คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่1
บทที่ 1
เมทิส? เมทิสงั้นเหรอ เดี๋ยว!มันไม่ใช่ชื่อของฉันนี่ ฉันชื่อไพลิน ไพลิน
จิวเวอร์เรีย
“เป็นยังไงบ้าง หือ...” เขาคุกเข่านั่งลงตรงหน้าฉันก่อนจะเชยคางฉันขึ้นอย่างเบามือ
พลางมองสำรวจใบหน้าของฉัน อย่าพึ่งสิ เขาเป็นใครมาจากไหนฉันยังไม่รู้เลย
แล้วเขามาทำแบบนี้กับฉันทำไม เพื่ออะไร
“อย่าแตะต้องตัวฉัน” ฉันบอกพลางปัดมือของเขาออกอย่างไม่ใส่ใจ
“เมทิสเธอยังไม่หายโกรธฉันอีกเหรอ” ดวงตาสีแดงไหววูบจ้องดวงตาของฉันอย่างต้องการคำตอบ
“ฉันไม่ใช่เมทิส” ฉันบอกอย่างปัดๆ
แล้วฉันก็เหลือบไปเห็นเส้นผมสีไข่ที่ยาวลงมา จริงด้วยสิฉันลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย
“เธอนั่นแหละเมทิส เธอจำฉันจำที่นี่ไม่ได้เหรอ” โว๊ะ!
บอกว่าไม่แล้วแกยังไม่เข้าใจอีกเรอะ จะเปิดสงครามประสาทกับฉันรึไง
บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่เล่นด้วย
“ที่นี่มันที่ไหน แล้วฉันก็ไม่ใช่เมทิสอะไรนั่นด้วย” ฉันอธิบายอย่างเก็บอารมณ์ไม่ได้
ฉันจะวีนแตกตอนนี้ไม่ไดเด้ดขาด ใจเย็นไว้ไพลินใจเย็นไว้
“เมทิสเธอจำไม่ได้จริงๆเหรอ” ฮึ่ม! ฉันไม่ไหวแล้วนะ ไม่ไหวแล้วโว้ยยยย!!!!!
“ฉันไม่ใช่เมทิสสสสสส” ฉันตะโกนปรี๊ดแตกแบบสุดฤทธิ์
เพล้ง!
กระจกเลนส์แว่นตาแตกเป็นเสี่ยงๆ
หึ...แค่นั้นมันยังไม่พอหรอกนะ
คอนแทคเลนส์สีแดงก็ถูกเขวี้ยงลงพื้นในเวลาใกล้เคียงกัน
ต่อด้วยฉันที่เข้าไปกระทืบมันซ้ำอย่างเหลืออด ความอดทนไม่เหลือขีดจำกัดอีกต่อไปแล้ว
เหลือเพียงความบ้าคลั่งของฉันที่เพิ่มขึ้นทุกทีๆ
“เมทิส...” เขาอุทานเสียงแผ่วเบา
โดยมีฉันที่ตวัดหางตาไปทางนั้นอย่างเหยียดๆ ก่อนจะถอดวิกผมแล้วสะบัดอย่างแรง
ผมสีน้ำเงินถูกปล่อยลงมา ใช่...ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ฉันคือ ‘ไพลิน’ เต็มตัวแล้ว
ใครหน้าไหนกล้ามาหยามมันก็ตายได้เมื่อนั้น!!!!!!!!
“เธอไม่ใช่เมทิสนี่!!!” เขาร้องอย่างตกใจ แววตาจากห่วงใยตอนนี้กลับดูแข็งกร้าว
“ใครจะจัดการยัยนี่ยังไงก็เชิญ” เขาบอกแบบปัดๆ
พร้อมกับโบกมือไล่ให้พวกลูกน้องที่ยืนเรียงรายอยู่มาจัดการฉัน คิดจะทิ้งกันก็ทิ้งง่ายๆแบบนี้น่ะนะ
หึ...คิดเหรอว่าลูกน้องกระจอกๆแบบนั้นจะทำอะไรฉันได้ คิดผิดคิดใหม่ได้นะเว้ย
“เห้ย!
นี่มันไพลิน นางแบบที่ดังโกอินเตอร์นี่หว่า” ลูกน้องคนหนึ่งชี้หน้าฉันอย่างจัง
หนอย!!!! เสียมารยาท! มันต้องโดนสั่งสอนซะบ้างแล้ว!
กร๊อบ!
นั่นไม่ใช่เสียงไก่ทอดกรอบแต่อย่างใด(=_= )
แต่มันคือมือของฉันที่เอื้อมไปคว้าข้อมือลูกน้องหน้าตากระจอกนั่นไว้ก่อนที่จะหักมันอย่างไม่ไยดี
(=o= ) ทุกคนในสถานการณ์จ้องฉันตาไม่กระพริบ
แม้แต่นายหัวเทาที่เรียกฉันว่าเมทิสนั่นก็ด้วย
“หึ!” ฉันหันไปแสยะยิ้มใส่นายนั่นก่อนจะทำในสิ่งที่หลายๆคนไม่คิดว่าคนอย่างฉันจะทำได้
พลั่ก!
ฉันใช้มือข้างเดียวกระตุกไอ้ลูกน้องอวดดีคนนี้จนหัวฟาดพื้นและหมดสติลงในทันที
ชิ...บอกไว้ก่อนนะถ้าคิดจะเล่นกับฉันแล้ว จะตายจะอยู่ฉันก็ไม่สน!!!!
“อึก...” พวกลูกน้องกิ๊กก๊อกของนายหัวเทากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ
ต่างคนต่างหน้าเครียด แต่ดูท่านายหัวเทาจะเครียดกว่าผู้ใดทั้งปวง
“มองหน้ากันทำอะไรวะ!
จัดการซะสิหรือว่าแค่ผู้หญิงคนเดียวก็จัดการไม่ได้!” นายหัวเทาพูดเสียงเย็นแต่ก็ดูแผ่รังสีอำมหิตในเวลาเดียวกัน
ทำเอาลูกน้องทั้งหลายหน้าเสียกันยกใหญ่ หึ...สะใจจริงๆ(^-^ )
ฟุ่บ! อ๊าก! โอ๊ย! อ๊อก!
เสียงที่ฟังดูเจ็บปวด(?)
ดังมาจากปากของเหล่าลูกน้องต๊อกต๋อยของนายหัวเทา วะฮ่าฮ่ามีความสุขจริงอะไรจริง ( ^-^)
ฉึก!
อึก! ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ออกมาจากบริเวณหลังมือทำให้ฉันหันไปมองต้นตอความเจ็บปวดในทันที...
มีดเล่มไม่เล็กไม่ใหญ่ปักเข้าที่หลังมือข้างขวาของฉันอย่างจัง
เลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน แต่อารมณ์ของฉันในตอนนี้บอกไว้เลยว่ามันไม่เหมือนเลือดของฉันเลยสักนิด
มันร้อนระอุเหมือนทะเลทรายช่วงกลางวันเลยก็ว่าได้!!
“แก...” ฉันตวัดหางตาไปมองงเจ้าของมีดอย่างเลือดเย็น
ความร้อนรุ่มถูกสุมรวมกันภายในตัวฉัน เหลือเพียงแต่ความเลือดเย็นที่เคลือบมันไว้อยู่ด้านนอก
ฉันใช้ปากกัดมีดเล่มนั้นไว้ก่อนจะกลั้นใจดึงมันออกมาจากมือ ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้เลือดของฉันก็เริ่มทยอยไหลออกมา เช่นเดียวกับฉันที่มันเดือดเต็มทน!!! ฉันใช้เล็บของมือซ้ายจิกเข้าที่ชายกระโปรงก่อนจะฉีกมันอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะใช้มือเพียงข้างเดียวพันผ้าเข้าที่มือข้างขวา ถ้าใครมาเห็นฉันในตอนนี้คงคิดว่าฉันโรคจิตแหงๆ เพราะ เลือดของฉันมันเปื้อนไปรอบๆตัว ปากของฉันก็ยังคงคาบมีดไว้ โดยที่มือก็ยังคงถูกพันด้วยผ้าชายกระโปรงแถมเลือดยังเปื้อนเยอะอีก แต่ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาห่วงสังขารตัวเองหรอกนะ ขอแค่ฉันได้แก้แค้นให้กับแผลตัวเองก็เป็นอันพอ!!!!!!!
“แกอยากใช้มีดมาก...ใช่มั้ย?” ฉันถือมีดไว้ในมือซ้าย ที่มุมปากของฉันก็ยังคงมีเลือดของตัวเองติดอยู่
ทำให้ลูกน้องคนนั้นเริ่มตัวสั่นขึ้นมาอย่างหวาดกลัว
ฉึก!
ให้มีดแก่ท่านมีดนั้นถึงตัว
แต่ตอนนี้แกจะตายเพราะเลือดหมดตัว เข้าใจ? ทุกสายตาดูทั้งอึ้งปนตะลึง
เพราะหมอนั่นนอนหายใจรวยรินโดยมีมีดเล่มนั้นปักอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจ เอ๊ะ!ฉันบอกรึยังว่าทำร้ายท่านแค่ไหน
ท่านจะทำร้ายกลับแรงกว่าเดิมหลายเท่าตัว หึ!
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ” เสียงใสๆปนมาดนางร้ายดังมาจากในคฤหาสน์ ทำลายความเงียบไปอย่างสิ้นเชิง
“อะไรกันน่ะ(*-*)” เจ้าของเสียงมองดูเหตุการณ์นองเลือดด้วยดวงตาเป็นประกาย
ก่อนจะลากสายตามาที่ฉัน จะสบตากันอย่างตรงๆ...
“...” ฉันกับเธอคนนั้นจ้องตากันคล้ายกับหาคำตอบอะไรบางอย่าง
“พี่ไพลิน! / ยัยจีเซล!” เรา
2 คนต่างอุทานออกมาพร้อมกันพลางโผเข้ากอดกันเหมือนห่างหายกันไปเนิ่นนาน
!!!??
ทุกคนในเหตุการณ์งงแบบอภิมหางง
โดยเฉพาะนายหัวเทาที่เงียบจนไร้เงาและตัวตน แต่ใครเค้าได้สนกันล่ะ ชิ!
“จีเฮลล่ะ?” ฉันถามจีเซลพลางมองซ้ายมองขวา
“พี่ไพลิน!” ‘จีเฮล’วิ่งมาทางฉันอย่างกระหืดกระหอบ
พลางทำตาโตเมื่อเห็นสภาพอันน่าสงสารของฉัน แต่ขอบอกไว้ก่อนนะ
ว่าฉันไม่ได้ต้องการมัน
“ฝีมือใครน่ะ?”
จีเฮลถามพลางมองไปที่นายหัวเทาอย่างต้องการคำตอบ
“คนที่แกเรียกว่า‘ไพลิน’นั่นแหละ” นายหัวเทาส่งสายตาหัวเสียมาทางจีเฮลอย่างเบื่อหน่าย
“จริงเหรอค่ะ พี่ไพลินสุดยอดไปเลย” จีเซลยิ้มจนหน้าบาน
สร้างความสงสัยให้ฉันขึ้นมานิดๆ แต่ดูเหมือนว่าจีเซลจะเดาออก
“พอดีหนูไม่ค่อยชอบหน้าลูกน้องพวกนี้น่ะค่ะ
พวกนี้บอกว่าถ้าได้ลงไปนอนกองอยู่พื้นอย่างน่าสมเพชด้วยฝีมือผู้หญิงเมื่อไหร่
พวกมันจะไสหัวไป ฮะๆ” จีเซลยังคงยิ้มต่อไป
แต่พวกที่กองอยู่พื้นถึงกับหน้าซีดลงไปทันที
พวกที่เหลือก็ได้แต่มองดูสถานการณ์เงียบๆ
“นิ่งอยู่ทำไมล่ะ เอาไอ้พวกนี้ไปกองไว้หน้าคฤหาสน์ซะสิ ไป” จีเซลโบกมือไล่อย่างไม่ไยดี
ก่อนจะหันมามองทางฉันบ้าง
“พี่ไพลินไปหาหมอก่อนเถอะค่ะ”
“หาหมอเหรอ...”
ฉันขอเล่าประวัติของจีเซลให้รู้แล้วกันนะ
เธอคือ ลูกสาวคนเดียวในตระกูลมาเฟียชื่อดังในอิตาลี มีฝาแฝดคือจีเฮล เธออายุ 21 ปี
เราเคยทำงานในวงการด้วยกันหลายครั้ง แต่ด้วยที่เธออายุแค่ 18
เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยเลยต้องบอกลาวงการไปตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือสอบท่าเดียว
จนเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนอย่างเดียว
เลยไม่ได้เจอกันตั้งแต่ตอนนั้น รวมเป็นเวลา 3 ปีแล้วที่เราไม่ได้เจอะเจอกัน
เดี๋ยวสิถ้ายัยนี่เป็นลูกสาวมาเฟีย
แสดงว่าฉันอยู่ที่คฤหาสน์มาเฟียอย่างนั้นหรอกเหรอ?
“...”
ฉันได้แต่นั่งเงียบด้วยสีหน้าเรียบนิ่งอยู่อย่างนั้น
เพราะตอนแรกฉันนึกว่าจีเซลจะพาฉันไปหาหมออยู่ในโรงพยาบาล ที่ไหนได้
คฤหาสน์นี้มีหมอประจำ แถมเครื่องมือแพทย์ ยารักษายังมีครบอีกต่างหาก เชอะ!นึกว่าจะได้หนีไปจากที่นี่ซะหน่อย น่าเบื่อจริงๆ
“มือขวาพยายามอย่าใช้บ่อยๆนะคะ เพราะแผลลึกมาก
ส่วนมือซ้ายก็รู้สึกว่าจะปวดๆอยู่บ้าง ทานยาตามที่สั่งนะคะ ไม่ 1 อาทิตย์ หรือ 1
เดือนก็น่าจะหายค่ะ ^-^” คุณหมอยิ้มหน้าตาระรื่น
จนอยากจะละเลงแผลบนใบหน้าให้สัก 4 หรือ 5 แผล หึ...
“ไปกันเถอะค่ะ”
“ไปไหน” เสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่ดันติดหูลอยมาไม่ใกล้ไม่ไกล
“ก็ให้พี่ไพลินพักที่นี่ไง มีปัญหาเหรอ” น้องสาวตัวเล็กหันไปถามอย่างเอาเรื่อง
“ก็เดี๋ยวยัยนี่ก็สร้างความวุ่นวายให้หรอก” นายหัวเทาพูดแก้เก้อ
แต่ก่อนที่จะพูดไปมากกว่านั้นจีเซลกลับกัดฟันพูดข้างๆนานนั่นอย่างเคืองๆ
“ถ้าพี่ไพลินออกไป พี่ก็ต้องสั่งเก็บ
สู้ให้พี่ไพลินอยู่ที่นี่กับฉันยังดีกว่า แต่ถึงจะยังไงก็ช่าง
พี่ไพลินเป็นคนที่ฉันสนิทและนับถือ เธอจะต้องไม่ตายเด็ดขาด เข้าใจ?” จีเซลทำสีหน้าจริงจังจนฉันยังต้องตกใจ
“อยู่ก็ได้ แต่พี่ไม่รับประกันนะว่าเธอจะอยู่ครบ 32” นายหัวเทาทำสีหน้าเยือกเย็น
แต่มันก็ไม่มีผลใดๆกับตัวฉัน
เพราะฉันอยู่ในสังคมตีหน้ามาเยอะ!
“ไปเถอะค่ะพี่ไพลิน” จีเซลเข้ามาคว้าแขนข้างซ้ายของฉันไว้
และไม่ลืมส่งสายตาไม่พอใจไปทางนายหัวเทาก่อนจะกระทืบรองเท้าส้นสูงจนดังก้องคฤหาสน์
ฉันกำลังหยุดยืนอยู่ที่ห้องโทนสีชมพูหวานๆ
ทุกอย่างในห้องถูกตกแต่งให้เป็นสีชมพู
จนฉันต้องหันไปเหลือบมองเจ้าของห้องเพื่อชื่นชมในความบ้าคลั่งสีชมพูของเธอ
ซึ่งเธอก็ได้แต่ยิ้มให้อย่างเขินๆ ก่อนจะล็อกประตูแล้วนั่งลงที่ปลายเตียง
แล้วผายมือไปที่โต๊ะเครื่องแป้งที่อยู่ตรงข้ามกันเป็นเชิงให้นั่ง
“ที่นี่ที่ไหนเหรอ” ฉันถามคำถามที่อัดอั้นมาได้นานพอสมควรหลังจากที่นั่งลงแล้ว
“คฤหาสน์ประจำตระกูลหนูค่ะ” จีเซลตอบพลางม้วนผมไปพลาง
“ส่วนผู้ชายที่ผมสีเทา ตาสีแดงน่ะ พี่ชายของหนูเองค่ะ ชื่อเซโน” ท่าทางจะเซย์เยสไม่เป็นสินะ ห๊ะ!
“พี่ชายเธอ?” ฉันทวนอย่างงุนงง
ไอ้บ้านั่นน่ะนะพี่ชายของจีเซล บ้าน่า
“ใช่ค่ะ” เธอตอบรับเสียงใส
ดวงตากลมโตสีส้มเป็นประกายวิบวับ ผมสีน้ำตาลอ่อนออกไปทางสีเทาถูกมัดรวบเอาไว้
จะว่าไปเค้าโครงหน้าของเธอคนนี้กับนายเซโนอะไรนั่นเหมือนกันแฮะ
จ๊อก~
อยู่ๆเสียงท้องของฉันก็ประท้วงอีกครั้ง
จริงสิเมื่อวานฉันก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย
หึ...ไอ้ท้องเนรคุณไม่ยอมรับอาหาร(เกี่ยวมั้ยเนี่ย?)
จีเซลที่นั่งอยู่ถึงกับแอบปิดปากหัวเราะ ชิ!ถึงไม่แอบก็รู้หรอกย่ะว่าหัวเราะ
“นี่ก็สายแล้วนะคะ หนูต้องไปเรียนอีก 30 นาทีข้างหน้า เดี๋ยวหนูไปบอกพี่เลี้ยงหนูให้เอาของกินมาให้ อ้อ!พี่เลี้ยงคนนี้ไว้ใจได้ค่ะ
แต่ถ้าคิดไม่ซื่อตอนไหน ชีวิตหล่อนจะจบทันที หนูไปนะคะ” จีเซลบอกฉันพลางทำท่าสะพายกระเป๋า
“เดี๋ยวสิ” ฉันเรียกจีเซลไว้พลางใช้มือซ้ายที่เจ็บๆอยู่ชี้ไปที่ผมตัวเอง
ที่ตอนนี้มันดูไม่เป็นทรง
“มัดผมให้ก่อนสิ” ใครมาได้ยินคงคิดว่าฉันงี่เง่า
แต่ฉันแคร์เรื่องพวกนี้มากจนถึงมากที่สุดเชียว ถ้าผมพันกันยุ่งเหยิงล่ะนะ
อายชาวบ้านตายเลย
“เสร็จแล้วล่ะค่ะ หนูต้องรีบไปแล้ว ดูแลตัวเองนะคะ” จีเซลส่งยิ้มให้ฉัน ก่อนจะเปิดประตูออกแล้วปิดมันอย่างเบามือ
ตอนนี้ก็คงเหลือเพียงแต่ฉันที่หันมุมมองจากปลายเตียงมาเป็นหน้ากระจกโต๊ะเครื่องแป้งแทน
เพื่อจะได้มองดูสังขารตัวเองได้ง่ายและทั่วถึงขึ้น
ผมสีน้ำเงินทั้งหมดถูกมัดรวบเอาไว้ที่ด้านหลัง
ทำให้ดูเรียบร้อยขึ้นมานิดๆ หน้าตาก็ดูซีดๆลง เพราะขาดข้าวขาดน้ำแหงๆ
มันถึงดูโทรมลงไปขนาดนี้
“ขอเข้าไปนะคะ” เสียงใดเสียงหนึ่งดังมาจากหน้าประตู
แต่แปลกแฮะมีแต่เสียงพูดไม่มีเสียงเคาะประตู
“เข้ามาค่ะ” ฉันตอบออกไปอย่างไม่ค่อยไว้ใจสักเท่าไหร่
“ขอโทษที่มาช้าไปหน่อยนะคะ พอดีในครัวยุ่งๆอยู่” ผู้หญิงที่อายุราว 30 ต้นๆเอ่ยขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ขอบคุณนะ พี่ยุ่งอะไรก็ไปจัดการให้เสร็จเถอะ” ฉันตอบรับอย่างปัดๆ
“ค่ะ” เธอตอบรับเพียงเท่านั้น ก่อนจะเปิดประตูออก
แล้วปิดมันอีกครั้ง
“ชีวิตหนอชีวิต”
ฉันได้แต่รำพึงรำพันกับตัวเองในห้อง
ก่อนจะหันไปมองสิ่งที่ยัยพี่คนเมื่อกี๊เอาเอามาให้
จานสีเงิน ส้อม และสปาเกตตี้
แค่เห็นก็อยากยัดเข้าไปในท้องละ=_= (ฉันไม่ได้เป็นคนเห็นแก่กินนะ ไม่เห็นแก่กิ๊น
ไม่เห็นแก่กินจริงๆ) ไม่ไหวแล้วนะ หิวมากเลยจริงๆ ฉันเอื้อมมือซ้ายไปหวังจะหยิบส้อมแต่มันก็ดัน
“โอ๊ย!” ฉันดันลืม ลืมไปซะสนิท
ว่ามือทั้ง2ข้างมันทั้งปวดและเจ็บ ยิ่งเวลาขยับมันยิ่ง พระเจ้ายังต้องตกใจ
“แล้วฉันจะกินยังไงอ่ะT-T”
ความคิดเห็น