ตอนที่ 7 : ครั้งหนึ่งวันนั้น...ที่อาร์วีตัดสินใจ
ในระบบของดวงดาวนี้ มีพระอาทิตย์และพระจันทร์อย่างละดวงอยู่ตรงข้ามกัน และระหว่างดาวทั้งสองนั้น มีอาณาจักรต่างๆลอยหมุนรอบตัวเองอยู่ตรงกลาง
การหมุนของอาณาจักรนั้นทำให้เกิดกลางวันและกลางคืน ให้สรรพชีวิตได้เคลื่อนไหว ดำรงอยู่ และ พักผ่อน
ระหว่างอาณาจักรต่างๆเชื่อมกันไว้ด้วยทางเดินประหลาดที่เหมือนเดินอยู่กลางผืนน้ำบนอวกาศที่เรียกกันว่า มูนโร้ด ซึ่งการปรากฏตัวของมูนโร้ดนั้น ไม่สามารถกำหนดได้ แต่สามารถรู้ได้หลังจากที่ประตูไปสู่มูนโร้ด หรือ มูนการ์เด้น ปรากฏขึ้น ว่าอาณาจักรที่เชื่อมต่อกันนั้นคือที่ใด ...ซึ่งมันเป็นแบบสุ่ม
แต่ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่าอาณาจักรเพื่อนบ้านอยู่ หรือก็คือที่ที่มูนโร้ดมักจะเชื่อมไปหาบ่อยๆ ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องขอบคุณอาณาจักรทรอยแมร์ที่เป็นคนรวบรวมข้อมูลและประกาศไปให้ผู้คนในอาณาจักรต่างๆได้รับรู้
ส่วนสาเหตุที่อาณาจักรแห่งความฝันยอมมาทำอะไรเช่นนี้ ทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่เพราะอาณาจักรทรอยแมร์เป็นเมืองที่มูนการ์เด้นไม่ค่อยปรากฏออกมาสักเท่าไหร่ เจ้าตัวจึงต้องทำตารางเวลาเอาไว้ เพื่อที่จะได้ใช้เวลาติดต่อกับอาณาจักรอื่นอย่างคุ้มค่า และด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ตาม อาณาจักรทรอยแมร์ก็จับหลักการเดินทางผ่านมูนโร้ดได้
นั้นเป็นสิ่งที่บอกต่อกันมาอยากมีหลักฐาน….ไปหาอ่านเพิ่มเติมเอาได้ที่หนังสือเรียนพื้นฐานสำหรับเด็กของโลกนี้...
ดังนั้นสำหรับคนทั่วไป การเดินทางข้ามอาณาจักร จึงต้องเป็นเวลากลางคืน เมื่อมูนการ์เดนเปิดออก จึงจะสามารถเดินทางข้ามผ่านไปได้
ว่ากันว่า บรรดาเชื้อพระวงค์ของทรอยแมร์ ยังสามารถเดินข้ามมูนโร้ดได้ แม้จะเป็นเวลากลางวันก็ตาม
ข่าวลือจะจริงไหมคงต้องพิสูจน์
ในอัลสโตเรียเองก็มีมูนการ์เดนอยู่หลายที่ ว่าแต่องค์หญิงคนนี้ จะเลือกประตูไหนกันนะ
.
.
.
คณะเดินทางส่งเจ้าหญิงทรอยแมร์กลับบ้าน ได้เดินทางมาถึงโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองริมแม่น้ำของอัลสโตเรีย ที่พวกเราถึงตรงนี้ได้ก็เพราะ....อากิ เจ้าหญิงทรอยแมร์ที่พึงกลับมาจากต่างโลกพร้อมความทรงจำที่หายไป เธอค่อยๆฟื้นความทรงจำ และวิธีใช้พลังเวทย์และเรียนรู้ไปพร้อมๆกับเดินทางไปยังเมืองต่างๆเพื่อกำจัดปีศาจกินฝันอย่างบ้าคลั่ง
ย้ำคำว่า...บ้าคลั่ง …เพราะพวกเราสี่คนต่อสู้กับปีศาจกินฝันราวกับมีพลังงานเหลือเฟือ
ตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา อากิ ผม ลูค และเมดี้ พวกเราสี่คนต่างฝึกใช้พลังเวทย์ พลังกาย และพลังความฝันจนหมดหลอดไปแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ อากิเหมือนจะรู้ว่าพวกเรามีความสามารถแอบแฝงอะไรบ้างก็ถูกขุดออกมาใช้หมด
เธอแนะนำและช่วยฝึกพวกเราโดยให้ไปต่อสู้กับปีศาจกินฝันตัวจริง จนปีศาจกินฝันหมดไปทีละเมือง ทีละเมือง
ผมมีดาบใหญ่ จึงใช้โจมตีปีศาจกินฝันได้ แต่ลูคกับเมดี้มีขลุ่ยกับพู่กัน.....
จะด้วยความบังเอิญหรืออะไรก็ตาม
อากิเอาขลุ่ยกับพู่กันไปร่ายเวทย์ทับให้มันแข็งแรงและใช้ต่อสู้กับปีศาจกินฝันได้
...หลังๆมา ลูคที่ดูเหมือนว่าการเป่าขลุ่ยจะไม่ทันใจ จึงเอาขลุ่ยไปฟาดกับปีศาจกินฝันแทน...เขาเลยเปลี่ยนจากสายสนับสนุนกลายเป็นแนวหน้า
เวทย์อะไรกันฟะ โหดจัง
ผมเลยขอให้เธอร่ายเวทย์ที่ว่าให้ดาบของผมบ้าง
ทีนี้ผมเลยฟันปีศาจกินฝันง่ายดายขึ้นราวกับเอาส้อมจิ้มพุดดิ้ง…ดีงาม
เอ๋? คณะเดินทางส่งเจ้าหญิงทรอยแมร์กลับบ้าน คืออะไรหรอ...คงต้องไปถามเมดี้ที่เป็นคนตั้งชื่อกลุ่ม...
พวกเรา เจ้าชายสามคนจากสามอาณาจักร ต่างก็ตกลงเดินทางร่วมกันไปกับเจ้าหญิงทรอยแมร์คนนี้ เพื่อไปส่งเธอที่อาณาจักร
เหตุผลก็คงเป็น...
ลูค – จะให้ผู้หญิงเดินทางกับพ่อบ้านตัวน้อยสองคนได้อย่างไร ยังไงผมก็เดินทางไปเรื่อยๆอยู่แล้ว มีคนไปด้วยย่อมดีกว่า
เมดี้ – เธอที่มีความมุ่งมั่นที่จะกลับไปอาณาจักรของตัวเองอย่างเต็มที่ มันน่าชื่นชมที่สุด โดยเฉพาะความทรงจำที่หายไปด้วย มันเท่ห์มาก อ้า อยากวาดรูปบอกความรู้สึกนี้จัง
พอวาดเสร็จ ผมกับลูคก็ปวดหัวกับรูปของเมดี้ทันทีที่มองมัน
...
ส่วนเหตุผลของผมนั้นที่บอกไปคือ ก็คล้ายๆกับลูค แต่เหตุผลจริงๆคือ ...ผมแค่อยากออกจากบ้านเมืองไปข้างนอกบ้างก็เท่านั้น แต่เพราะปีศาจกินฝัน ผมจึงไม่ได้เริ่มเดินทางท่องโลกซึ่งเป็นธรรมเนียมก่อนที่จะกลับมาเป็นราชาต่อจากพ่อสักที
เฮ้อ...
แต่เหมือนว่าเจ้าหญิงเองจะเข้าใจความนัยผิดพลาดจึงขอเดินทางไปที่อื่นๆในอาณาจักรก่อนเพื่อลดจำนวนของปีศาจกินฝัน ก่อนที่มูนการ์เดนครั้งต่อไปจะปรากฏออกมา
.
.
.
นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมเรามาปะทะกับคณะนักบวชแห่งความสิ้นหวังอยู่ตรงนี้
.
.
.
จากการปะทะกันหลายๆครั้ง
.
.
.
ในที่สุด หัวหน้านักบวชที่ชื่อคาซ่าก็สิ้นศรัทธาจากชาวเมือง
.
.
.
ไม่ใช่เจ้าหญิงทรอยแมร์ทำไม่ได้นะนี่
เฮ้อ...
อาร์วีมองหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงแห่งอาณาจักรที่ลึกลับที่สุดในระบบดวงดาวนี้กำลังนั่งคร่อมผู้ชายที่ใส่ชุดนักบวชสีดำอยู่ ตัวเขาเองนั้นรู้สึกกลุ้มใจอยู่เล็กน้อยกับภาพตรงหน้า
ไม่สิ ไม่น่าจะใช่นั่งคร่อม... เรียกว่านั่งคุกเข่า โดยมีร่างของนักบวชชุดดำคนนี้ นอนรองอยู่ด้านล่างราวกับเป็นพรม...
มือทั้งสองข้างของเธอกระชากคอเสื้อของเขาขึ้นมา และเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงเกรียวกราดราวกับเขาไปฆ่าพระบิดาของเธอ
“บอกมาเดี๋ยวนี้นะ คาซ่า ใครส่งนายมาตามใส่ร้ายพวกฉันไปทุกเมือง!!”
“ทะ..เธอรู้จักชื่อผมได้อย่างไร”
นั่นสิ รู้ได้ยังไง เขายังไม่พูดอะไรสักคำ เธอก็วิ่งชาร์จเข้าไปทันทีที่เห็น
“จะรู้ไปทำไม เอาเป็นว่าฉันรู้ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้นจะตอบดีๆหรือตอบแบบนิ้วก้อยหายไปข้างหนึ่ง”
ไม่เพียงแค่ขู่ นิ้วก้อยมือของคาซ่าหัก...คามือของเธอ ดูจากรูปกาลแล้ว เธอคงใส่พลังเวทย์ไปที่นิ้วมือของเธอไม่น้อย จึงมีพลังมากพอที่จะทำเช่นนั้น
“โอ๊ย...บอกแล้วๆ เขาคือ...ทะ...ท่านผู้นั้น”
กร๊อบ....นิ้วนางข้างหนึ่งหักไปตามนิ้วก้อยข้างๆ หมอนี่ก็แอบกวนนิดหน่อยแหะ
“แล้วไอท่านผู้นั้น นั่นมันใคร”
“ผม...มะ...ไม่รู้ รู้แต่เขาเป็นหัวหน้าขององค์กร”
“หา? ไม่รู้ แล้วไปทำตามคำสั่งเขาอะนะ บ้าหรือเปล่า”
“...”
“เคยเห็นหน้าตาเขาไหม?”
“มะ..ไม่ เพราะ..ขะ..เขาอยู่ในชุดคลุมมีฮูด และช่วยชีวิตผมจากปีศาจกินฝัน ผมเลยสาบานจะช่วยเขาทุกอย่าง”
หมอนี่เล่าด้วยเสียงสั่นเครือ ทำไมนะ ผมรู้สึกเหมือนเจ้าหญิงจะคุกคามนักบวชชุดดำมากกว่าที่นักบวชชุดดำมาคุกคามเจ้าหญิง
“ปัญญาอ่อน ถึงเขาจะช่วยชีวิตนายจากปีศาจกินฝันอย่างไง แต่ไม่เปิดเผยหน้าตาให้เห็นอะนะ แล้วจะแน่ใจได้ยังไงว่าตอนที่เจอครั้งที่สอง ครั้งที่สามจะเป็นคนเดียวกันอ่ะห่ะ!!”
เจ้าหญิง...ตะคอกใส่บุคคลที่เธอนั่งทับอยู่
มันเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ และชาวบ้านที่อยู่ในโบสถ์แห่งนี้ก็เริ่มซุบซิบนินทาแล้ว
ผมหันไปมองพ่อบ้านของเธอ ที่กำลังทำท่าทางเชียร์การกระทำของเธอเต็มที่ ราวกับแค้นกันมาหลายชาติ
ไอตุ๊กตานี่ก็ไม่คิดจะห้ามกันสักหน่อยเรอะ?!
“ผะ..ผม..ก็เลยตั้งสถาบันแมกน่าไง เพื่อที่จะได้ต่อสู้กับปีศาจกินฝันตามวิถีทางสิ้นหวังได้”
…
“งี่เง่า!”
ไม่ใช่อากิ แต่เป็นพ่อบ้านขนฟูตัวของเธอที่โพล่งออกมาเอง
“ขอบคุณมาก นาวิ นายพูดตรงใจฉันมาก ที่นี้ กลับมาที่เรื่องของนายกันต่อ ฉันจะบอกอะไรให้นายฟังสักอย่างนะ การที่นายพยายามหาวิธีกำจัดปีศาจกินฝันด้วยความสิ้นหวัง มันก็เป็นการหวังว่า การสิ้นหวังจะช่วยให้นายมีชีวิตไม่ใช่หรือไงกัน”
และคำพูดทำให้ชาวบ้านที่มาฟังคำสอนของคาซ่าเริ่มตาสว่างขึ้น
“สุดท้ายแล้ว ตัวนายเองนั่นล่ะ ที่ยังมีความฝันความหวังอยู่เต็มไปหมด!!”
เธอหักนิ้วไปได้ห้านิ้ว...ครบแล้ว...เธอจึงเปลี่ยนข้าง ผมแอบเห็นพ่อแม่ของเด็กหลายๆคนดวงตาเริ่มกลับมามีแววอีกครั้งและเอามือเปิดตาลูกๆของตนขณะที่อากิหักนิ้วของคาซ่า
“นายบอกว่า ปีศาจกินฝัน ชอบความฝันใช่ไหมล่ะแล้วทำไมนะ นายถึงไม่โดยปีศาจกินฝันทำร้ายกันนะ ทั้งๆที่สาวกที่เชื่อนายยอม สิ้นหวังตามที่นายว่าแล้ว แต่ก็ยังโดนปีศาจกินฝันทำร้ายอยู่ดี”
เธอหันมาทางลูค และบอกให้เขาค้นใต้เสื้อคลุม และลูคก็เจอไม้แผ่นเล็กๆแผ่นหนึ่งที่เขียนวงเวทย์อะไรสักอย่างไว้
เมื่อลูคหยิบออกมาได้ คาซ่าก็มองมาที่พวกเราอย่างโกรธแค้น ผมจึงสั่งให้อัศวินทุกคนคนตัวนักบวชที่เหลือ และก็เจอแผ่นไม้ที่มีลักษณะคล้ายๆกัน
ทันใดนั้น ปีศาจกินฝันก็โผล่ขึ้นมา อากิวาดมือสองสามที ปีศาจกินฝันก็หายไป
...เธอร่ายเวทย์ทั้งๆที่ยังนั่งอยู่บนตัวของคาซ่า
“แม่จ้า พี่เขาเก่งจังเลย สะบัดมือทีปีศาจกินฝันก็หายไปหมด”
เสียงเด็กหญิงตัวน้อยลอดออกมาจากบรรดาผู้ชมที่ยังอยู่ในโบสถ์
“ขอบคุณที่ชมนะ หนูน้อย แต่ฉันต้องเก่งขึ้นให้มากกว่านี้อีก”
และเธอก็หันกลับมาคุยกับคาซ่า?ต่อ
“โอ้ย”
“อ่าว...นิ้วหมดแล้ว...เมดี้ค่ะ มารักษานิ้วไอหมอนี่ที”
ในที่สุดอากิก็ยอมลุกออกมาจากตัวของคาซ่า ซึ่ง...นิ้วมือทั้งสิบหักไปหมดแล้ว
“รับทราบครับ ฮันนี้~~~”
ไม่กี่วินาที รอยแผล เลือด อาการเจ็บ กระดูกนิ้ว ก็ถูกรักษาจนเหมือนปกติทุกอย่างโดยการวาดพู่กันผ่านไม่กี่ครั้ง เมดี้เองก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นจริงๆ
ผมแอบซับน้ำตาเพราะหลายวันที่ผ่านมา พวกเราหายเหนื่อยกันอย่างรวดเร็วเพราะเวทรักษาของเมดี้ ที่อากิร่ายเวทย์เพิ่มพลังให้จนความสามารถนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามไปด้วย
“เอาล่ะ กลับไปคิดดูดีๆนะ คาซ่า พวกนายกำลังทำอะไรกันอยู่แน่ และพวกนาย รู้กันจริงๆหรือเปล่า ว่าความสิ้นหวังจริงๆ คืออะไร”
คาซ่าไม่ตอบ แต่อากิก็ยังพูดต่อไป
“ต่อให้อยากตายก็ตายไม่ได้หรอกนะ”
เธอหมุนตัวไปที่ชาวบ้านที่ยังมุงดูอยู่ และโค้งตัวให้ทีหนึ่ง
“ขอโทษด้วยนะคะ ที่ให้เห็นอะไรที่รุนแรงต่อเด็กและสตรีมีครรภ์ แต่ฉันอยากจะถามอะไรพวกคุณสักอย่างนะคะ ยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อไปใช่ไหมล่ะค่ะ ตราบที่ยังอยาก ก็ยังมีความหวังอยู่ตลอดนั่นล่ะค่ะ ถ้าคิดว่าปีศาจกินฝันมันทำให้ชีวิตของคุณลำบากมากนักล่ะก็ ปลิดชีวิตตัวเองสิค่ะ แค่นั้นก็ไม่ต้องเจอปีศาจกินฝันแล้ว แต่ก็เตรียมคำอธิบายดีๆ ไปให้กับอัศวินและคนที่เสียชีวิตเพื่อปกป้องพวกคุณจากปีศาจกินฝันด้วยนะคะ”
เธอเดินกลับมาที่ตรงหน้าคาซ่า
“อ่อ ก่อนจะจากไป หวังว่าฉันคงไม่ไปบังเอิญเห็นหน้านายตามเมืองต่างๆที่ฉันจะไปอีกนะคะ คุณคาซ่า...คราวหน้าคงไม่ใช่แค่นิ้วหัก ....”
แล้วเธอก็ก้มไปมองร่างกายท่อนล่างของคาซ่า......
“ไหนๆก็อยากสิ้นหวังกันอยู่แล้วนิค่ะ ตัด---ตัดขาทิ้งไปสักข้างคงไม่เป็นไรหรอก จะได้สิ้นหวังมากขึ้นด้วยไง”
บรรยากาศเย็นยะเยือกขึ้นมาอย่างไรสาเหตุ นักบวชคนอื่นลอบกลืนน้ำลายอย่างลำบาก
ผมจึงสั่งให้ทหารและอัศวินคุมตัวคาซ่าและพรรคพวกไปดำเนินคดี และจัดการร่ายเวทย์ห้ามเข้ามาในอาณาจักรอีกเป็นครั้งที่สอง
.
.
.
จากคำพูดแนวประชดประชันของเจ้าหญิงทรอยแมร์ ทำให้คาซ่าหมดความน่าเชื่อถือ ไปหลายส่วน ส่วนสาเหตุที่ปีศาจกินฝันไม่เข้ามาโจมตีพวกคาซ่า เพราะวงเวทย์ป้องกันปีศาจกินฝันที่ร่ายอยู่บนแผนไม้ที่นักบวชทั้งกลุ่มที่ห้อยติดตัวไว้
พวกเราสี่คนนั่งพักอยู่ในโซนพักผ่อนของค่ายฝึกอัศวินของเมืองนี้
อากิมองวงเวทย์ที่สลักอยู่บนของกลาง เธอคุยกับนาวิด้วยคำศัพท์ประหลาดๆที่ผมไม่เข้าใจ... และเมื่อเธอได้ข้อสรุป...
“อาร์วีซัง แถวนี้มีร้านขายกระดาษกับดินสอไหมค่ะ ฉันอยากเขียนอะไรสักหน่อยค่ะ เราอาจจะมีวิธีต่อต้านปีศาจกินฝันก็ได้”
“อ่า ผมเบิกของกองทัพมาให้ใช้ก่อนได้นะ ไม่ต้องไปซื้อหรอก”
“อืม....ก็ดีค่ะ ขอเร็วที่สุดเท่าที่อาร์วีซังจะทำได้เลย”
ผมหันไปบอกทหารที่อยู่บริเวณนั้นให้ไปหาของที่อากิต้องการมา
“เจ้าหญิงอากิครับ เรียกผมว่าอาร์วีเฉยๆก็ได้”
“งั้นช่วยเรียกฉันว่า อากิเฉยๆเหมือนกันนะค่ะ อาร์วี”
ไหงมันมาจบเป็นฉากสวีทหวานแหววไปได้นะ ผมมามองไปที่มือของเธอ และแอบถอนหายใจอีกรอบ
ไม่ค่อยอยากให้มือของเธอเปื้อนเลือดอีกเลยจริงๆแหะ
ผมคงต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้อีก
เผื่อใครอยากเห็นมูนโร้ด รูปข้างล่างเลยค่ะ
ปล.ในอนิเมะ เจ้าชายแดนชาฝรั่งรั่วกันดีจริงๆเลยค่ะ
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

พอดีว่าอยากเห็นเจ้าชายมีสกิวอื่นๆนอกจากในเกมบ้าง อิอิ
ใครก็ได้ เอาทีเกอร์ไปเก็บที!!
5555