คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : EP. 1 When he died
EP. 1
When he died
เจ็บ...
นี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มคนหนึ่งรู้สึกหลังเขาถูกกระสุนปืนฝังเข้าที่หน้าอกด้านซ้าย
ความเจ็บนั่นเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ก่อนที่มันจะเลือนหายไปพร้อมกับสติและภาพสุดท้ายที่ได้เห็น
“ขอโทษนะ.. ขอโทษจริงๆ”
นั่นเป็นเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินในชีวิตนี้
“สวัสดียามค่ำคืนขอรับ”
เอ๊ะ?
ชายหนุ่มที่เพิ่งถูกยิงไปเมื่อครู่กะพริบตาปริบๆ
เขายกมือขึ้นแตะอกด้านซ้ายและก้มลงมองมัน
เสื้อผ้าสะอาดไร้รอยเลือดนั่นทำเอาเขาขมวดคิ้วมุ่น ขบคิดว่าเรื่องราวเมื่อครู่เป็นความจริงหรือความฝัน
แต่ความรู้สึกเจ็บปวดที่ได้รับนั่นให้คิดยังไงมันก็ต้องเป็นความจริง
แล้วเหตุใด ทำไมตอนนี้ร่างกายของเขาถึงไร้บาดแผล ไม่รู้สึกเจ็บเหมือนเมื่อครู่เลยสักนิด
แต่เพื่อความแน่ชัด ชายหนุ่มจึงตัดสินใจหยิกตัวเองเพื่อเป็นการพิสูจน์
ไม่เจ็บ?
“เอ่อ... ถ้าท่านจะสนใจฟังทางนี้”
ชายหนุ่มยังคงไม่ได้ยินเสียงนั้น เขากำลังพยายามตั้งสติและคิดหาสาเหตุที่ตนมีสติอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ในความฝัน
พอสติกลับมาครบถ้วนก็นึกออกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไม่ได้นอนหลับหรืออยู่ในความฝัน
แต่มันตรงกันข้าม เขานอนไม่หลับเลยออกมาเดินชมวิวยามค่ำคืน แล้วอยู่ๆ
ก็ถูกยิงสามนัดซ้อนเข้าที่หัวใจ
โดนเข้าไปขนาดนั้นคงไม่มีใครที่จะมีชีวิตรอดไปได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ความรู้สึกตอนที่ถูกยิงเมื่อครู่นั่นเป็นความจริง เขาเจ็บจริงและตายจริงแน่นอน
แต่ทำไมตอนหยิกแขนตัวเองเขาถึงไม่รู้สึกเจ็บเลยสักนิด แรงก็ใช่ว่าจะน้อยเสียที่ไหน
“ฮะแฮ่ม!!”
ในระหว่างที่กำลังคิดหาเหตุผล เสียงกระแอมที่ดังจนทำให้สะดุ้งก็ดังเข้าหู
เขาค่อยๆ หันไปยังทิศทางที่ได้ยินเสียง
และต้องเลิกคิ้วเล็กน้อยเมื่อเบื้องหน้าคือชายหนุ่มท่าทางสุภาพในชุดพ่อบ้าน
ที่มือมีเคียวด้ามยาวขนาดเท่าลำตัว ใบหน้าที่น่าจะอ่อนกว่ากันไม่กี่ปีแย้มยิ้มสดใสก่อนจะทำท่าดีใจ
พูดสิ่งที่ทำให้เขาต้องตกตะลึง
“สวัสดียามค่ำอีกครั้งขอรับ ท่าน....” เสียงลมที่พัดมาอย่างกะทันหันนั้นทำให้ไม่ได้ยินชื่อที่เอ่ยออกมา
แต่ผู้ที่อยู่ในระยะใกล้นั้นกลับได้ยินได้อย่างชัดเจน
“รู้ชื่อนั้นได้ไง แกเป็นใครกันแน่” เขาถามเสียงเย็น
ตาสีทองที่มีเพียงแค่ข้างเดียวเพราะอีกข้างถูกเส้นผมปิดบังเอาไว้หรี่ลง ไม่คิดว่าบุคคลตรงหน้าของตัวเองจะเป็นมิตร
“อะ ขออภัยขอรับ” ฝ่ายตรงโค้งตัวลงจนร่างกายทำมุมฉากกับพื้น “ข้าลืมแนะนำตัวไป ข้าคือยมทูต มารับวิญญาณของท่านขอรับ!”
ชายหนุ่มยืดตัวขึ้น เขาแนะนำตัวเองอย่างฉะฉานและเสียงดังฟังชัด
แต่มันคงไม่เข้าหูของผู้ฟังที่กำลังอ้าปากค้าง
สติหลุดลอยไปไกลตั้งแต่ที่ได้ยินคำว่ายมทูต ทว่าผู้พูดก็ไม่ใส่ใจ
ยังคงอธิบายต่อไปด้วยความหวังดี
“ท่านตายแล้วขอรับ หลักฐานคือร่างที่กำลังถูกมนุษย์รุมล้อมอยู่นั่น” ยมทูตชี้ไปด้านหลัง ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าเสียชีวิตไปแล้วจึงรีบหันไปมองทิศทางนั้นในทันที
จุดที่มีกลุ่มคนรุมล้อมอยู่นั่นไม่ไกลจากสายตาของเขานัก
และคนก็ไม่ได้มากจนมองไม่เห็นสิ่งที่อยากจะเห็น ชายหนุ่มเพ่งมองอยู่ครู่หนึ่ง
ในที่สุดเขาก็พบเข้ากับใบหน้าของศพ ร่างไร้วิญญาณที่นอนจมกองเลือดอยู่บนพื้นนั่นมีหน้าตาเหมือนเขาทุกประการ
ไม่ว่าจะเป็นเส้นผมที่ปิดดวงตาฝั่งขวาหรือใบหน้าสวยเฉียบไม่สมกับเพศที่แท้จริง
คนตายอ้าปากค้าง เขาหันกลับไปหายมทูตแล้วจะเอ่ยปากถาม
แต่อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ทัน จึงตอบกลับมาก่อนที่เขาจะได้พูดออกไป
“ท่านโดนยิงเข้าที่หัวใจ แต่ไม่ตายในทันทีเพราะยังมีเวลาเจ็บอยู่ อาจจะสักสามวินาทีได้” ยมทูตยกนิ้วประกอบ ยิ้มกว้างเหมือนกำลังเสนอขายสินค้ามากกว่าเพิ่งบอกสาเหตุการเสียชีวิตให้ผู้ตายรับรู้ “แล้วตอนนี้ท่านก็อยู่ในสถานะของวิญญาณ
ดังนั้นท่านจึงไม่รู้สึกเจ็บเมื่อหยิกตัวเอง”
พูดจบก็มองคู่สนทนา
พอเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งงันไปอีกครั้งยมทูตก็ชักหนักใจ
แต่ถึงจะอยากโวยวายออกไปอย่างไร
ยมทูตที่อยู่ในช่วงฝึกงานอย่างเขาก็ต้องระงับอารมณ์
และถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่พยายามจะคงความสุภาพเอาไว้
“ท่านจะเลิกอึ้งได้หรือยังขอรับ ข้าจะได้รับดวงวิญญาณของท่านไปสักที”
คนตายรีบเรียกสติของตัวเองกลับมา
ตอนนี้เขารับรู้ว่าตัวเองไม่ได้มีชีวิตอยู่อีกต่อไปเรียบร้อยแล้ว แต่ใครเล่าจะทำใจยอมรับได้ในทันที
เขามีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ความปรารถนาของเขายังไม่เป็นจริง ไหนจะยังมีสัญญาที่ให้ไว้กับคนสำคัญ
ดังนั้นจะมาตายทั้งแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด
“แบบนี้มัน...”
“มีอะไรไว้ไปคุยกับราชาโลกวิญญาณเองเถอะขอรับ ข้าเป็นแค่ยมทูตสังกัดหน่วยเก็บวิญญาณ
มีหน้าที่รับดวงวิญญาณของผู้ตายเท่านั้น
ไม่มีสิทธิ์อะไรนอกจากอธิบายสาเหตุการตายแล้วนำท่านไปยังโลกวิญญาณ”
“แต่...”
ปกติแล้วชายหนุ่มผู้นี้จะเป็นคนเยือกเย็น เขาไม่เคยร้อนรนถึงขั้นนี้มาก่อน
ตั้งแต่ที่มาทำอาชีพนี้เขาก็ไม่เคยก้มหัวขอร้องใคร ไม่เคยเห็นใจใคร
และไม่มีคำว่าปรานีมอบให้เหยื่อคนไหน
แต่ในเวลานี้เขากลับอยากจะขอความเห็นใจจากอีกฝ่าย อยากขอให้ปล่อยเขาไป
เขายังมีสิ่งที่ต้องทำ ยังไม่สามารถจากโลกนี้ไปได้อย่างสบายใจ
“ไม่มีแต่ขอรับ ท่านนี่ดื้อดึงจริงๆ มีอะไรก็ไปคุยกับราชาเอาเถอะขอรับ
เวลามีไม่มากแล้ว”
ยมทูตไม่สนความต้อวการของใคร ทั้งยังไม่พูดเปล่า
เขายกอาวุธในมือขึ้นขึ้นสูง แล้วฟันมันลงมาเป็นแนวเฉียง
ดึงเอาวิญญาณของคนตายที่ยังไม่หมดห่วงให้เข้าไปในเคียว ดวงวิญญาณพยายามต้านแรงดึงดูดนั้น
แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ แรงดึงดูดจากเคียวนั่นมีมากเกินกว่าที่เขาจะต่อต้านมัน
ถึงแม้จะรู้ว่าตอนที่มีชีวิตอยู่นั้นตัวเองได้ก่อบาปเอาไว้มากมาย อีกทั้งมันยังเป็นบาปที่ไม่สามารถให้อภัยได้
จึงทำใจยอมรับเรื่องนี้เอาไว้แล้ว เขารู้ว่าถ้าเวลานั้นมาถึงตัวเองจะต้องได้รับโทษที่แสนจะทุกข์ทรมาน
…แต่เรื่องทำใจรับบาปกับรับความตายมันคนละเรื่องกัน ไม่ว่าอย่างไร เขาจะตายตอนนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
“ไม่ ขอเวลาให้ข้าได้—”
“ท่านนี่วุ่นวายจริงๆ! ข้าบอกเลยก็ได้...
ข้าไม่ได้มารับท่านไปลงโทษ แต่จะมารับท่านไปพบกับราชาโลกวิญญาณ
พระองค์มีความประสงค์ที่จะคุยกับท่าน หายห่วงเรื่องโดนลงโทษได้เลย”
“เอ๊ะ?”
ประโยคคำพูดที่ฟังเข้าใจยากนั่นทำให้วิญญาณคนตายชะงักไป นั่นจึงเป็นจังหวะดีที่ทำให้ยมทูตมีโอกาสดึงเอาเขาเข้าไปในเคียวได้สำเร็จ
เมื่อภารกิจที่สมควรต้องทำเสร็จสิ้น ผู้นำดวงวิญญาณสู่โลกหลังความตายก็ยิ้มพอใจ แล้วตวัดเคียวอีกครั้งเพื่อเป็นการเปิดประตูสู่ดินแดนของตัวเอง
.....
เมื่อนึกถึงยมทูตก็ต้องนึกถึงนรก แล้วเมื่อนึกถึงนรก
ก็ต้องนึกถึงภาพความชั่วร้ายที่ตนเองได้ทำเอาไว้ และบาปของชายหนุ่มที่เพิ่งถูกยิงไปเมื่อครู่นั้นก็หนาอยู่ไม่น้อย
ไม่แปลกอะไรที่เขาจะรู้สึกหวาดกลัวกับโทษที่รอคอย
ถึงจะบอกว่าทำใจเอาไว้แล้วก็ตาม แต่เป็นใครก็ต้องกลัวกันทั้งนั้น ทว่ายมทูตตนนั้นบอกกับเขาว่าไม่ได้พามารับโทษ
แต่พามาพบกับราชาโลกวิญญาณ...
มันยังไงกันนะ?
ตอนนี้หนุ่มหน้าสวยกำลังนั่งสงบจิตสงบใจอยู่ในห้องสีขาวดูหรูหรา
มีโคมระย้าอยู่กลางห้อง มันดูสว่างไสวและขัดจากภาพลักษณ์ของนรกโดยในความคิดของใครหลายๆ
คนไปโดยสิ้นเชิง
แล้วดูเหมือนยมทูตในชุดพ่อบ้านนั่นจะกลัวเขาเบื่อในระหว่างรอการมาของราชาโลกวิญญาณ
ชายหนุ่มจึงได้รับชาร้อนๆ ส่งกลิ่นหอมกรุ่น และคุกกี้ดูน่ารับประทานอีกหนึ่งจาน
เขาอยากถามนักว่าสภาพวิญญาณอย่างนี้จะเอาอะไรมาย่อยอาหาร แต่ ได้เพียงอ้าปากค้าง
ครู่ต่อมาก็ต้องยื่นมือไปหยิบชาที่กำลังส่งกลิ่นหอมขึ้นมาจิบ เพราะความหิวที่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ตื่นได้แล้วขอรับท่านอินเฮล!!”
แล้วตอนที่กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบคุกกี้ขึ้นมารับประทาน เสียงอึกทึกครึกโครมก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มตกใจจนทำน้ำกระฉอกออกจากแก้วชา เขามองซ้ายมองขวาหาต้นตอของมัน แล้วเสียงที่เต็มไปด้วยความง่วงงุนของชายคนหนึ่งก็มาพร้อมกับคราบน้ำที่เลือนหายไป
“ขอโทษที่ทำให้ตกใจ”
เสียงเนือยๆ เต็มไปด้วยความง่วงงุนดังขึ้น มันมาจากทางที่ยมทูตชุดพ่อบ้านเดินเข้าไป
พอหันไปมองก็พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่ง
“เจ้าปล่อยให้ข้ารอตั้งนาน รู้ไหมว่าข้ารอจนหลับไปหลายตื่นแล้ว”
ใบหน้าของผู้พูดดูหล่อเหลาคมคาย ผิวขาวซีดราวไม่เคยต้องแสงแดด
ผมสีดำยุ่งเหยิง และนัยน์ตาสีเดียวกันที่กำลังถูกขยี้อยู่นั่นไม่ได้ลดความน่ามองของอีกฝ่ายลงไปได้เลยสักนิด
ซ้ำยังดูน่ามองยิ่งขึ้นเมื่อเขาอยู่ในชุดนอนสีดำสนิทเหมือนกับสีผม
แต่จะขัดกันก็ตรงที่เขากำลังกอดหมอนสีขาว และเดินลากเท้าออกมาจากกลุ่มควันสีดำพร้อมหาวหวอดๆ
“สวัสดี ข้าคือราชาโลกวิญญาณ
ข้าขอเข้าเรื่องเลยก็แล้วกันนะ” คำพูดของเขาทำให้ดวงวิญญาณหนุ่มวางแก้วชาลง
แล้วตั้งใจฟัง
“ยินดีด้วย เจ้าได้รับสิทธิพิเศษ ไม่ต้องโดนลงโทษ
และได้ไปทำงานฆ่าคนกับหน่วยเมริฟา”
“อะไรนะ!?”
ถึงแม้จะรู้ดีว่าผู้ที่พูดคุยอยู่ด้วยนั้นเป็นถึงราชาของโลกวิญญาณแห่งนี้
แต่อย่างไรเขาก็อดอุทานอย่างไร้มารยาทออกมาไม่ได้
เมริฟา? มันคืออะไร
ทำไมเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน สิทธิพิเศษคืออะไร แล้วทำไมเขาต้องไปทำงานในหน่วยนั้น
ก่อนตายเขาก็ทำแต่บาป ฆ่าคนไปมากมาย มีความดีให้แลกสิทธิพิเศษได้เสียที่ไหน ถ้าเป็นความชั่วยังว่าไปอย่าง
นั่นคงแลกประเทศได้เลยด้วยซ้ำ
“หน้าเจ้าดูงงมากเลย อีกเดี๋ยวจะมียมทูตพาเจ้าไปหน่วยนั้น
เจ้าก็ถามกับพวกเขาเอาเองแล้วกัน อ่อ ข้าชุบกายเนื้อให้เจ้าแล้ว
เดี๋ยวพอไปถึงหน่วยเมริฟาพวกเขาก็จะพาเจ้าไปหาร่างของเจ้าเอง พอแค่นี้ก่อนนะ ข้าขอตัวไปนอนต่อละ”
ชายหนุ่มผู้เคยสังหารผู้คนเป็นอาชีพนิ่งอึ้ง เนื่องด้วยงานที่เขาทำนั้น
ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์แบบไหนเขาก็สามารถรักษาความเยือกเย็นเอาไว้
และไม่หลุดอารมณ์อื่นใดออกไปทางสีหน้าได้โดยง่าย
แต่ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะช็อกที่ตัวเองตายหรือโดนยัดเรื่องน่าเหลือเชื่อใส่สมองแบบโครมๆ
จนตั้งตัวไม่ทันกันแน่ เขาถึงได้ยืนอ้าปากค้างอย่างหมดมาดนักฆ่าอยู่แบบนี้
“ด... เดี๋ยวสิ ตื่นก่อน ตื่นขึ้นมาตอบคำถามข้าก่อน!”
ภาษาที่หลุดออกมาจากปากของเขานั้นเป็นภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
แต่ช่างมัน นั่นไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาใส่ใจในเวลานี้
เรื่องที่ควรทำในตอนนี้ก็คือเขย่าปลุกราชาที่กำลังนอนอยู่บนพื้นให้ตื่นแล้วเค้นถามให้รู้เรื่องรู้ราว
มาพูดให้ชวนงงแล้วหลับไปแบบนี้
มันใช้ได้ที่ไหนกัน!
“ตื่น!!”
“เปล่าประโยชน์น่าท่าน”
ยมทูตตนเดิมเอ่ย น้ำเสียงดูเหนื่อยหน่ายกับอะไรบางอย่าง “ข้าจะบอกข้อควรรู้ให้” เขาหยุดพูด เดินเอาผ้าห่มมาคลุมร่างราชาจนปิดถึงใบหน้า แล้วถอนหายใจยาวเหยียด
“ถ้าท่านอินเฮลหลับแล้ว ท่านต้องปลุกอยู่นานเลยกว่าจะตื่น
ถ้าอยากรู้เรื่องอะไร ข้าแนะนำว่าให้ไปถามเอากับหัวหน้าหน่วยเมริฟาเอาจะดีกว่าขอรับ”
ก็แล้วเมริฟามันคืออะไรกันล่ะ บ้าเอ๊ย!
----------------------------
แจ้งข่าวนะคะ
– สำหรับคนที่เคยอ่านเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ –
เนื่องจากเราทำการเปลี่ยนคำโปรย (เพื่อเรียกลูกค้า)
ดังนั้นมันจึงส่งผลกับเนื้อเรื่อง
เราเลยต้องทำการรีไรต์สลับตอนใหม่เพื่อความไม่งงค่ะ
เนื้อเรื่องของบีเฮดอาจจะไปอยู่ในช่วงกลาง ๆ นะคะ
ตอนนี้เราจะทำการอธิบายก่อนว่าทำไมพระเอกของเราถึงได้มาทำงานนี้
และเจอกับราเชสได้ยังไง
ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะชัดเจนขึ้นกว่าเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้ค่ะ
ขออภัยในความไม่สะดวกของแฟนคลับทุกท่านนะคะ
Macaros.
และสำหรับนักอ่านที่เข้ามาใหม่นะคะ
ยินดีต้อนรับค่ะ นิยายเรื่องนี้เป็นแนวต่างโลก ต่างมิติก็จริง
แต่จะแตกต่างออกไปนะคะ ส่วนจะแตกต่างยังไงนั้นให้ติดตามตอนต่อไปเรื่อยๆ
ทุกคนจะรับทราบเองค่ะ
ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านเรื่องนี้กันนะคะ
Macaros.
ความคิดเห็น