~~ เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน ~~
เมื่อรอส่งเด็กๆกลับบ้านหมดแล้วจุฑามาศก็ตรงไปยังลานจอดรถเพื่อไปตามที่นัดกับนราธิปไว้ แต่เมื่อไปถึงรถคันเล็กของตนก็ต้องชะงักที่เห็นร่างสูงมารออยู่ก่อนแล้ว
ผู้เข้าชมรวม
229
ผู้เข้าชมเดือนนี้
1
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
เมื่อรอส่งเด็กๆกลับบ้านหมดแล้วจุฑามาศก็ตรงไปยังลานจอดรถเพื่อไปตามที่นัดกับนราธิปไว้ แต่เมื่อไปถึงรถคันเล็กของตนก็ต้องชะงักที่เห็นร่างสูงมารออยู่ก่อนแล้ว
“ผมขอติดรถไปกับคุณเลยแล้วกัน พอดีรถผมเสียก็เลยติดรถนายชามารอคุณที่โรงเรียนเลย” นราธิปรีบบอกเหตุผล แต่เขาไม่ได้บอกไปตามความจริงว่าที่มาเพราะอยากยืดเวลาอยู่กับเธอให้นานออกไปอีก เพราะไม่รู้ว่าถ้าได้คุยเรื่องการแต่งงานกันแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันจะยังเหมือนเดิมมั้ย
“ค่ะ งั้นไปกันเลยแล้วกัน” จุฑามาศเองก็ดีใจอยู่ไม่น้อย แต่ก็เก็บอาการไว้อย่างมิดชิด
ภายในร้านอาหารเล็กๆ แต่บรรยากาศน่ารักดูอบอุ่นเป็นกันเอง ตั้งแต่การบริการของเจ้าของร้านสองหนุ่มที่หน้าตายิ้มแย้มเป็นมิตรอยู่เสมอ กับลูกจ้างสาวตัวเล็กที่พูดเก่งชนิดลิงหลับไปหลายตื่น แล้วยังรวมไปถึงเฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นแต่ก็ดูน่ารักเหมือนเป็นมุมพักผ่อนของบ้าน ที่มีเพียงโต๊ะกับเก้าอี้ไม้สีขาวต่อเองรูปแบบง่ายๆ กับข้างฝาไม้ขัดที่แขวนไม้กระถางไว้เป็นระยะๆ ทำเอาสองหนุ่มสาวที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านพากันลืมเรื่องที่ตั้งใจจะมาคุยกันไปเสียสนิท
“ร้านน่ารักจังค่ะ แต่ไม่ค่อยเป็นที่สังเกตเท่าไหร่เลยนะคะ ฉันขับรถผ่านมาแถวนี้ก็บ่อยแต่ไม่เคยเห็นเลย” จุฑามาศเอ่ยชม
“นอกจากร้านน่ารักแล้วเนี่ย อาหารยังอร่อยมากด้วย” นราธิปยิ้มดีใจที่เห็นว่าเธอถูกใจร้านที่เขาพามา พอดีกับที่พนักงานสาวตัวเล็กเดินมาถามว่าจะรับอะไร
“เหมือนเดิมแล้วกัน 2 ที่นะ” นราธิปตอบซึ่งพนักงานสาวก็รับออร์เดอร์ด้วยความคุ้นเคย
“นี่คุณไม่ถามฉันเลยเหรอ” จุฑามาศแกล้งทำทีเป็นต่อว่า
“ถึงไม่ถามแต่รับรองว่าคุณจะต้องชอบแน่ๆ” นราธิปตอบพร้อมรอยยิ้มเย่อหยิ่งมั่นใจตามสไตล์นักธุรกิจไฟแรงอย่างเขา
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว” จุฑามาศทำเสียงสบประมาท
“แน่น้อน เพราะยิ่งได้รู้จักคุณผมก็ยิ่งมั่นใจในอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น” ไม่พูดเปล่าตาคมนั้นจ้องดวงหน้าสวยพราวระยับ ทำเอาคนถูกมองเริ่มปั้นหน้าไม่ถูก
“คุณรู้สึกมั้ยว่าถึงเราจะดูต่างกันในหลายเรื่อง แต่ก็มีอีกหลายเรื่องที่เราชอบเหมือนกัน” นราธิปเริ่มรุก ฝ่ายคนฟังนั้นทำได้เพียงนั่งเงียบๆ สะกดความเขินของตัวเองเอาไว้
“คุณเองทำให้ผมเกิดมุมมองใหม่ๆกับผู้หญิง ปกติผู้หญิงสวยของผมก็ต้องสวยอย่างที่เห็นได้จะจะ” ถึงตรงนี้คนที่นิ่งเงียบเริ่มฉุน รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า อ้าปากจะวีนใส่ก็พอดีกับที่พนักงานสาวร่างเล็กคนเดิมที่มาช่วยห้ามทัพ พร้อมกับวางสลัดเห็ดหอมหน้าตาน่าทานกับน้ำพันซ์สีสดใสสองชุดไว้ตรงหน้า
“น่าทานนะคะ” จุฑามาศเห็นอาหารเข้าก็ลืมเรื่องที่จะวีนไปเสียสนิท ทำเอาคนที่นั่งตรงข้ามได้แต่มองอาการเหล่านั้นอย่างเอ็นดู
“แต่ว่าที่คุณมั่นใจนักหนาน่ะผิดถนัด เพราะว่าฉันไม่ชอบทานสลัดค่ะ” จุฑามาศมองหน้าคมพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยัน
“ยังไม่ได้ทานเลยแล้วคุณจะมาตัดสินว่าไม่ชอบได้ไง ผมไม่ยอมหรอกนะมันไม่ยุติธรรม” นราธิปทำทีเป็นอ้อน
.... ดูเอาเถอะพ่อคุณ มารยาใช่เล่นนะเนี่ย คงใช้กับสาวๆบ่อยล่ะสิ ....
“ทานก็ได้ แล้วถ้าฉันไม่ถูกใจอย่างที่คุณบอกล่ะ”
“ผมก็จะยอมรับความจริงนั้นแต่โดยดี เหมือนเรื่องของเรา” เมื่อพูดออกไปแล้วเขาก็รู้ตัวทันทีว่าพลาดจริงๆที่พูดออกไปตอนนี้ เพราะได้เห็นสีหน้าคนตรงหน้าเปลี่ยนไปทันที
“จริงสิ เราตั้งใจมาคุยเรื่องนี้กันนี่ คุณมีอะไรก็พูดมาตามตรงได้เลยค่ะ” จุฑามาศรู้สึกเหมือนกับว่าเวลาแห่งความสุขในฝันนั้นหมดลงแล้ว ต้องมาพบกับความจริงที่หนีไม่ได้เสียที
“คือ .. ผมก็ไม่รู้จะเริ่มยังไง อืม..” นราธิปรู้สึกอย่างที่พูดจริงๆ จะให้เริ่มยังไงล่ะ ถามไปเลยว่าคุณชอบผมมั้ย แล้วเรามาแต่งงานกันเถอะ แต่มันก็ติดที่ว่าเธอจะคิดว่าเขาทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ .... ท่าทีอึกอักของคนตรงหน้าทำให้จุฑามาศเริ่มหวั่นใจ ว่าสิ่งที่ตนคิดมาตลอดนั้นมันจะเป็นจริงรึเปล่า รึว่าถึงเวลาแล้วที่เขาจะออกมาปฏิเสธว่าทำตามความต้องการของผู้ใหญ่ไม่ได้จริงๆ
“คุณไม่เห็นด้วยกับการจับเราสองคนแต่งงานกันใช่มั้ย” แล้วคำถามไคลแม็กซ์ที่นราธิปอยากเก็บเอาไว้เป็นคำถามสุดท้ายก็ดันถูกเธอถามขึ้นมาเป็นคำถามแรก
“ก็จริงครับ แต่ว่าผม ..” เมื่อได้ยินคำยอมรับจากคนตรงหน้าจุฑามาศก็สรุปเอาเองทันทีว่าเรื่องทั้งหมดคงไม่เป็นอย่างที่เธอคิดไว้แล้ว
“งั้นก็ดีค่ะ เพราะว่าฉันก็ไม่เห็นด้วย และคิดว่าคงไม่ยอมตกลงทำตามใจท่าน เราสองคนก็โตแล้ว มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง ฉันเข้าใจคุณค่ะ ก็เอาเป็นว่าเราไปบอกท่านกันตามตรงดีกว่านะคะ ว่าเราสองคนคง .. ทำตามที่ท่านหวังไว้ไม่ได้ แล้วเราจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามเดิมกันซะที” จุฑามาศกลั้นใจอยู่เพียงครู่ก็พูดสรุปทุกสิ่งทุกอย่างเอาเองอย่างเป็นตุเป็นตะ นราธิปได้ฟังแล้วก็คาดไม่ถึงเหมือนกันว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวจะออกมาในรูปแบบนี้
“แล้ว .. ที่ผ่านมาล่ะ” เขาเค้นเสียงให้ออกจากปากอย่างยากเย็น
“ที่ผ่านมาเราสองคนก็คงฝืนใจกันมากพอแล้ว ต่อไปคุณก็ไม่ต้องมาลำบากวุ่นวายเพราะฉันอีกไง ฉันเองก็ .. ก็คงจะสบายดีค่ะ” จุฑามาศเองก็ต้องพยายามพูดกลบเกลื่อนความรู้สึกของตัวเองอย่างยากเย็นเช่นกัน
“สรุปว่าเราคงจบเรื่องทั้งหมดกันแค่นี้ .. พรุ่งนี้ผมจะพาคุณแม่ไปบ้านคุณ ท่านจะได้รับรู้ไปพร้อมกัน” นราธิปกล่าวสรุปอย่างโมโหที่คนตรงหน้าไม่คิดจะฟังอะไรเขาบ้างเลย เอาแต่สรุปเอาเองทั้งหมด
“ค่ะ”
แล้วอาหารมื้อเย็นที่น่าจะสุดแสนโรแมนติคก็ต้องกลายเป็นสุดแสนกล้ำกลืนไป
***** ***** ***** ***** ***** ***** *****
คุณครูสาวที่วันนี้กลับมาแต่งตัวตามปรกติ เลิกทำตัวเป็นครูโบราณพันปีเดินออกไปต้อนรับสองหนุ่มนักธุรกิจกับมารดา แล้วพาเข้ามายังห้องรับแขกเล็กๆของบ้าน
“ว่ายังไงจ๊ะ ตกลงว่ามีอะไรจะบอกแม่ล่ะ รีบร้อนเร่งให้มาเร็วๆ แล้วก็มานั่งมองหน้ากันเอง” คุณทรงสมรถามลูกชาย
.... นี่คงอยากมาคุยให้จบๆกันไปล่ะสิ ที่แท้ก็คงเบื่อเต็มทนแล้ว .... จุฑามาศคิดน้อยใจมองหน้าหล่ออย่างเคืองๆ คนถูกมองเห็นอาการนั้นก็งงกับท่าทีของคุณครูสาว แต่ก็ไม่กล้าถามอะไร
“นั่นสิ ยัยจุ๊ก็เหมือนกันเห็นเดินวนไปวนมารอเค้าอยู่ตั้งแต่เช้าแล้ว นี่ก็พร้อมหน้าแล้วมีอะไรก็ว่ามาสิ” คุณจุฑารัตน์ถามลูกสาวบ้าง
.... ที่แท้ก็รออยากให้มาพูดคุยให้หมดเรื่องหมดราวไปนี่เอง .... นราธิปตีความเอาจากที่คุณจุฑารัตน์พูดแล้วก็มองหญิงสาวด้วยสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาบ้าง
จุฑามณีผู้เป็นน้องสาวของจุฑามาศเห็นอาการของคนทั้งสองเข้าก็อดขำไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะพ่อแง่แม่งอนกันไปถึงไหน แต่เมื่อได้ยินประโยคที่ออกมาจากปากของพี่สาวและว่าที่พี่เขยก็ทำเอาเธออึ้งไปเพราะคาดไม่ถึง
“เราสองคนจะไม่แต่งงานกัน” อย่างกับนัดหมายไว้ เพราะว่านราธิปและจุฑามาศนั้นพูดออกมาเกือบจะพร้อมกัน
“เราสองคนโตแล้วนะคะ ไม่ชอบการบังคับหรอกค่ะ”
“ใช่ครับ เราต่างก็อยากได้เลือกและกำหนดชีวิตด้วยตัวเอง”
“แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา ที่พวกแม่ให้เวลาเราได้ศึกษากันน่ะ ไม่ได้ชอบพอกันขึ้นมาบ้างเลยเหรอ” คุณทรงสมรถามขึ้นมาบ้าง ทำเอาคนทั้งสองต่างก็ไม่กล้าตอบ ได้แต่มองหน้ากันเองสลับกับมองที่พื้น
“ว่าไงล่ะ เราสองคนไม่รู้สึกถูกใจกันขึ้นมาบ้างเลยเหรอ” คุณจุฑารัตน์ถามบ้าง เมื่อไม่มีคำตอบใดจากคนทั้งคู่ หญิงวัยกลางคนทั้งสองก็ลอบยิ้มให้กันก่อนลงตอบตกลงยกเลิกการแต่งงานทั้งหมด
“จริงๆแล้วพวกแม่ก็ไม่ได้คิดจะบังคับหรอก แค่อยากให้ได้ทำความรู้จักกันซะที แล้วก็ให้มีเวลาได้เรียนรู้กัน เห็นเราเอาแต่ควงสาวไม่ซ้ำหน้าก็อยากเห็นเราได้มีโอกาสรู้จักและศึกษาใครซักคนอย่างจริงจังซะบ้าง ไม่ใช่เอาแต่ลอยไปลอยมา” คุณทรงสมรกล่าว
“แล้วเรื่องที่ว่าเตรียมงานกันไว้แล้วล่ะครับ” นราธิปถามขึ้นมาอย่างงงๆ
“ล้อเล่นจ้ะ ไม่คิดว่าจะเชื่อกันเป็นตุเป็นตะนี่นา” คุณจุฑารัตน์ตอบยิ้มๆ
“ใช่จ้ะ เห็นตอนบอกว่าจะแนะนำให้รู้จักกับหนูจุ๊ ตาธิปก็เอาแต่บ่นว่าไม่ชอบโดนคลุมถุงชนแม่ก็นึกว่าพูดสนุกๆ ก็เลยเล่นไปด้วย แต่ว่าแม่ก็ชอบหนูมากนะหนูจุ๊” คุณทรงสมรบอกกับนราธิป ก่อนหันมาบอกจุฑามาศอย่างเสียดาย
“ฉันก็เอ็นดูตาธิปเหมือนกัน แต่ไม่เป็นไร เอาไว้รอรุ่นหลานก็ได้ ฉันเชื่อว่ายังไงฉันกับเธอก็ต้องได้เป็นทองแผ่นเดียวกันแน่” คุณจุฑารัตน์กล่าว พร้อมกับชวนคุณทรงสมรออกไปดูผ้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่อย่างไม่ได้ใส่ใจคนทั้งคู่นัก
“เอ้อจา .. พี่มีหนังสือใหม่เล่มนึง คิดว่าจาน่าจะชอบ ไม่แน่ใจว่าติดรถมารึเปล่า ไปดูกันมั้ย” นราธรจึงชวนจุฑามณีออกไปคุยกันข้างนอกบ้าง เพื่อให้คนทั้งสองได้อยู่กันลำพัง เผื่อว่าจะมีอะไรพูดกัน
“ค่ะ”
เมื่อได้อยู่กันตามลำพังแล้วทั้งสองคนก็ยังไม่ยอมมองหน้ากัน เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเห็นความเสียดายที่ตัดสินใจกันไปแบบนั้น
“วันนี้คุณไม่มีนัดที่ไหนเหรอ” นราธิปเอ่ยถามขึ้นมาก่อนเพราะความอยากรู้ว่าเธอมีคนอื่นรออยู่รึเปล่าถึงได้ปฏิเสธเขา
“มีค่ะเดี๋ยวก็จะออกไปแล้ว แล้วคุณล่ะ .. ไม่ได้มีนัดกะสาวๆหรอกเหรอ” จุฑามาศแกล้งโกหกพร้อมทั้งถามกลับอย่างประชด
“อืม .. ผมก็มีเหมือนกัน ว่าจะรีบออกไปเหมือนกันไม่อยากให้ใครต้องรอผมนาน คุณจะออกไปพร้อมกันเลยมั้ยล่ะ” นราธิปเองก็โกหกกลับไปเหมือนกันเพราะไม่อยากเสียฟอร์ม
“ไม่ดีกว่าค่ะ ดูท่าคุณคงจะรีบงั้นเชิญเลยแล้วกันนะคะ ฉันก็คงต้องขอตัวไปแต่งตัวเหมือนกัน”
***** ***** ***** ***** ***** ***** *****
นราธรกับจุฑามณีแอบจับความผิดปกติของพี่ตัวเองได้ จึงปรึกษากันเพื่อหาทางช่วยให้คนทั้งสองเข้าใจกันซะทีว่าแท้จริงแล้วต่างก็ใจตรงกัน สุดท้ายจึงได้รับความร่วมมือจากบรรพชาวางแผนให้นราธิปไปรับน้ำส้มที่โรงเรียนแทนตัวเองอีกครั้ง
.... จะเจอยัยจุ๊รึเปล่านะ .. ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเจอนี่หว่า ....
แล้วเมื่อไปถึงก็ได้เห็นน้ำส้มเล่นอยู่กับน้องรินเช่นเคย โดยมีจุฑามาศนั่งตรวจการบ้านอยู่ไม่ไกลเหมือนเดิม หากสิ่งที่เปลี่ยนไปคือคุณครูสาวที่ตอนนี้ทิ้งมาดครูโบราณไปแล้ว กับความรู้สึกของเขา .. ครั้งก่อนที่ต้องมารับน้ำส้มนั้นจำได้ว่าไม่อยากเจอหน้าเธอเลย หากแต่วันนี้กลับรู้สึกชุ่มชื้นใจมากมายเมื่อได้เห็นหน้าเธออีกครั้ง นราธิปมองคุณครูสาวเพลินจนมองไม่เห็นน้ำส้มที่วิ่งเข้ามาหา จนน้ำส้มต้องตะโกนเรียกเสียงดัง
“อาธิปขา ได้ยินรึเปล่าคะ” เสียงตะโกนนี้ทำเอาคุณครูสาวหันมามอง พอเห็นว่าเป็นเขาแววยินดีก็ปรากฏชัดบนใบหน้า ก่อนค่อยๆลดลงอย่างคนรักษาฟอร์ม
“ค่ะ อาได้ยินแล้วน้ำส้มไม่ต้องเสียงดังก็ได้” นราธิปนั่งยองๆ ตอบเด็กหญิงตัวเล็ก หากแต่สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างบางซึ่งตอนนี้หันไปสนใจการบ้านเด็กตรงหน้าต่อแล้ว อย่างไม่ใส่ใจในการมาของเขา นราธิปจึงเดินเข้าไปหา
“วันนี้คุณพ่อยังไม่มาเหรอคะน้องริน งั้นเดี๋ยวอาให้น้ำส้มอยู่เล่นเป็นเพื่อนนะคะ” แต่เขาแกล้งไม่ทักเธอ กลับไปทักเด็กหญิงผมเปียแทน
“มาแล้วค่ะ คุณพ่อบอกว่าลืมหยิบขนมมาให้คุณครูจุ๊ เลยกลับไปเอาที่รถค่ะ” น้องรินตอบ
“อาธิปขา คุณพ่อน้องรินเอาขนมมาจีบครูจุ๊ทุกวันเลยค่ะ” น้ำส้มกระซิบที่ข้างหูนราธิป
“จริงเหรอคะ” นราธิปตกใจเล็กน้อย หากแต่เก็บอาการไว้ได้อย่างมิดชิด
“ค่ะ น้ำส้มว่าอาธิปต้องรีบทำคะแนนแล้วล่ะค่ะ” เด็กหญิงให้คำแนะนำ ทำเอาคนฟังอดหมั่นไส้ในความแก่แดดของหนูน้อยที่ตนอุ้มอยู่ไม่ได้ ต้องเอามือไปขยี้หัวเบาๆ พอดีคุณพ่อของน้องรินเดินมาพร้อมกล่องขนมไทยหลากชนิดในมือ นราธิปจึงตรงเข้าไปหาทันที
“สวัสดีครับ จำผมได้รึเปล่าเราเคยเจอกันเมื่อวันที่คุณมารับน้องรินช้า ผมอยู่รอเป็นเพื่อนคุณจุ๊น่ะครับ”
“อ้อ .. ครับ” ชายร่างเล็กรับคำอย่างไม่ค่อยได้ใส่ใจนัก หันไปทางจุฑามาศแล้วส่งกล่องขนมหวานในมือให้ ยังไม่ทันได้พูดอะไรนราธิปก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ขอบคุณนะครับ แต่คุณจุ๊ไม่ค่อยทานของหวานหรอกครับกลัวอ้วน แต่ว่าผมชอบมากเลย ปกติที่คุณเอามานี่ผมก็ทานเองแหละครับ วันนี้เลยตั้งใจมาขอบคุณคุณ” ทั้งจุฑามาศและคุณพ่อของน้องรินต่างก็งงกับคำพูดของเขา
“คุณนราธิปพูดอะไรของคุณน่ะ” จุฑามาศถามกลับอย่างไม่ค่อยพอใจ
“เอ่อ .. ยังไงผมขอพาน้องรินกลับก่อนดีกว่า” คุณพ่อน้องรินเริ่มจะเดาอาการหึงของนราธิปได้จึงกล่าวลาพร้อมกับพาน้องรินเดินจากไป จุฑามาศไม่พูดอะไรอีก ก้มหน้าก้มตาเก็บของอย่างไม่พอใจ
“หมอนั่นเชยจริงๆ เอาขนมไทยมาจีบสาว” นราธิปกล่าวเยาะ
“คิดอกุศล” เมื่อได้รู้ว่านราธิปเข้าใจว่าพ่อน้องรินมาจีบตนจุฑามาศก็ต่อว่า
“คุณไม่พอใจเหรอที่ผมพูดไปงั้น ไม่ต้องเสียดายหรอกพ่อหม้ายลูกติดไม่เห็นน่าสนใจตรงไหนเลย” นราธิปกล่าวต่อ
“ฉันไม่พอใจที่คุณพูดเหมือนเราเป็นอะไรกันต่างหากล่ะ พูดไปอย่างนั้นคุณพ่อน้องรินจะคิดว่ายังไง อีกอย่างเขาก็ไม่ได้มาจีบฉันด้วย ขนมเนี่ยคุณแม่น้องรินฝากมาต่างหากล่ะ” จุฑามาศพูดใส่หน้านราธิปอย่างเคืองๆ
“อ้าว .. น้ำส้มคะ แล้วทำไมบอกอาว่า ..” เมื่อได้รู้ความจริงนราธิปก็อยู่ในอาการเหวอหันมามองหน้าหลานสาวอย่างแกล้งจะเอาเรื่อง
“น้ำส้มไม่รู้นี่คะ ก็คุณพ่อเล่าว่าตอนจีบคุณแม่คุณพ่อเอาขนมไปฝากคุณแม่ทุกวัน” เมื่อฟังคำตอบอย่างไร้เดียงสาเข้า คนทั้งคู่ก็อดขำไม่ได้ แล้วจุฑามาศก็กล่าวลาน้ำส้มก่อนเดินจากไป
“เดี๋ยวสิคุณ ผมกับน้ำส้มหิวข้าวไปทานข้าวกันนะ” นราธิปรีบเรียกเธอไว้
“ฉันขอตัวค่ะ”
“คุณครูจุ๊ขา ไปด้วยกันนะคะ” น้ำส้มพูดตามที่นราธิปกระซิบบอก
“คุณครู..” หันมาจะปฏิเสธ แต่ยังไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี นราธิปก็ขัดขึ้นมาก่อน
“คุณครูก็หิวพอดี งั้นไปทานข้าวพร้อมกันเลยนะคะ” จุฑามาศมองค้อนทันทีเมื่อเขาพูดจบแล้วน้ำส้มก็ร้องไชโยอย่างดีใจยกใหญ่
นราธิปพาจุฑามาศมาร้านเดิมที่เคยมาทานกันเมื่อวันที่คุณพ่อน้องรินมารับช้า ยังไม่ทันได้เอ่ยอะไร บรรดาผู้ช่วยพระเอกนางเอกก็พากันโผล่มาขัดจังหวะ
“เฮ้ย .. ไอ้ธิปเอ็งอยากมาจีบสาวก็เอาลูกข้าไปส่งก่อนสิวะ” บรรพชาแกล้งแซว
“จริงด้วยพี่ เดี๋ยวน้ำส้มก็เป็นตากุ้งยิงกันพอดี” นราธรกล่าวเสริม
“พี่จุ๊จาขอยืมรถหน่อยนะคะ รถจาเสียน่ะค่ะ ยังไงช่วยไปส่งพี่จุ๊ด้วยนะคะคุณธิป” จุฑามณีกล่าวปิดท้ายแล้วทุกคนก็พากันจากไปพร้อมกับน้ำส้ม ทิ้งให้คนทั้งคู่นั่งงงกันไปโดยที่ยังไม่ได้ถามว่าอะไรเป็นอะไรเลย
“ช่วงนี้คุณเป็นไงบ้าง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” หลังจากเงียบกันอยู่ครู่หนึ่งนราธิปก็ถามขึ้นมาก่อน
“ก็เป็นอย่างที่เห็นนี่แหละ” คนตอบยังไม่ยอมทิ้งฟอร์ม
“ตาธรบอกว่าคุณจะไปเรียนต่อ” จุฑามาศนึกดีใจที่เขายังให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องของเธออยู่
“ค่ะ”
“หลายปีสิ”
“ค่ะ” นราธิปเห็นเธอถามคำตอบคำอย่างนั้นก็ถอนใจ ก่อนนิ่งไปนานจนจุฑามาศเริ่มรู้สึกลังเลว่าตนคิดผิดรึเปล่าที่วางฟอร์มมากไป แล้วเขาก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนอีกครั้ง
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ .. ผม .. คง .. คิดถึงคุณ” จุฑามาศแทบไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินอย่างนั้น หลุดปากถามออกไปว่าเขาพูดอะไร
“ผมบอกว่าผมคงคิดถึงคุณ .. นี่ขนาดไม่ได้เจอกันแค่สองอาทิตย์ผมยังแทบบ้า” ในที่สุดนราธิปก็ตัดสินใจพูดความในใจออกไป ซึ่งไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจมาก่อนเลยว่าจะต้องมาพูดวันนี้ แต่เมื่อตอนที่ได้รู้จากน้ำส้มว่ามีคนอื่นมาตามจีบเธออยู่นั้นเขาก็รู้สึกทนไม่ได้ และรู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าจริงๆแล้วรักเธอมาก จึงยอมทิ้งฟอร์มทั้งหมดที่มี
“คุณนราธิป” จุฑามาศพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองสบตาคมที่มองจ้องมาอย่างค้นหาความจริงใจในคำพูดเหล่านั้น
***** ***** ***** ***** ***** ***** *****
แล้วคืนนั้นจุฑามาศก็ถึงกับนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาอยู่บนเตียงนุ่มนั้นหลายรอบราวกับว่าที่นอนไม่หลับนี่เพราะรอคอยอะไรบางอย่างอยู่ จนเสียงเรียกเข้ามือถือดังขึ้นนั่นแหละ ความรู้สึกรอคอยนั้นหายไปทันที มือบางรีบเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มาถือไว้ หากแต่ยังไม่กดรับสาย ...... ฮึ เดี๋ยวจะหาว่าเรารออยู่ .... และเมื่อปล่อยให้เสียงนั้นดังนานจนพอใจแล้วค่อยกดรับสาย
“คุณโทรมาทำไมดึกดื่น รู้มั้ยว่าฉันกำลังหลับสบายเลย” คนรับสายที่อ้างว่าหลับนั้นช่างมีน้ำเสียงสดใสไม่มีแววง่วงงุนเลยแม้แต่น้อย ทำให้คนโทรมานั้นแอบอมยิ้มกับโทรศัพท์
“ผมโทรมากุ๊ดไนท์คุณนะ” เสียงทุ้มตอบกลับมา
“คุณป้าสมรยังไม่เลิกสั่งให้คุณทำอีกเหรอ” เสียงหวานแกล้งถามไปอย่างนั้น โดยที่ในใจกำลังคาดหวังบางสิ่งจากคำตอบของเขา
“คุณแม่ไม่ได้สั่ง แต่ .. ผมสั่งเอง” ไม่รู้ว่าคำตอบนี้ใช่ที่คาดหวังรึเปล่าแต่หน้าใสนั้นก็แต้มไปด้วยรอยยิ้ม
แล้วนราธิปก็ชวนจุฑามาศคุยต่ออีกสักพักก่อนวางสายไปอย่างแสนเสียดายเพราะคนปลายสายอ้างว่าพรุ่งนี้ต้องรีบไปโรงเรียนแต่เช้า ถ้านอนดึกมากเดี๋ยวจะต้องไปนอนกลางวันกับเด็กๆ
เช้าวันรุ่งขึ้นนราธิปตื่นแต่เช้าเพื่อมารอคอยอะไรบางอย่าง ตาคมจับจ้องอยู่แต่โทรศัพท์เครื่องใหญ่ในมือ แล้วในที่สุดเสียงเรียกเข้าที่ตั้งไว้สำหรับใครบางคนก็ดังขึ้น เขารีบกดรับสายทันที เอาทำคนโทรมาตกใจแทบจะพูดไม่ออก ก็เพราะปกติที่เธอเคยโทรมายามเช้าอย่างนี้กว่าคนปลายสายจะรับสายได้ก็รอนานจนสัญญาณเกือบถูกตัด
“โทรมาแต่ไก่เห่าอีกแล้ว มีไรครับ” น้ำเสียงปกติกับคำพูดกวนๆ นี้ก็ทำให้คนที่โทรมารู้ได้ว่าเขาตื่นอยู่ก่อนที่เธอจะโทรมาแล้ว
“แล้วคุณล่ะ ทำไมวันนี้ตื่นแต่เช้าเชียว” จุฑามาศตะกุกตะกักถามกลับ เพราะตั้งตัวไม่ทัน ไม่คิดว่าเขาจะรับสายเร็วอย่างนี้
“ผมก็แค่รอ .. เผื่อว่าน้ารัตน์จะเผลอสั่งให้คุณโทรปลุกผมด้วย” คราวนี้ก็เป็นนราธิปที่แอบคาดหวังว่าคำตอบเธอนั้นจะเป็นอย่างที่เขาคิด
“คุณแม่ไม่อยู่หรอก แต่ถ้าคุณตื่นแล้วก็แค่นี้แล้วกันนะฉันจะเตรียมตัวไปทำงาน” น้ำเสียงมีแววเก้อเขินเล็กน้อยที่บอกให้เขารู้ว่าเธอเป็นคนตั้งใจโทรมาหาเขาเอง หาได้เป็นคำสั่งของผู้เป็นมารดาไม่
“เดี๋ยวสิคุณ ใจคอจะไม่คุยกันก่อนเหรอ” นราธิปทำเสียงคล้ายตัดพ้อเพื่อหยั่งเชิงคนปลายสาย
“ก็ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับคุณนี่ .. ” จุฑามาศพูดเว้นไว้นิดนึงเพื่อรอดูว่าอีกฝ่ายจะว่าอย่างไร เมื่อเห็นเขาเอาแต่เงียบ และมีเสียงคล้ายถอนหายใจ เธอจึงกล่าวต่อ
“แต่ถ้าคุณมีอะไรก็พูดมาสิ” ทำเอาคนปลายสายยิ้มแฉ่งอย่างมีความสุข แล้วเขาก็ชวนเธอคุยอยู่อีกนานจนหญิงสาวเห็นว่าเริ่มสายแล้วนั่นแหละจึงขอตัวไปทำงาน
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมานราธิปก็หาเรื่องแวะเวียนไปแถวโรงเรียนอนุบาลที่จุฑามาศสอนอยู่ได้เป็นประจำ แถมไปทีไรก็ไม่พ้นให้เธอพาไปหาร้านอร่อยแถวนั้นทานข้าวด้วยกันทุกที
***** ***** ***** ***** ***** *****
ตอนเช้าของวันหยุดจุฑามาศกำลังวางแผนว่าจะทำแผนการสอนในช่วงเช้า แล้วบ่ายค่อยออกไปหาซื้ออุปกรณ์ช่วยสอนที่ห้างสรรพสินค้าที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านนัก แต่....
“ไก่บ้านคุณเห่าผิดเวลารึเปล่า ถึงทำให้ตื่นเช้าได้” ทันทีที่กดรับสายเสียงหวานก็พูดกวนไปทันที
“วันนี้คุณว่างรึเปล่า ผมจะชวนไปธุระข้างนอกหน่อย” นราธิปไม่กวนกลับ หากแต่พูดจาจริงจังซะจนคนที่กวนไปตอนแรกนั้นรู้สึกได้ เพราะน้ำเสียงของเขานั้นทำให้รู้ได้ว่าโทรมาเพราะมีเรื่องสำคัญมากกว่าจะมากวนกันเล่น
“เอ่อ .. ค่ะไปได้ค่ะ” จุฑามาศตกหลุมคนจอมเจ้าเล่ห์เข้าแล้วก็รีบตกปากรับคำ โดยลืมเรื่องแผนการของวันนี้ไปเลย ฝ่ายคนโทรมานั้นก็ลอบยิ้มให้กับโทรศัพท์ด้วยความยินดีที่แผนการเริ่มต้นด้วยดี
เมื่อรถคันใหญ่คุ้นตามาเทียบจอดหน้าบ้าน จุฑามาศก็ตรงไปยังรถคันนั้นทันที นราธิปนั่งอมยิ้มตาพราวมองหญิงสาวที่วันนี้อยู่ในชุดลำลองสบายๆ กับหน้าตาสดใสที่ปิดบังความสงสัยเอาไว้ไม่ค่อยมิด แต่เมื่อเธอไม่ถามเขาก็ไม่คิดจะบอก เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง แล้วเขาก็พารถคันใหญ่เคลื่อนออกไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา
จนคนที่ไปด้วยนั่นแหละที่ทนอึดอัดกับความเงียบนี้ไม่ได้ ต้องเป็นฝ่ายถามขึ้นมาก่อน
“นี่คุณจะไม่บอกฉันซักคำเหรอว่าจะพาไปไหน” คนถูกถามหันมายิ้มให้แทนคำตอบทำเอาหน้าหวานนั้นเริ่มงอง้ำขึ้นมานิดๆ .... นี่เราคิดยังไงถึงได้มานั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถให้ตานี่นะ แล้วก็ทำอย่างกับว่ามันมีอะไรลึกลับซับซ้อนซะเหลือเกิน แค่เปิดปากบอกหน่อยก็ไม่ได้ ....
และเมื่อคนขับไม่ยอมเอ่ยปากอะไรเลย เอาแต่ขับรถพาเธอนั่งวนกรุงเทพฯ เล่น หญิงสาวที่นั่งมาข้างๆนั้นก็ทั้งถาม ทั้งข่มขู่ให้บอกหากแต่เขาก็ยังคงเฉย นั่งอมยิ้มตาพราวอยู่ได้ ไม่มีแววรีบร้อนอะไรเลยสักนิดจนคนถามเบื่อที่จะถาม ก็เลยนั่งหน้าตูมหันออกไปมองข้างทาง ไม่สนใจกับชายหนุ่มที่ทำเหมือนสนุกกับการขับรถเล่นในยามน้ำมันแพงเช่นนี้อีก
ตัวเลข 69 โผล่ขึ้นมาในช่องสัญญาณไฟแดง รถคันใหญ่ชะลอช้าลงก่อนหยุดสนิทต่อท้ายรถเก๋งคันสวยสีแดงสดที่มีทะเบียนเป็นคำมงคลว่า’พร’ ทำให้หน้าหล่อนั้นเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแอบคิดไปว่านี่คงเป็นคำอวยพรสำหรับเขา แล้วจึงหยิบกล่องกำมะหยี่สีน้ำเงินเข้มจากกระเป๋าเสื้อยื่นไปตรงหน้าคนที่กำลังอยู่ในอาการงอนเล็กๆ ทำให้คิ้วสีน้ำตาลเรียวขมวดราวกับผูกเป็นโบว์ด้วยความงุนงง
“ผมคิดทบทวนดูแล้วก็พบว่าที่จริงแล้วรู้สึกยังไงกับคุณ และเชื่อว่าคุณเองก็คงรู้ แต่อยากบอกอีกครั้งให้คุณมั่นใจ จะว่าไปก็นึกขอบคุณคุณแม่ของเราที่คิดจับเราคลุมถุงชน ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ได้รู้จักและเรียนรู้นิสัยคุณ แล้วคุณล่ะ รู้สึกยังไงกับผม”
เมื่อเห็นหน้าหวานที่ตอนนี้เป็นสีแดงจัดเอาแต่มองกล่องกำมะหยี่ใบเล็กนั้นแต่ยังไม่ยอมรับมาถือไว้ นราธิปจึงพูดต่อ
“ถ้าคุณไม่กล้าตอบ ผมมีข้อเสนอ ให้คุณเลือกเอาแล้วกันว่าจะใส่แหวนวงนี้ที่นิ้วนางข้างไหน ถ้าขวาผมจะทำใจยอมรับว่าเราเป็นแค่เพื่อนที่ดีต่อกัน ถ้าซ้ายพรุ่งนี้ผมจะไปบอกคุณแม่ให้ยกขันหมากไปขอคุณเลย” คนฟังนั้นตอนนี้เขินเหลือกำลังพูดอะไรไม่ออกได้แต่ยอมรับกล่องเล็กใบนั้นที่ถูกเปิดออกเผยให้เห็นแหวนทองคำขาวเกลี้ยงเกลาที่ตรงกลางมีเพชรเม็ดเล็กน่ารักส่องประกายวาววับมาถือไว้ พลางนึกติในใจ
.... ตาบ้า มาสารภาพรักกันตรงสี่แยกไฟแดงเนี่ยนะ ไม่โรแมนติคซักนิด ....
เมื่อเห็นคนข้างๆ ยังนิ่งเพราะความเขินจัด ชายหนุ่มก็ยิ่งแกล้งแหย่เข้าไปอีก
“ผมไม่ได้ให้คุณทำข้อสอบนะคุณจุ๊ คิดนานเดี๋ยวไฟเขียวนะคุณ”
“เรื่องของคุณสิ ฉันไม่ใช่คนขับนี่”
“ก็ถ้าเขียวแล้วผมยังไม่ได้คำตอบ ก็จะจอดมันอยู่อย่างนี้แหละ”
“จะบ้าเหรอคุณ” จุฑามาศว่าขึ้นมาอย่างตกใจในความคิดบ๊องๆของคนข้างๆ หากคนถูกว่านั้นไม่ได้สะทกสะท้านแม้แต่น้อย กลับเอนตัวพิงเบาะยกสองมือขึ้นประสานไว้ท้ายทอยในท่าสบาย ตามองสัญญาณไฟแดงที่ตัวเลขเริ่มลดลงอย่างใจเย็น ทำเป็นไม่รู้สึกรู้สากับอาการร้อนใจของคนที่นั่งอยู่เบาะข้างๆ เลย
“5 4 3 “ นราธิปทำทีนับถอยหลังช้าๆ ทั้งที่ในใจนั้นแทบจะกระโดดอยู่แล้วเพราะรอลุ้นคำตอบของคุณเธออยู่
ส่วนคนที่ถูกกดดันนั้นได้แต่อึดอัดเพราะไม่รู้จะเลือกข้างไหนดี ก็เขายังไม่เอ่ยว่ารักสักคำจะให้เธอใส่แหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายเลยงั้นเหรอ หากจะใส่ข้างขวานั้นก็โกหกชัดๆ โกหกทั้งเขาและตัวเอง หญิงสาวได้แต่คิดให้วุ่นวายจนสัญญาณไฟเขียวนั้นลดมาอยู่ที่เลข 1 แล้ว
“ฉันใส่ข้างขวา .. ส่วนข้างซ้าย .. รอให้คุณเป็นคนใส่” จุฑามาศรีบอ้อมแอ้มตอบไป โดยที่ประโยคท้ายถูกกั๊กไว้นิดนึงเพราะหมั่นไส้ในความเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆ ที่ทำหน้าตามั่นใจซะเหลือเกินว่าเธอต้องสวมแหวนวงเล็กนี้ลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างแน่นอน แล้วหน้าหล่อนั้นก็มีแววยินดีอย่างไม่บิดบัง
“ตกลง พรุ่งนี้ผมจะให้คุณแม่ยกขันหมากไปขอสวมแหวนให้คุณ” พูดจบก็พารถเคลื่อนตามรถทะเบียน ‘พร’ คันหน้าไปทันที
ขอแค่ใส่แหวนนี้ที่มือขวา รู้ว่าเธอไม่มีใจ
ขอให้ใส่แหวนนี้ที่มือซ้าย เพื่อบอกแทนคำพูดในใจ
. . ว่ารักกัน . .
สุดท้ายเราก็คู่กัน .. เพราะเรา(ต้อง)คู่กัน
**** จบ ****
ผลงานอื่นๆ ของ nik_nim ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ nik_nim
ความคิดเห็น