ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic } ฟิคบารามอส ภาค ดินแดนน้ำแข็ง

    ลำดับตอนที่ #7 : เลือด

    • อัปเดตล่าสุด 10 ต.ค. 49


    บทที่ ๖ เลือด

    จิ๊บ…..จิ๊บ…..จิ๊บ………………คลืด…

    เสียงร้องเจี้ยวจ๊าวของเหล่านกน้อย-ใหญ่ที่มักจะออกหากินยามเช้ามืดเช่นนี้อยู่เป็นนิจ ตามมาด้วยเสียงราวผ้าม่านที่ถูกรูดออกอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือของใครบางคน ซึ่งคนขี้เซาไม่คิดจะใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าการรูดม่านนั่นจะทำให้แสงอาทิตย์ยามเช้าสามารถส่องเข้ามากระทบเปลือกตาของเธอได้อย่างเต็มที่จนเริ่มระคายเคืองก็ตาม แต่คนที่โดนปลุกมาแล้วเกือบทุกวิธีก็พลิกตัวหลบแล้วหันไปนอนตะแคงอีกด้านอย่างช่ำชอง

    “นี่เฟริน ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวเราจะลงไปกินข้าวช้านะ” ร่างบางลืมตาโพลงขึ้นมาทันใดเมื่อได้ยินคำกล่าวของใครบางคนในห้องที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก่อนจะหันไปทางต้นเสียงแต่ก็ต้องหรี่ตาลงเพื่อรอให้ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ได้ค่อยๆปรับสภาพกับแสงอ่อนๆยามเช้าของดวงอาทิตย์ ได้ซะก่อน ไม่นานนักภาพทุกอย่างก็เริ่มชัดขึ้นทำให้เห็นเจ้าแม่แห่งอเมซอนที่กำลังยืนกอดอกแล้วมองมาทางเธอด้วยแววตาแปลก

    “คุณเฟรินคะ ถ้าไม่รีบเราจะไม่ทันมื้อเช้านะคะ” เสียงหวานดังมาจากปลายเตียงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ ของเจ้าหญิงคนงามแห่งคาโนวาล ทำให้คนนอนน้อยใช้แขนเรียวยันตัวขึ้นมานั่งบนเตียงพลางหันไปทางต้นเสียง

    “นี่ผ้าเช็ดตัว” แองจี้เดินออกมาจากตรงมุมห้องที่เธอยืนอยู่ก่อนจะส่งผ้าเช็ดตัวให้เพื่อนสาวแล้วลงไปนั่งบนเตียงข้างๆ

    เฟรินอย่างเป็นห่วง ทำให้คนถูกห่วงเริ่มเกิดความสงสัยในใจขึ้นมาตงิดๆ ก่อนจะใช้มือบางขยี้ตาหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าภาพตรงหน้าไม่ใช่ความผัน

    “นี่…ฉันเข้าใจนะว่า พวกเธอเสียดายความหล่อของฉันในร่างผู้ชายน่ะ แต่ไม่น่าถึงกับต้องมานั่งจ้องกันอย่างนี้ด้วยเลยนี่นา ยังไงซะฉันก็คงต้องอยู่ในร่างนี้ไปจนตายนั่นแหละ พวกเธอควรตัดใจได้แล้ว เพราะว่าคงจะมีแต่พวกเธอนั่นแหละที่อยากให้ฉันเป็นผู้ชายอะนะ” คนหลงตัวเองเอ่ยเสียงทุ้มต่ำที่พยายามดัดสุดๆ พลางยืดอกอย่างภาคภูมิใจก่อนจะกวักมือหย่อยๆเมื่ออธิบายจบ

    “เฟริน นายเป็นอะไรรึเปล่า” แองเจลีน่ากุมมือหัวขโมยแน่น พลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง เล่นเอาหัวขโมยงงเต็ก สามสาวแห่งป้อมอัศวินที่เพิ่งจะรู้ต้นสายปลายเหตุของเหตุโศกนาฏกรรมที่แอเรียสจากปากของนักฆ่าขี้เล่นที่บุ่มบ่ามไปปลุกพวกเธอถึงห้องนอนอย่างไม่สนใจมารยาทเมื่อทราบข่าวการหายตัวไปของเพื่อนรักทั้งสองกลางดึก จากปากของขอทานกำมะลอที่ฉลาด ไม่กางเขตอาคมทับกับของคาโลที่กางไว้รอบห้องโถงแต่มันกลับกางไว้ที่ประตูหลังซึ่งมีอยู่เพียงบานเดียวเท่านั้น

    “นี่ ฉันน่ะ ไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย ว่าแต่พวกเธอนั่นแหละเป็นอะไรกันไปหมด ฉันจำได้นะว่าฉันไม่เคยเอาน้ำมันพรายไปใส่พวกเธอซะหน่อย” เฟรินกล่าวเสียงใสพลางยิ้มอย่างเบิกบานหวังจะขจัดอาการแปลกๆของเพื่อนสาวทั้งสาม ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นอะไร แต่ขอบตาหมีแพนด้านั่นก็ฟ้องอาการนอนไม่พอของเจ้าตัวได้เป็นอย่างดี

    เฟรินหยิบผ้าเช็ดตัวที่ถูกส่งให้ขึ้นมาพาดบ่า ก่อนจะพยุงร่างบางให้ลุกออกจากเตียงแล้วเดินตรงไปยังห้องน้ำอย่างเนิบๆพลางบิดขี้เกียจไปด้วยระหว่างทาง

    ตุบ…..อ๊าก…….

    เพียงเสี้ยววินาทีที่เหล่าสามสาวละสายตาจากร่างบางของเฟรินแล้วหันมาพับที่นอนให้เพื่อนสาวไม่ต่างอะไรจากนางสนม เสียงสวดแปลกๆบางบทก็ดังอึมครึมมาจากด้านล่าง ตามมาด้วยอาการลงไม่นอนบิดไปมาของเพื่อนสาวคนสำคัญที่มีอาการเหมือนจะลงแดงตายซะเดี๋ยวนั้น ทำให้ทั้งสามต้องวิ่งไปดูอาการอย่างทุลักทุเล ก่อนอาการดังกล่าวจะหลุดลงพร้อมๆกับบทสวดที่ขาดตอนไป

    ณ ห้องโถงด้านล่าง บัดนี้ปรากฏภาพบาทหลวงหนุ่มกำลังยืนประจันหน้ากับ นักรบตาเดียว นักฆ่าผู้ปราดเปรียว และจอมเวทย์ผู้ทรงอานุภาพ ในขณะที่มีนักบวชหนุ่มนั่งดูอยู่ห่างๆโดยมีขอทานที่นอนสลบเหมือดอยู่ข้างๆ

    “ในนามของพระเจ้าข้าขอสั่งให้พวกเจ้าหลีกทางไป” บาทหลวงหนุ่มเอ่ยด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ ก่อนจะเริ่มสวดบทสวดทำลายล้างปิศาจ ที่ทำให้ทั้งสามหนุ่มซึ่งได้ยินเสียงร้องของเพื่อนสาวคนสำคัญดังออกมาจากห้องนอนพร้อมๆกับอาการสิ้นสติของขอทานกำมะลอเมื่อมีเสียงสวดแปลกๆดังขึ้น ทำให้สามหนุ่มต้องรีบรุดลงมาหาต้นสายปลายเหตุก่อนจะสายเกินแก้

    “หลวงพ่อคิดจะทำอะไรของหลวงพ่อกันแน่ หลวงพ่อมิคาเอลก็เคยกล่าวกับท่านไว้แล้วมิใช่รึไงกัน” นักฆ่าหนุ่มกล่าวเรียบๆเพื่อสยบโทสะที่มีอยู่อย่างล้นหลามในใจ เพราะเพื่อนรักถูกรังแกอย่างไร้เหตุผล

    “ไอ้บาทหลวงแก่นั่นมันไม่อยู่ช่วยพวกแกหรอก ตอนนี้มันออกไปทำธุระบ้าบออะไรของมันข้างนอกโน่น กว่าจะกลับมาอย่างเร็วก็พรุ่งนี้โน่น” บาทหลวงหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงชิงชัง อย่างไม่เหลือคราบของนักบุญไว้เลยแม้แต่น้อย

    “ปีศาจ ยังไงก็เป็นมารศาสนา กำจัดปีศาจคือหน้าที่ของผู้รับใช้พระเจ้า” คำประกาศกึกก้องก่อนจะเริ่มสวดต่อ ทำให้สามหนุ่มเริ่มฉงนกับคนที่เกลียดปีศาจเข้าไส้

    “คิล นายจัดการทีเอาแค่สลบ” คาโลสั่งเสียงเย็น แต่ในใจกลับนึกเป็นห่วงแฟนสาวจับจิต ส่วนนักฆ่าเองก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงเริ่มปล่อยกระแสไฟฟ้าให้ไหลเวียนบนฝ่ามือก่อนจะกระโดดหายวูบ ไปอยู่หลังบาทหลวงผู้ไร้เหตุผล แต่ก่อนกระแสไฟฟ้าจะเข้าสยบสติของนักบวช ประตูห้องพักของสี่สาวก็ถูกเปิดออกขัดจังหวะ

    “อย่า คิล ปล่อยเขาให้สวดไป” เสียงแหบพร่าดังขัดจังหวะวินาทีสังหาร ก่อนที่ร่างบางจะถูกพยุงโดยสามสาวให้ออกมาเกาะอยู่ที่ริมระเบียงพลางบิดไปมาอย่างทรมานเรียกให้หนุ่มๆทั้งสามผละจากสนามต่อสู้แล้ววิ่งขึ้นมาตามบันไดยาวเพื่อมาดูอาการของเฟรินโดยมีเจ้าชายน้ำแข็งออกวิ่งนำ ในขณะที่มือใหญ่ถือคทาพิพากษาไว้มั่นแล้วเรียกหมอเทวดาออกมาดูอาการแฟนสาวทันทีที่เข้าถึงตัว

    “เกินความสามารถของข้า นายท่าน อาการแบบนี้เป็นเพราะสายเลือดปีศาจในตัวนายหญิง ข้าไม่สามารถรักษานางได้ ขออภัยด้วยนายท่าน” ร่างบางใสของหมอเทวดาส่ายหัวอย่างปลงๆหลังจากกล่าวจบก่อนจะกลับเข้าคทาไป ส่วนคาโลเมื่อได้ฟังดังนั้นก็เตรียมจะกระโดดลงไปหุบปากไอ้บาทหลวงอุบาทว์นั้นไปตลอดกาล หากแต่ถูกมือบางของยอดดวงใจของเข้ารั้งไว้เสียก่อน

    “ถ้า ฉันเป็นปีศาจจริงๆ ฉันก็สมควรตายแล้วที่อาจหาญเข้ามาเหยียบเขตแดนแห่งพระเจ้า คาโลฉันขอร้อง ให้เขาสวดไป” เฟรินกล่าวเสียงสั่นเหมือนคนกำลังจะตาย ในขณะที่ร่างบางที่เปียกโชกไปด้วยหยาดเหงื่อลงไปนั่งกองกับพื้นเหลือไว้เพียงมือข้างหนึ่งที่ยังคงเกาะอยู่ที่ราวระเบียงอย่างหลวมๆ ลมหายใจเข้าออกเริ่มสั้นและถี่ขึ้นทุกทีๆ

    “แต่”

    “….ไม่มีแต่คาโล วาเนบลี ฉันจะไม่ทำให้นายเสียใจอีก นายจำได้ไหม คาโล ขโมยตรัสแล้วไม่คืนคำ เชื่อในฉัน

    คาโล” คาโลท้วงแต่กลับถูกชิงตัดหน้าไปเสียก่อน ทำให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลเริ่มมีอาการรนๆให้เห็นเมื่อไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยคนรักของเขาได้เลย ไม่มีแม้แต่ซักวิธี ให้เลือก เหลือเพียงการสวดอ้อนวอนพระเจ้าให้ช่วยแฟนสาวของเขาเท่านั้นเองที่ตอนนี้เขาพอจะทำได้

    เฟรินที่มีอาการหอบถี่เริ่มรวบรวมเรี่ยวแรงขึ้นมายืนเกาะราวบันไดอย่างยากเย็น เมื่อบาทหลวงเห็นดังนั้นจึงเร่งจังหวะบทสวดให้เร็วขึ้น ทำให้ปีศาจลูกครึ่งเริ่มบิดตัวไปมาอย่างทรมานพลางใช้มือทั้งสองข้างปิดหูเอาไว้แน่นแต่ดูเหมือนจะไม่มีผลใดๆต่อเสียงสวดที่ดังเข้ามาในสมอง เสียงสวดที่เธอยังจำได้ดี มันคือบทสวดที่ถูกใช้ในสงครามครั้งนั้น สงครามที่พึ่งจะผ่านไปได้ไม่นานมานี้ เราจะทำยังไงดีถึงจะรอดจากบทสวดหายนะนี้ไปได้ เฟรินเริ่มคิดถึงประสบการณ์ต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พลันประโยคหนึ่งที่เธอได้เรียนรู้มาจากชีวิตจริงในการเป็นหัวขโมยของเธอ คือ –ถ้าหากฝืนแล้วทรมานก็จงปล่อยวางให้ทุกสิ่งเป็นไป- ประโยคคมๆของชายชราที่เธอเคยเจอตอนเป็นเด็กบัดนี้ได้ถูกรื้อหีบเอาออกมาใช้ยามจำเป็นที่สุด นั่นสินะฝืนไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมางั้นปล่อยให้มันเป็นไปเลยดีกว่าถึงยังไงซะเรามันก็ปีศาจแค่ครึ่งเดียวถ้าจะตายมันจริงๆตรงนี้ก็ให้มันรู้ไป!

    เฟรินยันตัวขึ้นยืนตัวตรงด้วยแรงที่มีอยู่เฮือกสุดท้าย ก่อนจะปล่อยมือบางทั้งสองข้างออกจากหู แล้วหลับตาลงเพื่อปล่อยให้บทสวดที่สร้างความเจ็บปวดนั่นเข้ามาได้โดยตรง สมาธิของเธอตอนนี้กำลังจดจ่ออยู่กับบทสวดทุกถ้อยคำ ไม่นานนักเลือดมนุษย์อีกครึ่งของเธอก็อยู่เหนือกว่าเลือดปีศาจที่ทรงอำนาจกว่า เมื่อความเจ็บปวดต่างค่อยๆทุเลาลงไปเรื่อยๆจนหายสนิท บัดนี้บทสวดหายนะนั่นกลับไม่ต่างอะไรกับเสียงสวดธรรมดาๆที่มีทำนองแปลกๆเท่านั้น เวลาผ่านไปไม่นานนักบทสวดก็จบลง ทำให้หัวขโมยสาวลืมเปลือกตาขึ้นเพื่อเผชิญโลกแห่งความจริงเสียที

    เลือด! ….. ความรู้สึกแรกเมื่อเปลือกตาทั้งสองข้างลืมขึ้นมา ขณะนี้ร่างบางของหัวขโมยสาวกำลังลอยอยู่กลางห้องโถงใหญ่ต่ำจากโคมไฟระย้าไม่มากนัก โดยมีหยาดโลหิตไหลออกมาจากดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ทั้งสองข้างรวมไปถึงจมูกและหู โดยที่เหล่าสหายพวกพ้องทั้งหลายต่างพากันสลบเหมือดอยู่ที่ระเบียงที่เก่า รวมไปถึงนักบวชหนุ่มและขอทาน ไม่เว้นแม้แต่เจ้าชายน้ำแข็ง คงเหลือแต่บาทหลวงเจ้าเก่าที่ยังคงยืนมองมาทางร่างบางในชุดนอนปาจามาที่มีหยดเลือดเปื้อนเล็กน้อยด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความประหลาดใจ

    “เจ้า! เอาล่ะท่านพูดถูกท่านมิคาเอล นางเป็นลูกครึ่งปีศาจคนแรกที่สามารถฟังบทสวดสลายมารได้จนจบ โดยยังมีชีวิตอยู่” นักบวชหนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนหันไปมองทางมุมๆหนึ่งของห้องโถง

    “คนเรา มันเลือกเกิดไม่ได้ แต่เลือกที่จะทำได้ จริงไหม เฟลิโอน่า เกรเดเวล บุตรสาวคนแรกของจ้าวปีศาจเอวิเดส” เฟริน หรี่ตาลงเพื่อพยายามมองภาพเบื้องล่างให้ชัดเจนขึ้นหวังจะหาต้นตอของเสียง แต่ไม่นานนักต้นเสียงก็เดินออกมาจากมุมมืดเผยให้เห็นร่างชราของบาทหลวงแก่ที่ยังคงมีท่าทีอบอุ่นแสนจะชินตา และกัส ที่จู่ๆก็ลุกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีกลอง ก็กลับมานั่งอ่านหนังสือต่ออย่างไม่ยีหรา

    “อา..ต้องขอโทษด้วยที่เขาทำให้ลูกต้องทรมาน” บาทหลวงชราค้อมศีรษะลงเล็กน้อยอย่างสำนึกผิด ก่อนจะปรบมือหนึ่งครั้งแล้วหัวขโมยที่ลองเคว้งคว้างอยู่ก็ร่อนลงมาสัมผัสพื้นอย่างนิ่มนวล

    “เจ้าแสดงให้เห็นแล้ว เฟลิโอน่า ว่าเจ้าไม่ใช่ปีศาจที่สมควรตาย ตอนนี้ลูกคือลูกแกะของพระองค์ ถึงแม้จะเป็นแค่ครึ่งเดียวก็ตามที” บาทหลวงชรากล่าวช้าๆ ด้วยเสียงทุ้มต่ำ

    “พ่อขอให้เรื่องนี้เป็นความลับ หวังว่าลูกคงเข้าใจเหตุผลที่พ่อต้องทำอย่างนี้นะ” บาทหลวงกระซิบข้างหูของหัวขโมยสาวที่ยังคงมึนๆไม่หาย ก่อนบาทหลวงหนุ่มจะดีดนิ้วหนึ่งครั้งแล้วเหล่าทะโมนทั้งหลายก็หายไปยกเว้นกัส ที่ยังคงอ่านหนังสือต่อหน้าตาเฉย

    “ลูกเข้าใจดีหลวงพ่อ แต่ถ้าหากลูกตายไปจริงๆแล้วท่านก็คงจะไม่สนใจสินะ กะอีแค่ชีวิตปีศาจตนนึงเท่านั้น” เฟรินกล่าวเสียงตัดเพ้อ ความจริงแล้วเธอเองก็ยังคงงงกับเรื่องราวทั้งหมดนี่ แต่ก็เริ่มจะเข้าใจแล้วว่านี่คือการทดสอบของบาทหลวงทั้งสอง

    “ลูกจะไม่มีทางตายแน่นอน เพราะข้าทำลายประโยคสุดท้ายของบทสวดไปเรียบร้อยแล้ว” บาทหลวงกล่าวยิ้มๆ เรียกความโล่งอกให้แก่หัวขโมยสาว นี่ถึงเธอจะไม่ผ่านการทดสอบแต่เธอก็จะไม่ตายงั้นสินะ

    “เอาล่ะ ลูกจงจำเอาไว้ว่าการชนะเลือดปีศาจในตัวนั้นสำคัญไฉน แล้วอย่าให้มันครอบงำลูกได้เป็นอันขาด ส่วนเพื่อนๆของลูกทุกคนจะจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วตอนนี้ก็เป็นเวลา ตีสี่เศษ ไม่ใช่เช้าตรู่ของวันใหม่” เฟรินถึงกับอึ้งกับคำพูดที่ออกมาจากปากของบาทหลวงแก่ๆธรรมดา ที่ไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่เวทย์กาลเวลาที่เป็นเวทย์โบราณก็ยังสามารถใช้ได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ผู้ใช้ไม่ไหลไปกับกาลเวลา ดูท่ากษัตริย์แห่งแอเรียสจะมีคู่แข่งที่น่ากลัวในแผ่นดินเอเดนซะแล้ว

    “และในฐานะที่ลูกผ่านการทดสอบ พ่อจะให้ของขวัญลูกเป็นการตอบแทน” บาทหลวงชราไม่พูดพร่ำทำเพลงชิงจังหวะที่หัวขโมยกำลังรอลุ้นกับของขวัญที่คงจะมีมูลค่าไม่น้อยหากดูจากขนาดโบสถ์ และแล้วก็ไม่น้อยจริงๆจังหวะนั้นเอง บาทหลวงชราใช้มือข้างหนึ่งจกทะลุซี่โครงของเฟรินจนเลือดสดๆไหลทะลักออกมา นองเต็มพื้นก่อนจะหายไปพร้อมกับรอยเลือดที่ตา จมูก แก้ม และหูของเฟรินอย่างน่าอัศจรรย์ทันทีที่บาทหลวงเอามือออกมาจากร่าง ฉับพลันแผลที่เป็นรูโหว่อยู่ที่ช่วงอกของเฟรินก็สมานเข้าหากันอย่างรวดเร็วไม่เหลือร่องรอยของการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น เลือดทุกหยด หายไปหมดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงของขวัญที่ว่าที่ยังคงเหลือเป็นหลักฐานที่แสดงถึงการกระทำอุกอาจเมื่อครู่อยู่ในมือเหี่ยวๆของบาทหลวงมิคาเอล ของขวัญที่หัวขโมยถึงกับตาค้าง นี่….มัน…

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×