ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Merifa หน่วยพิทักษ์ (ยามพัก) โลกวิญญาณ

    ลำดับตอนที่ #1 : EP.0 Prologue: Grim Reaper & A Promise

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 61



    EP.0  Prologue  

    Grim Reaper & A Promise      

     

     

    ท่ามกลางฝูงคนที่สัญจรไปมา เด็กชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวิ่งอย่างสุดกำลังโดยไม่สนว่าตัวเองจะเหนื่อยหรืออ่อนล้ามากเพียงใด เขาออกวิ่งทั้งที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง ใจหวังเพียงแค่ได้หนีออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ และจะไม่หันหลังกลับไปมองเส้นทางที่จากมาเป็นอันขาด 

    การที่เด็กตัวเล็กๆ วิ่งอย่างไม่คิดชีวิตและชนคนไปทั่วแบบนี้ได้ดึงดูดสายตาของผู้คนให้จับจ้อง แต่กลับไม่มีใครด่าทอหรือให้ความช่วยเหลือ พวกเขาต่างมองเด็กชายด้วยสายตารังเกียจปนหวาดกลัว ไม่อยากเข้าใกล้ ยอมหนีไปให้ไกลมากกว่าเอาเรื่อง 

    เด็กชายตัวน้อยก้มจนไม่เห็นสายตาที่มองมา ทว่าเสียงพูดคุยถึงตัวเขากลับดังเข้าหู นั่นทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดมากขึ้น ขาทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลจึงเร่งความเร็ว สมองคิดแค่อยากจะหนีจากความเจ็บปวดเกินทนไหวนี่ไปให้พ้น 

    เพราะต้องการเช่นนั้นจึงตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง ไม่ได้สังเกตถึงเวลาที่ผ่านไป ไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองวิ่งมาไกลถึงขนาดไหน หรือบรรยากาศรอบด้านจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด เด็กชายไม่รับรู้มันเลยสักนิด 

    เขารู้แค่ว่าตนอยากหนี…แต่หนีเพื่ออะไร กระทั่งตัวเขาก็ยังไม่รู้ 

    เด็กน้อยวิ่งไปตามทางด้วยความคิดเหล่านั้น จนเมื่อขาสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่างจนล้มกระแทกกับพื้นจึงหยุดการเคลื่อนไหว แต่ภาพความทรงจำอันเลวร้ายที่แวบเข้ามาได้กระตุ้นให้เขาพยายามลุกขึ้นเพื่อวิ่งต่อ มือเล็กๆ ดันตัวเองขึ้นจากพื้น สัมผัสชุ่มชื้นและความรู้สึกเจ็บปนคันบริเวณฝ่ามือก่อเกิดความรู้สึกรู้สึกสงสัย พอก้มมองก็พบว่ามือตนมีใบหญ้าแทรกมาตามง่ามนิ้ว นั่นทำให้เขาเงยหน้า และได้สังเกตถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไป 

    เด็กชายมองรอบตัวด้วยความฉงน เขาไม่รู้จักคำเรียกของมัน รู้เพียงแค่ว่าสถานที่แห่งนี้มีแต่ต้นไม้เรียงราย พระจันทร์กับดวงดาวถูกบดบังด้วยแมกไม้สูงใหญ่กับเมฆฝนหนาทึบ มองแทบไม่เห็นสิ่งใด ดูมืดและหนาวเย็นจนไม่น่ามีใครอาศัยอยู่ได้ แต่เด็กชายกลับคิดว่าสถานที่แห่งนี้สว่างไสว และน่าอยู่กว่า ‘ที่แห่งนั้น’ นัก  

    ถึงอย่างไรมันก็ยังไม่ใช่ที่ที่เขารู้สึกว่าปลอดภัย จึงก้าวขาออกไป 

    และล้มลงในพริบตา 

    อาการบาดเจ็บบริเวณข้อเท้ากับความเหนื่อยเริ่มส่งผลต่อความรู้สึกทั้งด้านกายและใจ เด็กน้อยค่อยๆ ลุกขึ้น เอนหลังพิงกับต้นไม้ เงยหน้าที่เต็มไปด้วยคราบดินมองเมฆฝน ตัดพ้อต่อว่าตัวเองเสียงแผ่วจนแทบจะอยู่ในลำคอ 

    มาได้แค่นี้สินะ... 

    เสียงใสนั้นขาดห้วง เมื่อน้ำจากฟากฟ้ากระทบเข้ากับร่างกาย ความรู้สึกที่เด็กชายอดกลั้นมาตลอดก็หมดลง ดวงตาสีทองอันเป็นสิ่งเดียวที่สว่างที่สุดในชีวิตสั่นระริก มันแวววาวไปด้วยคราบน้ำตา ไม่ช้า น้ำสีใสก็ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ผสมปนเปเข้ากับหยาดฝนที่กระทบใบหน้า... แต่ละหยดเสมือนทำลายความอัดอั้นภายในใจ จนสุดท้ายเด็กชายก็หลุดเสียงร้องไห้ออกมา มันดังคลอไปกับเสียงฝน และค่อยๆ เพิ่มระดับความดังจนน่ากลัวว่าสัตว์ป่าจะได้ยิน และพุ่งเข้ามาทำร้าย... 

    ถึงจะเข้ามา เด็กชายก็คงยินยอมให้พวกมันขย้ำจนตาย มากกว่าจะต้องกลับไปยังสถานที่แห่งนั้น แต่ขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าถึงจะตายไป เขาก็ไม่มีวันหนีจากคนเหล่านั้นได้ เพราะไม่ว่าจะหนีไปไกลแค่ไหน จะเป็น หรือตาย 'เจ้าชีวิต' ก็สามารถจับกลับไปยังนรกบนดินได้ภายในเวลาอันสั้น  

    เมื่อรับรู้ดังนี้ เด็กชายก็ร้องไห้หนักมากยิ่งขึ้น ร้องขอความช่วยเหลือทั้งที่รู้ดีว่าบริเวณนี้ไม่มีใครช่วยเขาได้ 

    แต่อย่างน้อยขอให้ได้ระบายความอัดอั้นนี้ออกมาบ้างก็ยังดี 

    “... ใครก็ได้... ช่วยข้าด้วย!” 

    จะให้ช่วยอะไรล่ะ 

    “…!” 

    ในป่ามืดมิดที่ไม่ควรมีใคร กลับมีเสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น มันทำให้หัวใจเด็กชายกระตุกวูบ ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตายที่อยู่รอบด้านเหมือนอย่างที่เจออยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความหวาดกลัวก็ยิ่งพุ่งเข้ามาครอบครองจิตใจ ไม่กล้าแม้แต่จะสะอื้น หรือสะบัดมือที่ยื่นเข้ามาจับไหล่ให้หลุดออกไปจากร่างกาย 

    ทำไมเงียบไป เป็นอะไรหรือเปล่าเสียงนั้นยังคงถาม แม้มันจะนุ่มน่าฟัง แต่กลับไม่สามารถทำให้เด็กชายหายหวาดกลัว หรือหันกลับมาให้คำตอบ ซ้ำไหล่บอบบางน่าทะนุถนอมยังสั่นๆ หยุดๆ ราวเจ้าตัวพยายามจะควบคุมมันเอาไว้ให้อยู่นิ่ง แต่ก็ไม่อาจทำได้ 

    ไม่นะ อย่าทำอะไรข้า ข้าสำนึกผิดแล้ว 

    เด็กชายคิด เขาหลับตา พร้อมรับความเจ็บปวดที่คิดว่าจะได้รับเหมือนทุกครั้งที่ทำความผิด ยิ่งเมื่อร่างกายเซไปตามแรงดึง และโดนโอบรัดด้วยแขนทั้งสองข้าง ความกลัวก็เข้าครอบงำจิตใจจนสมองขาวโพลน ไม่รับรู้ถึงความรู้สึกใดๆ ไปชั่วขณะ  

    “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” 

    เด็กชายในอ้อมกอดเริ่มได้สติกลับมาหลังได้ยินเสียงพูดนั้น แต่เขาก็ยังกลัวจนไม่สามารถพิจารณาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้รู้เพียงแค่ว่าเขาอยากหนีจากพันธนาการนี้ แต่จิตใจส่วนลึกกลับไม่ยอมให้ทำแบบนั้น เพราะอ้อมแขนนี้ทำให้หัวใจเกิดความรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร รู้เพียงแค่ว่ามันทำให้ใจที่เต้นรัวค่อยๆ สงบลงได้เท่านั้น 

    ขอโทษนะ ข้าแค่คิดว่าเวลานี้ ข้าสมควรดึงเจ้ามากอดเอาไว้ เจ้าของสัมผัสแปลกประหลาดเอ่ยอีกครั้ง ข้าได้ยินมากว่าการกอดคือการปลอบใจที่ดีที่สุด... ถึงมันจะเป็นกอดของคนแปลกหน้าก็เถอะ แต่ข้าคิดว่ามันต้องช่วยเจ้าได้บ้าง 

    ยิ่งได้ยิน เด็กชายก็ยิ่งงุนงง แขนทั้งสองข้างที่โอบรอบตัวกับเสียงที่ให้ความอบอุ่นแบบนี้ เขาไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อน ไม่เคยได้รับมัน กอดที่อีกฝ่ายพูดถึงคืออะไร เขายังไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำ 

    “กอด... คืออะไร” เขาถามเสียงสั่น “ปลอบใจ คืออะไร”  

    “กอดก็คือการกระทำที่ข้ากำลังทำอยู่” คนแปลกหน้าให้คำตอบโดยไม่ว่าอะไร ซ้ำยังเลื่อนมือข้างหนึ่งขึ้นมาลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา แต่กลับเพิ่มพูนความอบอุ่นในใจ “ส่วนปลอบใจ... มันคือสิ่งที่จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อเจ้ารู้สึกสบายใจขึ้น” 

    แม้อีกฝ่ายจะเป็นคนแปลกหน้า หรือแม้ว่าสายฝนที่ตกลงมาจะทำให้รู้สึกหนาว แต่ความรู้สึกที่ได้รับผ่านกอด’ กลับทำให้เด็กชายรู้สึกอบอุ่น และคิดว่าคนแปลกหน้าคนนี้ช่างแปลกประหลาดถึงกลิ่นอายรอบตัวจะคล้ายคลึงกับคนเหล่านั้น แต่ความรู้สึกที่ได้รับจากคนคนนี้ กลับแตกต่างจากจนเทียบไม่ได้ 

    แตกต่างจนอยากรู้ว่าเจ้าของอ้อมกอดนี้คือใคร และเข้าหาเขาเพื่ออะไร 

    ท่าน ป…เป็นใคร 

    ข้า เหรอ ข้าก็เป็นแค่คนแปลกหน้า ที่บังเอิญมาเจอเด็กน้อยขี้แยกำลังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่กลางป่า ก็เลยอยากจะเข้ามากอดแน่นๆ จนกว่าจะหยุดร้องก็เท่านั้นคนแปลกหน้าตอบ พร้อมขยับอ้อมแขนตามที่พูด 

    "ไม่เป็นไรแล้วนะ แต่ถ้าเจ้าเศร้า ก็ร้องออกมาให้เต็มที่ ข้าจะคอยกอดเจ้าอยู่แบบนี้เอง"  

    เพียงเท่านั้นความรู้สึกหวาดกลัวในจิตใจของเด็กชายก็ลดลงฮวบ เขารู้แจ้งว่าความ อบอุ่นที่ได้รับในเวลานี้คือสิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอด แต่เขาจะเชื่อได้ไหม คนแปลกหน้าคนนี้ไม่หลอกลวง ไม่ทำร้ายเขา สิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นความจริง ไม่ใช่ภาพลวงตาหรือการเพ้อฝัน 

    เป็นแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่านะ? 

    ถ้าข้าร้องไห้ ท่าน... ท่านจะปลอบใจข้าใช่ไหมเด็กชายสะอื้น ยกมือขึ้นกำแขนที่โอบรอบตน เพื่อยืนยันให้แน่ชัดว่านี่เป็นความจริง ไม่ใช่ภาพลวง 

    “ท่าน... จะกอดข้าอยู่แบบนี้ใช่ไหม 

    แน่นอน เพราะงั้น—” 

    เสียงนุ่มถูกขัดจังหวะด้วยเสียงร้องไห้ดังลั่น ร่างเล็กๆ หมุนตัวเข้ามาหาคนแปลกหน้า กำเสื้อของอีกฝ่ายอย่างแน่นหนาราวกลัวว่าคนผู้นี้จะหายไป 

    ไม่ เป็นไร... ถึงจะไม่ใช่ความจริงก็ช่าง นี่เป็นสิ่งที่เขาโหยหามาโดยตลอด ดังนั้น ถึงมันจะเป็นการหลอกลวง หรืออาจเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่หัวใจสร้างขึ้นมาเพื่อปลอบใจตัวเองก็ตาม แต่ความอบอุ่นนี้เขาขอรับไว้ ขอใช้อ้อมกอดนี้เป็นที่พักพิงของหัวใจอันบอบช้ำ และซับน้ำตาจนกว่าความเศร้าจะหมดไป 

    เสียงร้องไห้ที่ดังราวกับจะระบายความเศร้าออกมาให้หมดอกทำเอาผู้มาใหม่ชะงัก ครู่ต่อมาค่อยยิ้ม เลื่อนมือมาลูบศีรษะเด็กชายไปมาพลางเอ่ยปลอบโยน 

    “ขี้แยจริงๆ ด้วยสิ งั้นข้าก็ควรจะกอดเจ้าให้แน่นกว่านี้สินะ” 

    เด็กชายเอาแต่ร้องไห้ ไม่ตอบอะไรกลับไปทั้งนั้น 

    ก่อนหน้านี้ ยามใดที่เศร้าใจ เขา มักจะร้องไห้กับตัวเอง... ไม่เคยมีใครอยู่เคียงข้าง ความเศร้าจึงยังคงกัดกินจิตใจไม่ยอมหาย แต่เมื่อมีคนเข้ามามอบอ้อมกอดที่ไม่เคยรู้จักมาให้ เด็กน้อยก็ระบายมันออกมาจนหมดอก โดยไม่สนว่าจะเป็นการพบกันครั้งแรกไม่สนว่าจะเป็นคนแปลกหน้า ไม่สนว่าจะเป็นใคร 

    ไม่สนอะไรทั้งนั้น 

    ท่าน... จะไม่ทำร้ายข้าใช่ไหม 

    เจ้าน่ารักซะขนาดนี้ ข้าจะทำร้ายลงได้ยังไง 

    ล... แล้วทำไมท่าน... เข้า...ป ปลอบข้า ... เราไม่... เคย จักกันมาก่อนแท้ๆคำถามนั้นดังสลับกับเสียงสะอื้น แต่มันก็จับใจความได้ไม่ยากนัก “ทำไมล่ะ... 

    ทำไมเหรอ นั่นสินะเสียงของคนแปลกหน้าแผ่วเบาราวพึมพำกับตัวเอง และนิ่งไปครู่ใหญ่  

    “มันคงเป็นเพราะเสียงร้องไห้ของเจ้ามันเศร้าซะจนสะเทือนไปถึงใจข้า ถ้าไม่เข้ามากอดปลอบเจ้า เจ้าก็อาจแตกสลายไปต่อหน้าข้า... แต่ก็นะ มันเพิ่งมาคิดเอาได้ตอนเจ้าถามเนี่ยแหละ จะเรียกว่าทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ได้มั้ง   

    คำตอบนั้นทำให้เด็กชายอบอุ่นมากยิ่งขึ้น เขาขยับแขนกอดอีกฝ่ายแน่น อยากจะระบายสิ่งที่อยู่ในใจออกไป แต่กลับทำได้แค่ร้องสลับสะอื้น ให้เจ้าของความอบอุ่นคนนี้ได้ปลอบประโลม  

    มันแปลกเหลือเกิน ปกติเวลาร้องไห้ เขาอยากหยุด เพื่อไม่ให้โดนใครต่อว่า แต่ตอนนี้เขากลับไม่อยากหยุดร้องไห้ เพื่อที่จะได้อยู่กับความอบอุ่นนี้ต่อไปให้นานที่สุดเท่าที่จะดึงไว้ได้ 

    เขาไม่อยากจากคนแปลกหน้าผู้นี้ไปไหน... 

    อ้อมกอดอบอุ่น น้ำเสียงอ่อนโยน จะเป็นใครก็ช่าง เวลานี้ขอแค่ให้ได้อยู่ในอ้อมอกนี้ ขอแค่ให้ได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจกับใครสักคน ขอแค่ให้ได้ร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียง โดยมีคนผู้นั้นคอยอยู่เคียงข้าง เท่านี้ก็เพียงพอจนไม่อยากจะขออะไรอีกต่อไป 

     

    “ถึงเวลาที่ข้าต้องไปแล้ว” 

    ทั้งที่คิดแบบนั้น แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขกลับผ่านไปอย่างรวดเร็ว ได้ระบายทุกสิ่งที่อยู่ในใจเพียงชั่วครู่ เด็กน้อยก็ต้องแยกจากก็ความอ่อนโยน นั่นทำให้ยิ่งเสียใจ เขาคว้ามืออุ่นๆ เอาไว้แน่น ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ใบหน้าหล่อเหลา และพูดเสียงเครือ 

    ไม่นะ อย่าทิ้งข้าไป 

    การ ได้พบเจอกับคนแปลกหน้าผู้มีดวงตาสีน้ำเงินแสนจะอบอุ่นคนนี้ ทำให้เขาได้ระบายความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในใจได้เป็นครั้งแรก ได้รู้ถึงความรู้สึกดีๆ ที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อนแม้มันจะเป็นแค่ช่วงเวลาแสนสั้น แต่ความอบอุ่นที่ได้รับก็สามารถเยียวยาหัวใจดวงน้อยๆ ทำให้เขามีกำลังใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่คิดจากโลกไปเหมือนอย่างวันนี้ หรือวันที่ผ่านมา 

    แต่ทำไมสวรรค์ถึงพรากเอาความสุขไปจากเขาเร็วนัก? 

    อยู่กับข้าต่ออีกนิดได้ไหม เด็กชายร้องขอ หรือไม่ก็พาข้าไปกับท่าน 

    ข้าทำแบบนั้นไม่ได้คำตอบดังกลับมาในชั่วพริบตา ตอกย้ำความสิ้นหวังของเด็กชายหวังให้จมดิ่งลงไปมากกว่าเก่า  

    ทำไมล่ะ ข้าไม่ดีตรงไหน...ฝ่ายเด็กน้อยถาม มือกำเสื้อคนโตกว่าแน่น ท่านไม่ต้องการข้าเหรอ... 

    “...” 

    อีกฝ่ายนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบคำถามของเขา แบบนี้แล้ว ความเศร้าที่เพิ่งได้รับการเยียวยาไป จึงย้อนกลับมาเกาะกุมหัวใจ ซ้ำยังหนักยิ่งกว่าเก่า  

    ทำไมล่ะ คนที่ต้องการข้าก็เอาแต่ทำร้ายข้า แต่คนที่ใจดีกับข้าอย่างท่านกลับไม่ต้องการข้าเสียงนั้นเริ่มสั่น เขาสะอื้น เก็บความเศร้าเอาไว้ไม่อยู่จนน้ำสีใสไหลออกมาจากขอบตาบวมช้ำอีกครั้ง ต้องทำยังไงข้าถึงจะไปกับท่านได้ ข้ายอมทำทุกอย่าง จะให้ฆ่าตัวตายตรงนี้ข้าก็ยอม 

    ไม่ได้นะ!คนแปลกหน้าร้องห้ามโดยพลัน มือทั้งสองข้างบีบไหล่เด็กชาย ตาสีน้ำเงินจ้องมองเขาค้างราวต้องการสะกดให้เขาหยุดนิ่ง เจ้าห้ามฆ่าตัวตายเด็ดขาด”  

    “แล้วท่านคิดจะให้ข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ต้องพบเจอกับความทุกข์ทรมานแบบนั้นต่อไปงั้นเหรอเด็กชายถามกลับ น้ำเสียงสั่นกว่าเก่าจนแทบจะฟังไม่ได้ศัพท์ ข้าทนไม่ไหวแล้ว ให้อยู่แบบนั้นต่อไปน่ะ สู้ตายซะ...” 

    ฟังข้า!เสียงขุ่นเคืองเอ่ยขัด มือทั้งสองเลื่อนจับใบหน้าเปื้อนน้ำตาให้มองตนเจ้าจะฆ่าตัวตายไม่ได้เด็ด ขาด ถ้าเจ้าฆ่าตัวตายก็เท่ากับยอมแพ้ไม่ใช่หรือไง ถึงที่ที่เจ้าอยู่มันจะเลวร้ายขนาดไหน คนรอบข้างเจ้าจะคิดร้ายต่อเจ้ายังไง เจ้าก็ต้องสู้ให้ถึงที่สุด ทำให้พวกเขายอมรับในตัวตนของเจ้า อย่าตอบโต้มันโดยการหนี” 

    เด็กน้อยนิ่งเงียบ เขาตกใจที่คนใจดีกำลังโกรธ ทั้งยังเล็กกว่าจะตีความประโยคเหล่านั้น ความรู้สึกด้านลบที่กลับเข้ามาจึงทำให้คิดว่าการสู้เป็นเรื่องเปล่าประโยชน์ ต่อให้จะดิ้นรนสักกี่ครั้ง สุดท้ายคนเหล่านั้นก็ยังลงไม้ลงมือ ทำร้ายร่างกายและจิตใจของเขาไม่เว้นวันอยู่ดี 

    ข้าพยายามแล้ว ข้าสู้แล้ว... แต่ก็ไม่เคยชนะ คนพวกนั้นยังเอาแต่บังคับข้า ทำร้ายข้า... จ้องใช้ประโยชน์จากข้าเด็กชายเริ่มตัดพ้อ เขาจ้องมองใบหน้าคนตรงข้าม เอ่ยประโยคที่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกเจ็บปวดออกไปด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย 

    อยู่ไปก็มีแต่จะโดนทำร้าย แล้วข้าจะสู้ต่อทำไม 

    เจ้าฆ่าตัวตายแล้วมันจะเป็นยังไงต่อ 

    คำถามนั้นแทงเข้ากลางใจเด็กชาย เขาไม่สามารถตอบได้อย่างเต็มปากว่าฆ่าตัวตายแล้วทุกอย่างจะจบ แต่มันตรงกันข้าม  

    หากเขาตาย โอกาสที่จะหนีรอดออกจากโลกนี้ได้ยิ่งไม่มีเหลือ 

    “...มันจะยิ่งเลวร้ายเขาตอบเสียงเครือ แต่จะให้ข้าทำยังไง ในเมื่อใครๆ พากันเกลียดข้าไปหมดแบบนี้ ข้าจะไปมีกำลังใจได้ยังไง ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใครกันล่ะ 

    คู่สนทนาหลับตานิ่ง สักพักค่อยลืมตา ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น 

    เพื่อข้า ผู้พูดเว้นช่วง ขยับมือปาดน้ำตาบนใบหน้าเด็กน้อยอีกครั้ง ข้าจะเป็นกำลังใจในการมีชีวิตอยู่ต่อให้เจ้า จงมีชีวิตอยู่ต่อไปจนกว่าเราจะได้เจอกันอีกครั้ง พูดจบก็ถอนมือออกไปสัมผัสกับเครื่องประดับบริเวณใบหู และถอดมันมายื่นให้เด็กชาย 

    นี่คือ?” 

    มันเป็นของที่คู่หูคนสำคัญของข้าให้มา ตอนนี้ข้าให้เจ้า 

    เด็กชายรับต่างหูรูปหยดน้ำไปถือไว้ มันเป็นสีน้ำเงินเข้มเฉกเช่นดวงตาของผู้ให้ ดูสวยงาม มีค่าเกินกว่าจะให้เด็กไม่มีใครต้องการอย่างเขาเก็บมันเอาไว้ 

    ท่านให้ข้าทำไม 

    เป็นของแทนคำมั่นสัญญาคนแปลกหน้าพูดพร้อมรอยยิ้ม สัญญามาสิ ว่าเจ้าจะไม่ฆ่าตัวตาย แล้วเจอกันอีกครั้งเมื่อไหร่... เจ้าจะต้องคืนมันให้ข้าด้วยตัวเจ้าเอง 

    พอได้ยินคำว่าอีกครั้งเด็กชายก็รู้สึกดีใจจนลิงโลด ลืมความรู้สึกก่อนหน้าไปหมดสิ้น 

    หมาย ความว่าท่านจะมาหาข้าอีกงั้นเหรอ เมื่อไหร่ล่ะ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ หรืออาทิตย์หน้า?” เขาถามอย่างกระตือรือร้น แล้วเราจะเจอกันที่ไหนดี ที่บ้านข้าไม่ได้นะและส่ายศีรษะในประโยคหลัง 

    สัญญามาก่อนสิ แล้วข้าจะบอกผู้พูดกำมือและชูนิ้วก้อยขึ้น ยื่นมันไปหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าของดวงตากลมโตสีทอง“ข้าอยากให้เจ้าทำอะไรนะ” 

    ข้าสัญญาว่าจะรักษาต่างหูของท่านให้ดีที่สุด! เด็กชายรีบพูดชัดถ้อยชัดคำ นิ้วน้อยๆ เกี่ยวเข้ากับคนตรงหน้าอย่างรวดเร็วจะไม่ฆ่าตัวตาย จะมีชีวิตต่อไปจนกว่าจะได้เจอท่านอีกครั้ง 

    ได้ยินดังนั้นฝ่ายคนโตกว่าค่อยรู้สึกสบายใจ ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้ม ยกมือข้างที่ว่างลูบศีรษะเด็กชาย 

    ข้าก็สัญญา ว่าถ้าถึงเวลาของเจ้าเมื่อไหร่ ข้าจะมารับเจ้าด้วยตัวเอง... จะพาเจ้าออกไปจากโลกที่แสนโหดร้ายนี่แน่นอน 

    ท่านต้องให้ข้าอยู่เคียงข้างท่านด้วยนะ 

    “อืม... มันยากไปหน่อย แต่ถ้าเจ้าทำตามคำสัญญาได้ดี ข้าจะลองพิจารณาดูก็แล้วกัน 

    ถ้อยคำที่ให้มาพร้อมกับสิ่งของแทนคำสัญญา ทำให้เด็กชายมั่นใจว่าบุคคลผู้นี้จะไม่มีวันผิดคำพูด ทุกสิ่งที่เอ่ยออกมาเป็นความจริง ไร้ซึ่งการหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ใด... 

    เขาเชื่อใจคนผู้นี้ 

    ข้าจะไม่มีวันลืมสัญญาระหว่างเราอย่างแน่นอน 

    เด็กชายพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาที่แน่วแน่ หากคนให้สัญญาไม่ผิดคำพูด เขาก็จะทำตาม จะรักษาสัญญา จะรักษาของที่ได้มานี่ไว้เท่าชีวิต ไม่ยอมให้ใครได้สัมผัส ไม่ยอมให้ห่างจากตัวเป็นอันขาด 

    ท่านเองก็เหมือนกัน ไม่ว่านานแค่ไหนข้าก็จะรอ ท่านต้องมารับข้านะ! 

    อื้อ ข้าไม่มีวันผิดสัญญาแน่ 

    บุคคลที่สอนให้เด็กชายรู้จักกับความอบอุ่นตอบรับเสียงนุ่ม ผ่อนแรงจากนิ้วก้อยเพื่อถอนมือออก ทว่าฝ่ายเด็กขี้แงกลับรั้งไว้ ก่อนพริบตาต่อมาจะยอมให้คนใจดีผละออกไป 

    “ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้ใครทำร้ายจนต้องแอบมาร้องไห้แบบนี้อีกนะ” เมื่อพูดจบ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาก็แย้มยิ้ม “ไว้เจอกันใหม่เมื่อวันนั้นมาถึง”  

    “ข้าจะรอวันนั้น และจะเข้มแข็ง…”  

    เสียงของเด็กน้อยแผ่วลงและขาดหายไป ก่อนเปลือกตาจะปิดลงด้วยพลังอำนาจบางอย่าง ทำให้เขาเข้าสู่นิทราโดยไม่มีโอกาสได้บอกลา หรือเอ่ยคำพูดใดๆ มากไปกว่านี้ 

    กว่าจะถึงวันนั้น เจ้าคงลืมข้าไปแล้ว”  

    เจ้าของพลังนั้นเอ่ยเสียงนุ่มนวล มือขยับจัดวางท่านอนให้เด็กชาย ถอดผ้าคลุมของตัวเองมาห่มให้ ลูบศีรษะน้อยๆ แล้วลุกขึ้นยืน จ้องเขาอยู่สักพักก็ก้าวเดินออกจากถ้ำ ไม่คิดจะเหลียวหลังกลับมามองสิ่งใด เป้าหมายมีเพียงแค่ประตูสีดำเหนือพื้นดินที่เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มควันเท่านั้น

    เรากลับกันเถอะ”  

    หลังคู่สนทนาตอบรับ คนแปลกหน้าแสนใจดีก็ก้าวผ่านประตูควัน ไปจากโลกใบนี้โดยทิ้งร่องรอยไว้เพียงแค่สิ่งที่อยู่กับเด็กชาย และกลิ่นอายแห่งความตายที่แผ่ขยายไปรอบบริเวณ

      

    ทางด้านเด็กชาย เขาหลับสนิทอยู่กลางถ้ำ มีกองไฟคอยให้ความอบอุ่น มีผ้าคลุมสีดำห่มร่างกายเอาไว้ ซึ่งสองสิ่งนี้ต่างเป็นสิ่งสุดท้ายที่คนแปลกหน้าทิ้งไว้ปกป้องเขา ทำให้เขาหลับสบาย ฝันหวาน ใบหน้าเปื้อนยิ้ม ดูมีความสุขกว่าการหลับครั้งไหน  

    เขามีความสุขจนเสียไม่อยากลืมตาตื่นขึ้นมา หากเป็นไปได้ก็อยากอยู่แบบนี้จนกว่าจะได้พบคนแปลกหน้าผู้นั้นอีกครั้ง 

    ทว่านั่นก็เป็นแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ ถึงจะอยากหลับอยู่แบบนี้นานขนาดไหน อย่างไรเขาก็ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความเป็นจริงอยู่วันยังค่ำ 

    เพราะ 'เจ้าชีวิต' ในนรกแห่งนั้นไม่มีวันปล่อยให้เขาไปไหนไกล เมื่อไหร่ก็ตามที่คิดจะหนี เขามักจะกลับมาอยู่ในสถานที่แห่งเดิมทุกครั้ง 

    ดังเช่นครั้งนี้

    ...ที่นี่? 

    เมื่อตื่นขึ้นมา เด็กชายก็พบว่าตนกลับมาอยู่ในสถานที่แห่งเดิม ภายในห้องสีดำสนิท ไม่มีแสงสว่างเล็ดรอดเข้ามา บรรยากาศรอบข้างหนาวเหน็บ ทุกสิ่งทุกอย่างต่างจากก่อนหลับ ราวเรื่องก่อนหน้านั้นเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่ความอบอุ่นที่หลงเหลืออยู่ภายในอกด้านซ้ายกลับเป็นเครื่องยืนยันว่ามันคือ ความจริง ช่วงเวลาแสนสุขที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน 

    เป็นความจริง คนคนนั้นมีตัวตนอยู่จริง 

    เขาคิดขณะนอนอยู่บนเตียงนุ่มของนรกบนดิน เมื่อจะลุกขึ้นนั่ง ก็พบว่าข้อเท้าข้างซ้ายมีโซ่พันธนาการเอาไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งรู้สึกชินชาจนไม่รู้สึกประหลาดใจ 

    “ตื่นแล้วรึ

    เสียงนุ่มทุ้มของคนผู้หนึ่งถาม มันนุ่มนวล แต่ไม่มีความอบอุ่นหรือชวนฟังแฝงอยู่สักเสี้ยว  

    ...มันเป็นเอกลักษณ์ของเจ้าชีวิต ที่นำพาเขามากักขังเอาไว้ในนรกบนดินแห่งนี้ 

    "ไง หนีไปเที่ยวเล่นไกลกว่าที่ข้าคิดไว้อีกนะ” 

    สายตาของเจ้าชีวิตกำลังจ้องตรงมา แม้จะไม่ตำหนิอะไร แต่เด็กชายกลับสัมผัสได้ว่าภายในใจของเขาต้องไม่ยิ้มตามใบหน้าอย่างแน่นอน 

    “ดูท่าจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าคงต้องลงมาจับตาดูเจ้าด้วยตัวเอง เจ้าว่าดีไหม"

    “...”

    ปกติแล้ว ไม่ว่าชายหนุ่มผู้นี้จะถามอะไร เขาก็มักจะให้คำตอบกลับไปในทันที แต่ครั้งนี้ไม่ใช่แบบนั้น เด็กชายกำมือแน่น พยายามขจัดความกลัวออกไปจากหัวใจ แล้วเงยหน้าขึ้นมองนัยน์ตาสีเดียวกัน 

    ถ้าเขาไม่เริ่มสู้ การจะทำให้คนเหล่านี้ยอมรับคงเป็นไปไม่ได้ ฉะนั้น ‘อิสระ’ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง 

    "ข้าจะไม่หนี" เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "และไม่มีวันทำตามที่ท่านต้องการ" 

    คู่สนทนายกยิ้ม มองแววตาที่เปลี่ยนไปด้วยความพึงพอใจ เพียงแค่นั้นก็เพิ่มความรู้สึกหวาดกลัวให้เด็กชายมากยิ่งขึ้น 

    "ดี งั้นแสดงให้ข้าเห็นสิ ว่าเจ้าทำได้มากแค่ไหน" 

    "ข้าจะเปลี่ยนตัวเอง... ต้องไม่อ่อนแอเหมือนที่ผ่านมา"เด็กชายเว้นจังหวะ นึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขเพื่อรวบรวมความกล้ากลับคืน "แพ้สักกี่ครั้งก็ไม่สน ข้าจะพยายามจนกว่าท่านจะปล่อยข้าเป็นอิสระด้วยตัวท่านเอง" 

    เจ้าชีวิตหัวเราะในลำคอ เขาจ้องมองเด็กชาย ตอบกลับความแน่วแน่นั้นด้วยน้ำเสียงดูแคลน 

    "เจ้าก็รู้ว่ามันไม่มีวันเป็นไปได้" ชายหนุ่มขยับตัวไปนั่งบนเตียง มือลูบไล้ใบหน้าเล็กๆ ไปมา "โลกนี้ไม่มี 'อิสระ' สำหรับเจ้าหรอก..."

    แม้ฝ่ามือของอีกฝ่ายจะอบอุ่นด้วยอุณหภูมิร่างกาย แต่ความรู้สึกที่ได้รับกลับหนาวเย็นไปจนถึงขั้วหัวใจ ช่างแตกต่างจากคนผู้นั้นจนเทียบไม่ได้เด็กชายอยากจะปัดมือนี้ออกไปให้พ้น แต่ด้วยความกลัวที่ยังมากกว่าความกล้า ทำให้เขาได้แต่อยู่นิ่ง ไม่กล้าขยับเขยื้อนใดๆเพราะถ้าขยับ เจ้าชีวิตที่กำลังอยู่ในอารมณ์โกรธอาจจะลงมือทำร้ายเขาด้วยตัวเอง 

    เขาไม่อยากให้เป็นแบบนั้น… 

    ไม่เป็นไรเด็กชายเอ่ยปลอบตัวเอง

    นี่แค่เริ่มต้นเท่านั้น วันต่อๆ ไปเขาจะต้องพยายามมากขึ้นตอนนี้เขามีคนสำคัญ มีกำลังใจ มีเป้าหมายอันแน่วแน่ในชีวิต 

    ดังนั้นกว่ามันจะเป็นจริงเขาจะไม่ยอมแพ้ จะต้องสู้ เอาชนะเหล่าคนใจร้ายเพื่อที่จะได้เจอกับ ‘เธอ’ อีกครั้ง 

    ...เมื่อเจอเธอ เขาจะต้องแข็งแกร่ง ไม่อ่อนแอเหมือนอย่างวันนี้ 

    “ทำไปนิ่งไปล่ะ กลัวข้าขนาดนั้นเลยรึ” เจ้าชีวิตถาม มือจับใบหน้าของเด็กชายให้เงยขึ้นสบตาตน “ถ้าเจ้าทำให้ข้าพอใจ เจ้าก็ไม่มีอะไรต้องกลัว”   

    “ข้าไม่มีวันทำตามที่ท่านต้องการ” เด็กชายเอ่ยโดยพลัน แววตาแน่วแน่อย่างที่ไม่เคยเป็น “ถ้าโลกนี้ไม่มีอิสระสำหรับข้า ข้าก็จะสร้างมันขึ้นมาด้วยตัวเอง” 

    ปณิธานแสนมั่นคงทำให้เจ้าชีวิตชะงัก เขามองดวงตาของเด็กชาย ก่อนแค่นหัวเราะ ตอบกลับเสียงเย้ยหยัน 

    “ทำให้ได้ก็แล้วกัน” 

    พูดจบชายหนุ่มก็เดินจากไป ทิ้งให้บุคคลภายใต้อาณัตินั่งนิ่งอยู่บนเตียง ต่อสู้กับความหวาดกลัวโดยนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับคนแปลกหน้า ถ้อยคำซึ่งเป็นเหมือนเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจเพียงสิ่งเดียวที่มีอยู่... 

     “ข้าสัญญาว่าจะรักษาต่างหูของท่านให้ดีที่สุด จะไม่ฆ่าตัวตาย จะมีชีวิตต่อไปจนกว่าจะได้เจอท่านอีกครั้ง 

    ข้าก็สัญญา ว่าถ้าหากถึงเวลาของเจ้าเมื่อไหร่ ข้าจะมารับเจ้าด้วยตัวเอง... จะพาเจ้าออกไปจากโลกที่แสนโหดร้ายนี่แน่นอน”   

    เขายิ้มออกมา กำมือเล็กๆ วางไว้บริเวณหน้าอกด้านซ้ายของตน 

    ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็จะไม่ลืม 

    จะจดจำเอาไว้จนกว่าดวงวิญญาณนี้จะแตกสลาย 

    ดังนั้น ห้ามลืมสัญญาของเราอย่างเด็ดขาดนะ 

    ท่านจะต้องมารับข้านะ 

    ราเชส 








    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×