนก็ได้ แต่ถ้าไม่ยอมรับ นรกก็รอลงโทษเจ้าอยู่”
“...ท่านขู่ข้าใช่มั้ย”
“ตอบตามมารยาทก็เปล่า ข้าแค่อธิบาย ตอบแบบจริงจังก็ใช่ ข้าขู่เจ้า หน่วยเรายิ่งมีคนงานน้อยอยู่
ถ้าทำผลงานไม่ดีพอ ปลายปีก็ไม่ได้โบนัสพิเศษจากท่านอินเฮลสิ”
“...”
เชสเซอร์ไม่เคยนึกมาก่อนว่าโลกวิญญาณจะมีโบนัสเหมือนโลกเขา... ไม่สิ ตั้งแต่มาเหยียบที่นี่ก็เจอเรื่องเหนือความคาดหมายไปหลายอย่าง
ถ้านำเอามาเรียงกันตามลำดับความน่าอึ้งแล้วละก็ เบี้ยเลี้ยงพิเศษนี่อยู่อันดับท้ายๆ
เสียด้วยซ้ำ เรื่องคุกกี้กับพระราชวังในโลกวิญญาณยังน่าตกใจกว่าเยอะ
ส่วนเรื่องยอมไม่ยอมรับสัญญา... ระหว่างรับโทษแบบไม่รู้วันสิ้นสุด กับทำงานเพื่อกลับไปทำตามสัญญา
เขาต้องเลือกอย่างหลังแน่อยู่แล้ว ใครจะอยากไปรับโทษให้ทรมานเล่นกัน
“ตกลงเอาไง” มาริฟถามอีกครั้ง “ทำไม่ทำ”
“ทำ” เชสเซอร์ตอบสั้นๆ หยิบปากกาขนนกมาตวัดลายเซ็นลงไปโดยไม่คิดจะอ่าน
จากนั้นก็ส่งมันคืนให้มาริฟ
“ไม่อ่านหน่อยเหรอ ไม่กลัวข้าเอาเปรียบหรือไง” หัวหน้าหน่วยเลิกคิ้ว
ยังไม่ยอมรับเอกสารกลับไปโดยง่าย “สัญญานี่น้องสาวของข้าเป็นคนเรียบเรียงเองเลยนะ
ถ้าไม่อ่านสักหน่อยนางเสียใจแย่”
ประเด็นอยู่ตรงนั้นเรอะ... หนุ่มสวยคิดในใจ ก่อนให้คำตอบเสียงเคร่งขรึม
“ข้ายอมโดนเอาเปรียบดีกว่ากลับไปทำตามสัญญาไม่ได้”
“เหรอ งั้นก็ดี” มาริฟยอมรับเอกสารมาถือไว้ มองลายมือชื่อของพนักงานใหม่แล้วยิ้มพอใจ
“รอคู่หูเจ้ามาเซ็นด้วยก็เรียบร้อย แล้วพอเสร็จ
ข้าจะได้ให้คู่หูของเจ้ารีบพาเจ้าไปเข้าร่าง ตอนนี้เจ้าอยู่ในสถานะของวิญญาณ
ถ้าอยู่แบบนี้ไปนานๆ มันจะไม่ดีต่อตัวเจ้า”
พูดจบมาริฟก็ลุกยืน เดินไปทางประตูห้อง เชสเซอร์มองตามด้วยความสงสัย แล้วเมื่อประตูเปิดออก
ร่างเพรียวในชุดเครื่องแบบที่ดูจะขัดกับเพศใบหน้าก็ปรากฏแก่สายตา
“ไง ราเชส มานานหรือยัง เจ้านี่เอาการเอางานดีจริงๆ”
“ข้าแค่ไม่อยากเสียเวลา” ยมทูตหน้าหล่อตอบ
สีหน้าและแววตาที่ใช้พูดกับหัวหน้ายังคงมีความรู้สึกไม่พอใจแฝงอยู่
แต่เมื่อมองไปยังดวงวิญญาณหน้าใหม่
มันกลับหายไปราวกับว่าเจ้าตัวไม่เคยรู้จักกับอารมณ์ขุ่นเคืองมาก่อน
“สวัสดี ข้าชื่อราเชส เป็นคู่หูของเจ้า ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั่นทำให้หัวใจของเชสเซอร์กระตุกวูบไปอีกครั้ง
ในคราวนี้มันพ่วงมาด้วยความรู้สึกโหยหา อยากดึงอีกฝ่ายเข้ามากอดให้แน่นทั้งที่ตนเกลียดเพศชาย
และการสัมผัสยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
แต่ยังไงเขาก็คือเขา เกลียดคือเกลียด ถึงยิ้มนั่นจะอบอุ่นและชวนโหยหามากขนาดไหน
เขาก็ไม่มีวันยอมอยู่ร่วมกับสิ่งที่เกลียดเป็นอันขาด
“ช่วยเปลี่ยนคู่หูให้ข้าได้ไหม ข้าไม่อยากทำงานร่วมกับเพศเดียวกัน”
คำพูดนี้ทำให้บรรยากาศรอบข้างเงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจ ยมทูตที่คุยกันอยู่ไม่ไกลถึงกับต้องหยุดพูด
แล้วค่อยๆ เดินหนี แม้กระทั่งตัวหัวหน้าหน่วยก็ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ยิ้มฝืดเฝื่อน
พยายามจะไม่สบตากับยมทูตที่โดนคู่หูทำท่ารังเกียจ ก่อนพูดประโยคชวนอ้าปากค้าง
"เอ่อ... ข้าว่าน้องสาวข้าไม่น่าใช่เพศเดียวกันกับเจ้านะ"
น้องสาว!?
ประโยคนี้ทำให้เชสเซอร์ช็อก และกระจ่างชัดในนาทีถัดมา
ผู้หญิงเรอะ?!!
ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมมาริฟถึงทำตัวเหมือนพวกอยากอ้อนวอนคนรัก
และทำไมเขาถึงคุ้นหน้าคุ้นตาหัวหน้าหน่วย
แต่ตอนนี้เรื่องที่ควรทำไม่ใช่อ้าปากค้างหรือยืนอึ้ง
เขาควรจะพูดอะไรสักอย่างก่อนที่จะโดนยมทูตหน้าหล่อตนนี้ฟันด้วยเคียวที่กำลังปล่อยควันสีดำออกมารอบด้าม
“บางทีเจ้าอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปบางอย่างนะ เชสเซอร์"
เสียงนุ่ม ทุ้มเล็กน้อยแฝงอารมณ์โกรธจนทำให้ผู้ฟังรู้สึกเสียวสันหลังวาบดังขึ้น แม้ดวงตาที่ใช้จ้องมองคู่สนทนาจะเก็บอารมณ์โกรธไว้ได้อย่างมิดชิด
แต่มันก็ทำให้เชสเซอร์เหงื่อตก เผลอกำพนักพิงเก้าอี้จนแน่น
“ถึงเสียงข้าจะต่ำ หรือตัวสูงกว่าผู้หญิงทั่วไป แต่มองให้ดีก็ไม่ได้เหมือนผู้ชายขนาดนั้น
แล้วข้าก็ใส่กระโปรงอยู่ให้เห็นอยู่ทนโท่”
เมื่ออีกฝ่ายพูดมาแบบนี้
ชายหนุ่มก็เข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมยมทูตหน้าหล่อถึงได้ใส่กระโปรงทั้งที่เป็นผู้ชาย
ไม่ นั่นถูกแล้ว การที่ยมทูตผู้นี้จะใส่กระโปรงมันเป็นเรื่องที่สมควร
เขาต่างหากที่เข้าใจผิดไป
“ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ช้าๆ ชัดๆ เผื่อว่าเจ้าจะหูเฝื่อนก็แล้วกันนะ”
เสียงนั้นนุ่มน่าฟังมากเพียงใด
อารมณ์โกรธในน้ำเสียงที่ทำให้นักฆ่าหน้าสวยต้องกลืนน้ำลายลงคอเพราะความหวาดกลัวก็มีมากเท่ากัน
แววตาที่ใช้มองมานั่นก็ทำเอาเชสเซอร์รู้สึกว่า นอกจากเรื่องความหล่อแล้ว เขายังพ่ายแพ้ราเชสในเรื่องใช้แววตาขู่คนแบบไม่เป็นท่า
และคำพูดที่ออกมาต่อจากนั้น ทำให้เขาอยากจะเอามืออุดหู แล้วโขกศีรษะของตัวเองเข้ากับข้างฝาขึ้นมาในทันที
“ข้า – เป็น – ผู้ – หญิง!!”
--------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักทุกท่าน
ในตอนนี้เราก็รู้กันแล้วนะคะว่าหนุ่มหล่อคนนั้นเป็นใคร
ใช่ค่ะ หนุ่มหล่อคือ ราเชส และราเชสคือผู้หญิงนะคะ
เท่านี้นักอ่านหนุ่มๆ
ทั้งหลายก็สบายใจกันได้แล้วนะคะ เรื่องนี้ไม่วายแน่นอน
แล้วพระเอกเราก็แมนมากด้วย
(ถึงจะหน้าสวยแล้วกลัวยมทูตก็เถอะ แต่อันนี้ใครไม่กลัวสิแปลก)
ตอนหน้าจะเป็นตอนปล่อยข้อมูลอีกตอนค่ะ
อย่าเพิ่งเบื่อกันน้า ~
ขอขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้นะคะ
ความคิดเห็น