คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : หกยอด
บทที่ ๙ หกยอด
แสงแดดแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่สาดส่องต้องกระทบกับทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินทองแห่งเอเดนในเขตประเทศท่าเรืออย่างกิลดิเรก เสียงจอแจของผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่เป็นนิจระคนกับบทสนทนาในเกวียนหลังใหญ่ที่กำลังมุ่งหน้าตรงไปทางเขตชายแดนของเอเธนส์โดยการลัดเลาะไปผ่านไปทางอ่าวที่ขึ้นชื่อเรื่องการประมงของสองดินแดนที่แบ่งอ่าวนี้ออกเป็นสองฝั่ง
ในเวลาสายแก่ๆของวัน “นี่ๆพวกแก มาดูนี่สิ” ทายาทตระกูลเดอโบโรว์ ผละออกจากกระดานหมากรุกที่แสนน่าเบื่อเพราะเหล่ามิตรสหายต่างเรียงหน้าต่อคิวมาให้เธอรุกฆาต หลังจากการฝอยน้ำลายแตกฟองที่เพิ่งจะยุติลงไปได้ไม่นานเพราะผู้ดำเนินรายการเกิดเจ็บคอขึ้นมา ส่วนเรื่องที่เธอเล่านั้นส่วนใหญ่ก็จะเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในเดมอส ทัศนะคติและมุมมองของปีศาจที่มีต่อมนุษย์ เรื่องอาหารการกินที่ธรรมดาเกินคาด แล้วสุดท้ายก็ลงเอยด้วยเรื่องอวัยวะพิเศษของชาวเดมอสซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการทำให้เกิดสงคราม ทำให้เหล่าเพื่อนรักชาวเอเดนทั้งหลายเริ่มมีความรู้สึกเห็นใจและเข้าใจในตัวปีศาจมากยิ่งขึ้น เพราะความจริงแล้วชาวเดมอสก็ทำเพื่อความต้องการของตัวเองเช่นเดียวกับที่ชาวเอเดนทำกับสัตว์เดรัจฉาน ซึ่งแม้แต่พวกปีศาจอย่างชาวเดมอสยังไม่คิดที่จะแตะต้องหรือกินสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าไปเลย
“ไอ้โร นี่มันอ่าวอะไรวะ ทำไมเรือประมงมันเยอะอย่างนี้” สาวน้อยผู้มีเรือนผมสีน้ำตาลเอ่ยด้วยท่าทางร่าเริงอยู่เป็นนิจ ในขณะที่ดวงสีน้ำตาลกลมโตกำลังเบิกกว้างกับทัศนียภาพเบื้องหน้าซึ่งเป็นภาพอ่าวกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาที่อยู่ด้านล่างลงไปโดยไม่ห่างจากตัวเกวียนมากนักทำให้เห็นภาพได้ในมุมที่ชัดเจน
ส่วนเรือนผมสีน้ำตาลก็กำลังพริ้วไสวไปกับสายลมอ่อนจากทะเลเบื้องล่าง ช่างเป็นภาพที่งดงามยิ่งกว่าทิวทัศน์เบื้องล่างยิ่งนัก ในสายตาของเจ้าชายคนเก่งที่ผละออกจากหนังสือเล่มโปรดทันทีที่ได้ยินเสียงอุทานจากสาวน้อยผู้เป็นดั่งโลกทั้งใบของเขาคนนี้ หญิงสาวที่เปรี้ยวนอกแต่หวานในผู้มีอิริยาบทร่าเริงกวนประสาทเเจ่มใสจนเพื่อนอดที่จะรักเสียมิได้ กำลังโผล่ใบหน้าหวานรูปไข่ของหล่อนออกไปรับกับลมทะเลที่พัดผ่านเรือนผมสีน้ำตาลสลวยให้หยอกล้อไปกับมัน
“อ่าวหกยอดน่ะเฟริน” น้ำเสียงของเจ้าแม่แห่งป้อมถูกส่งออกมาเป็นคำตอบแทนเพื่อนขอทานที่ดูเหมือนคนถามจะลืมไปว่าห้องสมุดเคลือนที่ฉบับราชบัณฑิตยสถานเวอร์ชั่นพกพาติดหนึบเหมือนเงาตามตัวของหัวขโมยนั้น ได้ออกไปทำหน้าที่คุมเกวียนแทนเจ้าชายมาดน้ำแข็งที่เพิ่งจะกลับเข้ามา ซึ่งข้อนี้เจ้าตัวดีที่ก้มหน้าก้มตาเดินหมากคงยังไม่ทันสังเกต
“อ่าวหกยอด เป็นอ่าวน้ำลึกที่ไหลออกสู่ทะเลเปิด ซึ่งเป็นแหล่งประมงที่สำคัญของอเมซอนและกิลดิเรก สาเหตุที่เรียกว่าอ่าวหกยอดนั้นก็เพราะในอ่านนี้จะมีแหลมอยู่ถึงหกแหลม โดยอยู่ที่อเมซอนสามและที่กิลดิเรกสาม” ชาวอเมซอนขนานแท้แจกแจงรายละเอียดให้แก่นักฆ่า นักรบ และหัวขโมยฟัง แต่ดูเมือนทั้งสามจะไม่ได้ไยดีกับความรู้ใหม่ที่ไหลทะลุหูขวาไปแล้วหยกๆ เพราะเหล่าสามเกลอต่างกำลังเบียดเสียดกันเพื่อแย่งสายลมที่ซัดสาดมา ซึ่งเป็นภาพที่ดูตลกอยู่ไม่น้อยในสายตาของคนที่เหลือ
“นี่ พวกแกเป็นผู้ชายภาษาอะไรกันวะ ของอย่างนี้มันต้องสุภาพสตรีก่อนเว้ย บ๊ะ เดี๋ยวก็ตบหัวบิ่นเลย แองจี้ เรนอน มาดูนี่สิ” คนตัวเล็กกว่าสวดเรื่องมารยาทบุรุษให้แก่เพื่อนรักทั้งสองที่แย่งลมเย็นจากทะเลไปจากเธอ พลางใช้มือทั้งสองดันกะบาลของสองหนุ่มไปห่างๆ ก่อนจะเอ่ยชวนเพื่อนสาวเป็นการเยอะเย้ย ซึ่งสองสาวที่ถูกชวนก็เล่นด้วยกับหัวขโมยปล่อยให้มาทิลด้านั่งดูพฤติกรรมของเพื่อนๆอยู่ข้างๆเจ้าชายน้ำแข็งที่กำลังมองแฟนสาวจนแทบไม่กระพริบตา ซึ่งดูเหมือนว่าน้ำแข็งก้อนนี้กำลังหลงไหลไปกับภาพตรงหน้าอย่างไม่รู้สึกตัว
“เฮ้ย ไอ้บ้าเฟริน เดี๋ยวนี้แกได้หน้าลืมหลัง ได้ใหม่ลืมเก่าเลยเหรอแก” หนุ่มตาเดียวบ่นเสียงดังแกมตวาด เพราะถูกสุภาพสตรีแต่เปลือกยันให้ลงไปนั่งกองกับนักฆ่าเพื่อนรัก “ใช่เฟริน นี่แกได้เพื่อนหญิงทิ้งเพื่อนชายอย่างฉันเลยใช่ไหมฮะ” คิลกล่าวสนับสนุนแบบเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับนักรบตาเดียว
“วะ นี่พวกแกจะบ่นทำซากอะไรฮะ ไม่เชื่อก็หันไปถามไอ้คาโลมันดูโน่น ว่าสุภาพสตรีต้องมาก่อนน่ะมันจริงรึปล่าวฮะไอ้ก้อนน้ำแข็ง” เมื่อจบประโยคกวนประสาทของหัวขโมย ทั้งสองหน่อก็หันไปหาก้อนน้ำแข็งที่ว่าเพื่อขอความกระจ่าง ในขณะที่คนถูกเรียกชื่อจนตื่นจากภวังค์ก็ยังคงตีหน้าตายเมื่อหันมาสบเข้ากับสองสหายที่มีประกายตาแห่งความสงสัยปรากฏอยู่บนดวงตาทั้งสี่ลูก
“จริงอย่างที่เฟรินมันว่านั่นแหละ พวกนายนี่ล่ะก็ ส่วนนายคาโลเนี่ยไม่ต้องไปถามเค้าหรอก เค้าฟังอะไรซะที่ไหนล่ะ มัวแต่เหม่อมองแต่ใครบางคนตาแทบไม่กระพริบ ไม่รู้คิดไปถึงไหนต่อไหน” มาทิลด้าชี้แจงข้อสงสัยแทนคนใจลอยที่เธอนั่งสังเกตอาการของเขามาพักนึงแล้ว
“มองใครเหรอค๊ะ” เรนอนเอ่ยเสียงหวานพร้อมทั้งยังคงตีหน้าตายด้วยท่าทางใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสา เธอแกล้งถามอะไรโง่ๆซึ่งใครๆแถวนี้ก็คงตอบได้หมดเพราะสายตาของเจ้าชายผู้เย่อหยิ่งทะนงในตนเองนั้นไม่เคยแลเหลียวสตรีนางใดเลยตั้งแต่ได้พบกับเจ้าหญิงสองดินแดนที่เคยเป็นเพื่อนชายที่ร่วมห้องกันมาก่อน ตั้งแต่บัดนั้นมามาดน้ำแข็งแสนเย็นชาของเจ้าพี่คาโลก็ไม่เคยที่จะต้านทานเตาหลอมตัวยงอย่างเจ้าหญิงเฟลิโอน่าตัวแสบได้เลยซักที
“อ้าวเรนอน ไม่รู้หรอกเหรอว่าเจ้าชายคาโลของเราน่ะ เคยมองใครหรือสนใจใครซะที่ไหน” แองจี้เอาด้วย เธอออกท่าทางเหมือนต่อว่าเรนอนที่ตกข่าวไม่รู้อิโหน่อิเหน่ โดยที่เจ้าหญิงคนงามของเราก็ก้มหน้ารับอย่างสมบทบาท
“โธ่ๆ ไม่น่าเล้ย แองจี้ เธอนั่นแหละ ที่ไม่รู้เรื่องแล้วยังไปว่าเรนอนอีก นี่ไปหลบอยู่หลังเขามารึไงกันฮะ ใช่! คาโลน่ะมันไม่เคยชายหางตาดุๆของมันมองใครหรอก” ครี้ดกล่าวต่อว่าแองจี้ที่ทำตัวคล้ายเรนอนเป็นการรับผิดก่อนจะส่งบทต่อไปให้นักฆ่าหนุ่มผู้กำลังยิ้มหน้าบานปนกลั้นหัวเราะอยู่เพราะอารมณ์ขันที่ก่อตัวขึ้นจากการได้แกล้งคู่รัก แบบแท็คทีม
“นอกจาก .องค์หญิงของกระหม่อม” คิลพูดได้ยังไม่ทันจบประโยคก็ถูกขอทานแย่งบทไปแต่ก็นั่นแหละที่คงจะดูดีที่สุด นักฆ่าจึงไม่ถือสาอะไร ส่วนผู้ถูกรุมทั้งสองก็มีอาการอายม้วนให้เห็นกันจะๆ เรียกเสียงหัวเราะที่เพียรสะกัดกั้นของผู้ร่วมประชาทัณฑ์โดยมิได้นัดหมาย ระเบิดออกมาอย่างไม่กลัวถูกทั้งคู่จับโยนออกไปนอกเกวียน
“เฮ้ย พวกแกไม่แฟร์ นี่หว่าหมาหมู่ชัดๆ เพราะแกแหละคาโล มองอะไรอยู่ได้” เฟรินตะหวาดเสียงลั่นแก้เขิน ก่อนจะหันไปแขวะต้นเหตุที่นั่งนิ่งเฉยแต่หน้ากลับแดงทำให้เธอเริ่มอยากจะหัวเราะไปกับพวกนั้นด้วย
‘มิน่าล่ะไอ้พวกนั้นถึงได้ .. ไอ้คาโลเวลามันเขินนี่ตลกเป็นบ้าเลยจริงๆ’ เฟรินคิดก่อนจะเริ่มกลั้นหัวเราะในลำคอแล้วสุดท้ายก็ร่วมวง เป็นไปกับเขาด้วย ก็จะไม่ให้เธอขำได้ยังไงกันล่ะ เพราะไอ้หน้าดุเย็นชาตายด้านอย่างนั้นมันเข้ากับแก้มแดงๆบนผิวขาวๆทั้งสองข้างของมันซะที่ไหนล่ะ“ก็ คนน่ารักนี่นา จะไม่ให้มองได้ยังไง” คาโลผู้ตกเป็นเป้ากระสุนอยู่นานเมื่อตั้งสติได้ปุ๊ปก็โยนระเบิดสวนกลับไปลูกใหญ่ ทำให้คนรับระเบิดคำหวานจากชายหนุ่มก้มหน้างุดกับคำชมที่ถูกกล่าวหา ส่วนคาโลกลับยิ้มอย่างผู้มีชัยระคนเอ็นดูซึ่งปรากฏบนใบหน้าคนยิ้มยากอย่างเขา ก่อนที่เป้าหมายห่ากระสุนเสียงจะเปลี่ยนเป้าไปถล่มคนน่ารักแทน
“ไอ้บ้า!
” คนถูกชมตวาดลั่น เมื่อหน้าเนียนขาวราวไข่มุกของหล่อนกลับต้องขึ้นสีกับคำชมที่เธอเองยังเคยใช้หยอดสาวอย่างอดเสียงไม่ได้ ซึ่งเป็นกิริยาที่ไม่ควรปรากฏกับเจ้าหญิงปากหมาบ้าน้ำลายอย่างเธอทำให้เหล่าเพื่อนฝูงต่างลงไปนอนกลิ้งทุบพื้นบ้าง กุมท้องบ้าง โดยเฉพาะคิลที่เส้นตื้นอยู่แล้วเป็นทุนเดิม เลยหัวเราจนหน้าแดงน้ำตาเล็ดชักดิ้นชักงออย่างบ้าคลั่ง“เอาล่ะพอเถอะๆ เดี๋ยวไอ้คิลมันจะเดี้ยงเสียก่อน” เฟรินกล่าวอย่างเป็นห่วงเมื่อเห็นอาการของเพื่อนนักฆ่าที่บ้าหัวเราะจนหนักเอาการ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะค่อยๆซาลงไป ด้วยความเหนื่อยอ่อนของหมาทั้งหมู่โดยมีหมานักฆ่านอนหอบแฮกๆทั้งๆที่หน้ายังยิ้มบานแฉ่งอยู่อย่างนั้น ถ้ายังเหลือมุขอีกล่ะก็ นักฆ่าคนนี้คงได้หัวเราะฆ่าตัวเองตายเลยจริงๆ
“นี่พวกนาย หัวเราะกันเสร็จแล้วใช่ไหม เพราะไม่งั้นเราคงได้อดกินมื้อเที่ยงแน่” ขอทานคุมบังเหียนกล่าวมาจากด้านหน้า ทำให้สมาชิกบ้าๆบอๆทั้งหลายทยอยลงจากเกวียนตามๆกันไป โดยมีนักบวชหนุ่มผู้ถูกลืมซึ่งลงมาช้าสุดเพราะนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่เกวียนส่วนหลัง ความจริงแล้วที่เขาต้องออกมาจากโบสถ์นั้นก็เพราะคำขอของหลวงพ่อที่อยากให้เขามีเพื่อนบ้างนอกจากเอ็ดเวิร์ด แต่ที่เขาค้างคาใจอยู่ในขณะนี้คือ
‘ไอ้ของอย่างนั้น มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน’ .
ความคิดเห็น