ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic } ฟิคบารามอส ภาค ดินแดนน้ำแข็ง

    ลำดับตอนที่ #4 : โบสถ์

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 49


    บทที่ ๓ โบสถ์

    ปัง! เสียงประตูขนาดมหึมาของโบสถ์ถูกเปิดออกอย่างลืมมารยาทตามมาด้วยเสียงอุทานจากผู้กระทำ

    "สวยจังเลยว่ะ คาโล" ภาพที่ผ่านเข้ามาทางเรติน่าของดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กลมโตคือ ภาพโบสถ์ขนาดใหญ่ที่เรียกว่ามหึมาก็คงไม่ผิด ภายในโบสถ์ถูกตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา

    ตั้งแต่แท่นทำพิธีไปจนถึงทางเข้า รวมไปถึงหน้าต่างหลากสีสันที่ทำจากกระจกโมเสคทั้งสิบเจ็ดบานกำลังหยอกล้อกับแสงของยามบ่ายแก่ๆสีส้มอ่อนๆ เผยให้เห็นการจัดเรียงรูปร่างกระจกอย่างจงใจเพื่อบอกเล่าเรื่องเรื่องราวเกี่ยวกับศาสดาของศาสนาลงบนกระจกทั้งสิบเจ็ดบาน

    สิบหกบานแรกอยู่ระนาบกันทั้งสองข้างของโบสถ์ โดยมีม้านั่งยาวที่ถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง เท่ากันทั้งจำนวนและระยะห่างทำให้ดูเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วแสดงถึงความอลังการแข่งขันกับแบล็คกราวด์ที่เป็นกระจกหลากสีสันข้างหลัง โดยมีกระจกบานที่สิบเจ็ดอยู่หลังยกพื้นของแท่นทำพิธี

    ส่วนเพดานสูงโปร่งของโบสถ์ถูกประดับประดาไปด้วยภาพวาดสีน้ำมันที่ละเอียดละออทุกลายเส้นและหยดสี เนื้อหา

    บนภาพบรรยายถึงเจ็ดวันแห่งการสร้างโลกของพระผู้เป็นเจ้า ทำให้สามารถเดาได้ไม่ยากเลยว่าคงเป็นผลงานจิตรกรรมชิ้นเอกของศิลปินเลื่องชื่อที่อาจทุ่มเท่ทั้งชีวิตเพื่อสรรค์สร้างผลงานชิ้นนี้

    เพราะดูจากขนาดของเพดานอันมหึมาแล้วผลงานประณีตละเอียดบรรจงเช่นนี้คงไม่สามารถทำให้เสร็จได้ในเวลาห้าปีสิบปีเป็นแน่แท้ ส่วนเรื่องงบประมาณในการสร้างโบสถ์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะรูปสลักนูนต่ำจากหินอ่อนที่อยู่ติดผนังสลับกันไปมากับกระจก และพื้นหินแกรนิตขัดมันซะจนไม่เหลือความเป็นหินก็เป็นตัวบ่งชี้ราคากระเป๋าทะลุได้เป็นอย่างดี

    "โอ้โห เฮะ! อะไรจะอลังการปานนั้น ไอ้กัสนี่มันสุดยอดจริงๆเลย" ครี้ดเอ่ยด้วยสีหน้าตกตะลึงกับภาพตรงหน้าหลังจากเดินลงจากเกวียนตามเจ้าตัวแสบมาติดๆ พลางใช้ตาเพียงข้างเดียวที่เขามีอยู่กวาดตามองภาพเบื้องหน้าอย่างช้าๆเพื่อซึมซับความงามวิจิตรที่หาได้ยากยิ่งจากชีวิตนักรบลุ่มๆดอนๆอย่างเขา

    "ฉันกะไว้แล้วเชียว ว่าไอ้กัสต้องไม่ธรรมดา" นักฆ่ากล่าวขึ้นในขณะที่อาการตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างไปจากนักรบหนุ่มและเพื่อนๆที่เหลือเลยแม้แต่น้อย

    "สวยจังเลยนะคะ" สาวงามประจำป้อมนาม เรนอน ธีน็อทต์ เปรยขึ้นเสียงหวานจับจิต แววตาระริกบ่งบอกว่ากำลังเพ้อฝันอยู่กับความหวังเล็กๆแสนโรแมนติกในใจเจ้าหญิงคาโนวาล

    "นั่นน่ะสิ ถ้าเอาไปขายคงได้สบายไปตลอดชาติ" ปากหมาๆของเจ้าหญิงหัวขโมย เอ่ยขัดทำลายความสุขของผู้ร่วมเดินทางทั้งหลาย ในขณะที่เจ้าคนคิดดังเกินไปยังทำหน้าตา สายตาสอดส่องไปทั่วโดยที่ไม่รู้เลยว่าปากเบาๆของเจ้าหล่อนเผลอเอาความคิดออกมาพูดฆ่าตัวตายเรียบร้อยแล้ว

    "เฟริน" เสียงปรามดุๆจากชายหนุ่มข้างกาย และสายตากระหายเลือดจากเหล่าพวกพ้องที่ถูกส่งมาที่เธอเป็นสายตาเดียวทำให้เจ้าตัวประจักษ์แล้วว่าหลุดปากพูดความคิดของหัวขโมยเก่าออกไป

    "หรือไม่จริง" เจ้าหล่อนยังทำหน้าตาย ในขณะที่เพื่อนๆเริ่มอยากจะหักคอหัวขโมยไปจิ้มน้ำพริกกินแล้ว

    "อย่าแม้แต่จะคิด เฟลิโอน่า เกรเดเวล" น้ำเสียงดุๆเข้มขรึมจากก้อนน้ำแข็งข้างๆ และการถูกเรียกชื่อเต็มยศทำให้เจ้าหญิงลืมตัวเริ่มรู้แล้วว่าคนรอบข้างซีเรียส ทำให้เธอแอบกลืนน้ำลาย เอื๊อก!

    "แหะๆ ฉันพูดเล่นหรอกน่า ไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั่นเลย" เฟรินยิ้มแห้งๆ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าติดตลกเพื่อไขข้อข้องใจของชาวป้อมปีสาม

    "ให้มันจริงเหอะ ฉันไม่เคยเห็นนายพูดอะไรจริงจังกับเขาซักที"แองเจลีน่ากระเซ้าด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายกับคำพูดกลับกลอกกะล่อนไปวันๆของหัวขโมยที่จู่ๆก็กลายเป็นเจ้าหญิงกับเขาเป็นเหมือนกันถึงแม้จะเป็นเจ้าหญิงแดนคนบาปก็ตามที โดยที่เธอเองก็พึ่งมารู้เอาตอนข่าวการตามล่าตัวแพร่กระจายในช่วงสงครามที่เพิ่งผ่านมาหมาดๆ

    "กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำฉันใด ราชนิกูลเองก็ไม่ควรคืนคำฉันนั้นนะเฟริน หรือนายอยากให้เดมอสเสื่อมเสียก็ตามสบาย" เจ้าแม่แห่งป้อมเอ็ดหัวขโมยตัวจ้อยยาวเป็นชุด ทำให้คนฟังเริ่มแอบน้อยใจเล็กๆ

    "วะ นี่พวกแกเห็นฉันเป็นคนยังไงกัน อยู่กันมาดีดักตั้งหลายปียังไม่รู้นิสัยใจคอกันอีกเหรอวะ" คนถูกรุมเริ่มออกอารมณ์กรุ่นๆ เมื่อเห็นว่าเหล่าพวกพ้องดูจะไม่ไว้ใจเธอเลย

    "ก็เพราะรู้นี่แหละถึงไม่ค่อยอยากจะเชื่อ" นักรบตาเดียวยิ่งพูดเข้ากระดูกดำของหัวขโมยอย่างไม่กลัวหมัดลุ่นๆจากเจ้าหญิงสองดินแดนคนเก่ง

    "อีกอย่าง ฉันก็เห็นแกเป็นครึ่งชายครึ่งหญิงกึ่งหมาที่มีนิสัยของหัวขโมยหนุ่มอยู่ในร่างเจ้าหญิงสาวสองดินแดน" เสียงปนหัวเราะกับคำพูดของตัวเองโดยนักฆ่าแห่งซาเรสที่ปากอยู่ไม่สุข ทั้งกัดเจ็บแล้วยังยาวเป็นชุดเล่นเอาคนโดนว่าเริ่มน้อยใจตงิดๆ

    อยากเข้าไปวางมวยกับคนที่รุมจิกเธอ หากเพียงแต่ตอนนี้เธออยู่ในร่างที่อ่อนแอกว่าและคนข้างๆเองก็คงไม่ยอมให้ทำด้วย เลยได้แต่แสดงอาการบางอย่างที่เพื่อนๆรออยู่นานแล้ว

    "งั้นก็แล้วแต่พวกแกจะคิดเถอะ ฉันมันยังไงก็หัวขโมยอยู่วันยังค่ำ" เจ้าของเสียงใสเจื้อยแจ้วสะบัดไปหน้าหวานที่ตอนนี้งอง้ำหนีไปทางอื่น ก่อนหลับตาปี๋ แล้วเอามือกอดอกแน่น

    "เฟริน" คาโลหันมามองอาการของพระคู่หมั้นอย่างเป็นห่วง ก่อนจะถลึงตาดุๆใส่เพื่อนต้นเหตุทั้งหลายที่ยืนยิ้มแฉ่งเป็นทองไม่รู้หนาว ทำให้คาโลต้องหยุดส่งสายตาดุๆไปให้แล้วเปลี่ยนเป็นเลิกคิ้วหนาขึ้นข้างหนึ่งขึ้นเป็นเชิงถาม พร้อมๆกับนัยน์ตาสีฟ้าส่องประกายระริกบ่งบอกความฉงนของเจ้าของ

    "ยินดีด้วยคะ เจ้าพี่คาโลที่คุณเฟรินเริ่มมีนิสัยเหมือนผู้หญิงขึ้นมาบ้างแล้ว" เสียงหวานๆที่ไม่บอกก็รู้ว่าใคร ทำให้คนถูกกล่าวถึงเริ่มอึ้งกับหลุมพลางที่ถูกขุดมาล่อให้นิสัยผู้หญิงจ๋าของเธอแสดงตนออกมา

    'เฮ้ย เรนอนก็เป็นไปกับเขาด้วยแฮะ แต่เดี๋ยวนี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย' เฟรินสะดุ้งโหยงหลุดจากมาดเจ้าหญิงแสนงอนกลายเป็นหัวขโมยตัวแสบทันที

    "เห็นไหมล่ะแองจี้ มาทิลด้า ฉันบอกแล้วไงว่าไอ้เฟรินมันงอนตุ๊บป่องเป็นแล้ว แถมงอนน่ารักซะด้วย" นักรบตาเดียวหันหลังไปฝอยกับเพื่อนสาวสองคนที่พยักหน้าหงึกๆ หลังจากไม่ยอมเชื่อสิ่งที่เขาและไอ้นักฆ่าเพื่อนรักเล่าให้ฟัง จนต้องมาพิสูจน์ให้เห็นกันจะๆถึงจะเชื่อ

    "ยินดีด้วยว่ะ คาละ.. อุ๊บ..ปักช์" คิลหันไปพูดกับคาโลซึ่งกำลังงงเป็นไก่ตาแตก เพราะเดินออกมาก่อนที่จะได้ฟังแผนตามคำอ้อนของเจ้าตัวแสบ แต่คิลก็ไม่อยู่พูดจนจบประโยคก็ลงไปนอนวัดพื้นจากฤทธิ์หมัดกรุ่นๆของคนถูกชมว่าน่ารัก ไม่เหลือภาพพจน์เมื่อครู่ไว้เลยซักนิด

    "เฮ้ยไอ้เฟ..อุ๊บ...ฉันไม่...อุ๊บ....เกี่ยว...อุ๊บ..ปักง์" สิ้นเสียงแก่ตัวที่ฟังไม่ขึ้นร่างของ ครี้ด ธันเดอร์ เดอะ วอริเออร์ตาเดียวก็ลงไปชิมรสแกรนิตอีกคน และแล้วมวยวัดก็บังเกิดขึ้นในโบสถ์ โดยเป็นแมชท์สองรุมหนึ่งแบบมัดมือชก คือมีสาวน้อยยืนกระทืบสองหนุ่มอยู่ฝ่ายเดียว

    เพราะกรรมการผู้ดูแลการแข่งขันคือเจ้าชายมาดน้ำแข็งที่ไม่คิดจะหยุดพระคู่หมั้นของตน แต่กลับส่งสายตาไปปรามสองหนุ่มที่อ่วมไปทั้งตัวไม่ให้ตอบโต้แทน ประมาณว่า 'แกแกล้งมันเองนะ กรรมตามสนอง' สองหนุ่มจึงได้แต่นอนรับกรรมที่ก่อ ในขณะที่สามสาวผู้สมรู้ร่วมคิดทำได้แต่ยืนดูเฉยๆอย่างสบายอารมณ์เท่านั้น

    "เอาละ เอาล่ะ พอเถอะเฟริน" มาทิลด้าเดินไปตบไหล่เฟรินที่กำลังยืนกระทืบสองเกลออยู่ อย่างเบามือ เพราะเริ่มสำนึกผิดในแผนการที่เธอเองเป็นคนต้นคิด

    "ใช่คะคุณเฟริน พอเถอะคะ เรนอนขอร้อง" เรนอนพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน นึกสงสารเหยื่ออารมณ์ทั้งคู่ที่นอนอ่วมเละเทะ เฟรินจึงหยุดการสำเร็จโทษไว้แต่เพียงแค่นั้นก่อนจะปล่อยให้กรรมการจอมลำเอียงเริ่มลงมือรักษา

    เฟรินหันหน้ามายังสามสาว ที่กำลังยืนกลืนน้ำลายลงคอ กลัวว่าเพื่อนสาวคนใหม่นี้จะไม่เว้นแม้แต่เพศเดียวกัน "ส่วนพวกเธอ ฉันอนุโลมให้ เพราะยังไง ท่านเฟรินคนนี้ก็ไม่เคยคิดจะรังแกผู้หญิงอยู่แล้ว" เฟริน เอ่ยด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มกลับมาเป็นคนเก่า เล่นเอาสามสาวลอบถอนหายใจเบาๆ 'ยังดีนะ มันยังมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่'

    "ไปต่อเถอะ เดี๋ยวจะเย็นเสียก่อน" คาโลพูดเสียงเข้มหลังจากก้มหน้าก้มตารักษาผลงานของแฟนสาวอยู่นาน ก่อนลุกขึ้นแล้วออกเดินนำหน้าคณะเดินทางที่ตามมาอย่างเงียบๆ โดยมีสองหนุ่มที่อ่วมเพราะสองเท้าของเจ้าหญิงจอมแก่นเดินพยุงกันเองรั้งท้ายสุด

    "ฉันทำเกินไปรึเปล่าคาโล" เสียงหวานที่เดินขึ้นมาประชิดผู้นำกลุ่มเอื่อนเอ่ยถ้อยคำที่หาฟังได้ยากจากปากหัวขโมยอย่างเธอ 'ใช่เธอ ยอมรับว่าเธออาจจะทำเกินไปจริง อาจจะเป็นเพราะอารมณ์ตอนนั้นมันประดังเข้ามาพร้อมๆกัน ทั้งความโกรธ และความอาย ทำให้เธอไปปลดปล่อยกับสองหน่อนั้นจนกระอักเลือดเลยทีเดียว'

    "นายรู้ตัวก็ดีแล้ว" เสียงทุ้มแกมเอ็นดูหวานหูดังจากปากเจ้าชายแห่งคาโนวาล ก่อนจะก้มตัวลงไปกระซิบข้างหูคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่ว "ฉันดีใจนะที่นายทำตัวน่ารักสมหญิง" คำหวานจากคาโลทำให้เฟรินหน้าขึ้นสีเรื่อๆ แล้วยิ่งแดงใหญ่เมื่อคาโลฉวยเอาความหอมฟอดใหญ่จากนวลแก้มขาวผ่อง

    "แล้วอีกอย่าง ความสำนึกผิด ไม่ใช่นิสัยที่หัวขโมยพึงมีนะ เฟริน" คาโลป้อนคำชมหวานๆ ก่อนขบเม้มที่ใบหูเบาๆ เรียกเลือดฝาดบนใบหน้าหญิงสาวได้เป็นอย่างดี

    "แล้วนายว่าฉันควรจะไปขอโทษ ดีไหม" เฟรินถามเสียงอ่อนอย่างสำนึกผิด ส่วนคำตอบที่ได้จากคนพูดด้วยคือรอยยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ทำให้เธอหยุดเดินแล้วรอให้สามสาวที่เดินทอดน่องชมความงามของโบสถ์กว้าง เดินผ่านไป ก่อนจะเริ่มเดินต่อเมื่อมาอยู่รั้งท้ายกับสองสหาย

    "วะฮะฮ่า หมาสองตัวนี่ ถูกกระทืบหน่อยหงอยไปเลยเหรอวะ" หน้าตายิ้มแย้มของหัวขโมยสาวมาพร้อมกับน้ำเสียงยียวน ที่คนอยู่ด้วยกันมานานรู้ดีว่ามันสำนึกผิด เขาจึงเลือกที่จะทอดสะพานไปให้เพื่อให้สาวเจ้าเอ่ยคำขอโทษได้ง่ายขึ้น

    "หน่อยบ้านพ่อแกสิ" คิลพูดด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวปนตัดเพ้อ สีหน้าอ่อนเยาว์ที่ตอนนี้ดูเย็นชา หันไปหาทางครี้ด ไม่สนใจคนอีกข้างหนึ่ง

    "ขอโทษก็ได้วะ อย่าสะดิ้งนักสิ" เฟรินพูดเร็วๆด้วยน้ำเสียงยียวน ที่เธอคิดว่าจะทำให้สหายรักหันหน้ามาแล้วก็ยกโทษให้ แต่กลับผิดคาดเมื่อนักฆ่ายังเลือกที่จะไม่สนใจเสียงหวานยียวนของเพื่อนรักตัวแสบ

    'มันคงโกรธมาก' ความคิดที่ประดังอยู่ในหัวเฟริน ทำให้เธอเริ่มกังวลว่าเพื่อนรักคนนี้อาจจะเกลียดเธอเข้าแล้วก็ได้

    "ฉันขอโทษจริงๆ คิล ครี้ด ฉันไม่น่าทำกับพวกแกถึงขนาดนั้นเลยว่ะ พวกแก ยกโทษให้ฉันเถอะนะ"น้ำเสียงหวานสั่นเครือ ตามมาด้วยเสียงสะอื้น และหยดน้ำตาที่เริ่มไหลลงกระทบพื้นหินแกร่งจนหยดน้ำตาแตกกระจาย

    คิลและครี้ดที่ก่อนหน้านี้พยายามหลบตาเฟริน กลับรีบหันมาดูเจ้าตัวดีทันทีที่ได้ยินเสียงสะอื้นไห้ รวมไปถึงสามสามและคาโลที่อยู่ข้างหน้าเองก็ด้วย ทั้งหมดหยุดเดินแล้วเข้าไปดูอาการหัวขโมยสาวอย่างเป็นห่วง

    "เฮ้ยเฟริน แกเอาจริงเหรอวะ ฉันกับไอ้ครี้ดก็แค่แกล้งทำไปอย่างนั้นเอง ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย" คิลเอ่ยด้วยท่าทีเป็นห่วงเมื่อเห็นการกระทำของเพื่อนสาวที่ตีบทแตกไม่มีชิ้นดี

    เขาเองวางแผนกับคาโลและครี้ดตอนที่คาโลก้มลงไปรักษาพวกเขา กะเอาแค่ให้เฟรินก้มหน้างุดแล้วเอ่ยเสียงเศร้าอย่างสำนึกผิดก็พอแต่นี่เจ้าหล่อนอินมากซะจนตีบทแตกไปเลย

    "เรื่องขอโทษน่ะ ไม่ต้องก็ได้ พวกฉันไม่ถือสาอะไรหรอก แกคิดเหรอว่าข้อเท้าบางๆของแกจะทำอะไรฉันสองคนได้ ถึงมันจะแรงควายหน่อยๆก็เหอะ" ครี้ด เอ่ยเสียงใสติดตลกหวังให้ดาราตุ๊กตาทองเลิกเศร้าเกินเหตุซะที

    ซึ่งก็ได้ผลเมื่อสาวเจ้าหยุดสะอึกสะอื้นทำให้สามสาวที่ได้รับรู้แผนการจากการกระซิบตอนเดินอยู่ หยุดการปลอบประโลม แล้วถอยออกห่างเพื่อให้เจ้าตัวลุกยืนขึ้นหลังจากลงไปสะอื้นกับพื้นอยู่นาน

    "ไอ้เพื่อนบ้า" เฟรินลุกขึ้นมาร่าเริงสดใสเหมือนเก่า พลางแลบลิ้นปริ้นตาใส่ทั้งๆที่คราบน้ำตายังคงปรากฏชัดอยู่บนแก้มนวลๆทั้งสองข้าง

    ก่อนจะวิ่งไปลากแฟนหนุ่มหน้าตายด้านให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้เพื่อนๆเบื้องหลังถอนใจอย่างปลงๆกับบุคคลที่เป็นตัวเชื่อมให้พวกเข้ารักใคร่ปรองดองกันอยู่ทุกวันนี้

    'นี่ทำไมเราโง่อย่างนี้ ให้พวกมันหลอกได้ถึงสองครั้งสองหนในวันเดียว แถมยังทำอะไรน่าอายให้พวกมันเห็นอีก เดี๋ยวเถอะนะไอ้คิล ทีเอ็งข้าไม่ว่า ทีข้าเอ็งอย่าบ่นก็แล้วกันวะ อย่าให้ถึงตาเราแล้วกัน เดี๋ยวพ่อขี่แพะไล่ให้ตับแลบเลยคอยดู'

    คิดไปอมยิ้มไปอย่างร่าเริง ในขณะที่สมองอันแสนอัจฉริยะคิดหาแผนการแก้แค้น มือเรียวบางก็จับมือใหญ่กร้านมาแกว่งเดินเล่นอย่างถือสิทธิ์ ซึ่งภาพเบื้องหน้าเรียกรอยยิ้มจากเพื่อนฝูงที่เดินตามมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

    และแล้วทั้งคู่ก็มายืนรอเพื่อนๆที่ตามมาห่างๆอยู่หน้ายกพื้นทำพิธี ก่อนประตูด้านหลังแท่นพิธีจะถูกเปิดออกด้วยแรงของบาทหลวงทรงคุณวุฒิคนหนึ่ง สายตาเจนโลกมองมายังคู่รักหนุ่มสาวเบื้องหน้าก่อนกล่าวเรียกเลือดขึ้นใบหน้าให้ผู้มาเยือน

    "มาจองสถานที่แต่งงานเหรอ สงสัยลูกคงต้องรอหน่อยนะคิวสุดท้ายที่ลงไว้ก็คือต้นปีหน้าโน่นแหนะ" สายตาเอ็นดูของบาทหลวงชราทำให้ทั้งคู่รู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก อบอุ่น อบอุ่นมาก อบอุ่นจนหน้าแดง(ได้ไงว้า)

    "หลวงพ่อจะบ้าเหรอครับ ใครจะไปแต่งกับคนอย่างอีตานี่" เสียงหวานกับอาการอายม้วนจนหน้าแดงแต่ปากกลับพูดไม่ตรงกลับใจซะนี่ ส่วนหลวงพ่อที่ถูกกล่าวหาว่าบ้าก็ยังคงสงบนิ่งราวขุนเขาตามแบบฉบับของคนที่ผ่านโลกมาเยอะ

    "พวกเรามาหา กัส โทนิย่า ครับและจะขออนุญาตพักที่นี่ซักคืนหวังว่าคงจะไม่เป็นการรบกวนมากนัก ส่วนเรื่องการแต่งงาน ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปแต่งแน่ครับ" คาโลร่ายยาว โดยมีบาทหลวงชรายิ้มรับ ในขณะที่เพื่อนๆเดินมาถึงครบแล้ว

    "จะจองไว้ก่อนไหม คิวโบสถ์เรามันยาวนะ" บาทหลวงชราเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ก่อนหันไปมองบรรดาผองเพื่อนที่เพิ่งเดินมาถึง

    "มันก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าตัวเขาอยากแต่งที่ไหน" คาโลหันหน้าไปมองเฟรินก่อนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

    "ไอ้บ้า คาโล ใครจะแต่งกับแกมิทราบ" เฟรินเถียงฉอดๆแต่ใบหน้านวลกลับขึ้นสีจางๆ

    "โฮ่ๆ โฮ่ เอาเถอะๆเอาเถอะ ในเมื่อเจ้าสาวไม่พร้อมไว้วันหลังค่อยว่ากัน ตอนนี้ข้าขอเชิญทุกท่านเข้าข้างในก่อนเถอะ"

    บาทหลวงแก่เดินนำคณะเดินทางเข้าสู่บ้านพักรับรองแขกของโบสถ์ โดยมีอีกเจ็ดชีวิตเดินตามเข้าไปอย่างว่าง่าย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×