คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : ส่วนผสมที่ลงตัว
บทที่ ๑๐ ส่วนผสมที่ลงตัว
ทินกรดวงโตแผ่สายายรัศมีอันแรงกล้ากลางท้องนภากว้างสีครามซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกการมาถึงของแสงแดดที่ร้อนระอุในเวลากลางวันแสกๆ ของเมื่องประมงชายทะเลที่ถึงแม้แดดจะร้อนตับแตกแต่ด้วยอิทธิพลจากลมมรสุมในทะเล ก็ทำให้มีพายุฝนเม็ดโตๆพัดเข้ากระหน่ำไม่เว้นแต่ละวันเช่นกัน ซึ่งนั่นก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของเมืองๆ นี้นอกจากชื่อเสียงในเรื่องของปลาที่จัด ว่าดีที่สุดในเอเดนเลยก็ว่าได้
เกวียนยาวสองท่อนถูกนำมาจอดทิ้งไว้ใต้ร่มเงาของพุ่มไม้ใหญ่ข้างร้านอาหารเพื่อหลบเร้นจากรัศมีความร้อนที่ไม่เคยปราณีใคร และเพื่อให้ม้าหนุ่มทั้งสี่ที่สู้อุตส่าห์จงรักภัคดี ทำงานของมันมาตั้งแต่เช้าโดยที่หาได้หยุดพักหรือมีกละให้เปลี่ยนเหมือนคนที่มาคุมพวกมันไม่ แต่ก็ด้วยความเป็นมารุ่นใหม่ไฟยังแรงจึงไม่เคยออกอาการงอแงให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ส่วนเหล่ามนุษย์ทั้งหลายที่พวกมันต้องบรรทุกนั้น พอเกวียนจอดปุ๊ปก็วิ่งเข้าข้างในปั๊ป ปล่อยให้พวกมันเล็มหญ้าอยู่แถวนั้นอย่างสงบซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่พวกมันต้องการ
“นี่ๆ ลุงๆ มีไรกินบ้างฮะ” หญิงสาวใต้เรื่อนผมสีน้ำตาลไหม้เนียลสลวยเอ่ยถามอย่างร่าเริ่งแต่ก็ปนไปด้วยความรีบร้อน เพราะอาหารมื้อหลังสุดถึงแม้จะอิ่มจนแทบล้นคอหอยแต่ก็ผ่านไปแล้วกว่าหกชั่วโมง ตามมาด้วยหนุ่มร่างสูงผมสีเงินและเพื่อนๆอีกเป็นโขลง ส่วนคนถูกเรียกก็หันกลับมายิ้มทักทายตามมารยาทในการต้อนรับลูกค้าหน้าใหม่กลุ่มใหญ่
“พวกท่านจองโต๊ะไหนไว้ครับ” ชายชราในชุดทักซิโด้ดูสุภาพเรียบร้อย เอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้มรับแขก ด้วยกิริยาท่าทางสำรวมถ่อมตนที่สามารถบ่งบอกได้ถึงระยะเวลาที่ชายผู้นี้ใช้ในการทำงานแบบนี้จนได้กลายมาเป็นพ่อบ้านมืออาชีพ
“เปล่าฮะ พวกผมแค่แวะผ่านมาหาอะไรกินเท่านั้นแหละฮะ” เฟรินตอบยิ้มๆอย่างน่าเอ็นดู ในสายตาของคู่สนทนา เพราะเธอยังคงจำคำสอนของพ่อมาดัสได้ดี ซึ่งเคยสอนให้เธอในตอนที่ยังเป็นหัวขโมยหนุ่มที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา ว่าให้ใช้หางเสียงแบบนี้เพราะจะทำให้คนฝังรู้สึกเอ็นดูคนพูดมากกว่าการใช้หางเสียงทั่วไปที่ดูสุภาพจริงจังเกินกว่าที่หัวขโมยควรใช้ และเธอเองก็ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนหางเสียงที่เคยใช้มาตั้งแต่จำความได้คำนี้ซะด้วย
“งั้น กระผมก็ขอแสดงความเสียใจด้วย เพราะทางเราจะจับวัตถุดิบสดๆมาจากทะเล ก่อนจะนำมาปรุงอาหารตามรายการของผู้ที่สั่งจองโต๊ะเอาไว้แล้วเท่านั้น แต่หากพวกท่านยังยืนยันจะรับบริการจากทางเรา ก็คงจะต้องรอซักหนึ่งชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ หรือจนกว่าวัตถุดิบที่ใช้ปรุงในเมนูที่ท่านสั่งจะถูกจับขึ้นมาได้ โดยเรือหาปลาของทางเราเท่านั้น” สีหน้าที่ยังคงยิ้มแย้มและน้ำเสียงที่นิ่มสงบพร้อมการค้อมตัวลงเพื่อขออภัยในความไม่สะดวกอย่างสุภาพ แต่นั่นกลับทำให้หัวขโมยทำหน้างอเมื่อได้คำอธิบายเกี่ยวธรรมเนียมบ้าๆของภัตตาคารสุดหรู
“งั้นไปที่อื่นกันเถอะ” มาทิลด้าหันหลังกลับแล้วเดินนำออกไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักกับคำพูดต่อมาของขอทานผู้คุมบังเหียนกละเที่ยงซึ่งต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องปากท้องของชาวป้อมอัศวินพ่วงไปด้วยเป็นของแถม “ร้านอาหารที่อยู่ใกล้ที่สุดอยู่ในเมืองถัดไปที่ต้องใช้เวลาเดินทางครึ่งวันจึงจะถึง” ขอทานเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องที่เขายังไม่รู้ และพนันได้เลยว่าไม่มีใครรู้เช่นกันหากไม่เคยเดินทางมาแถวนี้
“ขอแสดงความเสียใจด้วย จริงๆ ครับ งั้นพวกท่านจะรับอะไรดี” บริกรสูงอายุเอ่ยเข้าเรื่องพลางหยิบปากกาขึ้นมาเตรียมจด และในบัดดลชายชราก็ต้องลงไปก้มจะก้มหน้าก้มตาจดรายการอาหารที่ไหลพรั่งพรูออกมาจากปากของสาวน้อยหน้าหวานที่ไม่รู้ว่าเธอจจะเอาไปกินหรือแจกกันแน่ จนมือเคล็ดขัดยอกทั้งๆที่จดแทบไม่ทัน
“นี่ไอ้โร ทีหลังทำอะไรแกหัดคิดซะบ้างสิวะ ฉันก็เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้แหละว่ายังพอมีอยู่บางเรื่องที่ขอทานอัจฉริยะอย่างแกก็ไม่รู้” คนโมโหหิวเดินปึงปังออกมานอกร้านพร้อมด้วยชาวป้อมทั้งหลายตามคำแนะนำของเรนอนที่คิดว่าควรจะหาอะไรทำฆ่าเวลาดีกว่านั่งรอเฉยๆ ก่อนหัวที่เจ้าหล่อนจะเริ่มบ่นกระปอดกระแปดยาวเหยียด โดยที่ไม่ได้สำนึกเลยว่าไอ้ที่เธอสั่งๆไปน่ะ ยิ่งเยอะก็ยิ่งต้องรอนาน ซึ่งข้อนี้เพื่อนๆต่างก็นึกว่าคนสั่งคงจะรู้แก่ใจดีอยู่แล้วเลยไม่มีใครกล้าท้วงคนเห็นแก่กินที่กำลังอารมณ์เสีย
“กระหม่อม ผิดไปแล้ว องค์หญิง โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วย” ขอทานโค้งตัวลงอย่างสำนึกผิด แต่การกระทำดังกล่าวนั้นแปลว่ามันไม่ได้รู้สึกผิดแต่อย่างใดอีกทั้งไอ้การกระทำบ้าๆบอๆนั่นมันยังดูกวนประสาทในสายตาของผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสายตาของคนถูกขอประทานอภัย
“ไอ้โร แกนี่มัน..” เฟรินขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไปมา ก่อนจะเริ่มถลกแขนเสื้อเตรียมตัวลงไปขย้ำไอ้ขอทานหน้าด้านที่ไม่ได้สำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังมาทำท่าทางเหมือนอยากเท้าไปวางบนหน้าซะอย่างงั้น ซึ่งมีหรือองค์หญิงที่ของมันจะไม่อยากทำ
“นายคิดให้ดีก่อนซิเฟริน ฉันน่ะไม่ใช่คนแถวนี้เพราะฉะนั้นเรื่องอย่างนี้ฉันย่อมไม่รู้อยู่แล้ว แต่คนแถวนี้ที่น่าจะพอรู้อยู่บ้างกลับไม่ปริปากบอกอะไรเลยซักคำ” ขอทานหนุ่มเอ่ยอย่างใจเย็นเพื่อเบี่ยงเบนเป้าหมายวางเท้า ขององค์หญิงให้กลายเป็นนักบวชเจ้าถิ่นที่ใบ้กินอยู่เป็นประจำ ก่อนจะส่งสายตาเจ้าเหล่ห์ไปยังเหยื่อเช่นเดียวกับทุกคนในขณะนี้ด้วยแววตาคาดโทษและโกรธแค้น ซึ่งอันหลังคงเป็นของหัวขโมยท้องว่าง ปากเบา แต่เท้าหนัก
“ใช่กัส ทำไมนายไม่เตือนพวกเราล่ะ” นักฆ่าหนุ่มถาม นัยน์ตาสีม่วงทอประกายฉงนกับคนรักสันโดษคนนี้
‘ถ้าเป็นเรื่องนิสัยรักความสันโดษอย่างนี้ล่ะก็ ไอ้คาโลยังดูดีกว่านายนี่เยอะ’ เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าความเงียบมันดีตรงไหนแต่ที่พอจะดูออกก็คือถึงคาโลมันจะพูดน้อยแต่มันก็ยังสนใจเรื่องของคนอื่นแถมมันยังใจอ่อนอยู่ภายในผิดกับมาดน้ำแข็งที่ดูเย็นชาซึ่งเป็นแค่เปลือกนอกโดยเฉพาะกับไอ้เฟรินของมัน แต่ทำไมนายนี่ถึงได้ไร้สาระอย่างงี้ ตอนแรกที่เจอกันดูท่าไอ้คาโลจะอาการหนักกว่านายกัสนี่ซะอีกแต่เอาไปเอามาไหงกลายเป็นแบบนี้ไปได้“อย่างที่ไอ้คิลมันว่านั่นแหละ ลงเรือลำเดียวกันแล้วเรื่องแค่นี้ช่วยๆกันหน่อยไม่ได้รึไงวะ” ครี้ดกล่าวอย่างหัวเสีย เขาเองก็เป็นอีกคนนึงที่รักความสนุกสนานไม่ต่างไปจากนักฆ่าและหัวขโมย จึงไม่ค่อยมีความเข้าใจในตัวพวกรักสันโดษมากนักเช่นเดียวกับเพื่อนรักทั้งคู่
“แล้วพวกนายเคยถามฉันซะที่ไหนล่ะ” คนถูกรุมยังทำหน้าซื่อเหมือนกับว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นไม่ได้ผิดอะไรอีกทั้งมันยังเป็นความจริงอันประเสริจ เพราะที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้เจตนาจะแกล้งใครหรอก แต่เขาก็ไม่ใช่คนประเภทที่พวกชอบพูดอะไรๆทั้งๆที่ไม่มีใครถาม ส่วนคนฟังทั้งหลายเมื่อได้ยินคำตอบแสนซื่อบริสุทธิ์ ก็เหงื่อตกไปตามๆกัน
“แล้วนายอยู่ให้ถามซะที่ไหนล่ะ” แองเจลีน่าแขวะเข้าให้ ซึ่งก็ได้รับการพยักหน้าสนับสนุนจากคนรอบข้างอย่างท่วมท้น
“ใช่ นายเล่นปลีกวิเวก หลบไปอ่านหนังสืออยู่ด้านหลังคนเดียว แล้วใครมันจะตามไปถาม” มาทิลด้าเสริมต่อจากเพื่อนสาว ซึ่งผลที่ได้รับกลับมาก็ไม่ต่างกัน เพราะศาลเตี้ยแห่งฝูงทะโมนยังคงลงมติให้จำเลยผิดเต็มประตูอยู่วันยังค่ำทั้งขึ้นทั้งล่อง พูดอะไรอีกก็ถูกอีก
“ขนาดไอ้คาโลมันยังมานั่งอ่านข้างหน้าได้เลย แล้วนายอ่านหนังสืออย่างว่ารึไงถึงได้หลบไปอ่านอยู่คนเดียว” หัวขโมยเสริมทับนักบวชจะแบนแต๊ดแต๋ แต่ผลตอบรับจากศาลกลับเป็นการส่ายหน้าอย่างเอือมระอา และสีหน้าแดงๆของผู้ต้องคดี “เฮ้ย ฉันพูดอะไรผิด” คนลืมตัวยังคงประท้วงหน้าตาย ก่อนที่เพื่อนๆจะหันไปปล้นเครื่องบินมาชนตึก กัส โทนีย่า ต่ออย่างสนุกปาก
“ถึงมานั่งอ่านข้างหน้า แต่ใครจะไปถามถ้าไม่รู้ว่ามีธรรมเนียมแบบนี้อยู่ด้วย” ขอทาน เอ่ยสนับสนุนรุมโจมตีเหยื่อเหมือนหมาป่าที่ออกล่า ดุจปิรันย่าที่หิวกระหาย เหมือนควายที่เล่นประโคลน ไม่ต่างจากโจรภาคใต้ คลายๆกับที่สหรัฐทำกับบินลาเดน
“คุณกัสทำแบบนี้ไม่ถูกนะค่ะ คนอื่นเลยเดือดร้อนตามไปด้วย” เรนอนรวบยอดสรุปประเด็น เสียงหวานของเธอและท่าทางที่ดูไม่เอาเรื่อง ทำให้การต่อว่าครั้งนี้เหมือนแม่สอนลูกเสียมากกว่า แต่ถึงกระนั้นแล้วใครจะสนเมื่อเป้าหมายก็ยังคงเป็นกัสอยู่ดี
“ถ้าพวกนายคิดอย่างนั้นล่ะก็ ฉันต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ทุกคนต้องเดือดร้อน แต่ฉันก็ไม่ได้มีเจตนาจะปิดบังหรือแกล้งใครทั้งนั้นแหละ” นักบวชหนุ่มถอนหายใจยาวก่อนจะก้มหน้าก้มตาอธิบายอย่างสำนึกผิด ซึ่งก็ทำให้สภาสูงปล่อยมือออกจากอกแล้วถอนหายใจอย่างปลงๆกับพวกไม่มีมนุษย์สัมพันธ์ซึ่งไม่ต่างจากใครบางคนเมื่อก่อนหน้านี้
“พวกเราเข้าใจนายดี กัส ว่านายไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเดือดร้อน” เจ้าแม่แห่งป้อมตัดสินคดีความโดยยกผลประโยชน์ให้กับจำเลยที่เข้ากับคนไม่ค่อยเป็น
“โธ่ ไอ้กัส นี่แกกะว่าจะจบออกไปทั้งๆ ยังไม่ได้รู้จักใครเลยนอกจากไอ้เอ็ดเวิร์ด นั่นน่ะเหรอฮะ” ครี้ด เดินไปโอบไหล่บางยังกับผู้หญิงของนักบวชหนุ่มแห่งกิลดิเรก พลางพูดกระเซ้าถึงเรื่องเพื่อนคนเดียวที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดกับคนๆนี้ยังกับว่าขาพวกมันผูกติดกันก็ไม่ปาน
‘แล้วนี่เวลาเข้าห้องน้ำมันจะเข้าด้วยกันรึปล่าววะเนี่ย’ คำถามนี้ก็คงไม่มีวันได้ถามถ้ายังไม่อยากจะเสียเพื่อนใหม่ที่เพิ่งจะได้มาหมาด“นี่ขนาดอยู่กันมาตั้งสองปีแล้วแท้ๆ นายนี่มันโชคร้ายจริงที่ได้ไปนอนกับไอ้โร แล้วก็ซิลบิล เลยคาแต่อมพะนำใส่กัน มิน่าล่ะไอ้โรมันถึงได้ชอบมาป้วนเปี่ยนอยู่แภวๆห้องของพวกฉันตลอด ที่แท้มันก็อยากบริหารปากบ้างก่อนจะใบ้กินไปซะก่อน แต่ปีสองว่านี่คงไม่นับหรอกเพราะมัวแต่ยุ่งยากกับสงครามแย่งไอ้ก้อนน้ำแข็งที่ไม่ฉันเห็นว่ามันจะศักดิ์สิทธิ์ตรงไหนเลย” คิลเอ่ยกลั่วหัวเราะ ก่อนจะบ่ายเบี่ยงไปประเด็นอื่น แต่ก็ไม่วายหันกลับไปงับเพื่อนตัวแสบที่ดูเหมือนจะลืมเรื่องความหิวไปเสียสนิท
“เฮ้ยๆ ไอ้คิล ไหนแกลองพูดใหม่อีกทีสิวะ ฉันไม่ได้บ้าบอคอแตกขนาดอยากเอาไอ้คาโลมาทำห้องแอร์หรอกนะเว้ย ท่านพ่อน่ะแค่อยากหยามคิงปีศาจนั่นโดยให้ฉันเป็นข้ออ้างเฉยๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับฉันซักหน่อย” เฟรินหันไปจ้องนักฆ่าที่นึกสนุกอยากกลายเป็นอาหารว่างรองท้องของเจ้าหญิงสองแผ่นดิน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงท้าทาย เพื่อให้โอกาสนักฆ่าแก้คำพูดใหม่อีกทีก่อนจะตกถึงท้อง
“แหงม ล่ะ นายไม่ได้แค่บ้าบอคอแตกหรอก แต่คลั่งจนไปนอนร้องไห้อยู่ในห้องหนึ่งวันเต็มๆ ทั้งตัดผมทั้งทำร้ายร่างกายตัวเอง ไม่แปลกหรอกที่ท่านจ้าวจะเป็นไปกับนายด้วย .” ขอทานอภิปรายความจริงจบก็ลงไปนอนคลุกฝุ่นด้วยฝ่าละอองธุลีพระบาทขององค์หญิงบ้าน้ำแข็ง ในข้อหาพูดความจริงเกินไป
“งั้นเรื่องศึกชิงราชบุตรเขยก็เป็นความจริงงั้นสิ” แองเจลีน่าอ้าปากค้าง ที่จู่ๆข่าวโคมลอยที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องขำขันในวงเหล้าเพื่อคลายเครียดจากสงครามกลับกลายมาเป็นความจริงเนื้อๆไปซะได้
“โอ้ โห เฮะ ไอ้เฟริน นี่แกบ้าไอ้คาโลมากขนาดนั้นเลยเหรอ” ครี้ดเดินเข้าไปพยุงคนถูกถีบลงไปกองก่อนจะตอกย้ำความจริงเข้ากระดูกดำของใครบางคน
“แล้ว ไอ้คาโลมันไปทำอะไรให้แกวะเฟริน เห็นตอนนั้นแกยังตกลงมาให้มันรับดีๆอยู่เลย แล้วพอฉันกลับมาก็หายไปเฉยๆซะอย่างงั้น” คิลเอ่ยถามถึงเหตุการณ์ต่อจากนั้น ที่เขาไม่ได้อยู่ดูเพื่อนรักเพราะมีภารกิจต้องทำ แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาแค่เกริ่นๆไว้หวังจะแกล้งเพื่อนรัก ตอนนี้กลับถูกแฉจนฉาวจากทาสคนสนิทที่มาส่งนายหญิงของมันแบบตกจากฟ้า
“ก็พอดีว่าเฟรินเค้า บังเอิญไปเห็นภาพบาดตา ของคาโลกับเร ” ขอทานลงไปนอนกองอีกรอบ ที่จริงแล้วคนอย่างเขาคงไม่ยอมให้ใครถีบง่ายๆแน่แต่จะทำยังไงได้ในเมื่อนายอยากถีบทาสก็ไม่อาจขัด แต่ปากเขาก็ยังคงทำงานต่อไปได้เพราะนายหญิงไม่ได้สั่งให้หยุด
“เรนอน เนี่ยนะ” คิลพูดอย่างไม่เชื่อคำกล่าวของขอทานเจ้าเล่ห์ คนอย่างเรนอนของเขาคงไม่ริอาจหาญไปขโมยจูบญาติของตนมั่วๆ แน่คงต้องมีอะไรแอบแฝงบางอย่าง
“จุมพิตแห่งคาโนวาล ค่ะ” เรนอนเอ่ยเสียงหวานหน้าตายอย่างไม่รู้ว่าคำพูดประโยคนี้จะทำใหใครบางคนหัวใจสลาย เจ็บแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก ก่อนบุคคลดังกล่าวจะดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความคิดของตนเองเพื่อพิจารณาอาการและความรู้สึกดังกล่าวที่คนอ่อนต่อโลกก็ยังคงไม่เข้าใจตัวเองอยู่ดี
“แล้วมันคืออะไรล่ะ” ครี้ดเกาหัวอย่างสงสัย พลางยิ่งสงสัยกว่าเมื่อหันไปเจออาการของนักฆ่าที่ทำหน้าหง่อยเหมือนไก่เป็นไข้หวัดนก
“ช่วยในการรักษาบาดแผลน่ะ” มาทิลด้าเฉลย เมื่อเห็นอาการแปลกๆ ของนักฆ่าที่อยู่ๆก็เหงาหง่อยขึ้นมาซะดื้อๆ แล้วจู่ๆก็กลับมาเหมือนเดิมอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยเมื่อเธอกล่าวจบ
‘อย่างนี้มันมี พิรุธ!’“นี่นายเฟริน นายบ้าคาโลมากถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” แองเจลีน่ากลบเฟรินลงหลุม ส่วนคนถูกซ้ำเติมในความหึงไม่เข้าท่าของตัวเองจนลืมดูตราม้าตราภู่กันซึ่งผลที่ตามมาก็คือสงครามอุบาทว์ที่เอาไว้ให้คนอื่นได้ประจานกันสนุกปากชนิดที่ว่ารู้ถึงไหนอายถึงนั่น
“ฮ่าๆ ไอ้โร แกนี่แต่งเรื่องเก่งจริงๆเลย แกก็รู้นี่หว่าว่านั่นมันเป็นแค่เรื่องโคมลอยที่ดังกระฉ่อนอยู่ภายในเดมอส เพื่อจะได้ไม่มีใครเค้าว่าท่านพ่อได้ ว่าท่านจ้าวไม่มีเหตุผล” เฟรินยังตีหน้าตาย หาทางกลบเกลื่อนสุดชีวิต ก็เรื่องอุบาทว์ๆแบบนี้จะให้ใครรู้ได้ยังไง
“แล้วแกถีบไอ้โรมันทำไมล่ะวะ” ครี้ดถามซ้ำช่องโหว่ ที่ทำให้เขาต้องมาฉุดขอทานขึ้นจากพื้นถึงสองครั้งสองหน ยังไงซะความจริงข้อนี้ก็คงจับหัวขโมยจอมกะล่อนเอาไว้ได้อยู่หมัด แต่ดูเหมือนนักรบหนุ่มจะประเมินทายาทหัวขโมยต่ำเกินไป
“ก็ ก็ ฉันหมั่นไส้มันนี่นา ที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ ทำให้ต้องมารอจนไส้แห้งอยู่นี่ แล้ว .แล้วมันก็..ยังไม่สำนึกผิดอีก ยังมาทำท่ากวนประสาทฉันอยู่ได้” เฟรินแก้ตัวอ้ำๆอึ่ง ๆ แต่ก็เอาตัวรอดไปได้อีกเปราะด้วยความสามารถเฉาะตัวของท่านหัวขโมยผู้มีพรสวรรค์อันอัจฉริยะ
“แล้วแผลเป็นใต้ตาซ้ายของนายล่ะ ฉันจำได้นะว่าข่าวลือที่นายหมายถึง เขาบอกว่าองค์หญิงโวยวายอะไรซักอย่างอยู่ในห้องจนทำลายข้าวของแล้วก็โดนเศษไม้กระเด็นมาซ้ำรอยแผล แล้วถ้าเรื่องนี้เป็นแค่ข่าวลือ ทำไมแผลของนายถึงได้ชัดขึ้นล่ะ” โรอธิบาย และไม่ลืมที่จะอยู่ห่างๆจากบาทาเพชฌฆาตของเจ้าหญิงแห่งเดมอส หลังจากที่ได้ลิ้มรสไปแล้วสองหนเต็มๆ
“ก็เพราะที่นายฟังมาก็เป็นแค่ข่าวลือจริงๆน่ะซี่ เพราะแผลเป็นของฉัน มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ตั้งนานแล้ว หลักฐานอะไรที่จะเอามาเปรี่ยบที่ยบก็ไม่มี แค่ใช้ตาน่ะมันไม่พอหรอกเว้ย นี่แกคิดจะจับเสือมือปล่าวงั้นสินะ” ทาสหนุ่มที่คิดจะเผานายหญิงแก้เซ็งสุดท้ายก็จนปัญญาเพราะฝีปากของคนๆ นี้นี่ไม่ธรรมดาสมคำร่ำลือเลยจริงๆ
“ฉันกะไว้แล้วเชียว สงครามใหญ่ขนาดนี้มันจะกลายเป็นการแย่งนายคาโลไปได้ยังไงกัน” แม่มดสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ กับความโล่งอกที่เรื่องบ้าๆนี่ไม่ใช่ความจริง เพราะถ้ามันจริงขึ้นมาล่ะก็เธอเองคงต้องกลับไปขอฆมาเหล่าคนปล่อยข่าวที่เธอเคยคาดโทษไว้เป็นแน่
และแล้วทุกคนก็ละความสนใจไปจากหัวข้อนี้ทำให้หัวขโมยผู้ต้องสงสัยหายใจโล่งขึ้นมาอีกเป็นกอง ตามมาด้วยการกลับมาของชายหนุ่มเจ้าของนัยตาสีฟ้าคู่สวย พร้อมด้วยเรือนผมสีเงินไสว ผู้ครอบครองหัวใจของหัวขโมยสาว
“เฟริน” เสียงเย็นๆที่ส่งกระแสความห่วงใย ถูกส่งมาจากคนมาใหม่ เรียกให้คนถูกเรียกเริ่มหันมองหาต้นเสียงที่แสนโหยหา ก่อนร่างสูงจะเดินลงจากบันไดไม้ของภัตตาคารแล้วตรงไปยังวงสนทนาใต้ร่มไม้ใหญ่ที่ห่างออกไปไม่มากนัก โดยมีสายตานับสิบคู่ทีจับจ้องมาที่บุรุษผู้สาบสูญไปไหนไม่รู้โดยที่ไม่มีใครสังเกต ตามคนถูกเรียก
“คาโล แกหายไปไหนมาวะ แล้วอาหารล่ะมายัง แล้วนี่มันอะไรล่ะเนี่ย ” หัวขโมยถามตาใสๆ พลางเพ่งพิจวัตถุบางอย่างที่ได้รับมาจาก บุคคลสำคัญที่ถูกลืมไม่รู้หายไปไหน ก่อนจะหยิบไอ้ที่เพิ่งจะถามว่ามันคืออะไรเข้าปากไปเคี้ยวตุ้ยๆ ท่ามกลางความประหลาดใจกับผู้มาใหม่ที่ไม่ได้สนใจใครนอกจากหัวขโมย ของเหล่าเพื่อนๆในวงสนทนาที่รวมนักบวชหนุ่มเข้าไปด้วยทั้งๆที่ไม่ได้ปริปากอะไรเลยซักคำ
“อาหารยังไม่มา มีแต่ของว่างแบบที่นายพึ่งจะกินเข้าไป” คาโลเอ่ยเสียงเย็นขรึมที่แม้จะดูเย็นชาแต่ก็แฝงด้วยความเป็นห่วงที่หัวขโมยคุ้นเคย
“ขอบใจมากนะ คาโล รู้ไหม ว่าวันนี้แกทำตัวน่ารักจัง” ร่างบางก้าวเข้าไปใกล้ๆ ร่างสูงของชายหนุ่มก่อนจะกวักมือเรียกให้คนตัวสูงกว่าน้อมใบหน้าลงมาหาสาวน้อยที่ไม่ได้เข้าข่ายว่าสวยจัดแต่ก็น่ารักในแบบที่เขาชอบ ผู้อยู่ในชุดบุรุษตัวหนา ก่อนเธอจะกระซิบแผ่วๆด้วยเสียงหวานที่หาฟังยากจากปากหมาๆของหล่อนจนทำให้ชายหนุ่มหน้าขึ้นสีและเรียกเสียงฮือฮาจากกองเชียร์ด้านหลังดังกระหึ่ม เสร็จสรรพหัวขโมยก็วิ่งก้าวโหย่งๆ เหมือนเด็กๆ ก่อนจะหายเข้าไปข้างในภัตตาคาร ปล่อยเจ้าชายคนเก่งเอาไว้ให้มดมาตอม
“เฮ้ย แล้วนี่แกไม่คิดจะชวนพวกเราเข้าไปเลยใช่ไหม” ครี้ดถามยิ้มๆปนหัวเราะกับอาการของเพื่อนชายที่แสนจะเย็นชา ซึ่งตอนนี้กลับกำลังยืนอึ้งกิมกี่กับคำกระซิบอะไรซักอย่างที่เขาเองก็ไม่ได้ยิน แต่ดูเหมือนมันจะมีความหมายมากจนทำให้ก้อนน้ำแข็ง หัวใจละลายจนลงไปกองกับพื้น
“เอ้ยคาโล ถ้าชาติหน้ามีจริงฉันจองแกแล้วนะโว้ย” คำแซวของนักฆ่า ก่อนจะเป่าปากดังลั่น เรียกให้เจ้าชายน้ำแข็งหลุดจากภวังค์ของถ้อยคำหวานที่คนมากประสบการณ์กว่าบรรจงหยอดให้
“สงสัยเรื่องของนายโรคงจะไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยล่ะมั้ง” มาทิลด้าเปรยกับตัวเอง ก่อนจะยิ้มแกมขำขันให้กับความรักที่ไม่รู้ว่าลงตัวไปได้ยังไง ระหว่าง คนเย็นชาสุดขั้ว กับ จอมขี้มั่วอุตหลุด เธอแทบจะอดใจรอดูลูกของสองคนนี้ไม่ไหวอยู่แล้ว
เมื่อเห็นว่าเจ้าชายตื่นจากภวังค์แล้ว นักฆ่า และนักรบ ก็เดินผิวปากเบาๆผ่านร่างสูงไปแต่ก็ไม่วายหันกลับมาตบไหล่ดังป๊าปคนละครั้งหนัก ตามมาด้วยสามสาวที่ดูเหมือนจะเดินซุบซิบอะไรบางอย่างผ่านไปอย่างช้าๆ และสุดท้ายก็ขอทานมากเล่ห์กับนักบวชหน้าตายที่ไม่ได้พูดอะไรทั้งคู่แต่กลับเดินยิ้มๆแล้วผ่านไป ทิ้งให้คนมาใหม่ ยืนปะติดปะต่อเรื่องราว ได้ไม่นานก็ต้องยอมจำนนก่อนจะเดินกลับเข้าไปเพราะจะต่อยังไงก็มืดแปดด้าน
...ไม่แปลกหรอกนะที่เฟรินมันจะคลั่งนายน่ะคาโล เป็นฉัน ฉันรักตายเลยล่ะ
บทที่ ๑๑ ชายหาดต้องห้าม
แป๊ะ ..แป๊ะ
เมื่อเห็นว่าแขกกลุ่มใหญ่หรือเดอะไนท์ออฟเอดินเบิร์กทั้งหลายต่างเข้ามานั่งรอน้ำลายหกอยู่บนโต๊ะครบทุกคนแล้ว
บริกรชราก็ปรบมือเสียงดังลั่นก่อนจะตามมาด้วยบริกรหนุ่มใหญ่ทั้งหลายที่เรียงรายเข้ามาเสิร์ฟของว่างหลากชนิดอย่างไม่ขาดสายจนในที่สุดโต๊ะที่เคยกว้างขวางกลับแทบไม่เหลือที่พอจะให้วางแก้วน้ำผลไม้หลากสีสันเช่นเดียวกับหัวของเหล่าคนดื่ม ที่ตามมาเลยเสียด้วยซ้ำ
“เชิญทุกท่าน รับประทานตามสบาย” บริกรมากประสบการณ์กล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้เหล่าอัศวินเปิดโต๊ะจีนลิงกันตามใจชอบโดยไม่แคร์ในสายตาตื่นๆจากโต๊ะอื่นๆ ที่บังเอิญเหลือบไปเห็นแล้วเกิดอิ่มแทนคนกินขึ้นมา จนไม่มีกระจิตกระใจจะจัดการกับอาหารรสเลิศตรงหน้าเลยแม้แต่รายเดียว
“นี่ เฟริน นายก็กินให้มันเรียบร้อยหน่อยสิ ดูซิแขกคนอื่นเค้าหันมามองเต็มไปหมดแล้ว” แม่มดสาวหันมางับหัวขโมยผู้ตกเป็นเหยื่อสายตาที่ดูจะไม่รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลยแม้แต่น้อยกลับยังคงยัดขนมปังเข้าปากต่อไปอย่างไม่ยี่หระ กับคำดุด่าว่ากล่าวที่ได้ยินจนชินหูมาตลอดชีวิตหัวขโมย เมื่อเห็นการกระทำดังกล่าวแม่มดสาวก็ถึงฟิวส์ขาด ได้ฤกษ์เรียกคทาคู่ใจออกมาทันทีหวังสำเร็จโทษเจ้าหญิงจอมตะกละในข้อหาที่ทำให้แขกคนอื่นๆเขาเดือดร้อน
‘คาโล ก็ คาโล ล่ะ ยังไงซะวันนี้ขอสั่งสอนยัยหัวขโมยนี่รวบยอดซักทีเหอะ’ แม่มดสาวเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเองก่อนจะกำคทาแน่นหวังจะแลกรอยปูดบนหัวน้ำตาลๆ กับการโดนแช่แข็งไปซักระยะ“อ้ายๆ ไอ้เออิน แออินใอ้อันอีอีเอ็นไอ๋” โป๊ก..ง.ง. นักรบหนุ่มกล่าวทั้งๆที่สภาพไม่ได้ต่างไปจากคนถูกว่าเลยแม้แต่น้อยทำให้แม่มดสาวผู้รักสันติต้องลงโทษเอาเสียดื้ออย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“โอ้ยแองอี้อีอั้นอำไอ” นักรบหนุ่มกล่าวพลางลูบหัวปอยๆ โป๊ก .. ก่อนจะโดนซ้ำอีกที คลาวนี้หนุ่มตาเดียวจึงเคี้ยวของกินในปากจนหมดในขณะที่มือยังคงลูบหัวอย่างมึนๆ
“นี่แองจี้ เธอตีฉันทำไม มันเจ็บนะ! แล้วไอ้ที่ควรจะตีน่ะมันไอ้เฟรินโน่น มันนั่งอยู่โน่น” ครี้ดกล่าวพลางยื่นหน้าไปทางเฟริน ที่กำลังนั่งกินอย่างเมามันอยู่ข้างๆเจ้าชายแห่งคาโนวาลอย่างมีความสุข
“นายหัดดูตัวเองซะบ้าง ก่อนจะไปว่านายเฟรินน่ะ รู้ไหมว่ามันทำโต๊ะข้างเขาเดือดร้อน” เธอเถียงกลับเสียงลั่น ทำให้เหล่าผู้คนที่หันมามองต้องรีบหันกลับเพราะไม่อยากไปยุ่งเรื่องชาวบ้างโดยเฉาะเรื่องผัวเมียทะเลาะกัน
“เธอหันมาสนใจเรื่องของฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ฮะ แองเจลีน่า โรมานอฟ” น้ำเสียงทุ้มที่อ่อนโยนเหมือนจะปลอบประโลมให้อารมณ์กรุ่นๆของหญิงสาวคู่กรณีได้ทุเลาลงบ้างซึ่งก็ได้ผลชะงักเมื่อคู่สนทนาที่เมื่อครู่ยังกรุ่นๆแต่ตอนนี้กลับดูสวยน่ารักโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาเธอไม่อารมณ์เสียซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นบ่อยนักเพราะมีลิงให้ตามตีกระบาลเยอะไปหมดไม่เว้นแต่ละวัน ในขณะที่ดวงตาเพียงข้างเดียวของนักรบหนุ่มก็กำลังจับจ้องมองเข้าไปยังดวงตาทั้งคู่ของแม่มดสาวที่ออกอาการนิ่งๆมาซักพักเหมือนต้องการจะขุดหาความจริงที่เพียรเก็บซ่อนของเธอคนนั้น
“ฉัน ฉัน ”
‘นั่นน่ะสิทำไมเราต้องไปยุ่งเรื่องของนายนั่นด้วย ไม่สิ ไม่สิ เดี๋ยวก่อน’ “ฉันแค่ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนย่ะ” แม่มดสาวที่อ้ำๆอึ้งๆมาซักพัก ตอบเสียงดังลั่นก่อนจะเดินกระทืบส้นปังๆไปทางห้องน้ำ ซึ่งอาการอย่างนี้ทำให้นักรบหนุ่มเผยรอยยิ้มกริ่มออกมาที่มุมปาก“แองจี้” เจ้าหญิงคนงามแห่งคาโนวาลร้องเสียงหวานพลางจะลุกไปตามเพื่อนสาวแต่กลับถูกมือของมาทิลด้าซึ่งนั่งอยู่ข้างๆรั้งไว้พลางส่ายหัวอย่างปลงๆซึ่งก็เป็นสัญญาณบอกให้เจ้าหญิงแห่งคาโนวาลนั่งลงแต่โดยดีในที่สุดเช่นกัน
“อะ ฮ่า ฮ่า ไอ้อี้ด แออี่อัน แอ่อิงๆอิงๆเอย อะแฮกๆอะแฮกๆ” กำตามสนองคนใช้ปากไม่ถูกเวลาเมื่อขนมติดคอเข้าอย่างจัง จนหัวขโมยเริ่มไอกระโดกกระเดกเดือดร้อนไปถึงเจ้าชายมาดมากที่นั่งอยู่ข้างๆต้องเข้ามาดูแล
“อะแฮกๆ ไอ้คิล .แฮก.. แกดูไอ้ครี้ดมันเอาไว้เป็นตัวอย่างสิ นี่ล่ะเสน่ห์มัดใจสาวล่ะ” คนไม่ดูตัวเองเอ่ยแซวเพื่อนรักอย่างเคยชิน ทั้งๆที่เพิ่งจะสำลักขนมเข้าไปหยกๆ ขนขณะที่คาโลเองก็กำลังเอามือลูบหลังปอยๆให้พร้อมกับส่งแก้วน้ำให้แก่หญิงสาวที่อยู่ในอารักขาของเขา ก่อนร่างบางจะรับไปดื่มอย่างว่าง่าย
“เหมือนที่ไอ้คาโล มันกำลังทำกับแกใช่ไหม” นักฆ่าสวนกลับหมัดตรง เล่นเอาหัวขโมยสำลักน้ำที่เพิ่งจะดื่มเข้าไปหมาดๆ ทำให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลต้องเข้ามาช่วยดูแลอีกครั้งทั้งๆที่เพิ่งจะทำไปหยกๆอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อะแฮกๆ อะแฮก” เฟรินสำลักน้ำจนจมูกแดงแต่ที่แดงกว่าจมูกก็คือแก้มทั้งสองข้าง ถึงกระนั้นเธอก็มิอาจปฏิเสธความหวังดีของคนข้างๆได้ ส่วนเหล่าเพื่อนๆทั้งหลายแหล่ก็พยายามกลั้นหัวเราะๆให้ได้นานที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าคนเส้นตื้นอย่างนักฆ่าก็ย่อมมีความอดทนในเรื่องแบบนี้น้อยเป็นธรรมดา สุดท้ายก็ยอมพ่ายแพ้แก่ความฮาที่ตัวเป็นคนก่อ ก่อนจะลงไปนอนชักดิ้นชักงอ แต่ก็ไม่วายยังใช้นิ้วมือชี้มาทางเพื่อนสาวไปหัวเราะท้องแข็งไปจนน้ำตาเล็ด
“อะแฮก อะแฮกๆ แก หัวเราะอะไรของแก แฮก วะไอ้คิล อะแฮกๆ” เฟรินพยายามพูดให้มากที่สุดแต่ก็เป็นไปได้ยากเพราะน้ำที่ยังคงสำลักไม่เลิก ส่วนเจ้าชายคนเก่งก็ยังคงตีหน้าตายในขณะที่กำลังเทคแคร์พระคู่หมั้นอย่างเต็มที่ ส่วนคนถูกดูแลก็หน้าแดงเป็นแอปเปิ้ลสุก แถมยังสำลักน้ำไม่ยอมหยุดจนน้ำตาเล็ด
“ก็แกไงเฟริน แบบนี้ก็แปลว่า ..คิกๆ .ไอ้คาโลมัดใจแกได้ซะอยู่หมัดเลยใช่ไหมวะ ฮ่าๆ ปังๆ” ครี้ดพูดกลั้วหัวเราะ ตอบแทนเพื่อนนักฆ่าที่ปากไม่ว่างตอบ พลางอั้นหัวเราะจนตัวสั่น และเมื่อกล่าวจบความอดกลั้นก็หมดลง เมื่อนักรบหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะไม่ต่างจากนักฆ่า พลางใช้มือข้างหนึ่งลงไปกุมท้องส่วนอีกข้างก็ทุบโต๊ะดังปังๆอย่างทรมาน
“นี่ๆ พวกแกมันชักจะเส้นตื้นเกินไปแล้วนะ เฮือก อึก” หัวขโมยผู้โชคร้ายกล่าวหลังจากที่หายจากการสำลักน้ำได้ไม่นานกลับต้องมาสะอึกต่อ ซึ่งแน่นอนว่ายังไงซะก็หนีไม่พ้นท่านเจ้าชายต้องช่วยยื่นน้ำส่งให้นักมวยอีกอยู่ดี ส่วนแม่ตัวแสบก็ได้แต่รับความหวังดีมาอย่างไม่มีทางเลือกทั้งๆที่อายก็อาย ยิ่งให้มันมาดูแลก็ยิ่งเหมือนกับฆ่าตัวเองตายชัดๆ
“คาโลแกก็ช่วยฉันหน่อยสิวะ มีแต่ยืนซื่อบื้ออยู่ได้” เมื่อหายสะอึกดีแล้วสาวจ้าวก็หันไปด่าตัวต้นเหตุที่พออยู่ใกล้มันทีไรเป็นอันต้องมีเรื่องให้อับอายเสียทุกทีไป
“หรือนายไม่ชอบ ฮึ๊ เฟริน” เจ้าชายกระเซ้าเสียงทุ้มนุ่มลึกก่อนจะประทับริมฝีปากลงจรดหน้าผากมนๆของคนเสียเปรียบอย่างรวดเร็วก่อนจะกลับมาตีหน้าซื่อบื้ออย่างที่ถูกกล่าวหาต่อ ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงหัวเราะให้ดังยิ่งขึ้นไม่เว้นแม้แต่สาวๆ ขอทาน หรือนักบวชผู้รักสันโดษ ที่ถึงจะไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องของคนอื่นมากนักแต่ก็อดเสียไม่ได้เมื่อเหตุการณ์มันมีให้ดูสดๆ
“พอเลยๆ พวกแกนี่ล่ะก็” เฟรินรวบยอดเมื่อดูท่าว่าเหตุการณ์เอาไปเอามาไหงก็มาลงอีหรอบเดิมอีกแล้ว จะยังไงซะพวกมันก็ขำอยู่ดีที่คนอย่างเธอจะอายอะไรเป็นกับเขาด้วย ก่อนร่างบางจะยืนขึ้นเป็นสัญญาณให้สองสหายเลิกหัวเราะได้แล้วเพราะไม่งั้นล่ะก็ความอายของเธออาจจะได้มอบความตายให้แก่ใครบางคน ซึ่งดูเหมือนทั้งสองจะรู้ข้อนี้ดีว่าเพื่อนสาวเลิกเล่นแล้ว จึงพากันหยุดหัวเราะลงอย่างช้าๆก่อนจะหยุดสนิท
“แกไม่ต้องมายิ้มเลยคาโลแกก็เหมือนกันแหละ” เฟรินหันไปดุเจ้าชายหน้าตายที่ถูกแม่ตัวดีจับได้ว่าแอบยิ้มในใจจึงต้องเผยรอยยิ้มออกมาเพราะถูกรู้ทัน
“เฮ้ย ไอ้ขอทานปัง เมื่อไหร่แกจะหยุดหัวเราะแล้วพาเราออกไปจากที่นี่ซักทีวะ” หัวขโมยโวยวายใส่ขอทานที่ยังหัวเราะคิกๆคักๆไม่หายก่อนจะตบโต๊ะด้วยฝ่าเท้าอย่างไม่สมมารยาทหญิง
“นายก็ได้ยินแล้วนี่นายหัวขโมย เมืองที่ใกล้ที่สุดห่างออกไปครึ่งวัน แล้วนี่ก็บ่ายสองแล้วด้วย เพราะฉะนั้นคืนนี้เราจะพักที่นี่ขอรับนายหญิง” ขอทานตอบกลับอย่างไม่แยแสด้วยน้ำเสียงกวนๆแกมเจ้าเล่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ของคนๆนี้
“ห้องพักอยู่ชั้นบน ห้องละสองเตียงนอน ส่วนอาหารเย็นก็จะเป็นไปตามรายการที่ท่านสั่งครับ”บริกรชราที่ไม่รู้มาจากไหนเข้ามาแจกแจงรายละเอียดพลางเก็บโต๊ะอาหารที่เหลือเป็นโต๊ะสุดท้ายของบ่ายวันนี้
“ก็ดีนะ พวกเราไม่ได้รีบไปไหนอยู่แล้วด้วยจริงไหม ความจริงแล้วพักซะบ้างก็ไม่เลวนะ แล้วอีกอย่างลมแถวนี้ก็เย็นดีด้วย” เจ้าแม่กล่าวด้วยท่าทางเพลียๆซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าบ่ายนี้เธอคงไปหาที่งีบหลับซักแห่ง ซึ่งความจริงอันประเสริฐที่ถูกกล่าวมานี้ก็ไม่มีใครคัดค้าน
“ตกลง เราจะพักที่นี่หนึ่งคืน” คาโลเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาทรงอำนาจตามแบบฉบับเจ้าชายแห่งคาโนวาลที่ถอดแบบมาจากใครบางคน ส่วนบริกรก็โค้งรับคำสั่งแต่โดยดี
“ที่นี่จะมีการแสดงจากท้องทะเลในเวลากลางคืน ส่วนเรื่องน้ำกรุณาอย่าลงเล่น ไม่งั้นจะหาว่าทางเราไม่เตือนไม่ได้นะครับ” คำทิ้งท้ายก่อนจะเดินจากไปเรียกความฉงนในหัวของทุกคนว่าในน้ำทะเลใสๆแบบนี้มันจะมีอะไรเป็นอันตรายได้อย่างไรกัน และไอ้การแสดงที่ว่านั่นมันคืออะไรกันแน่
ความคิดเห็น