คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ป้อน
บทที่ ๑๕ ป้อน
ท้องนภาเปลี่ยนมาทอแสงสีน้ำเงินหม่นๆซึ่งบ่งบอกการมาเยือนของเงามืดแห่งยามราตรี หลังจากที่ดวงสุริยาก้อนโตได้จมลงสู่ทะเลเกือบหมดลูกแล้ว คงเหลือไว้เพียงแสงสลัวๆที่ทำให้บรรยากาศโดยรวมดูวังเวงไม่น่าไว้วางใจยังไงชอบกลและคงจะแย่กว่านี้หากนี่ไม่ใช่คืนที่พระจันทร์เต็มดวง และนี่ก็ไม่ใช่กลางป่าร้างหลังเขาที่ไหน
เก๊งๆ ก๊างๆ .
เสียงกระทบกันของสสารบนจานใหญ่ของใครต่อใครอีกหลายๆโต๊ะ ตามมาด้วยเสียงเจ๊าะแจ๊ะจอแจกับบทสนทนาเรื่อยเปื่อยของเหล่าแขกผู้มีอันจะกินทั้งหลายที่ทยอยกันมาเช็คอินเข้าโรงแรมตั้งแต่ช่วงเย็นของวัน
“นี่ๆ พี่ชายๆ ไอ้พวกผู้ดีตีนแดงทั้งหลายเขาถ่อมาทำอะไรกันไกลนักหนาหรอ หรือว่าทั้งกิลดิเรกมันร้านอาหารแค่ที่เดียว” หญิงสาวท่าทางอารมณ์ดีตรัสถามบริกรหน้ามนอย่างแจ่มใส เนื่องจากหนังท้องเริ่มจะตึงกับอาหารที่เธอสั่งมาแต่ก็ไม่เคยทำให้เสียของ ก่อนจะรับแก้วน้ำจากคนถูกถามมาวางบนโต๊ะพลางกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
“เปล่าหรอกครับคุณผู้หญิง คงเป็นเพราะที่นี่บรรยากาศดี วิวสวย อาหารก็อร่อย อีกทั้งยังมีอะไรสวยๆงามให้ดูอีกกระมังคับ” คนถูกถามตอบยิ้มๆ ขณะที่ผละจากสาวผมสีน้ำตาลไปบริการน้ำให้ชายหนุ่มผมสีเงินที่นั่งข้างๆเธอแทน
“แมงกะพรุน เนี่ยนะสวยงาม บรื่อ..” นักฆ่าที่นั่งขนาบอีกข้างหนึ่งของหญิงสาวโวยขึ้น พร้อมทั้งทำไม้ทำมือเป็นคลื่นๆเหมือนหนวดปลาหมึก เพื่อประกอบคำโวย อย่างน่าขัน
“ว่าแต่ว่าไอ้วุ้นใสพวกนั้นมันมาลอยหาพระแสงอะไรแถวชายหาดวะ หรือว่าจะจับมันมากินได้” นักรบหนุ่มผู้นั่งถัดไปจากนักฆ่าขี้เล่น เอ่ยปากบ่นถามอากาศลอยๆ ซึ่งเขาแน่ใจว่าในไม่ช้าต้องมีพวกอวดฉลาดมันตอบ
“พระแสงคงจะไล่มันไปนานแล้วล่ะถ้าที่นี่คือชายหาดจริงๆล่ะก็” เจ้าชายขอทานตีไข่ของนักรบแตกดังโป๊ะ! ด้วยมาดจิบชาที่ไม่รู้ไปเลียนแบบใครมา
“กะแล้วเชียว แล้วไงต่อล่ะนายขอทานแสนรู้” นักรบกระตุ้นให้เล่าต่อเพราะถ้าจะรอให้มันมาบอกเองชาตินี้คงไม่ต้องทำอะไรกันพอดี
“เพราะหาดนี้แต่ก่อนเคยเป็นตลิ่งชันที่มีแมงกะพรุนมาอาศัยอยู่ชุกชุม จนกระทั่งมีการบุกเบิกสร้างที่นี่ขึ้นเพื่อทำเป็นโรงแรมภัตตาคาร ตลิ่งจึงถูกทำให้เป็นหาดทรายและระดับน้ำจะลึกลงทันทีเมื่อพ้นหาด เพราะฉะนั้นน้ำที่นี่เลยไม่น่าลงไปเล่น ทั้งลึกทั้งกะพรุนซวยเป็นบ้าถ้าตกลงไป” คำอธิบายโดยละเอียดกลับดังมาจากร่างบางหน้าตาจิ้มลิ้มกวนประสาท ที่นั่งข้างๆไอ้หนุ่มหน้าตาย ทำให้เพื่อนๆทั้งหลายต่างถลึงตามองอย่างไม่เชื่อว่าหัวขโมยจะมีวันนี้ได้
“เฟริน นายรู้ได้ยังไง .นี่มันตัวปลอมชัดๆ แย่แล้วไอ้เฟรินถูกลักพาตัวแกบอกมานะว่าตัวจริงอยู่ไหน คุณเฟรินเก่งจังเลยค่ะว่าไหมค่ะเจ้าพี่คาโล .อือ แกป่วยรึเปล่าวะเฟริน” เสียงนก เสียงกา ของสิงห์สาราสัตว์น้อยใหญ่ต่างระดมยิงคำถามใส่คนที่กำลังเล็มก้ามปูอย่างเอร็ดอร่อย
เฟรินปล่อยก้ามปูอวบๆออกมาจากปาก ก่อนจะใช้ไอ้ที่เพิ่งจะงับเข้าปากไปนั้น ชี้ไปยังแผ่นป้ายโลหะสีทอง แผ่นใหญ่ที่แขวนเด่นหลาอยู่มุมร้านอย่างอารมณ์เสียที่ถูกขัดจังหวะการสวาปามขององค์หญิงจอมแก่นแห่งเดมอส
“ถึงฉันจะโง่ฉันก็ไม่ได้ตาบอดนะเฟ้ย” พูดจบคนโง่ก็ตวัดของที่กินค้างไว้เข้าปากเหมือนเดิมอย่างไม่แยแสสายตาสยดสยองขนพอง คอแข็ง จนกินอะไรไม่ลงของโต๊ะรอบข้าง อี๊..แหวะ.!
“
เฟรินนายจะกินดีๆไหม” ถึงเวลาเจ้าชายตายซากออกโรงปรามพระคู่หมั้นให้เลิกทำตัวเป็นอสูรกายหน้าด้านด้วยแผนการที่คิดแล้วก็หน้าแดง“ทำไม หรือว่าแกจะป้อนฮะไอ้น้ำแข็งไส ก็ดีเหมือนกันฉันกำลังขี้เกียจอยู่เลย” คนขี้เกียจแม้กระทั่งเรื่องกินกล่าวประชดเจ้าชายแดนนักรบ พลางอ้าปากกว้างรอให้ป้อนเหมือนเด็กๆ ซึ่งเธอเองกล้าพนันได้เลยว่าคนหน้าบางอย่างมันคงไม่กล้าทำอะไรหวานแหว๋วกลางที่สาธารณะแน่นอน
“นี่ถ้าพวกแกจะป้อนก็ไปป้อนกันที่อื่นเลยไป คนตาบอดอย่างฉันอยากกินข้าวไม่ใช่ของหวาน” นักฆ่าจามขัดเอ่ยปากเตือนเพื่อนทั้งสองที่ริอาจจะกระทำการอุกอาจกลางสายตานับสิบๆคู่ในที่นี้
“นายอยากให้ฉันป้อน” เจ้าชายมาดตายหันหน้ามาถามสาวน้อยด้วยเสียงเรียบที่กลบเกลื่อนความสนุกที่ได้แกล้งแม่ตัวดีของเขาไว้เสียสนิท
“ฉันอยากถ้าแกกล้า” หัวขโมยส่งคำท้าพลางหลิ่วตามองอย่างเหยียดหยามท้าทายในความใจถึงของเจ้าชายที่ดูจะมีไม่มากโดยดูจากมาดมากๆของมัน คงจะดีแต่มาดไปวันๆ
“555 ฉันว่าแล้วไงไอ้น้ำแข็งใจเสาะ หน้าอย่างแกจะใจถึงซักแค่ไหนกันเชียว” เมื่อเห็นว่าเจ้าชายเลือกที่จะวางช้อนลงเป็นการยอมจำนนแล้ว หัวขโมยเลยได้ที่หัวเราะเยาะเย้ยอย่างผู้มีชัย
“นายอยากให้ฉันป้อน ฉันก็จะป้อนแต่ด้วยอะไรนายไม่ได้ระบุ” น้ำเสียงเรียบพร้อมกับใบหน้าคมคายที่หันมามองยังเหยื่อเหงื่อตกด้วยสายตาแปลกๆอย่างปิดไม่มิด ก่อนจะก้มลงอย่างรวดเร็วเพื่อพรากรสสัมผัสจากริมฝีปากเนียนของคนปากดีที่ไม่ทันตั้งตัว ซึ่งถึงแม้ร่างบางจะพยายามดิ้นประท้วงด้วยความอายสายตาประชาชียังไง มือแกร่งทั้งสองก็ยังบังคับให้เธอรับการป้อนความหวานที่ประเคนถึงปาก ซึ่งทำให้เธอเริ่มจะคล้อยไปกับมันอย่างลืมตัว
เกร้ง! ก๊าก! เพร๊ง! ป๊าป!
เสียงช้อนที่ถูกทิ้งลงจากมือมากระทบกับจานของแขกทั้งหลาย ตามมาติดๆด้วยแก้วน้ำที่แตกเพราะความตกใจ เมื่อมีฉากเลิฟซีนหวานปาดคอหอยมาเสริฟเป็นของหวานอาหารตาให้แขกทั้งหลายได้ตกตะลึงกันเล่นๆ และสุดท้ายคือการตบหน้าผากตัวเองอย่างแรงของตัวขัดจังหวะที่ไม่สามารถทำงานให้มีประสิทธิภาพได้ในเมื่อไอ้เจ้าชายมันอายไม่เป็น
“ปัดโถ่โว้ย ถ้าพวกแกจะป้อนน้ำลายกันก็เชิญไปป้อนกันบนห้องซะให้เสร็จเหอะ อยากทำอะไรกันก็ไปทำซะ รับรองคราวนี้ฉันไม่ไปกวน” นักฆ่าให้โอวาทแก่คู่รักที่ไม่ดูกาลเทศะ ซึ่งเสียงของเขาก็เรียกให้หัวขโมยตื่นจากวังวนแห่งแรงสัมผัส
“ไอ้..ไอ้ๆ..ไอ้ บ้าคาโล ไอ้คนผีทะเล”เฟรินลุกขึ้นกล่าวประจานคาโลเสียงดังลั่นเพื่อเหมือนกับจะประกาศให้โลกรู้ยังไงยังงั้น ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่นักฆ่าตัวดีที่กำลังทำท่าทีเบื่อโลกเต็มทีเหมือนอยากให้ไอ้ก้อนน้ำแข็งเขมือบเธอซะให้รู้แล้วรู้รอด
“แล้วนั่นนายจะไปไหนน่ะเฟริน” แม่มดสาวกล่าวถามเมื่อเห็นว่าเพื่อนหญิงกำลังออกเดินปังๆไปยังบันไดขึ้นชั้นสองของโรงแรม
“ไปอาบน้ำ มีไรไหม” ประโยคสุดท้ายก่อนเจ้าของร่างจะนำตัวเองเดินปังๆขึ้นไปยังห้องพักของตนเองซึ่งเป็นเตียงเดี่ยวสองเตียงโดยเธอได้นอนคู่กับเจ้าหญิงองค์งามเรนอน ซึ่งมันคงจะเป็นค่ำคืนแสนวิเศษหากเธอไม่ได้ตกอยู่ในสภาพนี้
“ไปสิวะไอ้คาโล อยากทำอะไรก็รีบๆไปทำกันซะฉันล่ะรำคาญ” นักฆ่ายังคงส่งเสริมให้เจ้าชายขึ้นไปทารุณกรรมสัตว์ให้ลุล่วงก่อนที่โรคเบาหวานจะกินหัวเขาซะก่อน โดยไม่เกรงสายตาเย็นยะเยือกของคนถูกยุ
“แล้วไอ้ที่มันเดินปังๆ ขึ้นไปน่ะมันจำห้องมันได้รึเปล่า” บุรุษตาเดียวถามตัวเองกลั้วหัวเราะ เคล้ากับนักฆ่าบ้าจี้ที่เส้นตื้นเหลือคณา
“ไปสิวะคาโล มันงอนแกแหละ ที่ไปทำมันอาย แล้วอีกอย่างแกไปช่วยมันอาบน้ำหน่อยจะเป็นไรไป โป๊ก” นักรบหนุ่มกล่าวกับเจ้าชายด้วยสายตามากเล่ห์ ก่อนจะโดนเฉ่งกระบาลด้วยคทายมบาลของหญิงสาวผมสีทองตามเคย “โอ้ยตีเบาๆหน่อยไม่เป็นรึไงยัยแองจี้” เขาโวย
“ไม่ต้องไปสนใจนายครี้ดบ้านี่หรอกคาโล เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปบอกเฟรินเอง” แม่มดสาวกล่าวแก่เจ้าชายเยือกแข็งโดยเสนอให้พวกเธอเป็นคนจัดการเอง เพราะกลัวว่าบางทีก้อนน้ำแข็งอาจจะเป็นพวกบ้ายุ จนอยากเผด็จศึกหัวขโมยขึ้นมาจริงๆ
ไม่เป็นไรเดี๋ยวฉันจะพาไปเอง -ไม่บอกเฉยๆแต่ไปส่งถึงห้องเลยล่ะ-
ความคิดเห็น