ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic } ฟิคบารามอส ภาค ดินแดนน้ำแข็ง

    ลำดับตอนที่ #8 : นางฟ้าองคค์ที่สี่

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 49


    บทที่ ๗ นางฟ้าองค์ที่สี่

    จิ๊บ…..จิ๊บ…..จิ๊บ………………คลืด…

    “นี่เฟริน ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวเราจะลงไปกินข้าวช้านะ” คำพูดเก่าที่เอามาฉายใหม่เป็นรอบที่สองของวันนี้ ทำให้หัวขโมยผู้รู้หน้าที่พลิกตัวหลบแสงแดดตามบทแทบไม่ทัน เธอเองเพิ่งจะขึ้นมานอนบนเตียงได้ไม่ถึงห้านาทีหนังรอบเก่าก็มาฉายใหม่อีกแล้ว เล่นเอาตั้งตัวแทบไม่ทัน หัวขโมยแอบถอนหายใจยาวอยู่ใต้ผ้าห่ม นี่ถ้าเธอวิปริตตื่นเช้าล่ะก็คงต้องเป็นเป้าล่อให้พวกมันเป็นห่วงอีกเป็นแน่แท้ ‘ต่อไปก็เรน่อนสินะ!’ เฟรินหันตัวกลับไปดูทางมาทิลด้า

    “คุณเฟรินคะ ถ้าไม่รีบเราจะไม่ทันมื้อเช้านะคะ” เสียงหวานของเรน่อนดังขึ้นจากปลายเตียง ตามบท ร่างบางใต้เรือนผมสีน้ำตาลไหม้ลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างกระฉับกระเฉงจนน่าประหลาด ไม่เหลือความเหนื่อยเลยแฮะ บาทหลวงแก่นั่นนี่เยี่ยมจริง เธอคิดในใจ ในขณะที่รอยคล้ำใต้ดวงตาที่เคยบ่งบอกถึงการพักผ่อนไม่เพียงพอของร่างกายเธอบัดนี้มลายไปสิ้นไม่มีร่องรอยอะไรทิ้งไว้ ส่วนเพื่อนสาวทั้งสามก็ยังคงไม่แปลกใจอะไร เพราะเฟรินก็ยังคงเป็นเฟรินอยู่วันยังค่ำ เรื่องกินต้องมาก่อนอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความสงสัยในประเด็นนี้จึงตกไปจากความคิดของสาวทั้งสาม

    “นี่ผ้าเช็ดตัว” แองจี้เดินออกมาจากตรงมุมห้องที่เธอยืนอยู่ก่อนจะส่งผ้าเช็ดตัวให้เพื่อนสาวแล้วลงไปนั่งบนเตียงข้างๆ

    เฟรินอย่างเป็นห่วง ซึ่งเป็นภาพที่คนถูกห่วงเกือบจะหลุดหัวเราะออกมาทันที นี่ สรุปว่าพวกมันห่วงอะไรเรานักหนาวะเนี่ย ปริศนาที่หัวขโมยเองก็ยังแก้ไม่ตก

    “นายเป็นอะไรรึเปล่าเฟริน” คำถามซ้ำซากที่เปลี่ยนไปเพียงแค่การเรียงคำ ถูกส่งมาจากแม่มดสาวที่กำลังปั้นสีหน้าจริงจังทำให้ผู้หญิงหมาดๆ ชักจะเริ่มอยากรู้ความจริงเกี่ยวกับอาการของเพื่อนร่วมเพศทั้งสามขึ้นมาตงิดๆ

    “นี่พวกเธอ ทั้งสามเป็นอะไรกันแน่ ถึงได้ดูเป็นทุกข์เป็นร้อนแทนฉันซะเหลือเกิน ฮะ” คำถามตรงประเด็นยิงกราดเข้าใส่เหล่านางฟ้าแห่งป้อมมังกรทั้งสาม โดยมีผู้ถูกห่วงนั่งรอรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “ก็ เรื่องที่นายทำคนตายที่แอเรียสไง ไอ้บาทหลวงบ้านั่นมันด่านายซะยับ ปากนายอาจจะบอกว่าชินแล้ว แต่พวกฉันรู้ว่าคงไม่มีใครที่พรากชีวิตคนมากมายในทีเดียว จะชินหรอกนะ” เฟรินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อเจ้าแม่เลือกยิงประเด็นนี้ ประเด็นที่เธอแทบไม่อยากพูดถึง แม้ว่าจะพอมีหนทางที่พอจะทำให้เธอสบายใจได้บ้างของคาโลซึ่งถึงแม้จะดูริบหรี่เหลือเกินแต่ก็เป็นความหวังเดียวที่พอจะทำได้ในตอนนี้

    “แล้วอีกอย่าง เรื่องที่นายหนีออกไปเมื่อคืนนี้ ก็เป็นข้อพิสูจน์ที่นายไม่มีทางปฏิเสธได้” แองเจลีน่าเสริมเสียงเข้ม ทำให้เฟรินเริ่มนึกย้อนไปถึงเมื่อคืน เมื่อ คืน….ออกไป….คนเดียว….นี่นา……พอเจอ…คาโล……แล้วก็……. หลับ!!’

    นี่ หรือว่าไอ้คาโลมันไปปลุกไอ้พวกนี้ ไม่น่าจะใช่ คนอย่างคาโลมันไม่ชอบรบกวนใครนี่หว่า หรือว่า..

    “คุณคิลเป็นคนปลุกพวกเราเองแหละค่ะ” เรนอนตอบข้อสงสัยในใจเฟรินแทน เพราะดูจากอาการครุ่นคิดของหัวขโมยตัวแสบตรงหน้านี้แล้ว น่าจะต้องการคำตอบนี้ของเธอมากที่สุด

    “ทำไมนายไม่บอกพวกเราบ้างซักคำ ว่านายไปทำอะไรเพราะอะไร ทำไมนายไม่ระบายความทุกข์ของนายให้พวกเราฟังบ้าง” มาทิลด้าเอ่ยถามเสียงดัง เธอรู้สึกหงุดหงิดมากที่เพื่อนสาวไม่ไว้ใจกัน ไม่ยอมระบายความทุกข์ที่แสนใหญ่หลวงนี้ให้พวกเธอช่วยแบ่งเบาบ้างเลย

    “เรื่องที่แอเรียสนั่น ถูกบิดเบือนว่าเป็นสายฟ้าฟาดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นฝีมือของชาวเดมอสเหมือนครั้งที่มีฝนเลือดตกลงมาในขณะที่ธิดาแห่งความมืดยังคงหายสาบสูญ” แองจี้เล่าถึงข่าวเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมที่แทบจะถูกปิดเป็นความลับเพราะต่างล้วนแต่เป็นเรื่องวงในของเหล่าคิงทั้งหลายซึ่งถึงแม้ความเสียหายจะมากมายมหาศาลเพียงใดความลับของคิงก็ย่อมแนบเนียนที่สุดอยู่แล้ว

    “คุณเฟรินคะ พวกเราก็ผู้หญิงด้วยกันนะคะ ถ้าไม่ไว้ใจกันแล้วจะให้ไว้ใจใครกันคะ เรนอนเข้าใจคะว่าตอนปีสองเรื่องร่างที่แท้จริงของคุณเฟรินต้องถูกปิดเป็นความลับเพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเฟรินเอง แต่เรื่องนี้คุณเฟรินไม่มีเหตุผลที่ต้องปิดบังพวกเราเลยนี่คะ น่าจะระบายออกมาให้พวกเราได้รับรู้บ้าง” เสียงหวานแสนสุภาพของเรนอนทำให้หัวขโมยสาวที่เคยมีแต่เพื่อนชายเริ่มซึ้งน้ำตาคลอหน่วย

    นี่น่ะเหรอมิตรภาพที่เมื่อก่อนตอนที่เธอยังคงเป็นหัวขโมยผู้เร่ร่อนพเนจรอยู่นั้นแทบไม่เคยต้องการมันเลย แต่ตอนนี้มันกลับตรงกันข้าม เพราะเธอคงอยู่ต่อไปไม่ได้แน่หากไม่มีมิตรภาพจากคนเหล่านี้ มีทุกข์ร่วมทุกข์ มีสุขร่วมสุข เพื่อนแท้ย่อมไม่เคยทอดทิ้งกันงั้นสินะ ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กลมโตเริ่มมีน้ำใสๆมาคลอเคลียอยู่รอบขอบตา

    “ฉันขอโทษ ฉันก็แค่กลัวว่าถ้าฉันไปเล่าให้ใครฟังแล้วก็คงจะรังเกียจฉัน เพราะขนาดฉันยังขยะแขยงตัวเองเลย” เฟรินกล่าวพร้อมด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ พยายามนึกถึงความเป็นชายชาตรีที่ไม่ยอมเสียน้ำตาแก่ใครง่าย แต่ความพยายามนั้นก็ต้องพังทลายลงเมื่อแม่มดสาวผู้ที่อยู่ใกล้เธอที่สุด เข้ามาโอบกอดเธอไว้ด้วยสัมผัสที่อบอุ่นแนบแน่น ตามมาด้วยอีกสองสาวที่เข้ามาร่วมวงด้วยอย่างช้าๆ การกระทำนี้เองที่ทำให้หัวขโมยผู้เข้มแข็งต้องสิ้นชื่อ เมื่อน้ำตาที่เพียรสกัดกั้นไว้ได้ไหลทะลักออกมาเพื่อรับเอาความอบอุ่นจากเพื่อนฝูงเข้าไปทดแทนช่องว่างที่เกิดขึ้นในใจ จากการกระทำผิดครานั้น

    “ความทุกข์ของเธอ แบ่งปันมาให้พวกฉันบ้างก็ได้เฟลิโอน่า” มาทิลด้ากล่าวปลอบประโลมเพื่อนสาวคนใหม่อย่างอ่อนนุ่มเบาบางจนเฟรินสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนในใจของเธอที่แทบจะไม่เคยแสดงออกมาให้ใครได้เห็นเลย

    “ไม่ใช่ความผิดของนายหรอก เฟริน ที่ไม่สามารถเลือกเกิดได้” แองเจลีน่ากล่าวกับอดีตหัวขโมยเสียงแผ่ว ซึ่งเป็นลักษณะเสียงที่เธอไม่เคยให้หัวขโมยตรงหน้าได้ฟังซักที เพราะปกติเจ้าหญิงลืมตัวคนนี้มักจะทำแต่เรื่องวุ่นวายให้เธอได้ดุได้ด่าอยู่เสมอๆ จนถึงกับมีนักรบตาเดียวแห่งไนล์ติดเชื้อปากหมาของเจ้าตัวดีคนนี้เข้าไปอีกคน

    “โอ๋ๆ โอ๋ เลิกร้องได้แล้วนะคะ คุณเจ้าหญิงหัวขโมย” เรนอนปลอบคนขี้แยด้วยน้ำเสียงหวานสดใสเหมือนกำลังปลอบเด็ก ทำให้คนถูกปลอบ รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อยกับคำพูดหวานๆปนล้อเลียนของเรนอนซึ่งไม่เหลือเค้าของความสุภาพที่หญิงสาวคนนี้แทบไม่เคยว่างมันลงเลย ในขณะที่มือบางของเจ้าหญิงแห่งคาโนวาลยังคงหยอกล้อเล่นกับเรือนผมสีน้ำตาลสวยของนางฟ้าองค์ที่สี่แห่งป้อมบ้าเลือดที่แทบไม่มีผู้หญิง อย่างสนุกสานเหมือนได้เล่นกับตุ๊กตาตัวโปรด

    ณ วันนี้ ในอ้อมกอดนี้เอง ที่หัวขโมยผู้เคยโดดเดี่ยวได้รู้จักกับคำว่ามิตรภาพที่งดงามของหญิงสาว

    หากมิตรภาพของชายชาตรีคือ ความเสียสละปกป้องและดูแลพวกพ้องของตนอย่างสุดความสามารถแล้วล่ะก็ มิตรภาพของอิสตรีก็คงจะเป็นการดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เปรียบประดุจความรักที่มารดามีต่อบุตรของตนนั่นเอง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×