ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    โรงเรียนเวทมนต์ อริยดิเรกวิทยา

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 โรงเรียนอริยดิเรกวิทยาลัย

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 57


    Chapter 1 โรงเรียนอริยดิเรกวิทยาลัย

     







     

            ….กริ๊งงงงงงงงง !! ……… ตื่นได้แล้วเจ้าโง่ !! ตื่นได้แล้วเจ้าโง่ !! ………..

     








     

                เสียงนาฬิกาปลุกอันเป็นเอกลักษณ์ดังสนั่นลั่นห้องนอน ปลุกเด็กหนุ่มออกจากการหลับใหล

                “ฮ้าววววววว ! เช้าแล้วหรอ เหมือนยังนอนไม่พอเลย” สวัสดีครับ ผู้อ่านทุกท่าน ผม นิลรัตน์ อนันตกาล หรือทุกคนจะเรียกผมว่าไนท์ก็ได้ ผมบ่นเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำเพื่ออาบน้ำชำระร่างกายเพื่อไปโรงเรียน ความจริงโรงเรียนผมยังไม่เปิดนะ แต่วันนี้มีงานปรับพื้นฐานของโรงเรียน ผมก็เลยต้องตื่นแต่เช้า

                ……. ซ่าาาาา ……. เสียงสายน้ำกระทบกับร่างกาย หนาวจัง ผมคิด แล้วก็พลางแอบอิจฉาผู้หญิงที่ยังนอนอยู่บนเตียง ครับ เธอคือพี่สาวของผม ทิวาเนตร อนันตกาล หรือเจ๊เดย์นั่นเอง เพราะตัวเจ๊แกกำลังเรียนในระดับ Third Class สาย Healing-Guard* ก็เลยยังไม่เปิดเทอม ดีจัง

                Healing-Guard เป็นสายย่อยของนักฟื้นฟู จะเน้นไปที่มนต์สนับสนุน มนต์รักษา มนต์คุ้มกัน และยังมีพลังกายมากกว่านักฟื้นฟูสายอื่น มีเวทมนต์เฉพาะตัวคือ Healing impact


                “เจ๊ ไนท์ไปโรงเรียนก่อนนะ วันนี้น่าจะเลิกเย็น หาไรกินก่อนได้เลย” หลังจากอาบน้ำแต่ตัวเสร็จ ผมก็เตรียมตัวออกจากหอ โดยที่จะไม่ลืมของใช้(ที่ผมคิดว่า)จำเป็นต่างๆ

                “โอเค บายๆ เดินทางดีๆหล่ะ อย่าหลงหล่ะ” น้ำเสียงเอือยๆ เหมือนคนยังไม่ตื่นนอนของเจ๊ ผมหล่ะอดส่ายหัวไม่ได้ เพราะพี่สาวคนนี้ สามารถทำอะไรได้ในขณะหลับ ทำตัวเหมือนคนปกติทั้งที่หลับอยู่ พอตื่นขึ้นมาก็จะจำเหตุการณ์ไม่ได้ ผมนึกแล้วยังสยอง เคยมีครั้งหนึ่งเจ๊แกละเมอว่ามีแมลงสาบยักษ์เข้าบ้าน เจ๊แกเล่นฟาดเวทย์ Mega impact* ทำเอากระเทือนทั้งห้อง ผมยังจำภาพในคืนนั้นได้ดี

                Mega impact มนต์โจมตีธาตุดินระดับกลาง เป็นการฟาดอาวุธที่ประจุธาตุดินลงไป(สายจู่โจม) หรือฟาดอาวุธที่ห่อหุ้มด้วยพลังเวทย์ลงไป(สายพลังจิต/พลังธาตุ)




                “เฮ้ๆ ไนท์ ทางนี้ๆ ช้าจังว่ะ” ผมหันไปตามเสียงเรียก อ๋อ ไอ่คีย์นี่เอง ผมรู้จักกับมันตอนวันมารายงานตัว แถมอยู่หอเดียวกันก็เลยตกลงว่าจะไปโรงเรียนด้วยกัน มันยืนอยู่กับ นิมฟ์ เพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกับผม แถมพักอยู่หอใกล้ๆกัน

                “โทษๆ พอดีน้ำมันเย็น ก็เลยทำใจก่อนอาบนานไปหน่อยๆ ฮ่าๆ” ผมก็ขอโทษมันไป แล้วเราก็เดินไปขึ้นรถด้วยกัน

                “วันนี้จะมีอะไรบ้างนะ พี่เค้าจะแบ่งกลุ่มยังไงอ่ะ แล้วพวกเราจะได้อยู่ด้วยกันมั้ยเนี่ย” ผมถามในสิ่งที่ผมอยากรู้ออกมา

                “ไนท์ เราก็เพิ่งมาปีแรกเหมือนกับแกเนี่ย จะไปรู้มั้ย” เอ้า อีนิมฟ์นี้ ไม่ไขข้อข้องใจให้ผม แล้วยังมาเหน็บผมอีก หันไปหาไอ่คีย์ มันก็ส่ายหน้าแล้วไม่พูดอะไร


                ผู้อ่านอาจจะสงสัยว่าเจ้าพวกนี้อยู่โรงเรียนอะไรกัน พวกเราทั้งสามคนเป็นนักเรียนชั้นปีหนึ่ง ระดับ Second Class โรงเรียนอริยดิเรกวิทยาลัย  ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ใครๆในประเทศก็อยากจะเข้ามาเรียน ด้วยผลงานการันตี จากนักเรียนที่จบไป และผลสอบ MAT (Magic Aptitude Test), M-net รวมถึงจำนวนนักเรียนที่ได้ไปศึกษาในระดับ Third Class ของสถาบันที่มีชื่อเสียงอยู่ในระดับดีเยี่ยม แหน่ะๆ ผมไม่ได้เก่งอะไรขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมเข้ามาด้วยโควตานักฟื้นฟู ซึ่งเป็นสายที่ไม่ค่อยมีคนสอบเท่าไหร่ ผมจึงสอบได้ 555 ผม และคีย์เป็นนักเรียนสายจู่โจม ส่วนเอกนั้นต้องรอทางโรงเรียนประกาศ ซึ่งรู้สึกว่าจะประกาศวันสุดท้ายของการปรับพื้นฐานเนี่ยแหละ อ้อ พวกผมต้องรับการปรับพื้นฐานทั้งหมด 3 วันครับ แต่วันที่สามจะเลิกครึ่งวัน แล้วจะเป็นการประกาศเอกของแต่ละคน ผมคงต้องแนะนำตัวเพื่อนๆ ผมก่อนสินะ เพื่อนผู้ชายคนนั้นก็คือ วารินทร์ รัตนอักขรา หรือไอ่คีย์ เด็กผู้หญิงอีกคนชื่อ พัชรา พฤกษสถิต หรือยัยนิมฟ์ นิมฟ์เป็นนักเรียนสายพลังธาตุ เอกสัตตบรรณ เพราะนักเรียนสายพลังธาตุจะเลือกเอกได้เพียงเอกเดียว ไม่เหมือนสายจู่โจมที่เลือกได้หลายเอกแล้วค่อยวัดที่คะแนนสอบ หรือสายพลังจิต ที่ไปเลือกเอกตอนปีสอง




                ……. กริ๊งงงง รับสิคะ จะรอให้บิดามารับให้หรอคะ รับสิคะ ……

                ครับ เสียงโทรศัพท์ป่วยจิตแบบนี้ มีแค่ของผมเนี่ยแหละ เมล เหอะเลื่อนรับสาย พร้อมกับเอาโทรศัพท์ไว้ห่างหูที่สุดเท่าที่จะทำได้

                “อีไนท์ แกอยู่ไหนเนี่ย เมื่อไหร่จะมา” เสียง 18 หลอด ปานกับแม่นางกำลังพ่น Super  Voice* ออกมา อุ๊ย ! ตอนนี้คนทั้งรถหันมามองผมด้วยสายตาปานจะไล่ผมลงจากรถ ฮืออ ผมไม่ได้ทำอะไรนะ

                Super  voice มนต์โจมตีไร้ธาตุระดับพื้นฐาน จะปล่อยคลื่นเสียงออกมาทำลายเป้าหมาย ทุกคนจะได้เรียนในคาบวิชาศิลปะ ของปีหนึ่ง

                “อยู่บนรถเมล์เนี่ย กำลังไป รอแปปๆ อ๊ะ ถึงโรงเรียนละ เจอกันที่โรงอาหารช้ะ?” หลังจากหายหูชาผมก็ตอบกลับเธอไป รถก็มาจอดที่หน้าโรงเรียนพอดี พวกผมก็เดินลงจากรถ แล้วเดินไปที่โรงอาหารที่เมลรออยู่

                “555 Super Voice ของเมลยังเจ๋งเกินคาด” ผมแอบเห็นด้วยกับนิมฟ์ คนบ้าอะไร ใช้ Super  Voice ได้ตั้งแต่ ก่อนขึ้น First Class อ้อ เมลเองก็มาจากโรงเรียนเดียวกับผมและนิมฟ์ครับ แต่พวกเรามาจากคนละห้องกันหมดเลย แล้วพวกผมก็เดินมาถึงโรงอาหาร เห็นเมลกำลังยืนมองซ้าย มองขวา เหมือนหาอะไรอยู่ แต่เอ๊ะ เธอหันมาเจอพวกผมแล้ว


                “กว่าจะมากันนะพวกแก รู้มั้ยว่าฉันหิวข้าวมาก” ผมเห็นเธอก็บ่นหิวทั้งวัน แล้วพวกเราก็ไปนั่งกันในโรงอาหาร เมลหรือ คีตยา บรรเลงศิลป์ นักเรียนสายพลังธาตุ เอกจันทรา เป็นเพื่อนสนิทผมมาตั้งแต่สมัยเด็กๆแล้ว ก็เป็นเพื่อนกิน เพื่อนเที่ยว เพื่อนตายด้วยกัน ฮ่าๆ  เห็นๆหน้าตาอย่างนี้ แต่ก็มีความสามารถด้านการร้องเพลงขนาดที่ พวก Third Class สาย Melody-Power ยังอาย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงใช้เวทย์ Super  Voice ได้แล้ว

                “เรียกรวมกี่โมงนะ ?” คีย์ถามขึ้น หลังจากที่พวกเราซื้อข้าวกันมาเรียบร้อยแล้ว อืม ผมว่าข้าวที่นี่ก็กินได้นะ ทำไมพี่สาวผมถึงบอกว่ามันรสชาติแย่หล่ะ แต่ในสถานการณ์ที่มีโรงอาหารเปิดแค่โรงเดียวผมก็เลยไม่มีตัวเปรียบเทียบอื่นๆ

                “ไม่แน่ใจนะ ถ้าจำไม่ผิดก็ 8 ครึ่งหล่ะมั้ง” ผมตอบคีย์ไป พร้อมกับที่นิมฟ์ก้มหน้ามองนาฬิกาข้อมือ

                “ตลกละแก นี้ 8 โมงแล้วแก รีบๆ กิน” เออเนอะ 8 โมงแล้ว ห๊า ! อะไรนะ 8 โมงแล้ว ผมนี้รีบกินเลยครับ กลัวไม่ทัน หันไปดูอีกที ยัยเมลกินหมดแล้ว บ้าจริง จะกินเร็วไปไหนหน่ะ

                “ถ้างั้นเรากับนิมฟ์แยกไปก่อนเลยนะ ยังดีที่สายพลังธาตุไม่ได้แบ่งกลุ่มตามเอก เอ้อ เรื่องการจัดกลุ่มหน่ะ พี่ๆเค้าจะให้แบ่งกันเอง ก็เกาะๆกันไปหล่ะ 2 หนุ่ม” พูดจบ เมลก็เดินออกไปทางลานอเนกประสงค์พร้อมนิมฟ์ แหนะ แล้วผมต้องไปฝ่าคนอีกหลายร้อยคนเพื่อ หาเพื่อนๆ คนอื่นอีกที่ลานอีกหรอเนี่ย บ่นไปพลางขาของผมกับคีย์ก็มาหยุดที่ลานอเนกประสงค์ซะแล้ว ว่าแล้วก็มองหาเพื่อนๆ ที่รู้จักซักหน่อยดีกว่า เอ มีใครที่ผมรู้จักบางเนี่ย


                “ไนท์ !!! ไนท์ๆ นิลรัตน์ !! ทางนี้” ผมหันไปตามเสียงเรียกทำไมวันนี้คนเรียกผมเยอะจัง คนที่เรียกผมก็คือ น้ำ เธอเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่าผมเองแหละ ผมกับคีย์ก็เลยเดินไปหาเธอ

                “หวัดดี น้ำ นี่คีย์นะ อยู่หอเดียวกับเรา เลยมาด้วยกัน” ผมแนะนำคีย์ให้น้ำรู้จัก

                “อ๋อ หวัดดีจ้า เราชื่อน้ำนะ มาจากโรงเรียนเดียวกับไนท์หน่ะ” ว่าแล้วน้ำก็แนะนำตัวเองกับคีย์ ก่อนที่พวกเราจะได้พูดอะไรกันต่อ เสียงประกาศก็ดังขึ้น



                “ถึงนักเรียนทุกสายคะ ครูเข้าใจว่าตอนนี้นักเรียนกำลังดีใจกระดี๊กระด๊ากับเพื่อนหลายโรงเรียนทั้งที่หล่อ สวยและหน้าตาแย่ แต่ขอให้นักเรียนอยู่ในความสงบและตั้งใจฟังครูหน่อยนะคะ วันนี้ทางโรงเรียนได้จัดกิจกรรมปรับพื้นฐานให้นักเรียนทุกสาย ซึ่งในการปรับพื้นฐานของพวกเรา ถูกแล้วค่ะ อย่างที่นักเรียนบ่นกันนั่นแหล่ะค่ะ มันก็คือ การเรียนก่อนเปิดเทอมนั่นเอง โดยเราจะแบ่งเป็นนักเรียนสายจู่โจมเรียนวิชาเทคนิคการต่อสู้ ธรรมชาติของเวทย์มนต์ การปรุงยาเบื้องต้น มิตรศาสตราและการควบคุมเวทย์มนต์ สายพลังจิตเรียนเทคนิคการต่อสู้ อักขระพื้นฐาน การควบคุมเวทย์มนต์ มนตราสนับสนุน และนักเรียนสายพลังธาตุจะได้เรียนวิชาการควบคุมเวทย์มนต์ เวทย์มนต์เพื่อการคมนาคม มนตราสนับสนุนและวิชาตามเอกนะคะ ตอนนี้ขอให้นักเรียนต่อแถวด้วยความเป็นระเบียบด้วยค่ะ โดยสายจู่โจมแบ่งเป็น 5 แถว สายพลังจิตแบ่งเป็น 4 แถว ส่วนสายพลังธาตุแบ่งเป็น 3 แถวนะคะ ขอบคุณค่ะ”


                โห่ นี้ขนาดยังไม่เปิดเทอมผมก็ต้องมาเรียนเทคนิคการต่อสู้แล้วหรอเนี่ย แน่สิ ผมเป็นคนที่ไม่ถนัดวิชานี้มากเลย ทักษะการต่อสู้ผมแทบจะเป็นศูนย์ ยิ่งถ้าเป็นทักษะพวก Close combat(การต่อสู้ระยะใกล้)ยิ่งแล้วใหญ่ ผมก็ได้แต่ทำใจน่ะสิครับ ตอนนี้ผม คีย์แล้วก็น้ำก็มาต่อแถวเดียวกันแล้วครับ ตอนนี้ครูและพี่สต๊าฟก็เดินนำแถวของผมไปยังห้องเรียน


                “เอาหล่ะนะครับ นักเรียนทุกคน ก่อนอื่นครูชื่อวิชัย เลิศเกรียงไกรนะครับ เป็นครูสอนวิชาเทคนิคการต่อสู้ แต่ก่อนอื่นก็ต้องขอต้อนรับนักเรียนสายจู่โจมกลุ่ม C ทุกคนเข้าสู่การเรียนการสอนวันนี้นะครับ เนื่องจากวันนี้เป็นแค่การปรับพื้นฐาน ดังนั้นเราจะเรียนอะไรง่ายๆแต่เป็นพื้นฐานในเรื่องที่พวกเธอจะต้องไปเรียนในภาคเรียนที่ 1 อย่าง เวทย์ Aura power และเวทย์ Magic shield กันนะครับ”


                “เวทย์ Aura power เป็นมนต์สนับสนุนที่จะเรียกออร่าเวทย์มนต์ออกมาเพื่อบรรจุลงไปในเวทย์มนต์บทถัดๆไป จะช่วยเพิ่มทั้งพลัง และประสิทธิภาพของเวทย์มนต์ที่นักเรียนจะใช้ต่อหากเป็นเวทย์มนต์ที่ตรงกับธาตุของนักเรียน เช่นหากนักเรียนเป็นคนธาตุไฟ เมื่อใช้เวทย์Aura power เมื่อนักเรียนใช้เวทย์มนต์อื่นๆ ที่เป็นเวทย์มนต์ธาตุไฟ พลังและประสิทธิภาพของเวทย์มนต์บทนั้นๆ ก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนเวทย์ Magic shield เป็นมนต์คุ้มกันที่สร้างม่านพลังเวทย์ขึ้นมา แต่เนื่องจากเป็นเวทย์ระดับพื้นฐานพลังป้องกันอาจจะไม่ได้สูงนักแต่ในด้านการนำมาปรับพลิกแพลงและประยุกต์ใช้นั้นหลากหลายมาก ในคาบนี้จะให้นักเรียนแบ่งกลุ่มกันกลุ่มละ 5 คน เพื่อทำการฝึกเวทย์มนต์ 2 บทนี้และในท้ายคาบ ครูจะให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนออกมาแสดงเวทย์มนต์ 2 บทนี้ จะออกมา 2 คนหรือคนเดียวก็ได้นะ แยกย้ายได้ !


                เป็นการฟังบรรยายที่เกือบจะน่าเบื่อ พวกผมก็ต้องหาสมาชิกในกลุ่มอีก 2 คน เพราะตอนนี้มีแค่ผม คีย์แล้วก็น้ำนี่สิ มาวันแรก ผมก็หวังว่ามนต์ 2 บทนี้จะไม่ยากไป เปิดมาปุ๊บ ก็ได้เจอวิชาเทคนิคการต่อสู้เลยเลย แหม่ ผมนี้ดวงดีจัง




                 “เอ่อ กลุ่มพวกนายคนครบรึยังอ่ะ?” พวกผมทั้งสามคน หันไปมองคนถาม ซึ่งคนที่มาถามเป็นเด็กหนุ่ม 2 คนดูจากสีผิวคงมาจากภาคเหนือกระมัง

                “ยังเลย ขาดอีก 2 คนอ่ะ พวกเธอจะมาอยู่กลุ่มกับพวกเรามั้ย? เราชื่อน้ำนะ ส่วนคนที่ใส่แว่นชื่อไนท์ อีกคนชื่อคีย์จ้า” ไม่ทันที่ผมหรือคีย์จะได้พูดอะไร น้ำก็หันไปตอบพร้อมแนะนำพวกเราให้อีกฝ่ายเสร็จสรรพ

                “เห้ยพอดีเลย พวกเราสองคนยังไม่มีกลุ่ม ขออยู่ด้วยละกันนะ เราชื่อฟรองซ์ ส่วนเพื่อนเราที่เงียบๆนี้ชื่อฟู”ว่าแล้วไอ่เหล็กดัดฟันที่ชื่อฟรองซ์ ก็แนะนำตัวเองกับเพื่อนของเขากับพวกผม

                “งั้นพวกเราควรจะเริ่มฝึกเวทย์พวกนี้ได้แล้วนะ เดี๋ยวเวลาหมดซะก่อน” จริงอย่างที่คีย์ว่า เอาหล่ะลองดูซักตั้ง กับอีแค่มนต์ระดับพื้นฐานบทสองบท คงไม่ยากนักหรอก มั้ง !?




                …. ผ่านไป 30 นาที ….




                “ไม่เห็นจะทำได้เลยอ่ะ” โฮรฮ ทำไมผมทำไม่ได้หล่ะ ผมพยายามจะบีบอัดพลังธาตุและใส่ควบคุมเพื่อให้เวท Aura power ทำงาน แต่ก็ไม่มีท่าทีว่าเวทย์จะทำงาน ผมลองหันไปดูคนอื่นในกลุ่มซิ ว่าจะมีใครที่พอยังทำไม่ได้เหมือนผมบ้าง แต่ภาพที่ผมเห็นคือ ทุกคนกำลังยืนอย่างสงบพร้อมกับมีออร่าจางๆแผ่ออกมาจากร่าง ของคีย์กับฟรองซ์เป็นออร่าสีฟ้าดูสบายตา มองไปแล้วดูเคลื่อนคล้อยเหมือนฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายในกระแสน้ำ ของน้ำเป็นออร่าสีเขียวดูร่มเย็น ออร่าของเธอดูเหมือนกำลังพยายามเคลื่อนที่รอบตัวเธอเหมือนเถาวัลย์ที่พยายามเลี้ยวลดขึ้นไปบนต้นไม้ใหญ่ ผมมองไปที่ฟู ดูเหมือนว่าหมอนี้ก็ยังทำไม่ได้แหะ อย่างน้อยผมก็ยังมีเพื่อน ฮ่าๆ หมอนั่นเงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยหน้าตาเหมือนคนยังไม่ตื่น ผมว่ามันควรจะไปล้างหน้าก่อนแล้วกลับมาฝึกต่อนะ





                “ยังทำไม่ได้อีกหรอ?” พี่สต๊าฟคนหนึ่งหันมาถามผม ก็ใช่หน่ะสิ ผมไม่ได้เก่งเหมือนเพื่อนๆที่สอบเข้ามา ก็ผมเป็นเด็กโควตาหนิ ตอนสอบเข้า ก็เลยไม่ค่อยได้ฝึกอะไรเลย การอยู่เฉยๆเป็นเวลา 2 เดือนโดยไม่ค่อยได้ฝึกพลังเวทย์ทำให้ฝีมือผมทื่อลงเล็กน้อย

                “ครับพี่ ยังทำไม่ได้เลยอ่ะครับ ลองมาหลายครั้งแล้ว ทำไงดีอ่ะพี่” ในเมื่อเราทำไม่ได้ ก็ต้องสอบถามจากผู้รู้หน่ะสิครับ

                “ไหนลองทำใหม่ซิ” ผมก็ทำตาม โดยการรวบรวมพลังเวทย์ให้อัดแน่นแล้วใส่ควบคุมให้มันไหลไปห่อหุ้มร่างกาย บังคับให้มันไหลลงไปส่วนล่าง แต่พลังเวทย์ก็ไม่ยอมไปครับ มันพยายามจะไหลขึ้นบน ทำไงดีกว่า

                “อ๋อ พี่ว่าน้องกำลังเข้าใจเวทย์บทนี้ผิดนะ เท่าที่ดูเหมือนน้องจะพยายามต้านกระแสเวทย์มนต์ใช่มั้ยหล่ะ แต่ความจริงแล้ว เราไม่ควรจะไปต้านมัน ปล่อยตัวเองให้ไหลไปตามกระแส ให้ตัวเราเป็นส่วนหนึ่งของกระแสเวทย์ พอเราคล้อยตามกระแสไป ก็ค่อยไปโน้มกระแสไปทางที่เราต้องการแทน” ทำไมพอพี่พูดมันดูง่ายจังล่ะ แต่ของอย่างนี้มันต้องลองดูครับ ลองรวบรวมพลังเวทย์ขึ้นมาใหม่ แล้วปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสของมัน ผมหลับตาลง เพื่อสัมผัสถึงกระแสเวทย์มนต์ ปล่อยให้พลังและความรู้สึกไหลไปตามกระแสของมันพร้อมกับค่อยๆโน้มกระแสให้ไหลลงไปยังช่วงล่างและห่อหุ้มทั้งร่างกายเอาไว้

                Aura power!!

                ผมสัมผัสได้ถึงพลังเวทย์ที่ล้อมรอบตัวผมไว้ มันรู้สึกสบายตัว เหมือนผมกำลังนอนอยู่บนผืนหญ้าที่อ่อนนุ่มและมีแสงแดดอุ่น ในที่สุดผมก็มีออร่าเหมือนๆเพื่อนๆซะที ออร่าของผมคล้ายกับของน้ำแต่ดูเหมือนว่าตัวเถาวัลย์จะเลื้อยเร็วกว่า และถ้าผมดูไม่ผิดเถาวัลย์พวกนั้นมีส่วนที่ดูคล้ายดอกไม้อยู่ด้วย

                “เห้ย น้องสุดยอดอ่ะ พี่ไม่เคยเห็นคนธาตุไม้ที่สามารถใช้เวทย์ Aura power แล้วออร่าดูมีชีวิตชีวาขนาดนี้มาก่อน ลองใช้เวทย์ธาตุไม้ดูสิ” เวทย์ธาตุไม้หรอ ที่ระดับ First Class สอนมาก็มีไม่เยอะนะ ระดับ First Class ไม่ค่อยสอนเวทย์มนต์ธาตุนักหรอกครับ ส่วนใหญ่จะเป็นเวทย์มนต์ไร้ธาตุเสียมากกว่า

                Seed cannon!! เวทย์ธาตุไม้ระดับพื้นฐาน ที่ผมได้มาตอนผ่านปีหนึ่งใน First Class เป็นเวทย์ยิงกระสุนเวทมนต์ธาตุไม้ออกมา แต่คราวนี้ มันดูใหญ่ขึ้น ….บรึ๊ม !!…. แต่คราวนี้ผมถึงกับต้องตะลึงเพราะบริเวณที่ระเบิดนั้นมีเถาวัลย์เลื้อยขึ้นมาราวกับว่าที่ตรงนั้นมีอะไรตั้งอยู่เถาวัลย์เหล่านั้นจะทำหน้าที่พันธนาการเอาไว้ไม่ให้เป้าหมายเคลื่อนที่ได้

                “โห สุดยอดเลยน้อง” พี่สต๊าฟชมผม แหม่ มีคนชมแบบนี้ก็เขินสิครับ ผมเข้ามาด้วยโควตานักฟื้นฟูนะครับ ใช้เวทย์ธาตุไม้ได้ไม่ดีก็เสียหน้าแย่ ว่าแล้วผมก็ไปฝึกเวทย์ Magic shield ต่อดีกว่า คราวนี้จะไม่ยอมพลาดอีกแล้ว





              …. ผ่านไป 2 ชั่วโมง ….



                “เอาหล่ะนักเรียนท้ายคาบวันนี้ จะให้นักเรียนตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกมาแสดงพลังเวทย์ที่ได้ฝึกฝนไป ขอให้นักเรียนตัวแทนออกมาด้านหน้าห้องเลยครับ” เอาหล่ะถึงเวลาแล้วหรอ ผมจะไม่ว่าอะไรถ้าเพื่อนๆในกลุ่มไม่ดันมาเห็นตอนผมใช้เวทย์Seed cannon แล้วพูดแกมบังคับให้ผมเป็นตัวแทนกลุ่มใช้เวทย์ Aura power แต่ยังดีครับที่ยังมีฟรองซ์เป็นตัวแทนใช้เวทย์Magic shield ถ้าผมต้องใช้ทั้ง 2 เวทย์คุณครูท่านคงจะเสียใจแย่ที่ไม่มีความสามารถมากพอ ทำให้ลูกศิษย์ใช้พลังเวทย์ได้ย่ำแย่เยี่ยงนี้ ผมมองไปที่กลุ่มแรกๆ กำลังโชว์เวทย์Set key และ Magic shield โดยการโชว์เวทย์ครั้งนี้ จะให้คนที่ใช้เวทย์ Aura key ร่ายมนต์โจมตีใส่คนที่ใช้เวทย์Magic shield อยู่ โดยไม่มีการเก็บคะแนนทำให้ผมไม่ค่อยเครียดซักเท่าไหร่ แต่กลุ่มแรกๆหน่ะสิครับ เล่นจัดเต็มกันซะ ฝ่ายหนึ่งก็ร่าย Heat blast ที่อัพเกรดแล้วดูยังไงก็คือลูกไฟที่ใหญ่เท่าลูกฟุตบอลและมีไฟลุกท่วมดีๆนี่เอง อีกฝ่ายก็ตั้งโล่เวทย์มนต์ที่มีริ้วๆ คล้ายก้อนเมฆ คนพวกนี้เค้าทำกันได้ยังไงกัน เอ้าถึงตาผมกับฟรองซ์แล้วหรอ

                “เอาแบบจัดเต็มเลยแล้วกัน” ขอมาก็จัดให้สิพี่ หึหึ

                Aura power!!ว่าแล้วก็เริ่มบรรเลงร่ายเวทย์เลยแล้วกันครับ หลังจากที่ออร่าห่อหุ้มทั้งร่างผมแล้ว ผมก็ร่ายเวทย์บทต่อไป

                Seed cannon มนต์โจมตีที่ผมภูมิใจถูกปล่อยออกไป อีกฝ่ายยังคงยืนยิ้มและร่ายเวทย์ของเขา

                “แหม่ ขอแบบจัดเต็มก็เล่นมาซะแรงเลยนะ Magic shield!! เกิดม่านพลังเวทย์ครอบคลุมด้านหน้าของฟรองซ์เป็นครึ่งทรงกลมผมจะไม่แปลกใจอะไรถ้าบนม่านพลังนั้นไม่มีลายอิฐอ่ะนะ !

                …. บรึ๊ม !! …. เวทย์ Seed cannon ของผมกระทบเข้ากับ Magic shield อีกฝ่ายเต็มแรง แต่สิ่งที่ผมเห็นคือ ม่านพลังที่ไร้รอยร้าว ทุกอย่างยังอยู่ในสภาพเดิม ดูเหมือนว่าผมจะดูถูกพลังเวทย์ธาตุดินของเพื่อนคนนี้ไปซะแล้ว ……

     






     

                …. เวลา 16.30 . ….

                “เห้อ ได้กลับบ้านซะที” ผมบ่นออกมาในขณะที่พวกเรา ผม คีย์ นิมฟ์และเมลนั่งรถประจำทางกลับหอด้วยกัน  หลังจากที่ผ่านการเรียนการสอนมาทั้งวัน แหม่มันเหนื่อยนะครับ ต่อจากภาคเช้าที่เรียนเลขไป ภาคบ่ายผมยังต้องมาเรียนวิชาสุดหินอย่างมิตรศาสตราอีกหรอ เนื่องจากอาวุธที่ผมใช้เป็นประจำก็คือ แหวนเวทย์มนต์ จะให้ไปลุกไปจับดาบ มีด ธนูก็คงดูเป็นเรื่องที่ยากเย็น โอ้ ตอนนี้ในหัวผมมีแต่ภาพ Magic arrow ที่คนทั้งห้องปล่อยออกมาแล้วมันบินขนกัน

                “มันก็เหนื่อยจริงๆนั่นแหละ แต่เห็นที่คนนั้นใช้เวทย์Magic arrow ป่ะ? โคตรสุดยอดอ่ะ” คีย์หันมาพูดกับผม มันก็จริงเด็กปีหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาเรียน ทั้งๆที่ยังไม่เปิดเทอม แต่กลับใช้เวทย์Shooting storm ซึ่งเป็นเวทย์ขั้นต่อของ Magic arrow ได้หล่ะ คงจะเป็นอัจฉริยะกระมัง


                …. Magic arrow!! สิ้นเสียงร่ายเวทย์เวทมนต์ของทุกคนในห้องก็บินออกมา บ้างบินเป็นเส้นตรงไปหาเป้าที่ไกลออกไป 10 เมตร บ้างบินไปโดนเป้าคนอื่น บ้างปักเพดาน บ้างก็ปักพื้น แต่ในขณะที่ทุกคนจะได้ร่ายเวทย์ครั้งต่อไป  Magic arrow นับสิบก็ออกมาพร้อมกับบินไปปักเป้าทั้ง 10 ที่เรียงกันในแถวหน้ากระดาน ทุกคนในห้องได้แต่หันไปมองเจ้าของเวทย์ซึ่งกำลังยืนยิ้มดูผลงานของตัวเอง เอิ่ม พ่อคุณ นั้นมันเป้าของอื่นนะ ไปยิงของเขาได้ยังไงกัน เอ๊ะ ผิดประเด็นหรอ โทษๆ สืบไป สีบมาก็ได้รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นนักเรียนกิฟต์วิทย์ ทุกคนก็เลยไม่แปลกใจที่เขาจะใช้เวทย์ Magic arrow ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ถ้าคนที่พอจะรู้จักเวทย์มนต์มามาก จะมองออกว่า เวทย์มนต์บทนั้นคือเวท Shooting storm ต่างหากหล่ะ ซึ่งคนที่ยังไม่ได้เรียนปีหนึ่งไม่น่าจะใช้เวทย์มนต์บทนี้ได้เลย ….


                “แล้วฝั่งแกเป็นไงบ้าง ยัยนิมฟ์ ยัยเมล?” ผมหันไปถามฝ่ายสองสาวซึ่งเป็นสายพลังธาตุ รู้สึกว่าพวกเธอจะเรียนวิชาควบคุมเวทย์มนต์ กับเวทย์มนต์เพื่อการคมนาคม อืม พวกเธอน่าจะชอบอยู่เพราะเป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับพลังธาตุบริสุทธิ์

                “โอ๊ยแก ยัยเมลหน่ะเล่นใช้เวทย์ Whisper ดังแบบได้ยินทั้งห้องเลย ฉันละปวดหูมากเลยตอนเรียน 555” เอาแล้ว หนูเมลโดนเผาแล้ว ผมก็ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนอย่างเมลผู้ใช้เวทย์ Super voice มาอย่างโชกโชนจะมีปัญหากับการใช้เวทย์ Whisper ที่เปรียบได้กับเวทตรงกันข้าม

                “แหม่ ใครจะเหมือนแกละยะ ใช้เวทย์ Lock & Key ยังไม่ได้ 555” หืม เริ่มเรียนเวทย์ Lock & Key กันแล้วหรอ เริ่มเร็วจัง เวทย์ Lock & Key เป็นมนต์สนับสนุนบทหนึ่ง จะผนึกพลังเวทย์เอาไว้ หรือผนึกสิ่งของทำให้ไม่สามารถทำงานได้

                “ก็มีคนทำไม่ได้ตั้งเยอะแยะ ฉันไม่ใช่ตัวแปลกประหลาดซะหน่อย” ผมว่าก็จริงอย่างที่นิมฟ์พูด เวทย์บทนี้ยาก วันนี้เป็นแค่วันแรกจะใช้ไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

                “แล้วคีย์กับไนท์หล่ะ เจออะไรมาบ้างหล่ะ? เล่าหน่อยสิ” นิมฟ์ถามพวกผมกลับ แล้วหลังจากนั้นจนถึงลงจากรถ และตอนไปนั่งกินข้าวด้วยกัน พวกเราก็แลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่แต่ละฝ่ายได้รับมาในวันนี้ ….

     

     










     

                “ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึง วันที่ท่านจะตื่นขึ้นหลังจากที่พวกผู้ถูกเลือกจะทำการผนึกท่านลงไป จงตื่นขึ้นเถิดอสูรร้ายแห่งโลกนี้ อสูรร้ายทั้งสิบที่ยังคงหลับใหลอยู่ภายใต้การจองจำ จงตื่นขึ้นเพื่อทำลายโลกใบนี้ จงนำพาหายนะมาสู่โลก ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะค่อยๆจางหายไปในความมืด ….

               

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×