คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ประวัติศาสตร์เบื้องต้น
ประวัติศาสตร์ : การนับเวลา
การศึกษาเรื่องราวและพฤติกรรมของสังคมมนุษย์ในอดีต ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาและยุคสมัยต่าง ๆ กัน ประวัติศาสตร์จึงให้ความสำคัญกับช่วงเวลา เนื่องจากประวัติศาสตร์มีแนวคิดที่ว่า เวลาเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมมีความเปลี่ยนแปลง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งย่อมจะมีความแตกต่างกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอีกช่วงเวลาหนึ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนย่อมเป็นเหตุและจะมีผลต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลัง คุณค่าที่สำคัญต่างประวัติศาสตร์ คือการสร้างความตระหนักว่า อดีตเป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับปัจจุบันและอนาคต การที่ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์มีความรู้พื้นฐานด้านการนับเวลาย่อมจะทำให้การศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ได้ดีขึ้น
- การนับเวลาแบบไทย
เป็นวิธีการนับที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณปรากฏในเอกสารประวัติศาสตร์ไทยเก่า ๆ จึงควรทำความเข้าใจวิธีการอ่าน เพื่อนำข้อมูลมาใช้ในการศึกษาประวัติศาสตร์
1. การนับเวลาในรอบวัน
เวลา |
เรียกตามแบบไทย |
06.00 น. |
ย่ำรุ่ง |
07.00 น. |
โมงเช้า |
08.00 น. |
สองโมงเช้า |
09.00 น. |
สามโมงเช้า |
10.00 น. |
สี่โมงเช้า |
11.00 น. |
ห้าโมงเช้า |
12.00 น. |
เที่ยง |
13.00 น. |
บ่ายโมง |
14.00 น. |
บ่ายสองโมง |
15.00 น. |
บ่ายสามโมง |
16.00 น. |
บ่ายสี่โมง |
17.00 น. |
บ่ายห้าโมง |
18.00 น. |
ย่ำค่ำ หรือ หกโมงเย็น |
19.00 น. |
หนึ่งทุ่ม หรือ เจ็ดทุ่ม |
20.00 น. |
สองทุ่ม หรือ แปดทุ่ม |
21.00 น. |
สามทุ่ม หรือ เก้าทุ่ม |
22.00 น. |
สี่ทุ่ม หรือ สิบทุ่ม |
23.00 น. |
ห้าทุ่ม หรือ สิบเอ็ดทุ่ม |
24.00 น. |
สองยาม |
01.00 น. |
ตีหนึ่ง |
02.00 น. |
ตีสอง |
03.00 น. |
ตีสาม |
04.00 น. |
ตีสี่ |
05.00 น. |
ตีห้า |
2. การนับและการเทียบศักราชในประวัติศาสตร์สากล
ในการศึกษาประวัติศาสตร์และเรื่องราวในอดีตย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเวลา ซึ่งแต่ละท้องถิ่นหรือภูมิภาคนั้นมีความแตกต่างกัน ผู้ศึกษาจึงจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องของการนับเวลา เทียบเวลา จะช่วยลดความคลาดเคลื่อนของการศึกษาอดีตได้
2.1 การนับและการเทียบศักราชของโลกตะวันตก
ชาวตะวันตกในช่วงหนึ่งได้รับอิทธิพลของระบบปฏิทินโรมันโบราณ คือ ปฏิทินเกรกอเรียน ที่เริ่มใช้ครั้งแรกโดยการประกาศของสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1582 ซึ่งถูกคิดค้นมาใช้แทนปฏิทินจูเลียน ( ตั้งชื่อตามนามของจูเลียส ซีซาร์ ) เพราะปฏิทินจูเลียนซึ่งมี 365.25 มีเวลานานกว่าวันจริงที่มี 365.2425 ทำให้วันคลาดเคลื่อนไป ปีหนึ่ง ๆ มีเวลานานเกินไปถึง 11 นาที 14 วินาที เท่ากับว่าทุก 400 ปี จะมีวันเพิ่มขึ้น 3 วัน จึงทำปฏิทินขึ้นใหม่ ในครั้งแรกของการปรับวัน จำนวนวันได้ถูกร่นหายไป 10 วัน โดยสันตะปาปาเกรกอรีที่ 13 ที่กำหนดให้วันรุ่งขึ้นจากวันที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 1582 ตามปฏิทินจูเลียน กลายเป็นวันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ. 1583 ตามปฏิทินเกรกอเรียน เริ่มแรกมีแต่ประเทศเพื่อนบ้านที่นับถือคริสต์ศาสนานิกายโรมันคาทอลิกเท่านั้นที่ใช้ปฏิทินเกรกอเรียน ต่อมาอังกฤษเริ่มใช้เมื่อ ค.ศ. 1752 โดยประกาศให้หลังวันที่ 2 กันยายน เป็น 14 กันยายน ส่วนกรีซเริ่มใช้เมื่อ ค.ศ. 1923
หลังจากนั้นก็เกิดการนับคริสต์ศักราชขึ้น ซึ่งต่อมานิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เริ่มนับในปีที่พระเยซูถือกำเนิดเป็นปี่ที่ 1 หรือ A.D. หรือ ค.ศ. ( Christian Era และ Anno Domini เรียกเป็นภาษาอังกฤษและภาษาละตินตามลำดับ แปลว่า ปีแห่งพระเจ้า) ส่วนปีก่อนพระเยซูกำเนิด จะเรียกว่า Before Christ ( B.C. ) ผู้เริ่มนับ A.D. คนแรกคือ ไดโอนิซิอุส เอซิกุอุส บาทหลวงชาวโรมัน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 6 นับว่าพระเยซูเกิดวันที่ 25 ธันวาคม ปี 753 หลังการสถาปนากรุงโรม แต่ธรรมเนียมการเริ่มต้นปีใหม่จะเริ่มต้นในวันที่ 1 มกราคม จึงถือเอาวันที่ 1 มกราคม ปี 754 หลังสถาปนากรุงโรมเป็นการเริ่มต้นปีแรกแห่งคริสต์ศักราช หลังจากนั้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 10 คริสต์ศักราชนี้จึงเป็นที่ยอมรับของสันตะปาปาแห่งกรุงโรม ส่วน B.C. ผู้เริ่มต้นนับคือ บีด นักประวัติศาสตร์และนักเทววิทยาชาวอังกฤษในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 ต่อจากนั้นมีการเผยแผ่ศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ การนับศักราชนี้จึงถูกนำออกไปใช้ด้วย ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาจึงกลายเป็นมาตรฐานโดยทั่วไป
2.2 การนับและการเทียบศักราชของโลกตะวันออก
1 ) การนับศักราชแบบจีน
ระบบปฏิทินของจีนมีอายุย้อนหลังไปเกือบ 4,000 ปีมาแล้ว เป็นระบบจันทรคติ ( การยึดดวงจันทร์เป็นหลัก ) คำว่า รอบเดือน และพระจันทร์ ในภาษาจีนจึงใช้อักษรและออกเสียงเหมือนกัน คือ เยว่ ใน 1 เดือน จะมี 29 หรือ 30 วัน และปีหนึ่งมี 354 วัน ต่อมาราว 2,500 ปีมาแล้ว จีนสามารถคำนวณได้ว่าหนึ่งปีมี 365.25 วัน จึงมีการเพิ่มเดือนเป็นเดือนที่ 13 ทุก ๆ 3 ปี ด้วยเหตุนี้ปีใหม่ของจีนจึงเลื่อนไปมาระหว่างเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์
การนับช่วงสมัยของจีนจะจึงตามปีที่ครองราชย์ของจักรพรรดิ ซึ่งถือเป็นโอรสสวรรค์ ( เป็นประมุขในทุกด้าน ) จะเรียกเป็นรัชศกตามปีที่ครองรางสมบัติ เช่น “ เมื่อวันที่ 15 เดือน 5 ปีที่ 16 แห่งรัชศกหย่งเล่อ จักรพรรดิพระราชทานเลี้ยงรับรองบรรดาราชทูตจากอาณาจักรเซียนหลัว หลิวฉิว ” ข้อความนี้ปรากฏในพงศาวดารจีน มีความหมายว่า จักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิงครองราชย์เป็นปีที่ 16 ในค.ศ. 1418 ( พ.ศ. 1961 ) ส่วนวันที่ 15 เดือน 5 ตามการนับแบบจีนตรงกับวันที่ 18 มิถุนายน เซียนหลัว คือ สยามหรือกรุงศรีอยุธยา หลิวฉิว คือ ริวกิวของญี่ปุ่น ปัจจุบันจีนเลิกใช้การนับแบบนี้แล้ว แต่ญี่ปุ่นยังนำไปใช้อยู่ โดยปีรัชศกของสมัยจักรพรรดิอะกิฮิโตะองค์ปัจจุบัน คือ เฮเซ
2 ) การนับศักราชแบบอินเดีย
อินเดียในสมัยโบราณมีแคว้นและรัฐต่าง ๆ มากมาย ซึ่งมีการนับคักราชเช่นเดียวกับจีน คือ “ ในปีที่.... แห่งรัชกาล... ” ต่อมาในสมัยพระเจ้ากนิษกะที่ทรงมีอำนาจสามารถปกครองอินเดียอย่างกว้างขวาง จึงนับปีที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ เมื่อค.ศ. 78 ( ปัจจุบันเชื่อว่าพระองค์ครองราชย์สมบัติระหว่าง ค.ศ. 115 - 140 ) ถือเป็นการเริ่มต้นศักราชกนิษกะ หรือศก ( Soka Era ) ต่อมาเรียกว่า มหาศักราช ซึ่งแพร่หลายไปทั่วอินเดียและอาณาจักรรอบข้างแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ปัจจุบันอินเดียใช้ศักราชตามสากล คือ คริสต์ศักราช
3 ) การนับศักราชแบบอิสลาม
ฮิจเราะห์ศักราช ( ฮ.ศ. ) เริ่มนับเมื่อท่านนบีมุฮัมมัดกระทำฮิจเราะห์ ( การอพยพ ) จากเมืองเมกกะไปยังเมืองเมดินะ ซึ่ง ฮ.ศ. 1 ตรงกับ พ.ศ. 1165 แต่เพราะ ฮ.ศ. ใช้ระบบจันทรคติเป็นเกณฑ์ ดังนั้นการเทียบกับ พ.ศ. จึงมีความคลาดเคลื่อน ไม่ตรงกัน ทุก ๆ 32 ปีครึ่งของ ฮ.ศ. จะเพิ่มขึ้น 1 ปี เมื่อเทียบกับ พ.ศ. 2552 จะตรงกับปี ฮ.ศ. 1430 ดังนั้น ฮ.ศ. น้อยกว่า พ.ศ. 1122 ปี และน้อยกว่า ค.ศ. 579 ปี
การเทียบศักราช
ม.ศ. + 621 = พ.ศ. พ.ศ. - 621 = ม.ศ.
จ.ศ. + 1181 = พ.ศ. พ.ศ. - 1181 = จ.ศ.
ร.ศ. + 2324 = พ.ศ. พ.ศ. - 2324 = ร.ศ.
ค.ศ. + 543 = พ.ศ. พ.ศ. - 543 = ค.ศ.
ฮ.ศ. + 1122 = พ.ศ. พ.ศ. - 1122 = ฮ.ศ.
การนับเวลาแบบไทย
- การบอกวัน เดือน ข้างขึ้น ข้างแรม
๓
วันที่ ๒ ฯ ๗ ค่ำ
หมายถึง วันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 7
® วันในหนึ่งสัปดาห์ ให้ ๑ นับตั้งแต่วันอาทิตย์
® หลังเครื่องหมาย ฯ คือ เดือนทางจันทรคติ
® เลขด้านบนหรือด้านล่าง ฯ หมายถึง ขึ้นแรมกี่ค่ำ
สรุปการเทียบศักราช
1. พุทธศักราช ( พ.ศ. ) B.E. มีวิธีการนับ 2 แบบ คือ แบบลังกาจะเร็วกว่าไทย 1 ปี และแบบไทย มีการใช้อย่างเป็นทางการในสมัยสมเด็จพระนารายน์มหาราช
· ในปี พ.ศ. 2484 จอมพล ป. พิบูลสงคราม เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่ตามหลักสากล จากวันสงกรานต์ เป็นวันที่ 1 มกราคมของทุกปี
2. คริสต์ศักราช ( ค.ศ. ) A.D. ปกติจะไม่นิยมเขียนตัวย่อในปี เว้นแต่กรณีป้องกันการสับสน ก่อนคริสต์ศักราช ใช้ B.C.
3. มหาศักราช ( ม.ศ. ) ผู้ก่อตั้งคือ พระเจ้ากนิษกะ ประเทศไทยรับการใช้ศักราชนี้จากเขมร แต่ใช้ในการคำนวณทางโหราศาสตร์ และในจารึก
4. จุลศักราช ( จ.ศ. ) โดยพระเจ้าบุพพะโสระหัน กษัตริย์พม่า ใช้ในการคำนวณทางโหราศาสตร์ เช่นกัน จนถึง รัชกาลที่ 5 จึงเลิกใช้ นิยมบอกเลขลงตัวท้าย
ลงท้ายด้วย |
เรียกว่า |
ลงท้ายด้วย |
เรียกว่า |
1 |
เอกศก |
6 |
ฉศก |
2 |
โทศก |
7 |
สัปคศก |
3 |
ตรีศก |
8 |
อัฐศก |
4 |
จัตวาศก |
9 |
นพศก |
5 |
เบญจศก |
10 |
สัมฤทธิศก |
5. รัตนโกสินทรศก ( ร.ศ. ) นับปีที่ รัชกาลที่ 1 ครองราชย์ แต่ใช้ครั้งแรก คือ 1 เมษายน ร.ศ. 108 ผู้ตั้งคือ รัชกาลที่ 5 แต่ยกเลิกไปใช้ พ.ศ. คือ รัชกาลที่ 6
6. ฮิจเราะห์ศักราช ( ฮ.ศ. ) นับเอาตั้งแต่มุสลิมอพยพจากนครเมกะร์ไปเมืองมะดีนะฮ์ ในค.ศ. 622 ( พ.ศ. 1165 )
· เพราะ พ.ศ. ไม่ตรงกันมีความคลาดเคลื่อนกันมาก ให้ดูที่สำนักจุฬาราชมนตรี
ทศวรรษ ( decade ) รอบ 10 ปี นับ 0 ถึง 9
ศัตวรรษ ( century ) รอบ 100 ปี นับ 01 ถึง 00 เช่น 2011 = ศัตวรรษที่ 21
สหัสวรรษ ( millennium) รอบ 1,000 ปี
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
- ก่อนประวัติศาสตร์ ( Prehistory )
ยุคหินเก่า 500,000 – 10,000 ปี
ยุคหิน ( Stone Age ) ยุคหินกลาง 10,000 – 6,000 ปี
ยุคหินใหม่ 6,000 – 4,000 ปี
ยุคสำริด 4,000 – 2,500 ปี
ยุคโลหะ ( Metal Age ) ยุคเหล็ก 2,500 – 1,500 ปี
หินเก่า - ใช้เครื่องมือหินหยาบ ล่าสัตว์ รู้จักใช้ไฟ
หินกลาง - ใช้หินกะเทาะที่ประณีตขึ้น
หินใหม่ - ใช้หินขัด มีการตั้งถิ่นฐาน เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ( บ้านเก่า จ.กาญจนบุรี, อนุสาวรีย์หินสโตนเฮนจ์ ที่อังกฤษ )
สำริด - ใช้เครื่องมือสำริด ( Cu + Sn ) ภาชนะดินเผา ( บ้านเชียง จ.อุดรธานี )
เหล็ก - ใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนขึ้น สังคมขนาดใหญ่ ใช้เครื่องมือที่ทำด้วยเหล็ก มีการติดต่อค้าขาย เก็บกักน้ำ
- สมัยประวัติศาสตร์ ( History )
เริ่มตั้งแต่มีการใช้ตัวอักษรของมนุษย์ ซึ่งในแต่ละที่จะมีการเข้าสู่ช่วงประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกัน ซึ่งแบ่งประวัติศาสตร์ของไทยแต่ละช่วงตามเกณฑ์ใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
· แบ่งตามราชธานี
· แบ่งตามราชวงศ์ ( สมัยอยุธยาเท่านั้น )
· แบ่งตามพระนามของพระมหากษัตริย์
· แบ่งตามพัฒนาการและความเปลี่ยนแปลงของบ้านเมือง
· แบ่งตามลักษณะการปกครอง
· แบ่งตามสมัยของรัฐบาล
· แบ่งตามแนวประวัติศาสตร์สากล
สมัยประวัติศาสตร์ของไทย
สมัยสุโขทัย พ.ศ. 1792 – 2006
สมัยอยุธยา พ.ศ. 1893 – 2310
สมัยธนบุรี พ.ศ. 2310 – 2325
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พ.ศ. 2325 – 2475
สมัยประชาธิปไตย พ.ศ. 2475 – ปัจจุบัน
สมัยประวัติศาสตร์สากล
สมัยโบราณ 3,500 ปี ก่อน ค.ศ. – ค.ศ. 476
สมัยกลาง ค.ศ. 476 – 1492
สมัยใหม่ ค.ศ. 1492 – 1945
สมัยปัจจุบัน ค.ศ. 1945 – ปัจจุบัน
วิธีการทางประวัติศาสตร์
- หลักฐานทางประวัติศาสตร์
ประเภทหลักฐานทางประวัติศาสตร์
· จำแนกตามยุคสมัย
· จำแนกตามลักษณะ
· จำแนกตามความสำคัญ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของไทย
· หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร
ตำนาน หลักฐานเก่าแก่ที่สุด มาจากการบอกเล่า มีก่อนบันทึกเป็นอักษร มักเป็นเรื่องพุทธศาสนา บ้านเมือง บุคคลสำคัญ โบราณสถาน
จารึก หลักฐานเก่าแก่ที่สุด จารึกเรื่องราวของกษัตริย์ ศาสนา ประกาศของทางราชการ เช่น จารึกที่ปราสาทเขาน้อย จ.กาญจนบุรี ใช้อักษรปัลลาวะ
พระราชพงศาวดาร หลักฐานที่บันทึกเรื่องราวของกษัตริย์และอาณาจักรนั้น ๆ มีในสมัยอยุธยาถึงช่วงรัขกาลที่ 5 ซึ่งพงศาวดารที่เก่าแก่ที่สุด คือ ฉบับของหลงประเสริฐอักษรนิติ์
จดหมายเหตุ คล้ายกับพงศาวดารแต่ระบุเวลาที่เกิดเหตุการณ์ อาจเป็นบันทึกรวมสมัยและมักจะบันทึกเพียงเหตุการณ์เดียว ซึ่งเป็นจดหมายเหตุของหลวง โหร ชาวต่างชาติ หรือเอกสารประกอบคำให้การ
· จดหมายเหตุวันวลิต พ.ศ. 2183 โดย เยเรเมียส ฟาน ฟลีต
· จดหมายเหตุลาลูแบร์ โดย ซิมงเดอ ลา ลูแบร์
เอกสารบุคคล , บันทึกส่วนบุคคล ,ชีวประวัติ , วรรณกรรม , หนังสือพิมพ์ , หนังสือประวัติศาสตร์ ,เว็ปไซต์
· หลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
หลักฐานทางโบราณคดี หลักฐานทางด้านศิลปกรรม หลักฐานด้านนาฏศิลป์ ดนตรีและเพลงพื้นบ้าน หลักฐานประเภทบอกเล่า หลักฐานประเภทโสตทัศน์
วิธีการทางประวัติศาสตร์
- กำหนดปัญหา
- การรวบรวมหลักฐาน
- การตรวจสอบและการประเมินหลักฐาน * อายุ ผู้สร้าง จุดมุ่งหมาย
- การตีความหลักฐาน
- การเรียบเรียงและการนำเสนอ
อ้างอิง
หนังสือเรียนวิชา ประวัติศาสตร์ไทย ม. 4-6
หนังสือเรียนวิชา ประวัติศาสตร์สากล ม. 4-6 สัญชัย สุวังบุตร และคณะ อจท.
หนังสือหัวใจสังคม O-net
ความคิดเห็น