~~ เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน ~~ - ~~ เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน ~~ นิยาย ~~ เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน ~~ : Dek-D.com - Writer

    ~~ เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน ~~

    เมื่อรอส่งเด็กๆกลับบ้านหมดแล้วจุฑามาศก็ตรงไปยังลานจอดรถเพื่อไปตามที่นัดกับนราธิปไว้ แต่เมื่อไปถึงรถคันเล็กของตนก็ต้องชะงักที่เห็นร่างสูงมารออยู่ก่อนแล้ว

    ผู้เข้าชมรวม

    229

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    229

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  21 ก.พ. 49 / 15:53 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      เมื่อรอส่งเด็กๆกลับบ้านหมดแล้วจุฑามาศก็ตรงไปยังลานจอดรถเพื่อไปตามที่นัดกับนราธิปไว้  แต่เมื่อไปถึงรถคันเล็กของตนก็ต้องชะงักที่เห็นร่างสูงมารออยู่ก่อนแล้ว

      “ผมขอติดรถไปกับคุณเลยแล้วกัน  พอดีรถผมเสียก็เลยติดรถนายชามารอคุณที่โรงเรียนเลย”  นราธิปรีบบอกเหตุผล  แต่เขาไม่ได้บอกไปตามความจริงว่าที่มาเพราะอยากยืดเวลาอยู่กับเธอให้นานออกไปอีก  เพราะไม่รู้ว่าถ้าได้คุยเรื่องการแต่งงานกันแล้ว  ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะยังเหมือนเดิมมั้ย

      “ค่ะ  งั้นไปกันเลยแล้วกัน”  จุฑามาศเองก็ดีใจอยู่ไม่น้อย  แต่ก็เก็บอาการไว้อย่างมิดชิด

      ภายในร้านอาหารเล็กๆ  แต่บรรยากาศน่ารักดูอบอุ่นเป็นกันเอง  ตั้งแต่การบริการของเจ้าของร้านสองหนุ่มที่หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรอยู่เสมอ  กับลูกจ้างสาวตัวเล็กที่พูดเก่งชนิดลิงหลับไปหลายตื่น  แล้วยังรวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่ก็ดูน่ารักเหมือนเป็นมุมพักผ่อนของบ้าน  ที่มีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้ไม้สีขาวต่อเองรูปแบบง่ายๆ  กับข้างฝาไม้ขัดที่แขวนไม้กระถางไว้เป็นระยะๆ  ทำเอาสองหนุ่มสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านพากันลืมเรื่องที่ตั้งใจจะมาคุยกันไปเสียสนิท

      “ร้านน่ารักจังค่ะ  แต่ไม่ค่อยเป็นที่สังเกตเท่าไหร่เลยนะคะ  ฉันขับรถผ่านมาแถวนี้ก็บ่อยแต่ไม่เคยเห็นเลย”  จุฑามาศเอ่ยชม

      “นอกจากร้านน่ารักแล้วเนี่ย  อาหารยังอร่อยมากด้วย”  นราธิปยิ้มดีใจที่เห็นว่าเธอถูกใจร้านที่เขาพามา  พอดีกับที่พนักงานสาวตัวเล็กเดินมาถามว่าจะรับอะไร

      “เหมือนเดิมแล้วกัน  2  ที่นะ”  นราธิปตอบซึ่งพนักงานสาวก็รับออร์เดอร์ด้วยความคุ้นเคย

      “นี่คุณไม่ถามฉันเลยเหรอ”  จุฑามาศแกล้งทำทีเป็นต่อว่า

      “ถึงไม่ถามแต่รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ๆ”  นราธิปตอบพร้อมรอยยิ้มเย่อหยิ่งมั่นใจตามสไตล์นักธุรกิจไฟแรงอย่างเขา

      “มั่นใจขนาดนั้นเชียว”  จุฑามาศทำเสียงสบประมาท 

      “แน่น้อน  เพราะยิ่งได้รู้จักคุณผมก็ยิ่งมั่นใจในอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น”  ไม่พูดเปล่าตาคมนั้นจ้องดวงหน้าสวยพราวระยับ  ทำเอาคนถูกมองเริ่มปั้นหน้าไม่ถูก 

      “คุณรู้สึกมั้ยว่าถึงเราจะดูต่างกันในหลายเรื่อง  แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราชอบเหมือนกัน”  นราธิปเริ่มรุก  ฝ่ายคนฟังนั้นทำได้เพียงนั่งเงียบๆ  สะกดความเขินของตัวเองเอาไว้

      “คุณเองทำให้ผมเกิดมุมมองใหม่ๆกับผู้หญิง  ปกติผู้หญิงสวยของผมก็ต้องสวยอย่างที่เห็นได้จะจะ”  ถึงตรงนี้คนที่นิ่งเงียบเริ่มฉุน  รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า  อ้าปากจะวีนใส่ก็พอดีกับที่พนักงานสาวร่างเล็กคนเดิมที่มาช่วยห้ามทัพ  พร้อมกับวางสลัดเห็ดหอมหน้าตาน่าทานกับน้ำพันซ์สีสดใสสองชุดไว้ตรงหน้า

      “น่าทานนะคะ”  จุฑามาศเห็นอาหารเข้าก็ลืมเรื่องที่จะวีนไปเสียสนิท  ทำเอาคนที่นั่งตรงข้ามได้แต่มองอาการเหล่านั้นอย่างเอ็นดู

      “แต่ว่าที่คุณมั่นใจนักหนาน่ะผิดถนัด  เพราะว่าฉันไม่ชอบทานสลัดค่ะ”  จุฑามาศมองหน้าคมพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน

      “ยังไม่ได้ทานเลยแล้วคุณจะมาตัดสินว่าไม่ชอบได้ไง  ผมไม่ยอมหรอกนะมันไม่ยุติธรรม”  นราธิปทำทีเป็นอ้อน

      ....  ดูเอาเถอะพ่อคุณ  มารยาใช่เล่นนะเนี่ย คงใช้กับสาวๆบ่อยล่ะสิ  ....

      “ทานก็ได้  แล้วถ้าฉันไม่ถูกใจอย่างที่คุณบอกล่ะ” 

      “ผมก็จะยอมรับความจริงนั้นแต่โดยดี  เหมือนเรื่องของเรา” เมื่อพูดออกไปแล้วเขาก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดจริงๆที่พูดออกไปตอนนี้  เพราะได้เห็นสีหน้าคนตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที

      “จริงสิ  เราตั้งใจมาคุยเรื่องนี้กันนี่  คุณมีอะไรก็พูดมาตามตรงได้เลยค่ะ”  จุฑามาศรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาแห่งความสุขในฝันนั้นหมดลงแล้ว  ต้องมาพบกับความจริงที่หนีไม่ได้เสียที

      “คือ  ..  ผมก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง  อืม..”  นราธิปรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ  จะให้เริ่มยังไงล่ะ  ถามไปเลยว่าคุณชอบผมมั้ย  แล้วเรามาแต่งงานกันเถอะ  แต่มันก็ติดที่ว่าเธอจะคิดว่าเขาทำตามความต้องการของผู้ใหญ่  ....  ท่าทีอึกอักของคนตรงหน้าทำให้จุฑามาศเริ่มหวั่นใจ  ว่าสิ่งที่ตนคิดมาตลอดนั้นมันจะเป็นจริงรึเปล่า  รึว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกมาปฏิเสธว่าทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ไม่ได้จริงๆ

      “คุณไม่เห็นด้วยกับการจับเราสองคนแต่งงานกันใช่มั้ย”  แล้วคำถามไคลแม็กซ์ที่นราธิปอยากเก็บเอาไว้เป็นคำถามสุดท้ายก็ดันถูกเธอถามขึ้นมาเป็นคำถามแรก

      “ก็จริงครับ  แต่ว่าผม ..”  เมื่อได้ยินคำยอมรับจากคนตรงหน้าจุฑามาศก็สรุปเอาเองทันทีว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้แล้ว

      “งั้นก็ดีค่ะ  เพราะว่าฉันก็ไม่เห็นด้วย  และคิดว่าคงไม่ยอมตกลงทำตามใจท่าน  เราสองคนก็โตแล้ว  มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง  ฉันเข้าใจคุณค่ะ  ก็เอาเป็นว่าเราไปบอกท่านกันตามตรงดีกว่านะคะ  ว่าเราสองคนคง .. ทำตามที่ท่านหวังไว้ไม่ได้ แล้วเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามเดิมกันซะที”  จุฑามาศกลั้นใจอยู่เพียงครู่ก็พูดสรุปทุกสิ่งทุกอย่างเอาเองอย่างเป็นตุเป็นตะ  นราธิปได้ฟังแล้วก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวจะออกมาในรูปแบบนี้

      “แล้ว .. ที่ผ่านมาล่ะ”  เขาเค้นเสียงให้ออกจากปากอย่างยากเย็น

      “ที่ผ่านมาเราสองคนก็คงฝืนใจกันมากพอแล้ว  ต่อไปคุณก็ไม่ต้องมาลำบากวุ่นวายเพราะฉันอีกไง  ฉันเองก็  ..  ก็คงจะสบายดีค่ะ”  จุฑามาศเองก็ต้องพยายามพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองอย่างยากเย็นเช่นกัน

      “สรุปว่าเราคงจบเรื่องทั้งหมดกันแค่นี้  ..  พรุ่งนี้ผมจะพาคุณแม่ไปบ้านคุณ  ท่านจะได้รับรู้ไปพร้อมกัน”  นราธิปกล่าวสรุปอย่างโมโหที่คนตรงหน้าไม่คิดจะฟังอะไรเขาบ้างเลย เอาแต่สรุปเอาเองทั้งหมด

      “ค่ะ”

      แล้วอาหารมื้อเย็นที่น่าจะสุดแสนโรแมนติคก็ต้องกลายเป็นสุดแสนกล้ำกลืนไป

      *****  *****  *****  *****  *****  *****  *****

      คุณครูสาวที่วันนี้กลับมาแต่งตัวตามปรกติ  เลิกทำตัวเป็นครูโบราณพันปีเดินออกไปต้อนรับสองหนุ่มนักธุรกิจกับมารดา  แล้วพาเข้ามายังห้องรับแขกเล็กๆของบ้าน

      “ว่ายังไงจ๊ะ  ตกลงว่ามีอะไรจะบอกแม่ล่ะ  รีบร้อนเร่งให้มาเร็วๆ  แล้วก็มานั่งมองหน้ากันเอง” คุณทรงสมรถามลูกชาย
       
      ....  นี่คงอยากมาคุยให้จบๆกันไปล่ะสิ  ที่แท้ก็คงเบื่อเต็มทนแล้ว  ....  จุฑามาศคิดน้อยใจมองหน้าหล่ออย่างเคืองๆ  คนถูกมองเห็นอาการนั้นก็งงกับท่าทีของคุณครูสาว  แต่ก็ไม่กล้าถามอะไร

      “นั่นสิ  ยัยจุ๊ก็เหมือนกันเห็นเดินวนไปวนมารอเค้าอยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว  นี่ก็พร้อมหน้าแล้วมีอะไรก็ว่ามาสิ”  คุณจุฑารัตน์ถามลูกสาวบ้าง

      ....  ที่แท้ก็รออยากให้มาพูดคุยให้หมดเรื่องหมดราวไปนี่เอง  ....  นราธิปตีความเอาจากที่คุณจุฑารัตน์พูดแล้วก็มองหญิงสาวด้วยสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาบ้าง

      จุฑามณีผู้เป็นน้องสาวของจุฑามาศเห็นอาการของคนทั้งสองเข้าก็อดขำไม่ได้  ไม่รู้ว่าจะพ่อแง่แม่งอนกันไปถึงไหน  แต่เมื่อได้ยินประโยคที่ออกมาจากปากของพี่สาวและว่าที่พี่เขยก็ทำเอาเธออึ้งไปเพราะคาดไม่ถึง

      “เราสองคนจะไม่แต่งงานกัน”  อย่างกับนัดหมายไว้  เพราะว่านราธิปและจุฑามาศนั้นพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน

      “เราสองคนโตแล้วนะคะ  ไม่ชอบการบังคับหรอกค่ะ”

      “ใช่ครับ  เราต่างก็อยากได้เลือกและกำหนดชีวิตด้วยตัวเอง”

      “แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา  ที่พวกแม่ให้เวลาเราได้ศึกษากันน่ะ  ไม่ได้ชอบพอกันขึ้นมาบ้างเลยเหรอ”  คุณทรงสมรถามขึ้นมาบ้าง  ทำเอาคนทั้งสองต่างก็ไม่กล้าตอบ  ได้แต่มองหน้ากันเองสลับกับมองที่พื้น

      “ว่าไงล่ะ  เราสองคนไม่รู้สึกถูกใจกันขึ้นมาบ้างเลยเหรอ”  คุณจุฑารัตน์ถามบ้าง  เมื่อไม่มีคำตอบใดจากคนทั้งคู่  หญิงวัยกลางคนทั้งสองก็ลอบยิ้มให้กันก่อนลงตอบตกลงยกเลิกการแต่งงานทั้งหมด

      “จริงๆแล้วพวกแม่ก็ไม่ได้คิดจะบังคับหรอก  แค่อยากให้ได้ทำความรู้จักกันซะที  แล้วก็ให้มีเวลาได้เรียนรู้กัน  เห็นเราเอาแต่ควงสาวไม่ซ้ำหน้าก็อยากเห็นเราได้มีโอกาสรู้จักและศึกษาใครซักคนอย่างจริงจังซะบ้าง  ไม่ใช่เอาแต่ลอยไปลอยมา”  คุณทรงสมรกล่าว

      “แล้วเรื่องที่ว่าเตรียมงานกันไว้แล้วล่ะครับ”  นราธิปถามขึ้นมาอย่างงงๆ

      “ล้อเล่นจ้ะ  ไม่คิดว่าจะเชื่อกันเป็นตุเป็นตะนี่นา” คุณจุฑารัตน์ตอบยิ้มๆ

      “ใช่จ้ะ  เห็นตอนบอกว่าจะแนะนำให้รู้จักกับหนูจุ๊   ตาธิปก็เอาแต่บ่นว่าไม่ชอบโดนคลุมถุงชนแม่ก็นึกว่าพูดสนุกๆ  ก็เลยเล่นไปด้วย  แต่ว่าแม่ก็ชอบหนูมากนะหนูจุ๊”  คุณทรงสมรบอกกับนราธิป  ก่อนหันมาบอกจุฑามาศอย่างเสียดาย

      “ฉันก็เอ็นดูตาธิปเหมือนกัน  แต่ไม่เป็นไร  เอาไว้รอรุ่นหลานก็ได้  ฉันเชื่อว่ายังไงฉันกับเธอก็ต้องได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแน่”  คุณจุฑารัตน์กล่าว  พร้อมกับชวนคุณทรงสมรออกไปดูผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่อย่างไม่ได้ใส่ใจคนทั้งคู่นัก

      “เอ้อจา ..  พี่มีหนังสือใหม่เล่มนึง  คิดว่าจาน่าจะชอบ  ไม่แน่ใจว่าติดรถมารึเปล่า  ไปดูกันมั้ย”  นราธรจึงชวนจุฑามณีออกไปคุยกันข้างนอกบ้าง  เพื่อให้คนทั้งสองได้อยู่กันลำพัง  เผื่อว่าจะมีอะไรพูดกัน

      “ค่ะ” 

      เมื่อได้อยู่กันตามลำพังแล้วทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมมองหน้ากัน  เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นความเสียดายที่ตัดสินใจกันไปแบบนั้น

      “วันนี้คุณไม่มีนัดที่ไหนเหรอ”  นราธิปเอ่ยถามขึ้นมาก่อนเพราะความอยากรู้ว่าเธอมีคนอื่นรออยู่รึเปล่าถึงได้ปฏิเสธเขา

      “มีค่ะเดี๋ยวก็จะออกไปแล้ว  แล้วคุณล่ะ  ..  ไม่ได้มีนัดกะสาวๆหรอกเหรอ”  จุฑามาศแกล้งโกหกพร้อมทั้งถามกลับอย่างประชด

      “อืม .. ผมก็มีเหมือนกัน  ว่าจะรีบออกไปเหมือนกันไม่อยากให้ใครต้องรอผมนาน  คุณจะออกไปพร้อมกันเลยมั้ยล่ะ”  นราธิปเองก็โกหกกลับไปเหมือนกันเพราะไม่อยากเสียฟอร์ม

      “ไม่ดีกว่าค่ะ  ดูท่าคุณคงจะรีบงั้นเชิญเลยแล้วกันนะคะ  ฉันก็คงต้องขอตัวไปแต่งตัวเหมือนกัน”

      *****  *****  *****  *****  *****  *****  *****

      นราธรกับจุฑามณีแอบจับความผิดปกติของพี่ตัวเองได้  จึงปรึกษากันเพื่อหาทางช่วยให้คนทั้งสองเข้าใจกันซะทีว่าแท้จริงแล้วต่างก็ใจตรงกัน  สุดท้ายจึงได้รับความร่วมมือจากบรรพชาวางแผนให้นราธิปไปรับน้ำส้มที่โรงเรียนแทนตัวเองอีกครั้ง

      .... จะเจอยัยจุ๊รึเปล่านะ .. ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเจอนี่หว่า ....

      แล้วเมื่อไปถึงก็ได้เห็นน้ำส้มเล่นอยู่กับน้องรินเช่นเคย  โดยมีจุฑามาศนั่งตรวจการบ้านอยู่ไม่ไกลเหมือนเดิม หากสิ่งที่เปลี่ยนไปคือคุณครูสาวที่ตอนนี้ทิ้งมาดครูโบราณไปแล้ว  กับความรู้สึกของเขา  ..  ครั้งก่อนที่ต้องมารับน้ำส้มนั้นจำได้ว่าไม่อยากเจอหน้าเธอเลย  หากแต่วันนี้กลับรู้สึกชุ่มชื้นใจมากมายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง  นราธิปมองคุณครูสาวเพลินจนมองไม่เห็นน้ำส้มที่วิ่งเข้ามาหา  จนน้ำส้มต้องตะโกนเรียกเสียงดัง

      “อาธิปขา  ได้ยินรึเปล่าคะ”  เสียงตะโกนนี้ทำเอาคุณครูสาวหันมามอง  พอเห็นว่าเป็นเขาแววยินดีก็ปรากฏชัดบนใบหน้า  ก่อนค่อยๆลดลงอย่างคนรักษาฟอร์ม 

      “ค่ะ อาได้ยินแล้วน้ำส้มไม่ต้องเสียงดังก็ได้”  นราธิปนั่งยองๆ ตอบเด็กหญิงตัวเล็ก  หากแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างบางซึ่งตอนนี้หันไปสนใจการบ้านเด็กตรงหน้าต่อแล้ว  อย่างไม่ใส่ใจในการมาของเขา  นราธิปจึงเดินเข้าไปหา 

      “วันนี้คุณพ่อยังไม่มาเหรอคะน้องริน  งั้นเดี๋ยวอาให้น้ำส้มอยู่เล่นเป็นเพื่อนนะคะ”  แต่เขาแกล้งไม่ทักเธอ  กลับไปทักเด็กหญิงผมเปียแทน

      “มาแล้วค่ะ  คุณพ่อบอกว่าลืมหยิบขนมมาให้คุณครูจุ๊  เลยกลับไปเอาที่รถค่ะ”  น้องรินตอบ

      “อาธิปขา  คุณพ่อน้องรินเอาขนมมาจีบครูจุ๊ทุกวันเลยค่ะ”  น้ำส้มกระซิบที่ข้างหูนราธิป

      “จริงเหรอคะ”  นราธิปตกใจเล็กน้อย  หากแต่เก็บอาการไว้ได้อย่างมิดชิด 

      “ค่ะ  น้ำส้มว่าอาธิปต้องรีบทำคะแนนแล้วล่ะค่ะ”  เด็กหญิงให้คำแนะนำ  ทำเอาคนฟังอดหมั่นไส้ในความแก่แดดของหนูน้อยที่ตนอุ้มอยู่ไม่ได้  ต้องเอามือไปขยี้หัวเบาๆ  พอดีคุณพ่อของน้องรินเดินมาพร้อมกล่องขนมไทยหลากชนิดในมือ  นราธิปจึงตรงเข้าไปหาทันที

      “สวัสดีครับ  จำผมได้รึเปล่าเราเคยเจอกันเมื่อวันที่คุณมารับน้องรินช้า  ผมอยู่รอเป็นเพื่อนคุณจุ๊น่ะครับ”

      “อ้อ .. ครับ”  ชายร่างเล็กรับคำอย่างไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก  หันไปทางจุฑามาศแล้วส่งกล่องขนมหวานในมือให้  ยังไม่ทันได้พูดอะไรนราธิปก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน

      “ขอบคุณนะครับ  แต่คุณจุ๊ไม่ค่อยทานของหวานหรอกครับกลัวอ้วน  แต่ว่าผมชอบมากเลย  ปกติที่คุณเอามานี่ผมก็ทานเองแหละครับ  วันนี้เลยตั้งใจมาขอบคุณคุณ”  ทั้งจุฑามาศและคุณพ่อของน้องรินต่างก็งงกับคำพูดของเขา

      “คุณนราธิปพูดอะไรของคุณน่ะ”  จุฑามาศถามกลับอย่างไม่ค่อยพอใจ

      “เอ่อ ..  ยังไงผมขอพาน้องรินกลับก่อนดีกว่า”  คุณพ่อน้องรินเริ่มจะเดาอาการหึงของนราธิปได้จึงกล่าวลาพร้อมกับพาน้องรินเดินจากไป  จุฑามาศไม่พูดอะไรอีก  ก้มหน้าก้มตาเก็บของอย่างไม่พอใจ

      “หมอนั่นเชยจริงๆ  เอาขนมไทยมาจีบสาว”  นราธิปกล่าวเยาะ

      “คิดอกุศล”  เมื่อได้รู้ว่านราธิปเข้าใจว่าพ่อน้องรินมาจีบตนจุฑามาศก็ต่อว่า

      “คุณไม่พอใจเหรอที่ผมพูดไปงั้น  ไม่ต้องเสียดายหรอกพ่อหม้ายลูกติดไม่เห็นน่าสนใจตรงไหนเลย”  นราธิปกล่าวต่อ

      “ฉันไม่พอใจที่คุณพูดเหมือนเราเป็นอะไรกันต่างหากล่ะ  พูดไปอย่างนั้นคุณพ่อน้องรินจะคิดว่ายังไง  อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มาจีบฉันด้วย  ขนมเนี่ยคุณแม่น้องรินฝากมาต่างหากล่ะ”  จุฑามาศพูดใส่หน้านราธิปอย่างเคืองๆ

      “อ้าว ..  น้ำส้มคะ  แล้วทำไมบอกอาว่า ..”  เมื่อได้รู้ความจริงนราธิปก็อยู่ในอาการเหวอหันมามองหน้าหลานสาวอย่างแกล้งจะเอาเรื่อง

      “น้ำส้มไม่รู้นี่คะ  ก็คุณพ่อเล่าว่าตอนจีบคุณแม่คุณพ่อเอาขนมไปฝากคุณแม่ทุกวัน”  เมื่อฟังคำตอบอย่างไร้เดียงสาเข้า  คนทั้งคู่ก็อดขำไม่ได้  แล้วจุฑามาศก็กล่าวลาน้ำส้มก่อนเดินจากไป

      “เดี๋ยวสิคุณ  ผมกับน้ำส้มหิวข้าวไปทานข้าวกันนะ”  นราธิปรีบเรียกเธอไว้

      “ฉันขอตัวค่ะ”

      “คุณครูจุ๊ขา  ไปด้วยกันนะคะ”  น้ำส้มพูดตามที่นราธิปกระซิบบอก

      “คุณครู..”  หันมาจะปฏิเสธ  แต่ยังไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี  นราธิปก็ขัดขึ้นมาก่อน

      “คุณครูก็หิวพอดี  งั้นไปทานข้าวพร้อมกันเลยนะคะ”  จุฑามาศมองค้อนทันทีเมื่อเขาพูดจบแล้วน้ำส้มก็ร้องไชโยอย่างดีใจยกใหญ่

      นราธิปพาจุฑามาศมาร้านเดิมที่เคยมาทานกันเมื่อวันที่คุณพ่อน้องรินมารับช้า  ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร  บรรดาผู้ช่วยพระเอกนางเอกก็พากันโผล่มาขัดจังหวะ

      “เฮ้ย .. ไอ้ธิปเอ็งอยากมาจีบสาวก็เอาลูกข้าไปส่งก่อนสิวะ”  บรรพชาแกล้งแซว

      “จริงด้วยพี่  เดี๋ยวน้ำส้มก็เป็นตากุ้งยิงกันพอดี”  นราธรกล่าวเสริม

      “พี่จุ๊จาขอยืมรถหน่อยนะคะ  รถจาเสียน่ะค่ะ  ยังไงช่วยไปส่งพี่จุ๊ด้วยนะคะคุณธิป”  จุฑามณีกล่าวปิดท้ายแล้วทุกคนก็พากันจากไปพร้อมกับน้ำส้ม  ทิ้งให้คนทั้งคู่นั่งงงกันไปโดยที่ยังไม่ได้ถามว่าอะไรเป็นอะไรเลย

      “ช่วงนี้คุณเป็นไงบ้าง  ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”  หลังจากเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งนราธิปก็ถามขึ้นมาก่อน

      “ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ”  คนตอบยังไม่ยอมทิ้งฟอร์ม

      “ตาธรบอกว่าคุณจะไปเรียนต่อ”  จุฑามาศนึกดีใจที่เขายังให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของเธออยู่

      “ค่ะ”

      “หลายปีสิ”

      “ค่ะ”  นราธิปเห็นเธอถามคำตอบคำอย่างนั้นก็ถอนใจ  ก่อนนิ่งไปนานจนจุฑามาศเริ่มรู้สึกลังเลว่าตนคิดผิดรึเปล่าที่วางฟอร์มมากไป  แล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนอีกครั้ง

      “ไม่ไปไม่ได้เหรอ ..  ผม .. คง .. คิดถึงคุณ”  จุฑามาศแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินอย่างนั้น  หลุดปากถามออกไปว่าเขาพูดอะไร 

      “ผมบอกว่าผมคงคิดถึงคุณ  ..  นี่ขนาดไม่ได้เจอกันแค่สองอาทิตย์ผมยังแทบบ้า”  ในที่สุดนราธิปก็ตัดสินใจพูดความในใจออกไป  ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพูดวันนี้  แต่เมื่อตอนที่ได้รู้จากน้ำส้มว่ามีคนอื่นมาตามจีบเธออยู่นั้นเขาก็รู้สึกทนไม่ได้  และรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าจริงๆแล้วรักเธอมาก  จึงยอมทิ้งฟอร์มทั้งหมดที่มี

      “คุณนราธิป”  จุฑามาศพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองสบตาคมที่มองจ้องมาอย่างค้นหาความจริงใจในคำพูดเหล่านั้น

      *****  *****  *****  *****  *****  *****  *****

      แล้วคืนนั้นจุฑามาศก็ถึงกับนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนุ่มนั้นหลายรอบราวกับว่าที่นอนไม่หลับนี่เพราะรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ จนเสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นนั่นแหละ ความรู้สึกรอคอยนั้นหายไปทันที มือบางรีบเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ หากแต่ยังไม่กดรับสาย ...... ฮึ เดี๋ยวจะหาว่าเรารออยู่ .... และเมื่อปล่อยให้เสียงนั้นดังนานจนพอใจแล้วค่อยกดรับสาย

      “คุณโทรมาทำไมดึกดื่น รู้มั้ยว่าฉันกำลังหลับสบายเลย” คนรับสายที่อ้างว่าหลับนั้นช่างมีน้ำเสียงสดใสไม่มีแววง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนโทรมานั้นแอบอมยิ้มกับโทรศัพท์

      “ผมโทรมากุ๊ดไนท์คุณนะ” เสียงทุ้มตอบกลับมา

      “คุณป้าสมรยังไม่เลิกสั่งให้คุณทำอีกเหรอ” เสียงหวานแกล้งถามไปอย่างนั้น โดยที่ในใจกำลังคาดหวังบางสิ่งจากคำตอบของเขา

      “คุณแม่ไม่ได้สั่ง แต่ .. ผมสั่งเอง” ไม่รู้ว่าคำตอบนี้ใช่ที่คาดหวังรึเปล่าแต่หน้าใสนั้นก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม

      แล้วนราธิปก็ชวนจุฑามาศคุยต่ออีกสักพักก่อนวางสายไปอย่างแสนเสียดายเพราะคนปลายสายอ้างว่าพรุ่งนี้ต้องรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ถ้านอนดึกมากเดี๋ยวจะต้องไปนอนกลางวันกับเด็กๆ

      เช้าวันรุ่งขึ้นนราธิปตื่นแต่เช้าเพื่อมารอคอยอะไรบางอย่าง ตาคมจับจ้องอยู่แต่โทรศัพท์เครื่องใหญ่ในมือ แล้วในที่สุดเสียงเรียกเข้าที่ตั้งไว้สำหรับใครบางคนก็ดังขึ้น เขารีบกดรับสายทันที เอาทำคนโทรมาตกใจแทบจะพูดไม่ออก ก็เพราะปกติที่เธอเคยโทรมายามเช้าอย่างนี้กว่าคนปลายสายจะรับสายได้ก็รอนานจนสัญญาณเกือบถูกตัด

      “โทรมาแต่ไก่เห่าอีกแล้ว มีไรครับ” น้ำเสียงปกติกับคำพูดกวนๆ นี้ก็ทำให้คนที่โทรมารู้ได้ว่าเขาตื่นอยู่ก่อนที่เธอจะโทรมาแล้ว

      “แล้วคุณล่ะ ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้าเชียว” จุฑามาศตะกุกตะกักถามกลับ  เพราะตั้งตัวไม่ทัน  ไม่คิดว่าเขาจะรับสายเร็วอย่างนี้

      “ผมก็แค่รอ  ..  เผื่อว่าน้ารัตน์จะเผลอสั่งให้คุณโทรปลุกผมด้วย” คราวนี้ก็เป็นนราธิปที่แอบคาดหวังว่าคำตอบเธอนั้นจะเป็นอย่างที่เขาคิด

      “คุณแม่ไม่อยู่หรอก แต่ถ้าคุณตื่นแล้วก็แค่นี้แล้วกันนะฉันจะเตรียมตัวไปทำงาน” น้ำเสียงมีแววเก้อเขินเล็กน้อยที่บอกให้เขารู้ว่าเธอเป็นคนตั้งใจโทรมาหาเขาเอง หาได้เป็นคำสั่งของผู้เป็นมารดาไม่

      “เดี๋ยวสิคุณ ใจคอจะไม่คุยกันก่อนเหรอ” นราธิปทำเสียงคล้ายตัดพ้อเพื่อหยั่งเชิงคนปลายสาย

      “ก็ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณนี่  .. ”  จุฑามาศพูดเว้นไว้นิดนึงเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร  เมื่อเห็นเขาเอาแต่เงียบ  และมีเสียงคล้ายถอนหายใจ  เธอจึงกล่าวต่อ

      “แต่ถ้าคุณมีอะไรก็พูดมาสิ”  ทำเอาคนปลายสายยิ้มแฉ่งอย่างมีความสุข  แล้วเขาก็ชวนเธอคุยอยู่อีกนานจนหญิงสาวเห็นว่าเริ่มสายแล้วนั่นแหละจึงขอตัวไปทำงาน

      ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานราธิปก็หาเรื่องแวะเวียนไปแถวโรงเรียนอนุบาลที่จุฑามาศสอนอยู่ได้เป็นประจำ แถมไปทีไรก็ไม่พ้นให้เธอพาไปหาร้านอร่อยแถวนั้นทานข้าวด้วยกันทุกที

      ***** ***** ***** ***** ***** *****

      ตอนเช้าของวันหยุดจุฑามาศกำลังวางแผนว่าจะทำแผนการสอนในช่วงเช้า แล้วบ่ายค่อยออกไปหาซื้ออุปกรณ์ช่วยสอนที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก แต่....

      “ไก่บ้านคุณเห่าผิดเวลารึเปล่า ถึงทำให้ตื่นเช้าได้” ทันทีที่กดรับสายเสียงหวานก็พูดกวนไปทันที

      “วันนี้คุณว่างรึเปล่า ผมจะชวนไปธุระข้างนอกหน่อย” นราธิปไม่กวนกลับ หากแต่พูดจาจริงจังซะจนคนที่กวนไปตอนแรกนั้นรู้สึกได้ เพราะน้ำเสียงของเขานั้นทำให้รู้ได้ว่าโทรมาเพราะมีเรื่องสำคัญมากกว่าจะมากวนกันเล่น

      “เอ่อ .. ค่ะไปได้ค่ะ” จุฑามาศตกหลุมคนจอมเจ้าเล่ห์เข้าแล้วก็รีบตกปากรับคำ  โดยลืมเรื่องแผนการของวันนี้ไปเลย ฝ่ายคนโทรมานั้นก็ลอบยิ้มให้กับโทรศัพท์ด้วยความยินดีที่แผนการเริ่มต้นด้วยดี

       เมื่อรถคันใหญ่คุ้นตามาเทียบจอดหน้าบ้าน  จุฑามาศก็ตรงไปยังรถคันนั้นทันที  นราธิปนั่งอมยิ้มตาพราวมองหญิงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดลำลองสบายๆ  กับหน้าตาสดใสที่ปิดบังความสงสัยเอาไว้ไม่ค่อยมิด  แต่เมื่อเธอไม่ถามเขาก็ไม่คิดจะบอก  เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แล้วเขาก็พารถคันใหญ่เคลื่อนออกไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา

      จนคนที่ไปด้วยนั่นแหละที่ทนอึดอัดกับความเงียบนี้ไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน

      “นี่คุณจะไม่บอกฉันซักคำเหรอว่าจะพาไปไหน” คนถูกถามหันมายิ้มให้แทนคำตอบทำเอาหน้าหวานนั้นเริ่มงอง้ำขึ้นมานิดๆ .... นี่เราคิดยังไงถึงได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ตานี่นะ แล้วก็ทำอย่างกับว่ามันมีอะไรลึกลับซับซ้อนซะเหลือเกิน แค่เปิดปากบอกหน่อยก็ไม่ได้ ....

      และเมื่อคนขับไม่ยอมเอ่ยปากอะไรเลย เอาแต่ขับรถพาเธอนั่งวนกรุงเทพฯ เล่น หญิงสาวที่นั่งมาข้างๆนั้นก็ทั้งถาม ทั้งข่มขู่ให้บอกหากแต่เขาก็ยังคงเฉย นั่งอมยิ้มตาพราวอยู่ได้ ไม่มีแววรีบร้อนอะไรเลยสักนิดจนคนถามเบื่อที่จะถาม ก็เลยนั่งหน้าตูมหันออกไปมองข้างทาง ไม่สนใจกับชายหนุ่มที่ทำเหมือนสนุกกับการขับรถเล่นในยามน้ำมันแพงเช่นนี้อีก

      ตัวเลข 69 โผล่ขึ้นมาในช่องสัญญาณไฟแดง  รถคันใหญ่ชะลอช้าลงก่อนหยุดสนิทต่อท้ายรถเก๋งคันสวยสีแดงสดที่มีทะเบียนเป็นคำมงคลว่า’พร’ ทำให้หน้าหล่อนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแอบคิดไปว่านี่คงเป็นคำอวยพรสำหรับเขา แล้วจึงหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มจากกระเป๋าเสื้อยื่นไปตรงหน้าคนที่กำลังอยู่ในอาการงอนเล็กๆ ทำให้คิ้วสีน้ำตาลเรียวขมวดราวกับผูกเป็นโบว์ด้วยความงุนงง
       
      “ผมคิดทบทวนดูแล้วก็พบว่าที่จริงแล้วรู้สึกยังไงกับคุณ และเชื่อว่าคุณเองก็คงรู้ แต่อยากบอกอีกครั้งให้คุณมั่นใจ จะว่าไปก็นึกขอบคุณคุณแม่ของเราที่คิดจับเราคลุมถุงชน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้รู้จักและเรียนรู้นิสัยคุณ แล้วคุณล่ะ รู้สึกยังไงกับผม”

      เมื่อเห็นหน้าหวานที่ตอนนี้เป็นสีแดงจัดเอาแต่มองกล่องกำมะหยี่ใบเล็กนั้นแต่ยังไม่ยอมรับมาถือไว้ นราธิปจึงพูดต่อ
       
      “ถ้าคุณไม่กล้าตอบ ผมมีข้อเสนอ ให้คุณเลือกเอาแล้วกันว่าจะใส่แหวนวงนี้ที่นิ้วนางข้างไหน ถ้าขวาผมจะทำใจยอมรับว่าเราเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน ถ้าซ้ายพรุ่งนี้ผมจะไปบอกคุณแม่ให้ยกขันหมากไปขอคุณเลย” คนฟังนั้นตอนนี้เขินเหลือกำลังพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยอมรับกล่องเล็กใบนั้นที่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นแหวนทองคำขาวเกลี้ยงเกลาที่ตรงกลางมีเพชรเม็ดเล็กน่ารักส่องประกายวาววับมาถือไว้  พลางนึกติในใจ

      .... ตาบ้า มาสารภาพรักกันตรงสี่แยกไฟแดงเนี่ยนะ ไม่โรแมนติคซักนิด ....

      เมื่อเห็นคนข้างๆ ยังนิ่งเพราะความเขินจัด ชายหนุ่มก็ยิ่งแกล้งแหย่เข้าไปอีก
       
      “ผมไม่ได้ให้คุณทำข้อสอบนะคุณจุ๊ คิดนานเดี๋ยวไฟเขียวนะคุณ”
       
      “เรื่องของคุณสิ ฉันไม่ใช่คนขับนี่”
       
      “ก็ถ้าเขียวแล้วผมยังไม่ได้คำตอบ ก็จะจอดมันอยู่อย่างนี้แหละ”
       
      “จะบ้าเหรอคุณ” จุฑามาศว่าขึ้นมาอย่างตกใจในความคิดบ๊องๆของคนข้างๆ หากคนถูกว่านั้นไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย กลับเอนตัวพิงเบาะยกสองมือขึ้นประสานไว้ท้ายทอยในท่าสบาย  ตามองสัญญาณไฟแดงที่ตัวเลขเริ่มลดลงอย่างใจเย็น ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับอาการร้อนใจของคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ เลย
       
      “5 4 3 “ นราธิปทำทีนับถอยหลังช้าๆ ทั้งที่ในใจนั้นแทบจะกระโดดอยู่แล้วเพราะรอลุ้นคำตอบของคุณเธออยู่

      ส่วนคนที่ถูกกดดันนั้นได้แต่อึดอัดเพราะไม่รู้จะเลือกข้างไหนดี ก็เขายังไม่เอ่ยว่ารักสักคำจะให้เธอใส่แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเลยงั้นเหรอ หากจะใส่ข้างขวานั้นก็โกหกชัดๆ โกหกทั้งเขาและตัวเอง หญิงสาวได้แต่คิดให้วุ่นวายจนสัญญาณไฟเขียวนั้นลดมาอยู่ที่เลข 1 แล้ว
       
      “ฉันใส่ข้างขวา  ..  ส่วนข้างซ้าย .. รอให้คุณเป็นคนใส่” จุฑามาศรีบอ้อมแอ้มตอบไป  โดยที่ประโยคท้ายถูกกั๊กไว้นิดนึงเพราะหมั่นไส้ในความเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆ ที่ทำหน้าตามั่นใจซะเหลือเกินว่าเธอต้องสวมแหวนวงเล็กนี้ลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างแน่นอน แล้วหน้าหล่อนั้นก็มีแววยินดีอย่างไม่บิดบัง

       “ตกลง  พรุ่งนี้ผมจะให้คุณแม่ยกขันหมากไปขอสวมแหวนให้คุณ” พูดจบก็พารถเคลื่อนตามรถทะเบียน ‘พร’ คันหน้าไปทันที

      ขอแค่ใส่แหวนนี้ที่มือขวา  รู้ว่าเธอไม่มีใจ 
      ขอให้ใส่แหวนนี้ที่มือซ้าย    เพื่อบอกแทนคำพูดในใจ
      . .   ว่ารักกัน   . . 


      สุดท้ายเราก็คู่กัน  ..  เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน

      ****  จบ  ****

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×