ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บ้านของนักบวชแห่งกิลดิเรก
บทที่ ๒ บ้านของนักบวชแห่งกิลดิเรก
แสงแดดของยามบ่ายคล้อยที่มีสีส้มอมเหลืองสาดสองผ่านหน้าต่างบานเล็กๆของเกวียนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันสองเกียว กระทบเข้ากับเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยาวประบ่าเผยให้เห็นการเรียงสีของแสงจากสีส้มอมเหลืองเมื่อกระทบเข้ากับเส้นผมสีน้ำตาลไหม้รอบนอกที่กระเซ่อกระเซองเพราะเจ้าของไม่เคยใส่ใจดูแล ให้กลายเป็นสีน้ำตาลส้มอ่อนๆและสุดท้ายก็คือสีน้ำตาลไหม้ของผมหน้านุ่มที่แสงแดดไม่อาจส่องถึง
แต่ดูเหมือนคนในเกวียนหาได้สนใจความงามของแสงยามพระอาทิตย์อัสดงไม่เพราะดูเหมือนบทสนธนาข้างในดูเหมือนจะน่าสนใจกว่าเป็นกองเพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครหน้าไหนจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ กับใครบางคน
"เฮ้ย! ไอ้เฟรินแกแน่ใจเหรอว่าที่แกพูดมันเป็นเรื่องจริง" ชายหนุ่มตาสีม่วงเปรอยขึ้นอย่างสงสัย เพราะไม่เชื่อเรืองที่จอมกะล่อนมันเล่าให้ฟัง ใบหน้าที่ปกติยิ้มแย้มดูขี้เล่นอยู่เสมอบัดนี้สีหน้าและแววตากำลังบ่งบอกถึงความครุ่นคิด เริ่มทบทวนเรียบเรียบและจับผิดประโยคต่างๆที่ได้ฟังมา อยู่ในหัว
ผ้าม่านที่อยู่ติดกับที่คุมบังเหียนของเกียนส่วนหน้าถูกเปิดออกกว้างเพื่อรับลมริมทะเล และเพื่อให้คนที่กำลังทำหน้าที่คุมเกวียนอยู่ได้มีโอกาสเข้าร่วมบทสนธนาในครั้งนี้ด้วย ในขณะที่เกวียนส่วนหลังนั้นมีสามสาวและหนึ่งก้อนกำลังประชุมเพื่อวางแผนการเดินทางอยู่
"น่านน่ะสิ แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้ขโมยมา แล้วมาตู่ว่าคาโลซื้อให้เพื่อจะได้เลี่ยงปัญหาที่ตามมาภายหลัง" ครี้ด ธันเดอร์ บุรุษหนุ่มตาเดียวกล่าวมาจากที่คุมบังเหียนที่เขาทำหน้าที่ดูแลอยู่
"วะ พวกแกเห็นฉันเป็นคนยังไงฮะ ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนฝูงกันล่ะก็มีเหรอฉันจะเล่าให้พวกแกฟัง เอาวะไม่เชื่อก็ไม่เชื่อตามใจแก" สาวน้อยนามเฟลิโอน่า ฉายาเจ้าหญิงปากมอมเอ่ยด้ววยสีหน้าบึ้งตึง แยกเขียวใส่แล้วกอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าหนีเป็นกริยาที่เจ้าหญิงหัวขโมยไม่ค่อยแสดงออกมาบ่อยนัก ทำให้ผู้พบเห็นอดประหลาดใจไม่ได้
"แล้วแกจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง ว่าไอ้คาโลที่มันเริ่มเดือดปุดๆแต่เสือกปล่อยไอเย็นออกมา ในตอนที่รู้ว่าแกแอบแยกออกจากกลุ่มไปเทียวโดยไม่มีใคตามไปเพราะรู้นิสัยแกดีน่ะ มันจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไปเล่นบทหวานแบบคนรู้ใจของแกได้ยังไงกัน" คิลพูดด้วยน้ำเสียงกระเซ้าพร้อมชีแจงเหตุผลเพื่อสาวเจ้าสหายรักหายโกรธที่ไม่ยอมเชื่อมัน
"เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ว่าแต่แกเถอะเฟรินไปหัดทำแบบนั้นมาจากไหนวะ ไอ้ท่างอนน่ารักๆแบบผู้หญิงเนี่ย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชาตินี้จะมีบุญได้เห็นแกทำเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา" ครี้ดกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั่วหัวเราะโดยมีคิลร่วมผสมโรง
ส่วนเฟรินเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็หันมาสงใจลักษณะท่าทีของตนเอง พลางนึกไปถึงกานสะบัดหน้าหนีเมื่อครู่ของตัวเอง จากนั้นก็มองลงไปยังมือที่กอดอกตัวเองแน่นก็รีบคลายออกทันทีราวกับว่าแขนเรียวขาวของตนเป็นอีสุกอีสัยยังไงหยั่งงั้น
"นี่พวกแกจะหยุดหัวเราะได้ยังวะ นี่มันเรื่องใหญ่นะโว้ย ดูสินับวันฉันยิ่งเริ่มทำตัวเหมือนพวกผู้หญิงงี่เง่านั่นเข้าไปทุกทีๆแล้วนะเนี่ย" เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงตะคอกในช่วงแรกแต่ก็แผ่วลงในช่วงปลาย หน้าหวานรู้ไข่มีสีหน้าปลงตก ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้คู่โตบ่องแบ้วกำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างบางอรชรในชุดผู้ชายตัวหลวมเทอะทะที่เจ้าตัวไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธ
อาการดังกล่าวทำให้คิลและครี้ดหยุดหัวเราะแล้วหันมาสนใจรับฟังปัญหาหนักอกของเพื่อนสาวในเกวียน แต่ก็แทบกลิ้งตกเกวียนซะเดี๋ยวนั้นเมื่อฟังจบ ทำให้เฟรินต้องยืนขึ้นมาทรงตัวอยู่บนเกวียน มือบางเท้าสะเอวพลางตบเท้าข้างซ้ายลงกับพื้นอย่างเป็นจังหวะ คิ้วมุ้นเข้าหากัน หน้างามๆเริ่มฉายแววหงุดหงิดเป็นสัญญาณบองชายหนุ่มทั้งสองว่า /มันไม่ตลกนะ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้ท่ายังอยากอยู่บนเกวียน/
"คงเป็นเพราะฮอร์โมนเพศมั้ง แกเลยเป็นแบบนี้" นักฆ่าที่ยังไม่อยากลงไปนอนคลุกฝุนอยู่นอกเกวียนเอ่ยขึ้นหน้าตาย หลังจากรีบกลั้นหัวเราะอย่างฉับพลัน ชักหน้ากากฟาโรว์ออกมาใส่ได้อย่างแนบเนียนจนไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเคยหัวเราะท้องแข็งมาก่อน
"แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะวะ ยังไงแกก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ทำตัวให้ชินซะก็สิ้นเรื่อง"นักรบหนุ่มตาเดียวหันมาชี้แจงให้เพื่อนสาวขี้ลืมตัวฟัง ทั้งๆที่ใบหน้ายังคงแดงกล่ำจากการหัวเราะจนขาดอากาศเมื่อครู่ ในขณะที่มือยังคงจับบังเหียนอย่างลวกๆไม่ได้สนใจจุดหมายปลายทางเลย
เฟรินเมื่อได้ฟังคำพูดตรงจุดที่หลุดจากปาก วอริเออร์ ออฟ ไนล์ ก็สะดุ้งสะอึกแทบสำลักน้ำลายทันที กับความจริงที่เธอมักจะมองข้ามข้อนี้ไปเสมอ รีบเบี่ยงเบนหาประเด็นอื่นที่มันไกลตัว ไม่ข้องเกี่ยวกับความจริงข้อนี้ที่เธอยังทำใจยอมรับไม่ค่อยได้
"ว่าแต่แกเถอะครี้ด แกมาได้ยังไงวะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่แกจพเป็นต้องมาเลยนี่หว่า ไม่เหมือนไอ้คิลมันที่ต้องมาตามเฝ้าเรนอนคนงามของมันไม่ให้หมาตัวไหนมาคาบไป"ปากหมาๆทำงานอีกครั้ง คราวนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
"ก็ ยัยแองจี้มันชวนมาน่ะ ฉันก็ว่างๆไม่มีอะไรทำอยู่แล้วด้วย อีกอย่างฉันเองก็ปฏิเสธผู้หญิงไม่เป็นซะนี่" นิสัยกล้าพูดกล้าทำองอาจไม่เกรงใจใครของคนผู้นี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ เล่นเอาสองสหายอ้าปากค้างกับคำพูดขวานผ่าซากของนักรบหนุ่มตาเดียว
"แล้วไอ้คาโลของแกล่ะ ไม่ไปเข้าเฝ้ามันหน่อยเหรอ ประชุมกับผู้หญิงตั้งสามคนอย่างนั้น เดี๋ยวมันจะอดใจไม่ไหวถ้าไม่มีแฟนสาวตัวดีไปขนาบข้าง" เฟรินหายอึ้งทันทีเมื่อถูกสวนการโจมตีทางวาจากลับจากชายตาเดียว
"น้ำหน้าอย่างไอ้คาโล นักรักชั้นอนุบาลเนี่ยนะจะไปหม้อใหครเป็น"เฟรินยิ้มเยาะให้กับคำพูดพาดพิงถึงแฟนหนุ่มของตนเอง
"แต่มันก็ไม่แน่นะ" คิลพูดพลางเอามือลูบคางอย่างครุ่น "ดูจากที่มันทำกับแกสิ เห็นทีงานนี้มันคงเข้าเรียนมัธยมแล้วล่ะ" นักฆ่าพูดจบประโยคได้เพียงไม่นานเหตุการไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น
ม่านจากด้านหลังของเกวียนถูกเปิดออกอย่างเร่งรีบ เผยให้เห็นองค์ประชุมทั้งสี่ที่ผละจากการประชุมเรียบร้อยแล้ว ฉับพลันแม่มดสาวแห่งป้อมบ้าเลือดก็เดินดุ่มๆตรงมายังผู้คุมบังเหียนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับไม้คธาในมือที่ถูกเรียกออกมาไวเท่าความคิด และสุดท้ายก็ถูกบรรจงวางไว้บนกระบาลของผู้เคราะห์ร้ายตามสูตรก่อนที่จะมีการเตือนเสียด้วยซ้ำ
โป๊ก!!...โอ้ย ...แองจี้ มันเจ็บนะ
นี่! นายคุมเกวียนภาษาอะไรของนายฮะ เลยบ้านของนายกัสมาเป็นโยชแล้ว...เท่านั้นเองความกระจ่างก็ถูกจุดขึ้นในหัวทึบๆหนาๆ กลวงๆของนักรบหนุ่มที่มัวแต่ฝอยอยู่กับหัวขโมยสาวจอมป่วนและนักฆ่าหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกจนลืมหน้าที่ของตัวเองไปเสียสนิท
แสงแดดของยามบ่ายคล้อยที่มีสีส้มอมเหลืองสาดสองผ่านหน้าต่างบานเล็กๆของเกวียนขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกันสองเกียว กระทบเข้ากับเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ที่ยาวประบ่าเผยให้เห็นการเรียงสีของแสงจากสีส้มอมเหลืองเมื่อกระทบเข้ากับเส้นผมสีน้ำตาลไหม้รอบนอกที่กระเซ่อกระเซองเพราะเจ้าของไม่เคยใส่ใจดูแล ให้กลายเป็นสีน้ำตาลส้มอ่อนๆและสุดท้ายก็คือสีน้ำตาลไหม้ของผมหน้านุ่มที่แสงแดดไม่อาจส่องถึง
แต่ดูเหมือนคนในเกวียนหาได้สนใจความงามของแสงยามพระอาทิตย์อัสดงไม่เพราะดูเหมือนบทสนธนาข้างในดูเหมือนจะน่าสนใจกว่าเป็นกองเพราะมันเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครหน้าไหนจะเชื่อว่ามันจะเกิดขึ้นได้ กับใครบางคน
"เฮ้ย! ไอ้เฟรินแกแน่ใจเหรอว่าที่แกพูดมันเป็นเรื่องจริง" ชายหนุ่มตาสีม่วงเปรอยขึ้นอย่างสงสัย เพราะไม่เชื่อเรืองที่จอมกะล่อนมันเล่าให้ฟัง ใบหน้าที่ปกติยิ้มแย้มดูขี้เล่นอยู่เสมอบัดนี้สีหน้าและแววตากำลังบ่งบอกถึงความครุ่นคิด เริ่มทบทวนเรียบเรียบและจับผิดประโยคต่างๆที่ได้ฟังมา อยู่ในหัว
ผ้าม่านที่อยู่ติดกับที่คุมบังเหียนของเกียนส่วนหน้าถูกเปิดออกกว้างเพื่อรับลมริมทะเล และเพื่อให้คนที่กำลังทำหน้าที่คุมเกวียนอยู่ได้มีโอกาสเข้าร่วมบทสนธนาในครั้งนี้ด้วย ในขณะที่เกวียนส่วนหลังนั้นมีสามสาวและหนึ่งก้อนกำลังประชุมเพื่อวางแผนการเดินทางอยู่
"น่านน่ะสิ แกแน่ใจนะว่าแกไม่ได้ขโมยมา แล้วมาตู่ว่าคาโลซื้อให้เพื่อจะได้เลี่ยงปัญหาที่ตามมาภายหลัง" ครี้ด ธันเดอร์ บุรุษหนุ่มตาเดียวกล่าวมาจากที่คุมบังเหียนที่เขาทำหน้าที่ดูแลอยู่
"วะ พวกแกเห็นฉันเป็นคนยังไงฮะ ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนฝูงกันล่ะก็มีเหรอฉันจะเล่าให้พวกแกฟัง เอาวะไม่เชื่อก็ไม่เชื่อตามใจแก" สาวน้อยนามเฟลิโอน่า ฉายาเจ้าหญิงปากมอมเอ่ยด้ววยสีหน้าบึ้งตึง แยกเขียวใส่แล้วกอดอกพร้อมกับสะบัดหน้าหนีเป็นกริยาที่เจ้าหญิงหัวขโมยไม่ค่อยแสดงออกมาบ่อยนัก ทำให้ผู้พบเห็นอดประหลาดใจไม่ได้
"แล้วแกจะให้ฉันเชื่อได้ยังไง ว่าไอ้คาโลที่มันเริ่มเดือดปุดๆแต่เสือกปล่อยไอเย็นออกมา ในตอนที่รู้ว่าแกแอบแยกออกจากกลุ่มไปเทียวโดยไม่มีใคตามไปเพราะรู้นิสัยแกดีน่ะ มันจะเป็นคนเดียวกันกับคนที่ไปเล่นบทหวานแบบคนรู้ใจของแกได้ยังไงกัน" คิลพูดด้วยน้ำเสียงกระเซ้าพร้อมชีแจงเหตุผลเพื่อสาวเจ้าสหายรักหายโกรธที่ไม่ยอมเชื่อมัน
"เรื่องนั้นน่ะช่างมันเถอะ ว่าแต่แกเถอะเฟรินไปหัดทำแบบนั้นมาจากไหนวะ ไอ้ท่างอนน่ารักๆแบบผู้หญิงเนี่ย ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าชาตินี้จะมีบุญได้เห็นแกทำเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา" ครี้ดกล่าวด้วยน้ำเสียงกลั่วหัวเราะโดยมีคิลร่วมผสมโรง
ส่วนเฟรินเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็หันมาสงใจลักษณะท่าทีของตนเอง พลางนึกไปถึงกานสะบัดหน้าหนีเมื่อครู่ของตัวเอง จากนั้นก็มองลงไปยังมือที่กอดอกตัวเองแน่นก็รีบคลายออกทันทีราวกับว่าแขนเรียวขาวของตนเป็นอีสุกอีสัยยังไงหยั่งงั้น
"นี่พวกแกจะหยุดหัวเราะได้ยังวะ นี่มันเรื่องใหญ่นะโว้ย ดูสินับวันฉันยิ่งเริ่มทำตัวเหมือนพวกผู้หญิงงี่เง่านั่นเข้าไปทุกทีๆแล้วนะเนี่ย" เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงตะคอกในช่วงแรกแต่ก็แผ่วลงในช่วงปลาย หน้าหวานรู้ไข่มีสีหน้าปลงตก ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้คู่โตบ่องแบ้วกำลังจับจ้องอยู่ที่ร่างบางอรชรในชุดผู้ชายตัวหลวมเทอะทะที่เจ้าตัวไม่เคยคิดที่จะปฏิเสธ
อาการดังกล่าวทำให้คิลและครี้ดหยุดหัวเราะแล้วหันมาสนใจรับฟังปัญหาหนักอกของเพื่อนสาวในเกวียน แต่ก็แทบกลิ้งตกเกวียนซะเดี๋ยวนั้นเมื่อฟังจบ ทำให้เฟรินต้องยืนขึ้นมาทรงตัวอยู่บนเกวียน มือบางเท้าสะเอวพลางตบเท้าข้างซ้ายลงกับพื้นอย่างเป็นจังหวะ คิ้วมุ้นเข้าหากัน หน้างามๆเริ่มฉายแววหงุดหงิดเป็นสัญญาณบองชายหนุ่มทั้งสองว่า /มันไม่ตลกนะ หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้ท่ายังอยากอยู่บนเกวียน/
"คงเป็นเพราะฮอร์โมนเพศมั้ง แกเลยเป็นแบบนี้" นักฆ่าที่ยังไม่อยากลงไปนอนคลุกฝุนอยู่นอกเกวียนเอ่ยขึ้นหน้าตาย หลังจากรีบกลั้นหัวเราะอย่างฉับพลัน ชักหน้ากากฟาโรว์ออกมาใส่ได้อย่างแนบเนียนจนไม่สามารถดูออกได้เลยว่าเคยหัวเราะท้องแข็งมาก่อน
"แล้วมันไม่ดีตรงไหนล่ะวะ ยังไงแกก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ ทำตัวให้ชินซะก็สิ้นเรื่อง"นักรบหนุ่มตาเดียวหันมาชี้แจงให้เพื่อนสาวขี้ลืมตัวฟัง ทั้งๆที่ใบหน้ายังคงแดงกล่ำจากการหัวเราะจนขาดอากาศเมื่อครู่ ในขณะที่มือยังคงจับบังเหียนอย่างลวกๆไม่ได้สนใจจุดหมายปลายทางเลย
เฟรินเมื่อได้ฟังคำพูดตรงจุดที่หลุดจากปาก วอริเออร์ ออฟ ไนล์ ก็สะดุ้งสะอึกแทบสำลักน้ำลายทันที กับความจริงที่เธอมักจะมองข้ามข้อนี้ไปเสมอ รีบเบี่ยงเบนหาประเด็นอื่นที่มันไกลตัว ไม่ข้องเกี่ยวกับความจริงข้อนี้ที่เธอยังทำใจยอมรับไม่ค่อยได้
"ว่าแต่แกเถอะครี้ด แกมาได้ยังไงวะ ไม่มีเหตุผลอะไรที่แกจพเป็นต้องมาเลยนี่หว่า ไม่เหมือนไอ้คิลมันที่ต้องมาตามเฝ้าเรนอนคนงามของมันไม่ให้หมาตัวไหนมาคาบไป"ปากหมาๆทำงานอีกครั้ง คราวนี้ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
"ก็ ยัยแองจี้มันชวนมาน่ะ ฉันก็ว่างๆไม่มีอะไรทำอยู่แล้วด้วย อีกอย่างฉันเองก็ปฏิเสธผู้หญิงไม่เป็นซะนี่" นิสัยกล้าพูดกล้าทำองอาจไม่เกรงใจใครของคนผู้นี้ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลยจริงๆ เล่นเอาสองสหายอ้าปากค้างกับคำพูดขวานผ่าซากของนักรบหนุ่มตาเดียว
"แล้วไอ้คาโลของแกล่ะ ไม่ไปเข้าเฝ้ามันหน่อยเหรอ ประชุมกับผู้หญิงตั้งสามคนอย่างนั้น เดี๋ยวมันจะอดใจไม่ไหวถ้าไม่มีแฟนสาวตัวดีไปขนาบข้าง" เฟรินหายอึ้งทันทีเมื่อถูกสวนการโจมตีทางวาจากลับจากชายตาเดียว
"น้ำหน้าอย่างไอ้คาโล นักรักชั้นอนุบาลเนี่ยนะจะไปหม้อใหครเป็น"เฟรินยิ้มเยาะให้กับคำพูดพาดพิงถึงแฟนหนุ่มของตนเอง
"แต่มันก็ไม่แน่นะ" คิลพูดพลางเอามือลูบคางอย่างครุ่น "ดูจากที่มันทำกับแกสิ เห็นทีงานนี้มันคงเข้าเรียนมัธยมแล้วล่ะ" นักฆ่าพูดจบประโยคได้เพียงไม่นานเหตุการไม่คาดฝันก็พลันเกิดขึ้น
ม่านจากด้านหลังของเกวียนถูกเปิดออกอย่างเร่งรีบ เผยให้เห็นองค์ประชุมทั้งสี่ที่ผละจากการประชุมเรียบร้อยแล้ว ฉับพลันแม่มดสาวแห่งป้อมบ้าเลือดก็เดินดุ่มๆตรงมายังผู้คุมบังเหียนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับไม้คธาในมือที่ถูกเรียกออกมาไวเท่าความคิด และสุดท้ายก็ถูกบรรจงวางไว้บนกระบาลของผู้เคราะห์ร้ายตามสูตรก่อนที่จะมีการเตือนเสียด้วยซ้ำ
โป๊ก!!...โอ้ย ...แองจี้ มันเจ็บนะ
นี่! นายคุมเกวียนภาษาอะไรของนายฮะ เลยบ้านของนายกัสมาเป็นโยชแล้ว...เท่านั้นเองความกระจ่างก็ถูกจุดขึ้นในหัวทึบๆหนาๆ กลวงๆของนักรบหนุ่มที่มัวแต่ฝอยอยู่กับหัวขโมยสาวจอมป่วนและนักฆ่าหนุ่มผู้อ่อนต่อโลกจนลืมหน้าที่ของตัวเองไปเสียสนิท
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น