คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Fate/ลิขิต อิสระภาพ
Fate/Freedom Destiny
ในรุ่งเช้าที่สดใสวันหนึ่ง ชายหนุ่มลืมตาตื่นจากนิทราด้วยร้อยยิ้มที่เปื้อนอยู่บนใบหน้าพลางนึกย้อนไปถึงความฝันประหลาดที่ทำให้เขามีความสุขกับการนอนมากกว่าที่เคยเป็น ก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะยันกายลุกขึ้นจากที่นอนแล้วจัดการพับเก็บให้เรียบร้อย แล้วจึงเดินออกจากห้องนอนสไตล์ญี่ปุ่นที่เขาอาศัยอยู่มากว่าสิบปี นับตั้งแต่ที่คิริสึกุรับเขามาเลี้ยงไว้เป็นลูกบุญธรรม
ชายหนุ่มก้าวขาออกจากห้องแล้วเริ่มเดินไปตามระเบียงทางเดิน แต่หลังจากเริ่มก้าวได้เพียงไม่นานเขากลับหยุดชะงักอยู่ที่ประตูของห้องข้างๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปเพื่อพบกับโต๊ะเล็กๆตัวหนึ่งที่ใช้วางตุ๊กตารูปสิงโต ซึ่งเจ้าของของมันไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว แต่ยังไงซะเขาก็ยังเชื่อมั่นว่า อีกไม่นานเจ้าของของมันต้องกลับมาแน่...
“อรุณสวัสดิ์ ไลอ้อน” เขาหันไปพูดกับตุ๊กตาสิงโต พลางนึกสงสัยตัวเขาเองว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนนักหนาว่าเจ้าของของเจ้าไลอ้อนจะกลับมา ทั้งๆที่ความเป็นไปได้นั้นน่ะแทบที่จะไม่มีเลย หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเขากับเธอน่ะมีอะไรที่เชื่อโยงกันอยู่ก็เป็นได้ เขาจึงรู้ว่าเธอต้องกลับมาแน่
“ไปกินข้าวด้วยกันนะ ไลอ้อน” เขาเดินไปหยิบตุ๊กตาที่ไม่มีแม้แต่ฝุ่นมาจับ ถึงแม้ว่าเจ้าของของห้องไปได้พักอาศัยมาเกือบสองเดือนแต่เขาก็ไม่ลืมที่จะทำความสะอาดห้องนี้อยู่เป็นประจำ เพื่อให้พอถึงเวลาที่เธอคนนั้นกลับมาจะได้สามารถเข้าพักในห้องของเธอได้ทันที
‘เกือบสองเดือนแล้วสินะ ที่ห้องนี้น่ะไม่มีคนอยู่’ เขาคิดในใจพลางหันไปมองตุ๊กตาในมือที่ชวนให้คิดถึงใครบางคน
“สงสัยจะหิวแล้วสินะ ไลอ้อน” เขากล่าวด้อวยน้ำเสียงที่ร่าเริงก่อนจะเลือนปิดบานประตู แล้วอุ้มตุ๊กตาใส่เอวเดินไปทางห้องอาหาร...
.......ห้องอาหาร
“อรุณสวัสดิซากุระจัง มาเดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง ซากุระจังน่ะ ช่วยไปปลุกรินทีซิ จะปิดเทอมอยู่แล้วแท้ๆเดี๋ยวก็ไปโรงเรียนสายอีกหรอก” คำทักทายของเขาทำให้รุ่นน้องที่กำลังทำอาหารอยู่หันกลับมามอง เธอเป็นคนสวยไม่ใช่เล่นเลยทีเดียวมีผมยาวสีม่วงเช่นเดียวกับดวงตา กริยามารยาทเรียบร้อยสมกับเป็นกุลสตรี ซึ่งปกแล้วเธอจะมารับผิดชอบเรื่องอาหารเช้าและเย็นของทุกๆวัน นับตั้งแต่คุณพ่อตายลงไป และจะไปเว้นหยุดในช่วงที่เกิดสงครามชิงจอก แต่หลังจากมันจบลงไปแล้วเธอก็กลับมาทำหน้าที่ของเธอตามเดิมโดยที่ไม่ได้มีใครร้องขอ ซึ่งตอนแรกๆเขาเองก็เกรงใจเธออยู่เหมือนกัน แต่พอรู้ว่าเธอทำเพราะอยากทำเขาจึงไม่คิดจะขัดขวางอะไร
“อึฮึฮึ๊...ค่ะ รุ่นพี่” ซากุระจังในชุดผ้ากันเปื้อนหัวเราะอย่างร่าเริงแล้วจึงถอดผ้ากันเปื้อนวางไว้ให้เขารับช่วงต่อแล้วเดินออกไป ก่อนจะไปเห็นบางอย่างที่สะดุดตาวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว
“เอ..รุ่นพี่ค่ะ นี่ตุ๊กตาของใครหรอค่ะ” ซากุระหันไปหยิบตุ๊กตาสิงโตชูขึ้นสูงๆ พร้อมเอ่ยถามอย่างสงสัย ทำให้ชิโร่เริ่มเหงื่อตกคิดเริ่มหาทางออก
“อ่...อ๋อ! นั่นน่ะเป็นตุ๊กตาที่คุณพอซื้อให้น่ะ บะ..แบบว่า ตอนนั้นฉันยังเด็กอยู่เลย พอดีไปหาเจอเข้าไม่ได้เห็นซะนานก็เลยเอามาปัดฝุ่นหน่อยน่ะ..” ชิโร่ยิ้มเจือนๆพลางลูบหัวไปมาทำให้ซากุระที่หันมามองประหลาดใจก่อนจะหัวเราะเล็กน้อยกับท่าทางตลกๆของชิโร่
“ว่าแต่ว่า น่ารักดีจังเลยนะคะ รุ่นพี่ แต่เห็นแล้วชวนให้คิดถึง...อืม..”ซากุระทำท่าทางเหมือนกำลังนึกอะไรบางอย่างก่อนจะเหลียวมามองทางชิโร่ที่ยืนเหงื่อตกอยู่ เธอจึงหัวเราะเล็กน้อยกับท่าทีวิตกกังวลของคนที่ถูกหลอกแกล้งได้ง่ายๆอย่างชิโร่
“เฮ้อ..อ..คิดไม่ออก งั้นเดี๋ยวฉันขอไปปลุกคุณรินก่อนนะคะรุ่นพี่” ซากุระพูดก่อนจะวางตุ๊กตาตัวนั้นลงบนโต๊ะอย่างเดิมแล้วเดินออกไป ทิ้งไว้แต่ชิโร่ที่แอบถอนหายใจแล้วหันไปสนใจกับการทำอาหารต่อ
“เอ๋? ชิโร่ไปเอาเจ้านี่มาจากไหนน่ะ น่ารักจังเลย!” อิลริยาที่เดินสวนเข้ามากับซากุระทำให้ชิโร่ถึงกับสะอึกอีกครั้ง ก่อนจะหันหลังกลับไปมองอิริยาเด็กหญิงผมสีขาวตาสีแดงราวกับโลหิตที่กำลังเล่นตีกตาเจ้าปัญหาอย่างสนุกมือ ก่อนจะมองมาทางชิโร่ด้วยสายตาที่คาดคั้นหาคำตอบ ทำให้ชิโร่ต้องเหงื่อตกอีกครั้ง
“อะ..เออ เออ คือว่า พอดี...”
“อิลริยาขอได้รึปล่าว ชิโร่ น้าๆ น้าๆ” อิลริยาที่ไม่แม้แต่จะฝังคำตอบเอ่ยปากขอพร้อมกอดเจ้าไลอ้อนไปมาด้วยท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู พร้อมส่งสายตาอ้อนวอนมาหา แต่ทว่า...
“ไม่ได้หรอกนะ อิลริยา ถ้าเธออยากได้ล่ะก็วันหลังฉันจะพาไปซื้อตัวอื่นให้” ชิโร่ยิ้มเจือนๆขณะที่โค้มตัวลงไปทำท่าเหมือนจะขอตุ๊กตาคืน ทำให้อิลริยาถอยหนี แล้วดึงตุ๊กตาออกจากอกแล้วเริ่มเพ่งพิจมันอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุว่าทำไมชิโร่ถึงไม่ยอมยกให้เธอ
“เอ.....เจ้านี่มันดูแล้วคุ้นๆนา เหมือนเคยเห็นมาก่อน.......อืม...แต่ก็ชั่งเถอะงั้นอิลริยาจะยอมคืนให้ก็ได้แต่ชิโร่สัญญาแล้วน้า ว่าจะพาอิลริยาไปซื้อตุ๊กตาน่ะ” อิลรยาที่เพ่งพิจอยู่นานยอมส่งตุ๊กตาคืนให้แก่เขาแต่โดยดี โดยมีข้อแลกเปลี่ยนซึงเขาเองก็ไม่คิดจะตอบปฏิเสธ
“อื้ม! ฉันสัญญา ฉันขอคืนก่อนนะ” ชิโร่รับคำอย่างหนักแน่นทำให้อิลริยายิ้มกว้าง ส่วนชิโร่ก็โล่งใจไปอีกเปราะนึง แล้วจึงหันกลับไปสนใจกับการทำอาหารต่อโดยไม่ลืมเอาเจ้าไลอ้อนมาวางไว้หลังเคาร์เตอร์เพื่อหลบให้พ้นจากสายตาคนอื่น
“นี่ อิลริยา เธอน่ะไปคิดจะกลับบ้านบ้างหรอ” ชิโร่เปิดบทสนทนาหลังจากเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสงครามชิงจอกน่ะจบไปได้เกือบสองเดือนแล้ว ไม่มีเหตุผลที่อิลริยาจะอยู่ที่นี่ต่อ
“ทำไม หรือว่าชิโร่ ไม่อยากให้อิลริยาอยู่ด้วย” อิลริยาพูดตัดพ้อพร้อมกอดอกหันหน้าไปทางอื่น ทำให้ชิโร่ยิ่งเหนื่อยใจหนักเข้าไปอีก
“ไม่ใช่อย่างนั้น ฉันนะไม่ว่าอะไรหรอกถ้าอิลริยาอยากอยู่ แต่ว่าทางบ้านไม่ว่าอะไรบ้างหรอ” ชิโร่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังทำให้อิลริยาเลิกทำเป็นแกล้งงอนแล้วหันมาสนใจจริงๆ
“ถ้ามีใครอยากให้กลับ ป่านนี้ก็น่าจะมาตามกลับไปแล้วไม่ใชหรอ” คำพูดของอิลริยาทำให้ชิโร่ตกใจในทันทีเพราะเขาเองก็ยังไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน
‘จริงสินะ เด็กตัวแค่นี้ไม่น่าจะกล้าปล่อยทิ้งไว้ต่างประเทศได้ หรือว่าพวกเขาจะหาไม่เจอ แต่ไม่สิอิลริยามีพลังเวทสูงขนาดนั้นน่ะไม่น่าจะตามรอยยากนักหรอก’
“ชิโร่ อิลริยาน่ะเป็นแค่โฮมุสครุส ไม่มีใครเขาสนใจโอมุสครุสที่หมดประโยชน์แล้วหรอกนะ ฉันน่ะถูกสร้างมาเพื่อรองรับจอกศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้เท่านั้น ถ้าฉันหายไปก็แค่สร้างคนใหม่ขึ้นมาแทนเพื่อใช้ในครั้งหน้าก็แค่นั้นแหละ” อิลริยาพูดอย่างไม่ยีหรา ในขณะที่ชิโร่กำลังอึ้งกับความจริงที่ไหลผ่านหู
“ยะ... อย่างงั้นเองหรอกเหรอ” ชิโร่มองดูอิลริยากำลังยิ้มอย่างร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เพิ่งจะพูดเรื่องที่น่าสะเทือนใจตัวเองแท้ๆ แต่กลับยังทำเฉยอยู่ได้
‘หรือว่าอิลริยาน่ะ ทำใจเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้วงั้นสิ’
อิลริยาลอบมองมาทางชิโร่ที่ยังคงทำหน้ากลัดกลุ้มครุ่นคิดถึงเรื่องที่เธอพึงจะพูดออกไปให้ฟัง ทำให้เธอยิ้มอย่างมีความสุขกับการกระทำหรือนิสัยแปลกๆของชิโร่ที่สนใจเรื่องของคนอื่นมากกว่าของตัวเองอยู่เสมอ
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
ไม่นานนักอาหารก็ขึ้นโต๊ะและทันทีที่รินซึ่งเป็นคนสุดท้ายเดินเข้ามานั่งที่ของตน มื้อเช้าของบ้านเอมิยะก็เริ่มต้นขึ้น
“ว้าว! อาหารฝีมือซากุระจังเนี่ย นับวันจะยิ่งอร่อยขึ้นทุกทีทุกทีเลยนะ สงสัยอย่างเงี้ยคงต้องให้ทำข้าวกล่องให้กินทุกวันด้วยเลยจะดีกว่า” ไทกะจอมตะกละที่โตด้วยกันมากับเขาเรียกได้ว่าเป็นพี่สาวเลยก็ว่าได้ เอ่ยปากชมซากุระหลังจากที่อาหารเข้าปากในทันทีซึ่งซากุระเพียงแต่ยิ้มรับคำชมนั้น ก่อนไทกะจะเริ่มหันรี้หันขวาง ไปสะดุดเข้ากับโทซากะและอิลริยาที่นั่งกินอาหารอย่างมีความสุขหน้าตาเฉย
“นี่! แล้วพวกเธอสองคนน่ะ มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี่ล่ะยะ!” ไทกะตะคอกเสียงดังลั่นบ้านก่อนจะหันไปทำตาขวางใส่คนทั้งสองที่ยังทำตัวเป็นท้องไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ก็ กินข้าวอยู่น่ะสิคะ” รินหันมาตอบแบบกวนๆทำให้ไทกะเดือดปุดๆ จนวิญญาณเสือเริ่มเข้าสิง ส่วนชิโร่ก็ได้แต่สายหัวไปมาพยายามก้มหน้าห้มตากินต่อไป
“ไอ้เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว แต่ทำไมเธอยังไปจากที่นี่อีกล่ะ โทซากะ!” รินวางตะเกียบลงพร้อมทั้งตีหน้าเคร่งขรึมก่อนหันไปอธิบายกับไทกะ
“พอดีว่าที่บ้านใช้เงินไปกับการซ่อมแซมครั้งใหญ่มากเกินกว่าที่คาดไว้น่ะคะ เงินเก็บที่เหลือเลยต้องสำรองไว้จ่ายค่าภาษีที่ดินเพื่อรักษาบ้านเอาไว้จนกว่าหนูน่ะ จะเรียนจบแล้วก็หางานทำได้ จนกว่าจะถึงตอนนั้นคงต้องอาศัยอยู่ที่นี่ไปก่อนล่ะค่ะ” ไทกะอ้าปากค้างก่อนจะตะโกนลั่นบ้านอีกครั้งว่า
...ไม่ยอม!!!
“เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆหนิค่ะ เพราะถ้าหนูกลับไปอยู่ที่บ้าน ค่าใช้จ่ายคงต้องเยอะมากขึ้นแน่ๆ จนในที่สุดหนูก็ต้องเสียบ้านไป แล้วอีกอย่างเจ้าของบ้านเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหนิคะ ใช่ไหมชิโร่” รินแอบเอาเท้าไปยันชิโร่ที่กำลังทำไม่รู้ไม่เห็น ให้รู้สึกตัว
“อ...อ เออ อืม ก็ถ้ามีความจำเป็นน่ะนะ ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ยังไงซะก็ดีกว่าต้องเสียบ้านไปทั้งหลังหนิ” คำพูดของชิโร่ที่สติไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวทำให้ไทกะแทบคลั่งก่อนจะหันไปประจันหน้ากับรินอีกครั้ง แต่ก็ต้องยอมแพ้เมื่อสบกับตาสีฟ้าของรินที่ไม่ปรากฏความลังเลเลยแม้แต่น้อย
“แง..แพ้อีกแล้ว แต่เดี๋ยว! แล้วยัยหนูนั่นล่ะ” ไทกะเปลี่ยนเป้าหมายไปยังคนเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มที่กำลังกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย
“ค้า...อิลริยาน่ะ ไม่มีที่ให้กลับไปหรอกค่ะ เพราะพ่อกับแม่ของอิลริยาน่ะตายไปหมดแล้ว...” อิลริยาพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นไห้น่าสงสาร จนไทกะน้ำตาไหล
...ฮื้อ...เศร้า....
“อะเอ๋ กับข้าว? ...... ทำไมเหลือแค่เนี้ย!!!!” ไทกะร้องลั่นบ้านอีกครั้งก่อนจะนั่งน้ำตาตกห้อยต่องแต่ง แล้วเริ่มร้องไห้ฮือๆ แต่ก็ไม่วายตักกับข้าวที่เหลือไปจนเกลี้ยง
“โถ่..นึกว่าพอไม่มีเซเบอร์จังแล้วจะได้กินเต็มที่ซะอีก ที่ไหนได้” ไทกะตีหน้าเคร้าพร้อมหันไปมองสองตัวปัญหาอย่างขมขื่น .
.....อิ่มแล้วค่ะ!!!.... เสียงอิลริยาร้อง
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นา ตัวเองมันแต่ถามเรื่องของคนอื่นจนลืมกินเองหนิ” ชิโร่หันมาเหน็บแนมไทกะ ที่กำลังคีบกับข้าวเข้าปากทั้งน้ำตา
“เงียบไปเลยชิโร่!..” ไทกะหันไปแขวะใส่ชิโร่ตอบ ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับวัตถุแปลกประหลาดชิ้นหนึ่งที่มานั่งข้างๆชิโร่แทนที่สัตว์ตัวร้ายของเธอที่หายไปเกือบสองเดือน
“เอ ว่าแต่ชิโร่เซเบอร์จังนี่เขาบินกลับอังกฤษไปแล้วจริงๆหรอ ....แปลกคนจริงๆเลย ไม่ล่ำไม่ลากันซักคำ แล้วนี่จะกลับมาอีกไหมเนี่ย” ไทกะทำท่าครุ่นคิด ชิโร่จึงวางตะเกียบแล้วพูดว่า
“ต้องกลับมาแน่..เซเบอร์น่ะ” ชิโร่ทำสีหน้าจริงจังพร้อมยิ้มอย่างเชื่อมั่นทำให้ไทกะและคนอื่นๆแปลกใจ ก่อนไทกะจะดึงความสนใจของตัวเองกลับมายังวัตถุต้องสงสัยอีกครั้ง
“นี่! ชิโร่แล้วที่เอาเจ้าตุ๊กตานั่นมาวางไว้ตรงนั้นน่ะ มันหมายความว่ายังไง” คำพูดของไทกะทำให้ความสนใจของทุกคนถูกดึงไปที่ตุ๊กตาสิงโตอีกครั้ง
“เอ...เจ้านี่ดูแล้วมันคุ้นๆนะ ฉันว่ามันเหมือน” ไทกะลุกออกจากที่ของตัวเองแล้วเดินมาหยุบตุ๊กตาเจ้าปัญหาพร้อมเพิ่งพิจอย่างถี่ถ้วน
“เหมือนเซเบอร์ยังไงล่ะ เจ้าไลอ้อนตัวนั้นน่ะเวลามองแล้วมันให้ความรู้สึกเหมือนมองเซเบอร์ยังไงล่ะ ชิโร่ก็คิดอย่างนั้นใช่ไหม ถึงได้เอามันมาวางไว้แถวนี้” รินเอ่ยคำตอบที่ทุกๆคนก็คิดเหมือนกันหมดเพียงแต่ไม่ค่อยแน่ใจเท่านั้น
“มิน่าล่ะ ทำไมชิโร่ถึงไม่ยอมยกให้อิลริยา ที่แท้เพราะดูแล้วมันทำให้คิดถึงเซเบอร์นี่เอง” อิลริยาหันมาจ้องจับผิดนัยน์ตาสีเหลืองเข็มที่สั่นระริกของชิโร่
“เอ แต่ก็เข้าท่าดีนะ เวลาเซเบอร์จังไม่อยู่เนี่ยรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่างจริงๆด้วย ว่าแต่ไปได้มาจากไหนล่ะชิโร่” ไทกะใช้มือพยายามควานหาส่วนที่เป็นปากของเจ้าไลอ้อน แต่โชคดีที่ไลอ้อนไม่มีปากที่อ้าได้ ไม่อย่างนั้นคงโดนไทกะเย็บปิดแน่ๆ
“ได้มานานแล้วล่ะ แต่พอดีเห็นว่าช่วงนี้ที่นี่มันเงียบๆเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เลยเอาเจ้านี่ออกมาด้วยน่ะ” ชิโร่มองไปยังตุ๊กตาในมือไทกะที่กำลังลูบขนมันไปมาอย่างเอ็นดู ก่อนเสียงของซากุระจะตัดบททุกอย่างขาดสะบั้น
..อุ๊ย! ตายแล้วค่ะ โรงเรียนจะเข้าแล้ว!.........
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
ต่อง...แต๊ง..แตง...ต่อง..
สัญญาณออดเลิกเรียนวันสุดทายของปีการศึกษาดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงเจ๊อะแจ๊ะจอแจ ของเหล่านักเรียน ก่อนที่ตามบันไดจะเนืองแน่นแออัดไปด้วยผู้คนในชุดเครื่องแบบนักเรียนที่ต่างก็พยายามมุ่งหน้าไปยังประตูโรงเรียนให้เร็วที่สุด เพื่อที่จะได้เริ่มชิวิตปิดเทอมภาคฤดูร้อนของตนเสียงที หลังจากเรียนมาตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา
“แล้วเจอกันนะ อิชเซย์” ชิโร่เดินผละออกจากห้องกรรมการนักเรียนที่อิชเซย์กำลังเก็บข้าวของเล็กๆน้อยๆที่เหลืออยู่ ก่อนจะเดินลงบันไดไป และเมื่อพ้อนออกจากอาคารเรียน ดวงตาสีเหลืองเข้มของเขาก็มองออกไปยังท้องฟ้าซึ่งบัดนี้กลายไปเป็นสีส้มเช่นเดียวกับผมของเขา
“มามัวยืน เก๊กอะไรอยู่แถวนี้ยะ” เสียงคุ้นหูของใครบางคนที่มาจากด้านหลังทำให้เขาตื่นจากภวังค์
“อ่ะ อ่าว โทซากะ ทำไมพึงจะออกมาเอาป่านนี้ล่ะ” ชิโร่หันไปพูดกับรินที่ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ดูเหมือนเธอจะต้องมีสีแดงติดตัวไปด้วยอยู่เสมอๆ ไม่เว้นแม้แต่ตอนมาโรงเรียนที่ไม่ว่าจะร้อนจะหนาวก็ต้องใส่เสื้อคลุมสีแดงมาทุกวัน
“แล้วนายล่ะ ชิโร่”
“พอดีฉันช่วยอิชเซย์เก็บกวาด ห้องกรรมการนักเรียนอยู่น่ะ” พูดจบชิโร่ก็นึกอะไรบางอย่างออก
“แต่เดี๋ยว เธอยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ โทซากะ” รินมีอาการแปลกใจนิดหน่อยก่อนตอบ
“ฉันเองก็ต้องตามเก็บกวาดกลิ่นอายเวทย์ ของตัวเองเหมือนกันล่ะน่า”
“กลิ่นอายเวทย์งั้นหรอ ไอ้ของแบบนั้นมันมีด้วยหรอ”
“มันก็ต้องมีบ้างล่ะน่า ตอนที่ฉันใช้เวทย์มนตร์น่ะ พลังเวทย์ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจะยัง คงตกค้างอยู่แถวๆนั้น แล้วที่ทำให้ฉันต้องเสียเวลานานที่สุดก็คงไม่พ้น แกรนชอร์ท ที่ใช้ไล่ยิงเธอตอนนั้นหรอก”
“แล้วถ้าเธอไม่เก็บกวาดมัน แล้วมันจะเป็นยังไงเหรอโทซากะ” ชิโร่ถามอย่างกระวนกระวายใจ ทำให้รินแอบเหลียวตามามอง
“ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างเวทที่ฉันใช้ยิงใส่ตอนนั้น ถ้ามันไม่โดนนาย มันก็ไปชนกับกำแพง ทำให้เหลือพลังเวทตกค้างเล็กๆน้อยๆ เวลาที่มีใครมาเดินผ่านจุดนั้นไปเขาก็แค่จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดๆหน่อยๆเท่านั้นแหละ” คำพูดของรินทำให้ชิโร่กลับมาทำสีหน้าเช่นเดิมส่วนรินเองก็ลอบถอนหายใจ เพราะถ้าหากผลมันร้ายแรงกว่านี้ล่ะก็ชิโร่คงต้องโกรธแน่ๆ ก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มเดินออกไปทางหน้าโรงเรียน
“รุ่นพี่ค่ะ คุณริน!” ซากุระในชุกชมรมยิงธนูโบกมือเรียกมาทางเขาและรินที่กำลังจะเดินผ่านชมรมไปให้หยุด รอซากุระที่กำลังวิ่งมาหา
“ไง ซากุระ วันนี้เดินกลับด้วยกันไหม”
“ค่า! แต่ไหนๆวันนี้ก็วันสุดท้ายแล้ว ก่อนกลับรุ่นพี่ช่วยโชว์ฝีมือยิงธนูให้ดูหน่อยสิค่ะ” ซากุระยิ้มแป้นพลางส่งคันธนูมาให้เป็นการเชิญชวน
“มะ...มะ...มันจะดีเหรอ..” ชิโร่ยืนลูบหัวไปมาอย่างขวยเขิน ก่อนหันไปมองทางริน
“ฉันไม่ได้รีบไปไหนหรอกน่า อีกอย่างฝีมือยิงธนูของนายน่ะ ขอฉันดูหน่อยเหอะว่ามันห่วยขนาดไหน” รินพูดประชดใส่ชิโร่ที่โมโหขึ้นมาทันทีที่ถูกหยามส่วนซากุระก็หัวเบาๆอย่างน่ารัก
“หนอย! นี่เธอ มันจะมากไปหน่อยล่ะมั้ง
นำไปเลยซากุระ”
“ค่ะ
”
ชิโร่มาถึงเป้ายิงธนูในเวลาไม่นาน พร้อมทั้งรินและซากุระที่กำลังยืนดูอยู่ในขณะที่คนอื่นๆของชมรมต่างพากันกลับกันไปหมดแล้ว
“.ไม่ได้จับซะนานแต่ก็..เอาล่ะนะ!” ชิโร่ขึ้นลูกธนูไว้เหนือหัวแล้วตั้งสมาธิก่อนที่เลื่อนลงไปในระดับสายตา แล้วปล่อย...
พ้าววว....ฉับ!
“ว้าว! ยอดไปเลยค่ะรุ่นพี่” ซากุระปรบมือให้เป็นคำชมที่ชิโร่ยิ้มรับอย่างอายๆ แต่รินกลับยืนเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“เป็นอะไรไป โทซากะ”
“อ่อ อ้อ ปล่าว แค่กำลังคิดว่านายยิงใกล้ไป” ชิโร่ได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มฉุน
“ฮื้ย หนอนแหนะ ชักจะมันมือซะแล้วสิ!” ชิโร่ขึ้นลูกธนูใหม่อีกครั้งแต่คราวนี้ห่างจากเดิมเป็นเท่าตัว
...ฟ้าววว....ฉับ!...
“แปะๆ แปะ! ว้าว สุดยอดไปเลยค่ะรุ่นพี่” ตาสีม่วงของซากุระเป็นประกายอย่างชื่นชมทันที ส่วนรินก็มองไปทางชิโร่อย่างท้าทาง ซึ่งชิโร่ก็รู้ความหมาย เขาขึ้นลูกธนูอีกครั้งแต่คราวนี้ไกลออกไปอีกสามเท่า ถึงตรงนี้ส่วนเขาก็ไม่สามารถเห็นจุดตรงกลางเป้าได้อีกแล้ว เขาเริ่มหลับตา จินตนาการถึงเป้าธนูที่ชดเจนภายในจิตใจ เพ่งเล็งไปตรงจุดกลางเป้าก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไปแล้วลืมตาทันที
ฟ้าววววววว.ว.ว.ว.ว.ว. ฉับ!
“....โอ้โห.........” ซากุระยืนอึ้งอยู่กับที่พลางมองไปยังลูกธนูที่ยังคงปักอยู่ตรงกลางเป้าพอดิบพอดีเช่นเดียวกันแบบนี้ถึงสามครั้ง เธอรู้ดีถึงชื่อเสียงของรุ่นพี่ที่ชมรมยิงธนูเสียดายมากตอนเขาลาออก แต่เธอไม่ยักรู้ว่ามันจะถึงขนาดนี้ ส่วนรินเองก็มีอาการไม่ต่าง เพราะหากมองจากตรงนี้ เธอแทบจะมองไม่เห็นชิโร่อยู่แล้วด้วยซ้ำแต่เขาก็ยังยิงถูก
“ยัยโทซากะ เขาจะทำอะไรของเขาน้า” ชิโร่บ่นพึงพำกับตัวเองถึงโทซากะที่กำลังคุยอะไรบางอย่างกับซากุระ จากนั้นซากุระก็วิ่งออกไปทันทีซักพักก็กลับมาพร้อมกับคำตอบ แล้วรินก็ส่งสัญญาณมือให้เขาถอยห่างออกไปอีก พลางชี้มายังของในมือที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ชิโร่ที่เขาใจความหมายดี เริ่มขึ้นลูกธนูอีกครั้ง ‘ไกลขนาดเนี้ย สายธนูคงไม่มีแรงพอที่จะยิงออกไปตรงๆหรอก แต่ถ้าเสริมความตึงของสายธนูล่ะก็ คันธนูอาจจะรับไม่ไหว ยังไงก็ลองดูก็แล้วกัน’
เชามองไปยังวัตถุที่เห็นเป็นเพียงจุดแดงๆเล็กจุดหนึ่งเท่านั้น ‘เราไม่รู้ว่ามันคืออะไร ดังนั้นจะใช้วิธีเดิมก็ไม่ได้’
“เอาล่ะนะ!” ‘จินตนาการที่ยิ่งใหญ่ จินตนาการที่แข็งแกร่งที่สุด คือการจินตนาการที่ไร้รูปธรรม และไร้ขอบเขต’ มือทั้งสองข้างของชิโร่เรืองแสงสีทองขึ้นมาอย่างประหลาดแต่เขาไม่ได้สนใจหันมามองมัน ตอนนี้สายตาของเขากลับมองไปบนท้องฟ้าแล้วภาวนาให้ลูกธนูยิงถูกเป้า ไม่ว่าเจ้าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม
ชิโร่ยกคันธนูไปตามองศาที่มาจากความเชื่อมั่นเท่านั้นก่อนจะปล่อยลูกธนูออกไปอีกครั้ง
.......สึบ!...ฟ้าววววววว....ลูกธนูหมุนผ่านอากาศไปบนท้องฟ้าก่อนจะโฉบลงหาเป้าหมาย ...ฉึก!
“ฮะ ฮะ ฮะ...เป็นยังไงบ้าง โดนรึปล่าว” ชิโร่รีบวิ่งกลับมาดูผลงานของตัวเองจนหอบ
“เสียใจด้วยนะชิโร่แต่ดูเหมือนว่าฉันจะจับไต๋นายได้แล้วล่ะ” รินโชว์สิ่งที่เธอเอาให้เขายิง มันคือลูกแอปเปิ้ลที่ไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน
“ไม่เป็นไรหรรอกค่ะรุ่นพี่ ไกลขนาดนั้นถ้ายิงโดนล่ะก็ รุ่นพี่น่ะคงไม่ใช่คนแล้วล่ะคะ” ซากุระยิ้มปล่อยใจชิโร่ซึ่งหัวเราะรับ
“อะฮะฮ่า นั่นสินะ นี่ก็ใกล้เย็นแล้วด้วยฉันว่าเรารีบกลับกันเถอะเดี๋ยวคนอื่นจะเป็นห่วงเอา” ชิโร่เดินเอาของไปเก็บในชมรมยิงธนูกับซากุระ ปล่อยให้โทซากะยืนรออยู่ข้าวนอกโดยยังมีลูกแอปเปิ้ลอยู่ในมือ
“หมอนั่นน่ะ เขายิงไปไหนของเขานะ?” รินบ่นพร้อมพยายามเดินหาลูกธนูที่อาจตกอยู่ที่ไหนซักแห่ง ‘แล้วแสงนั่นมันคืออะไรกัน หรือว่ามันจะไกลจนเราตาฝาดไปเอง’
“หืม?...นี่มัน!” รินสังเกตไปเห็นรอยยาวเล็กๆบนพื้นโต๊ะไม้ที่ใช้วางแอปเปิ้ล ซึ่งก่อนหน้าที่จะวางแอปเปิ้ล ลงไปเธอจำได้ว่ามันไม่มี รินเริ่มหันมามาองผลไม้ในมือ ก่อนจะผงะด้วยความตกใจ เธอเห็นรอยเช่นเดียวกันทะลุผ่านผลแอปเปิ้ลไป เมื่อลองเอามือลูบๆดูก็รู้ว่าไม่ผิดแน่
“นายไม่ได้ยิงพลาดหรอกชิโร่ โดนเต็มๆเลยต่างหาก” รินหันลงไปมองใต้โต๊ะก็เห็นรอยของดินที่เป็นร่างเล็กๆลึกลงไป แต่ไม่เจอลูกธนู ‘คงเปลี่ยนให้มันกลายเป็นพลังงานแทนสินะ น่ากลลัวจริงๆพลังของชิโร่’
“นี่โทซากะ เธอหาอะไรอยู่น่ะ” ชิโร่เดินกลับมาพ้อมกับซากุระและกระเป๋านักรียน
“ปล่าว ไม่มีอะไร” รินลุกจากพื้นและเริ่มออกเดินกลับพร้อมๆกับคนอื่นๆ
“นี่ซากุระ วันนี้ฉันกับไทกะตกลงกันว่าจะมากินเลี้ยงฉลองกันที่สนามหญ้าน่ะ เธอจะมาด้วยได้รึปล่าว”
“แน่นอน ค่ะ รุ่นพี่”
“โทซากะเขาเป็นอะไรของเขานะ เห็นเดินคิดโน่นคิดนี่มาตั้งแต่เมื่อตะกี้แล้ว...นี่!โทซากะถ้าไม่รีบเดินล่ะก็จะไม่ทันเอานะ” ชิโร่หันไปตะโกนบอกรินที่เดินรั้งท้าย
“รู้แล้วล่ะน่า” รินเก็บแอปเปิ้ลใส่กระเป่าก่อนจะรีบสาวเท้าตามไป...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
ณ.บ้าน เอมิยะ
เมื่อเสร็จจากการล้างจานหลังงานเลี้ยงบาบิคิวที่สนามหญ้าแล้ว ไทกะกับซากุระก็ตัดสินใจว่าคืนนี้จะขอค้างที่นี่ด้วยเพราะว่าเวลาตอนนี้มันก็ดึกมากแล้ว
ก๊อกๆ ก๊อก!
“...ชู้วววว!...อย่าส่งเสียงดังสิชิโร่” ไทกะดุชิโร่ที่เดินมาตรวจสอบความเรียบร้อยภายในบ้านพร้อมกับซากุระหลังจากที่ทั้งคู่จัดการเรื่องทำความสะอาดจานเสร็จ
“แล้วอิลริยาล่ะ?” เขาพูดด้วยเสียงแหบต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อไม่ให้รบกวนการพักผ่อนของเจ้าของห้องสไตลน์อังกฤษตัวน้อย
“หลับปุ๋ยไปแล้วล่ะ” ไทกะที่ตกลงว่าคืนนี้จะนอนห้องเดียวกับอิลริยาเอ่ยพลางหันไปมองเพื่อนร่วมห้องที่กำลังหลับตาพริ้มน่ารักอย่างเอ็นดู
“งั้นพวกผมไปก่อนนะ พี่ฟูจิ ราตรีสวัสดิ”
“ราตรีสวัสดิค่ะ อาจารย์ฟูจิมูระ”
“ราตรีสวัสดิจ๊ะ ชิโร่ แล้วก็ซากุระจังด้วย” ไทกะยิ้มก่อนจะปิดประตูทิ้งคนสองคนไว้หน้าห้อง และไม่นานนักไฟในห้องก็ดับพร้อมกับที่คนทั้งสองเริ่มก้าวไปตามทางระเบียงยามค่ำคืนอย่างเงียบเชียบไปยังห้องของริน
“ก๊อกๆ!...นี่โทซากะ ตื่นอยู่รึปล่าวน่ะ ฉันพาซากุระมาส่งน่ะ” ทันทีที่จบประโยคประตูห้องก็ถูกเปิดออกทันทีเหมือนกับว่ามีคนรอที่จะเปิดมันอยู่แล้ว พร้อมด้วยการปรากฏตัวของรินในชุดนอน
“มองอะไรยะ นี่ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไปได้แล้ว!” รินที่สังเกตเห็นว่าชิโร่กำลังมองมาที่ตนเอ่ยตะคอกใส่ชิโร่ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องอย่างฉุนเฉียว เล่นเอาเขาไม่รู้จะตีหน้าไปแบบไหน ก็ถ้าไม่มองมาทางนี้เขาก็ไม่รู้ว่าจะให้เขามองไปทางไหนเหมือนกัน ส่วนซากุระที่ยืนดูอยู่ก็หัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเดินเข้าไปในห้อง
“ฝันดีนะคะ รุ่นพี่”
“อะ..อะ..อืมๆ ราตรีสวัสดิซากุระ” ชิโร่ที่ยังตีสีหน้าไม่ถูกตอบกลับ ก่อนประตูห้องจะปิดลง พร้อมกับที่เขาเริ่มเดินกลับไปทางห้องของตัวเองบ้าง...
ซ่า.......
หลังจากที่เหนื่อยมาทั้งวันในที่สุดเขาก็ได้อาบน้ำซักที ชิโร่คิดพลางเอามือหมุนบิดปิดฝักบัวแล้วเอาผ้าเช็ดตัวมาซับหยดน้ำ ก่อนที่สายตาจะกวาดไปมองทางประตูห้องและอ่างอาบน้ำ ที่จู่ๆก็เห็นเป็นภาพซ้อนทับของเหตุการณ์ที่เขาเข้ามาเจอเซเบอร์ตอนที่กำลังอาบน้ำพอดี
‘ร้ายนักนะยัยบ๊อง เล่นทำเอาเราหลงรักหัวปักหัวปำอย่างนี้ก็แย่น่ะสิ’ ชิโร่ยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงเดินออกจากห้องน้ำแล้วกลับไปแต่งตัวที่ห้อง ก่อนจะเดินไปทางประตูที่เชื่อมระหว่างห้องของเขากับเซเบอร์เพื่อไปหยิบตุ๊กตาเพียงตัวเดียวที่วางอยู่บนโต๊ะ
“ว่ายังไง เจ้าไลอ้อน วันนี้เหงาไหม ต้องอยู่ในห้องทั้งวันแบบเนี้ย” เขาพูดแล้วยิ้มพลางนึกย้อนไปถึงวันนั้นที่เค้าสั่งให้เธออยู่แต่ในห้องเพียงคนเดียวทั้งวันก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นภาพที่เธอกำลังถือเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ที่เขาเผลหัวเราะจนทำให้เธออารมณ์เสีย เหตุการณ์ต่างๆยังคงอยู่ในห้องคำนึงของเขาเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมานานซักเท่าไหร่ แต่เขาก็ยังคงจดจำมันได้อย่างชัดเจนเหมือนพึงพ่านมาเมื่อวานนี้เอง
ร่างสูงโปร่งอุ้มตุ๊กตาในมืออย่างทนุถนอมตรงไปออกไปยังห้องเก็บของที่เขาคุ้นเคย ที่ซึ่งเขาได้เจอกับเธอเป็นครั้งแรก เธอที่ทำให้ชีวิตของเขาแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล
ชิโร่นั่งลงในพิงเสาในมุมเดิม ในทุกคืนที่มีพระจันทร์เต็มดวงเขามักจะมานั่งเช่นนี้เสมอๆ วันนี้ก็เช่นกันพร้อมกับตุ๊กตาที่ดูคล้ายเธออย่างประหลาดมาวางไว้บนพื้นในจุดที่เธอเคยยืนอยู่ในตอนนั้น ก่อนเขาจะหลับเขาสู่ห้อวงนิทราแสนสุขที่กลิ่นอายของเธอไม่เคยจางหายไปไหน
...
ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ไกลออกไปอย่างไร้ขอบเขต ที่ซึ่งผืนหญ้ามาบรรจบกับแผ่นฟ้า ที่ที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน เหล่ามวลเมฆล่องลอยกันอย่างอิสรเสรีและมีรุ้งกินน้ำที่จะปรากฏอยู่เสมอๆจากไกลๆ เหมือนดั่งบันไดแห่งสวรรค์ที่ไม่ว่าจะวิ่งไปหามันเท่าไหร่ระยะห่างก็ไม่เคยลดลงไปเลยแม้แต่น้อย สายลมเอื่อยอ่อยล่องลอยมาประทะกับแสงอาทิตย์อุ่นๆ ปลอบประโลมสิ่งมีชีวิตเพียงสองชีวิตเท่านั้นที่อยู่ในที่แห่งนี้
......วันนี้มาช้าจังเลยนะคะ..ชิโร่
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
...วี๊ดๆ วี๊ดๆ....จิงหรีดร้องเป็นระยะๆในช่วงใกล้รุ่งสาง หยาดน้ำค้างแล้วความชื้นภายในห้องเก็บของทำให้ร่างสูงเริ่มขดตัวไปมาเพื่อหลีกเร้นจากอากาศเย็นในยามเช้า ก่อนที่เขาจะลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างสลึมสลือด้วยรอยยิ้มที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าก่อนจะหยิบตุ๊กตาตัวโปรดตัวแรกและเพียงตัวเดียวตลอดชีวิตมาอุ้มไว้ในอ้อมแขนอีกครั้งแล้วจึงเดินออกจากรังที่เป็นดั่งห้องส่วนตัวสำหรับเขา
ชิโร่ก้าวเท้าไปตามทางเดินที่เริ่มมีแสงสลัวๆ ส่องมากระทบทำให้มันดูเป็นสีฟ้าทึมๆ เพื่อกลับไปยังห้องนอนของเขาเพื่อเริ่มเช้าวันใหม่ที่ไม่มีเธออีกเป็นครั้งที่60 ก่อนฝีเท้าของเขาจะชะงักอยู่หน้าห้องของโทซากะที่เป็นทางผ่านไปยังห้องของตนเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจากในห้อง
ถึงจะเป็นการเสียมารยาทแต่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ชิโร่อดไม่ได้ที่จะเอาหูไปแนบกับบานประตูเพื่อจับพยายามจับใจความสำคัญของข้อความที่เบาดั่งเสียงเสียงกระซิบ ..วี๊ดๆ..วี๊ดๆ...ชิโร่ถอดสีหน้าและล้มเลิกความพยายามเพราะบัดนี้เสียงของจิ้งหรีดได้กลบเสียงหัวร่อต่อกระซิบไปจนหมด เขาจึงเริ่มก้าวเท้าเดินกลับห้องอีกครั้งเพื่อพาเจ้าไลอ้อนที่นั่งเฝ้าเขาตลอดคืนไปนั่งเฝ้าห้องของเจ้านายมันมันโต๊ะประจำตำแหน่งข้างหน้าต่างต่อ
..ฟุ๊บ! เขาล้มตัวลงนอนบนฟูกที่ถูกปูทิ้งไว้ก่อนไปอาบน้ำพลางเอื้อมมือไปหยิบนาฬิกาที่บัดนี้บอกเวลาตีห้ายี่สิบนาที
“ขอนอนตื่นสายซักวันนึงเถอะ..” เขาล้มตัวลงนอนทั้งที่ยังไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกโดยหวังไว้ว่าพรุ่งนี้คงจะมีซากุระที่ตื่นมาดูแลเรื่องปากเรื่องท้องของคนบ้านนี้ตามปกติ...
8.00 น ณ.บ้านเอมิยะ...
หลังจากเดินโซซัดโซเซไปเข้าห้องน้ำเรียบร้อยพระเอกของเราก็เดินตรงมายังห้องอาหารด้วยความกระวนกระวาย และ ฟืด...
...ว่างปล่าว...?
“อรุณสวัสดิค่ะ รุ่นพี่ อาหารเช้าเรียบร้อยแล้วเหรอคะ” ซากุระที่วันนี้หน้าตาดูโทรมกว่าปกติเอ่ยคำถามที่ชิโร่เองก็กำลังต้องการคำตอบของคำถามนี้จากปากซากุระเช่นเดียวกัน
“เอ๋? ซากุระ วันนี้เธอก็ตื่นสายเหรอ?” ชิโร่เริ่มเหงื่อตกไม่ต่างจากซากุระที่พยักหน้ารับเพราะทั้งคู่ยังจำครั้งสุดท้ายที่ไทกะไม่ได้กินอาหารได้เป็นอย่างดี
“อ่าวว......อรุณสวัสดิชิโร่.....วันนี้มีอะไรกินบ้างเนี่ยย?...”รินที่โผล่มาทีหลังแหวกผ่านคนทั้งสองลงไปนอนกองอยู่กับโต๊ะกินข้าว
“แย่แล้วล่ะโทซากะ วันนี้ฉันกับซากุระน่ะ ตื่นสายทั้งคุ่เลยน่ะสิ เลยไม่มีคนทำอาหารเช้าน่ะ” ชิโร่เอ่ยกับรินด้วยสีหน้าวิตกกังวล ไม่ต่างจากซากุระ
“แล้วมันจะแย่ซักแค่ไหนเชียว เดี๋ยวฉันกับซากุระน่ะ จะออกไปซื้ออะไรมากินเอง ชิโร่ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า...ห๊าวว” รินสลบเหมือดลงไปกับโต๊ะอีกครั้ง
“มันไม่ใช่เรื่องนั้นหรอกโทซากะ แต่ว่าไทกะน่ะ....” ชิโร่หันไปมองซากุระอย่างรู้ความในทำให้ทั้งคู่ลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“ทำไมเหรอ...ไทกะจา....
“กลับมาแล้วค่ะ! นี่ๆชิโร่ตื่นรึยังเอ่ย อิลริยาซื้อกับข้าวมาฝากด้วยนะ..” เสียงของอิลริยาที่ดังมาจากทางหน้าบ้านทำให้คนทั้งสองตื่นตระหนก
“กลับมาแล้ว...จ้า แหมอิลริยานี่วิ่งเร็วจริงๆเลย”
ตึก...ตึก..ตึก...ครืด!...
การปรากฏตัวของอิลริยาและไทกะทำให้คนกระทำผิดขวัญหนีดีฝ่อหน้าซีดลงไปทันที ส่วนรินยังคงตั้งหน้าตั้งตาหลับต่อย่างมุมานา
“นี่? เป็นอะไรกันไปหมด...อ..อ๋อ..ไม่ต้องห่วง มีส่วนของซากุระจังแล้วก็รินด้วยล่ะ” ไทกะแกว่งถุงที่อยู่ในมือไปมาอย่างร่าเริง ทำให้ทั้งคู่โล่งอก ส่วนอิลริยาตอนนี้กำลังแหย่รินให้ตื่น
“พี่ฟูจิ เป็นไงมาไงถึงได้พาอิลริยาออกไปข้างนอกได้ล่ะเนี่ย” ชิโร่ยิ้มแห้งๆในขณะที่ไทกะกำลังเปิดทีวีช่องรายงานข่าว
“ก็ ไม่มีอะไรมาก.....ปอดี เห็นปวกเตอ.....ยัง....ไม่ตื่นก็เลย ..อึก!” ไทกะกลืนขนมลงคอตามด้วยการกระดกน้ำจนหมดแก้ว ทำให้ชิโร่เริ่มมีอาการผวา
“พาอิลริยาออกไปหาอะไรกินกันก่อนไง ขืนให้รอพวกเธอมีหวังหิวจนไส้กิ่วกันพอดี แล้วอีกอย่างเด็กตัวแค่เนี่ยต้องกินอาหารให้ตรงเวลา..ใช่ไหมจ๊ะอิลริยาจัง...”
“...ค่ะ !” อิลริยาลากเสียงยาวรับพร้อมทำหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู ซึ่งดูเหมือนตอนนี้ไทกะจะติดอิลริยาเข้าให้แล้ว ส่วนชิโร่ก็ได้แต่โล่งอกพร้อมนึกขอบคุณอิลริยาอยู่ในใจที่ทำให้วันนี้ไทกะไม่ได้ออกอาละวาด
......มีรายงานว่าเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกบริเวณภูเขาหลังวัดริวโด ไม่พบผู้รอดชีวิต....
“แหมอะไรกันอีกล่ะเนี่ย...ครั้งที่แล้วยังหาตัวฆาตกรไม่เจอเลย แล้วนี่ยังมาเครื่องบินตกอีก มันอะไรกันนักหนานะ เมืองนี้..” ไทกะบ่นก่อนจะยกชาขึ้นมาจิบ ภาพในรายงานข่าวเป็นภาพในที่เกิดเหตุที่เห็นเพียงแต่ซากปรักหักพังเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยของเครื่องบินโดยสาย...แต่ทันใดนั้น
“...ปัง! นั่นมัน?..” สายตาของชิโร่เหลือบไปเห็นเงาคนสีดำทะมึนหลบอยู่ที่มุมภาพก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็วทำให้เขาหลงตีโต๊ะเสียงดังอย่างไม่ทันรู้สึกตัว ทำให้รินหันมาถาม
“มีอะไรหรอชิโร่”
“ป...ปะ...ปล่าวหรอก ไม่มีอะไร” รินหันมามองทางเขาอย่างจับพิรุธในขณะที่เขาพยายามทำตัวให้กลับสู่สภาพปกติโดยเร็วที่สุด
...นี่คือเสียงจากกล่องบันทึกเสียงของนักบินที่ถูกบันทึกไว้ก่อนที่เครื่องบินจะตกค่ะ ....นั่นมันตัวอะไรกันน่ะ..ปริ ปริ (เสียงแก้วที่กำลังร้าว) มันกำลังจะเข้ามา! หนีเร็ว! เพล้ง!!!! ฟูบบบ.....เสียงดูดของอากาศก่อนจะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่มนุษย์.......
....อย่างไรก็ดีทางตำรวจจะรีบสืบหาเบอะแสโดยเร็วที่สุดเพื่อหาสาเหตุที่มาของเหตุเหครื่องบินตกในครั้งนี้..FSN..New รายงาย...ตอนนี้ขอกลับไปที่สถานนีค่ะ
ตอนนี้หน้าจอทีวีกำลังเสนอรายงานสภาพอากาศในขณะที่ภายในห้องกำลังตกอยู่ในความเงียบสงัด ห่อนใครคนหนึ่งจะทำลายมันลง
“น่ากลัวจังเลย เนอะ หรือว่าเมืองนี้มันจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลซะแล้ว” ไทกะเอ่ยอย่างครุ่นคิดก่อนมองไปทางชิโร่ที่กำลังตีสีหน้าเคร่งขรึม
“ว่าแต่ชิโร่ ตะกี้นายเห็นอะไร” ชิโร่ที่รู้สึกตัวรีบกลบเกลือนสีหน้าทันทีก่อนจะตอบ
“อ่...อ๋อ ปล่าว แค่ตกใจนิดหน่อยน่ะที่มีคนตายเยอะขนาดเนี้ย”
“แล้วทำไมต้องทำสีหน้าเครียดขนาดนั้นด้วย” ไทกะที่ยังคงตามจับผิดเขาไม่เลิก กำลังพยายามมองเข้ามาในตาของเขาเพื่อควานหาคำตอบ
“ก็จะไม่ให้เครียดได้ยังไงล่ะ อิชเซย์ที่อยู่ที่วัดริวโดก็เป็นเพื่อนผมทั้งคนนะ” ชฺโร่เอ่ยอย่างฉุนเฉียวเพื่อไล่ให้ไทกะเลิกจับผิดท่าทางของเขาซักที
“อ่...อ๋อ ที่แท้ก็ห่วงเรื่องนี้นี่เอง ถ้าเกิดว่าเครื่องบนตกลงไปที่วัดริวโดคราวนี้คงมีคนตายจนเป็นโศกนาถกรรมเลยซินะ แหมชิโร่น่ะก็เป็นซะแบบนี้แหละ เห็นคนตายเป็นไม่ได้ต้องโมโหทุกที”
“ฉันโมโหตัวเองน่ะ ที่ช่วยอะไรใครไว้ไม่ได้เลย ทั้งที่มีคนตายมากขนาดนั้นแท้ๆแต่เรากลับทำได้แค่นั่งดูอยู่เฉยๆ ไม่แม้แต่จะเสียน้ำตาซักหยดเพื่อพวกเขาเหล่านั้น มันไม่น่าโมโหหรอกเหลือ ไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรอ” ชิโร่เอ่ยอน่างเศร้าสร้อยด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำทำให้คนที่ฝังเองก็เริ่มก้มหน้าสำนึกผิดไปด้วย
“รุ่นพี่...”
“ชิโร่...”
“เอมิยะคุง...”
“โถ่...ชิโร่เนี่ยพูดอะไรออกมาก็ไม่รู้เลยพลายทำให้คนอื่นหมดสนุกไปด้วยเลย เอางี้มาดูนี่ดีกว่า” อิลริยาเอ่ยอย่างร่าเริงก่อนจะค้นเข้าไปในถุงใบใหญ่เกือบเท่าตัวเธอที่ไม่รู้ว่าไปเอามาตอนไหน ก่อนจะหยิบสิ่งที่เธอต้องการจะอวดออกมาสู่สายตาทุกคน
มันเป็นตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ ที่มือข้างหนึ่งถือขวานในขณะที่มีดวงตาข้างหนึงถูกเย็บให้เป็นเหมือนกับแผลเป็นจนดูคล้ายใครบางคนอย่างประหลาด
“อิลริยาจะเรียกมันว่า เบอร์เซอร์กเกอร์ ปึง!” อิลริยาจับตุ๊กตาที่มีขนาดสูงกว่าเจ้าไลอ้อนถึงสามเท่ามาวางไว้บนโต๊ะ ทำให้ไทกะเริ่มงอแง
“เงิน .... เดือน...ของฉัน ” ไทกะลงไปนอนร้องครวญครางอยู่กับพื้นหลังจากพูดจบ “กะว่าจะไม่ซื้อแล้วแท้ๆเชียว ยิ่งเห็นยิ่งปวดใจ” พูดจบก็ร้องอีก
“เอ้?...ทำไมอิลริยาจังถึงได้ชอบตุ๊กตาตัวนี้ล่ะจ๊ะ พี่ว่าตัวอื่นน่ารักๆ มีออกเยอะแยะ” ซากุระจังถามอิลริยาที่กำลังสนุกกับการเอาขวานของตุ๊กตาไปเฉือนคอริน
“ก็เหตุผลเดียวกันกับชิโร่นั่นแหละ” รินพยายามขัดขืนแต่ด้วยขนาดของตุ๊กตาที่ขึ้นคร่อมเธออยู่ทำให้เป็นเรื่องยากในขณะที่ซากุระกำลังงกับคำตอบของเด็กน้อยเลยหันมาหาชิโร่ที่กำลังนั่งดูไทกะกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างอนาถใจ
“เหตุผลเดียวกันงั้นหรอค่ะ?” ซากุระพูดกับตัวเองก่อนก้มหน้าลงคิดอะไรบางอย่าง....ไรเดอร์
......และแล้วบ้านเอมิยะก็กลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
เทรสออน!...
...ชายหนุ่มคนเดียวในบ้านกำลังนั่งหลับตาอย่างขะมักเขม้นภายในโรงฝึกที่สว่างไสวไปด้วยแสงอาทิตย์ยามบ่าย หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ
...ภายในห้องถวังสีดำมืดมิดภายของดาบคู่สองเล่มค่อยๆปรากฏออกมาชัดขึ้นและไกลขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่มือทั้งสองข้างของเขาเริ่มสัมผัสได้ถึงน้ำหนักของวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นมา
“...คู่แรก เสร็จสมบูรณ์” เขาลืมตาขึ้นเพื่อชื่นชมกับผลงานในมือ มันคือดาบคู่คันโจวกับฮาคุยะดาบเนื้อดีจากฝีมือของช่างตีดาบชั้นเลิศอย่างกันเจียงตามประวัติศาสตร์จีน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ที่บอกเรื่องนี้แก่เขานอกจาก โทซากะ ริน
“เอาล่ะ ต่อไปก็คู่ที่สอง” เขาวางดาบลงบนพื้นไม้มันวาวของโรงฝึกดาบใกล้ๆกับเจ้าตุ๊กตาที่ปกติแล้วเวลาอยู่บ้านเขามักจะพกมันไปไหนมาไหนด้วยเสมอก่อนจะเริ่มหลับตาลงอีกครั้งก่อนที่ดาบคู่ที่สองซึ่งมีลักษณะเหมือนกับคู่แรกทุกประการจะปรากฏบนมือของเขา
“คู่ที่สาม” เขาวางมันลงแล้วเริ่มสร้างมันใหม่อีกครั้งเป็นครั้งที่สามในขณะที่สีหน้าของเขาตอนนี้เริ่มดูอึดอัดกว่าตอนแรกมากเลยทีเดียว
...เคร้ง! ดาบหลุดออกจากมือของเขาก่อนจะหล่นลงกระทบเล่มอื่นๆจนเกิดเสียงดัง ซึ่งมาพร้อมกับอาการเหนื่อยหอบของนักสร้างดาบ
“ฮ่า...ฮ่า...ฮ่า..คู่ที่สี่” เขาหลับตาลงอีกครั้ง ‘ยังไหวน่า เรายังไหว’ อาการหอบเริ่มเป็นอุปสรรคในการรวบรวมสมาธิและแล้วในที่สุดดาบคู่ที่สี่ก็เริ่มปรากฏขึ้นบนมือของเขา
เคร้ง!! เขาทิ้งดาบออกจากมือทันทีเมื่อน้ำหนักของมันออกมาสมบูรณ์ ก่อนจะลืมตาชื่นชมกับผลงานตัวเอง แต่แล้วเขาก็ต้องผิดหวังเมื่อพบว่าดาบคู่แรกที่เขาสร้างขึ้นกำลังเลือนหายไปทีละน้อยจนในที่สุดก็กลายเป็นอากาศธาตุอีกครั้ง
แซบ...แซบ.. พอได้ยินเสียงหญ้าที่ถูกเหยียบกำลังตรงมาทางนี้ชิโร่จึงรีบตัดวงจรพลังเวทที่ป้อนให้แก่ดาบเพื่อให้คงสภาพอยู่ได้อย่างรวดร็ว และดาบที่กองอยู่ก็สลายหายไปในทันทีพร้อมๆกับเสียงประตูโรงฝึกถูกเปิดออก
พรืด...
“อ่าวรุ่นพี่มาอยู่นี่เองหรอค่ะ ตามหาซะแทบแย่แหนะ เอ๊! รุ่นพี่เป็นอะไรไปค่ะหรือว่าจะไม่สบายทำไมสีหน้าดูแย่จังเลยค่ะ หรือว่าจะเป็นเพราะนอนดึกเมื่อคืน” ซากุระรีบเขามาดูอาการของเขาด้วยหน้าตาที่วิตกกังวลและน้ำเสียงที่แสดงถึงความเป็นห่วง
“ปะ ปะ ปะ ปล่าว ไม่มีอะไรหรอก พอดีว่าฉันมาทำความสะอาดที่นี่น่ะ เลยรู้สึกเหนื่อยก็แค่นั้น ขอบใจมากนะที่เป็นห่วง” ชิโร่หันกลับไปยิ้มให้ซากุระพร้อมยืนขึ้นแสดงท่าทางกระฉับกระเฉงทำให้สีหน้าซากุระดูผ่อนคลายลง
“ว่าแต่ซากุระตามหาฉันทำไม มีเรื่องอะไรงั้นหรอ” เขาหันกลับไปเป็นฝ่ายถามซากุระที่อยู่ในชุดกระโปรงสีขาวสวมทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีชมพูดูเรียบร้อยน่ารัก
“ปล่าวค่ะ คือ อาจารย์ฟูจิมูระ คุณริน แล้วก็ คุณอิลริยา ตกลงกันว่าจะออกไปเที่ยวในตัวเมืองน่ะค่ะ ไม่ทราบว่ารุ่นพี่จะไปด้วยกันไหมค่ะ” ซากุระพูดก่อนจะมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยพอเหลือบไปเห็นตุ๊กตาสิงโตที่วางอยู่บนพื้น
“อืม..ฉันว่าไม่ดีกว่า ไปกันแต่พวกผู้หญิงเถอะเพราะถ้าจะเอาฉันไปด้วยคงเสียบรรยากาศปล่าวๆน่ะ แล้วอีกอย่างวันนี้ฉันรู้สึกเพลียๆด้วยเลยอยากนอนพักซักงีบ ยังไงก็เที่ยวให้สนุกแล้วกันนะ” ความสนใจของซากุระถูกดึงกลับมาด้วยน้ำเสียงของชิโร่
“ฉันดีใจนะคะที่รุ่นพี่รู้จักพักผ่อน งั้นฉันก็ไม่ขอรบกวนแล้วนะคะ” ซากุระยิ้มหวานก่อนจะเดินออกไปอย่างสุภาพแล้วปิดประตู ทำให้ชิโร่ทั้งตัวลงไปนอนกับพื้นทันที
...เฮ้ออ.. เขาสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอดก่อนจะผ่อนมันออกมาอย่างเต็มทีแล้วลืมตาดูเพดานก่อนจะหยิบตุ๊กตาที่วางอยู่ข้างๆ มาชูไว้เหนือศรีษะก่อนจะจินตนาการเห็นภาพของใบหน้าเรียวตาสีเขียวมรกตตัดกับเส้นผมสีเหลืองอ่อนที่สุกสกาวราวกับแสงของพระอาทิตย์ยามเช้าแสนอบอุ่นที่กำลังพูดว่า
“...การพักเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้” เสียงทุ่มเอ่ยก่อนที่ในตาจะบรือลงแล้วหลับไปพร้อมกับเจ้าสิงโตจำลองในอ้อมแขน
........ปัง!!!!!!!!...............
...ช่วยด้วย!..ช่วยด้วย!...ใครก็ได้ ช่วยที!!!! เสียงร้องขอความช่วยเหลือดังระงมสับสนอลหม่านกับเสียงกรีดร้องอย่างหวาดผวาและตื่นกลับของผู้คนจำนวนมากมาย ตามมาด้วยเสียงของกรีดร้องของอากาศที่ถูกดูดออกจากเครื่องอย่างบ้าคลั่ง
ผู้โดยทุกคนรวมทั้งพนักงานบนเครื่องตอนนี้ต่างกำลังเบียกเสียดกันอยู่ในส่วนท้ายของเครื่องบนที่กำลังจะตก ทุกคนต่างกำลังจ้องเงาประหลาดสีดำที่กำลังดูดเอาแสงบางอย่างออกจากร่างของนักบินและผู้ช่วยนักบินทั้งสองที่สีสภาพเหมือนถูกกัดกินจนเป็นแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว ก่อนที่เจ้าตัวเงาสีดำจะเริ่มค่อยๆคลืบคลานมายังส่วนท้ายของเครื่องบินโดยที่ก่อนหน้าที่มันจะจัดการกับเหยื่อรายที่สองมันยังมีเพียงแต่ส่วนหัวที่ตั้งชูชันขึ้นมาจากของเหลวสีดำสนิทแต่ตอนนี้มันมีแขนอีกข้าวโผล่ออกมาทำให้ชะตากำของทุกชีวิตบนเครื่องมาถึงจุดจบเร็วกว่าปกติ...อย่า อย่า อย่าเข้ามานะ ได้โปรดเถอะปล่อยฉันไปเถอะ.........เขาเห็นภาพนั้นภาพที่มันกำลังคลืบคลานใกล้เข้าๆ จนในที่สุดมันก็อ้าปากสีดำทะมึนแล้วมันก็......
ผลึก!!! ฮ่า..ฮ่า..ฮ่าๆ ชิโร่หอบหายใจหลังพึ่งตื่นจากฝันร้าย เขายันตัวขึ้นตั้งสติพร้อมสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ ก่อนจะเริ่มเรียบเรียงเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในหัว ก่อนจะมองไปดูมืออีกข้างที่ยังคงกอดตุ๊กตาสิงโตเอาไว้แน่น
เขาปาดเหงือที่หน้าฝากอันไม่ได้มีสาเหตุมาจากความร้อนออกอย่างกระวนกระวายใจ
‘สงสัยคืนนี้คงต้องออกไปดูซักหน่อยแล้ว’ เขาคิดในใจก่อนจะมองไปรอบด้วยแล้วสังเกตเห็นว่าตอนนี้พื้นของโรงฝึกถูกย้อมไปด้วยสีส้มอ่อนๆของแสงอาทิตย์อันบ่งบอกถึงเวลาที่เขาใช้ไปกับการพักผ่อนที่ยาวนานกว่าที่เขาคาดไว้
“พวกนั้นกลับมาคงจะหิวน่าดู จริงไหมไลอ้อน แกเองก็คงจะหิวแล้วสินะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง และความหิวก็คือศัตรู” เขายิ้มก่อนจะลุกเดินออกไปจากโรงฝึกโดยไม่ลืมหันไปมองยังมุมมุมหนึ่งของห้องที่เจ้าของประโยคมักจะไปนั่งอยู่ตรงนั้นเสมอเวลาที่เขามาที่นี่.........คิดถึงเธอนะ เซเบอร์...........
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
กลับมาแล้วค่ะ..! เสียงประสานดังมาจากหน้าประตู ก่อนฝีเท้าจำนวนมากจะก้าวเข้ามาในบ้านโดยมีจุดหมายเดียวกันคือห้องครัวที่สีกลลิ่นหอมฉุยออกจากจนถึงประตูบ้าน
“อ่าวกลับมาแล้วเหรอ” ชิโร่เอ่ยทักทายทุกคนในขณะที่กำลังยกอาหารมาวางบนโต๊ะ ด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
“ว้าว! วันนี้ชิโร่ทำตัวน่ารักผิดปรกติเลยแฮะ นี่ถึงขนาดลงมือทำกับข้าวไว้รอพวกเรากลับมาเลยเหรอเนี่ย!” ไทกะเอ่ยคำพูดที่ทำให้ชิโร่รู้สึกตงิดๆ
“เดี๋ยวก่อนสิพี่ฟูจิ ที่ว่าน่ารักผิดปรกตินี่มันหมายความว่ายังไงกันน่ะฮะ แปลว่าปรกติแนทำตัวไม่เข้าท่าหรือไง” ชิโร่หันมามองฟูจิมูระพร้อมกับหนังตาที่กำลังกระตุกอย่างคนอารมณ์เสีย ทำให้ไทกะที่ยิ้มเจือนๆ พร้อมหัวเราะแฮะๆ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่าชิโร่ ว่าแต่วันนี้ฉันมีข่าวดีมาบอก ในระหว่างปิดเรียนภาคฤดูร้อนนี้ ซากุระจังจะมาอยู่กับเราที่นี่ด้วย” ไทกะผายมือไปทางซากุระที่กำลังก้มหน้าอย่างอายๆ
“ฉันขออนุญาติคุณปู่มาเรียบร้อยแล้วยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ!”
“อะ...อื้ม ยังไงซากุระก็เหมือนคนบ้านนี้อยู่แล้วนี่นา” ชิโร่เอ่ยก่อนยิ้มเล็กน้อยก่อนหันกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ
“ห..หะ. มะ แหม! รุ่นพี่ล่ะก็” ซากุระหลบหน้างุดซ่อนความอายจากคำพูดของชิโร่ที่ส่อไปทางอื่น จนเธอคิดไปตเลิกเปิดเปิง
“แหม ถ้าเป็นซากุระล่ะก็ จะเมื่อไหร่หรือนานแค่ไหนก็ได้จ๊ะ ผิดกับใครบางคนที่ไม่รู้จู่ๆโผล่มาจากไหน” ไทกะเอ่ยพลางชำเลืองหางตามองไปยังรินยังคงกินอาหารต่อแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ขอข้าวเพิ่มค่ะ!..” อิลริยาร้อง
“นี่พี่ฟูจิ ถ้าไม่รีบกินล่ะก็เดี๋ยวจะหมดก่อนนะ” ชิโร่เอ่ยเตือนสติไทกะที่กำลังพยายามทำให้รินรู้สึกตัวว่ากำลังถูกเหน็บแนม แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“อุ๊ย! ตายแล้ว! กับข้าวมันหายไปไหนหมดล่ะเนี่ย..ตักๆ ตัก ต้องรีบตัก” ชิโร่มองภาพไทกะที่กำลังกลาดอาหารลงคออย่างอนาถ ก่อนเขาจะหันไปมองเจ้าสิงโตน้อยที่วางอยู่บนเบาะข้างๆเขา ด้วยสายตาที่เอ็นดูก่อนจะหันกลับไปร่วมสึกชิงอาหารบ้านเอมิยะต่อ
...
“เอ....ว่าแต่ ไปซื้อของคราวนี้ ได้อะไรกลับมาบ้างล่ะ” เขาเอ่ยแต่....
....เงียบ ~ ..
“ของกระจุกกระจิกของผู้หญิงน่ะ นี่นายอย่าบอกนะว่านายอยากดูน่ะ” รินเอ่ยในขณะที่สายตาทุกดวงตอนนี้จับจ้องมาหาเขาอย่างประหลาด และทันใดนั้นเองก็มีคนโยนก้านไม้ขีดลงในบ่อน้ำมัน
“เจ้าชิโร่ จอมลามก” อิลยากล่าวหาเขา เล่นเอาคนถูกว่าเหงือตก เพราะดูเหมือนตอนนี้ทุกคนจะเริ่มคิดอย่างเดียวกันกับเด็กน้อยนักวางเพลิงเสียแล้ว
“แหมชิโร่ ในที่สุดก็เผยธาตุแท้ออกมาแล้วสินะ” ไทกะบ่น
“ฉันไม่คิดเลยนะคะ ว่ารุ่นพี่จะเป็นคนแบบนี้” ซากุระด่า
“เอมิยะคุงเนี่ย คิดเรื่องแบบนี้ตลอดเวลาเลยสินะ” โทซากะนินทา
“อะ เออ เออ เออ คือฉัน...” ชิโร่ผงะไปด้านหลัง เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไปดี เพราะดูเหมือนตอนนี้ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไปก็คงดูไม่จืดทั้งนั้น
“ยังจะมาแก้ตัวอีกเหรอ ชิโร่” ไทกะ
“รุ่นพี่คะ” ซากุระ
“จนตรอกแล้วสินะ ชิโร่” อิลริยา
“มีอะไรจะพูดก็รีบๆพูดมาเถอะน่า เอมิยะคุง มัวแต่อ้ำๆอึ้งๆเดี๋ยวจะไม่ทันการนะ” โทซากะ
“เออ...คือ... ฉันไปทำงานพิเศษก่อนดีกว่า ฝากที่เหลือด้วยนะ!” เขารีบวิ่งออกจากห้องทันทีโดนไม่เหลียวหลังกลับ ห่อนจะเปิดประตูบ้านแล้วพุ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
......5555.... ห้องทั้งห้องระงมไปด้วยเสียงหัวเราะหลังจากที่บุรุษนายเดียวหนีออกไปได้ไม่นาน
“ไม่เคยชิโร่ รุกรี้รุกรนขนาดนี้มาก่อนเลยแฮะ” ไทกะเอ่ยกลัวหัวเราะในขนาดที่กำลังเอามือปาดน้ำตา
“เห็นหน้าของหมอนั่นรึปล่าว! ปังๆ!! ปัง!!” รินทุบโต๊ะไปด้วยในขณะที่กำลังหัวเราะจนท้องแข็งส่วนอิลริยาลงไปนอนกิล้งอยู่กับพิ้น
“แต่ว่าปล่อยไว้แบบนี้มันจะดีหรอค่ะ” ซากุระซึ่งเธอเป็นคนเดียวที่ขำไม่ออกเอ่ยด้วยสีหน้าสำนึกผิด พลางทำให้คนอื่นหยุดไปด้วย
“อย่าคิดมากเลยน่าซากุระ คนอย่างเจ้าชิโร่น่ะมันไม่เป็นอะไรหรอก” ไทกะหันมาปลอบ
“อีกอย่าง จะให้ชิโร่น่ะ รู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด” โทซากะว่า
“ยังไงทั้งหมดนี่ก็ทำเพื่อชิโร่ไม่ใช่เหรอ” อิลยากล่าวพลางยกชาขึ้นมาจิบ ก่อนจะหัวเราะคิกๆอีกครั้งจนสำลักน้ำชา
“เพื่อรุ่นี่ สินะคะ....” ซากุระกลับมายิ้มอย่างเก่าทำให้ทุกคนโล่งอก ก่อนที่โทซากะจะหันไปเห็นตุ๊กตาที่วางอยู่ตรงข้าวเธอซึ่งชิโร่ที่รีบออกไปลืมเอาไว้
“ไม่ต้องมามองฉันแบบนั้นเลยนะ ...ว่ายังไง เจ้าเซเบอร์งานนี้แกเอาด้วยรึปล่าว ถ้าเอาล่ะก็ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกเจ้าหมอนั่นเป็นอันขาดเลย รู้ไหม..” รินเท้าคางคุยกับตุ๊กตาทำให้ที่เหลือหันกลับมามอง
“ตุ๊กตาตัวนี้ชื่อว่าเซเบอร์หรอค่ะ” ซากุระถามรินที่ส่ายหัวไปมาเป็นคำตอบ
“แต่ว่าชื่อเซเบอร์ก็เหมาะกับเจ้านี่ดีออก ดูยังไงก็เหมือน เพราะงั้นฉันจะเรียกเจ้านี่ว่าเซเบอร์..แล้วกัน” ไทกะคีบคอตุ๊กตาที่ถูกตั้งชื่อใหม่ขึ้นมาอย่างน่าสงสาร
“งั้นก็เอาตามนี้ สรุปแล้วยังไงซะก็ห้ามบอกเรื่องของที่ซื้อมากับชิโร่เด็ดขาด ไม่ว่าจะกรณีใดๆก็ตาม ส่วนเจ้าตุ๊กตาตัวนี้ก็ให้เรียกมันว่าเซเบอร์แล้วกัน มีปัญหาอะไรไหมเจ้าเซเบอร์”...ริน
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
‘เฮ้อ เหนื่อยมาทั้งวันเลยแฮะวันนี้ ว่าแต่จะกลับดีไหมบ้านเนี่ย โดนเข้าใจผิดไปซะขนาดนั้น’ ชิโร่คิด ในขณะแหงนหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้าที่สุกสกราวไปด้วยดวงดาวนับล้าน ระหว่างทางกลับบ้านที่ค่อนข้างเปลี่ยว ในยามวิการเช่นนี้ หลังจากทำงานพิเศษในส่วนของคนอื่นๆที่กำลังอยู่ในช่วงเห่อหน้าร้อนจนเลยเวลาเลิกงานมากว่าชั่วโมงเศษ
เฮ้อ.อ....เขาถอนหายใจก่อนละสายตาจากท้องฟ้ามายังพื้นถนนที่มีแสงสลัวๆจากหลอดไฟข้างทางมาตกกระทบ และเป็นเช่นนี้ไปอีกหลายช่วงตึก ก่อนนัยตาสีเหลืองเข้มของเขาจะเหลือบขึ้นไปมองทางวัดริวโดซึ่งถนนเส้นที่เขาเหยียบอยู่นี้มุ่งตรงไปทางนั้น
“ริวโด..งั้นหรอ” เขาพึมพำพลางภาพความฝันประหลาดๆกับรายงานข่าวเมื่อเช้าก็กลับเขามาอยู่ในหัวของเขาอีกครั้ง
“กลับดึกหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ร่างสูงโปร่งเริ่มเร่งฝีเท้าตรงไปยังวัดริวโดที่มองเห็นออกไปไม่ไกลนัก โดยลืมสังเกตเขาที่เริ่มออกตามเขามาตั้งแต่เริ่มออกเดิน
ณ. เชิงเขาหลังวัดริวโด
‘สงครามจอกศักสิทธิ์ครั้งก่อนก็จบลงที่วัดแห่งนี้สินะ’ เขาคิดย้อนไปถึงอดีตทำให้ภาพเก่าๆตั้งแต่ฉากเริ่มของสงครามจนมาถึงตอนจบผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
ภาพอาจารย์โซอิจิโร่ที่นอนจมกองเลือดโดยถูกเขาทิ้งไว้ข้างหลัง... ‘ทั้งที่ตั้งใจว่า จะไม่ฆ่าใครแล้วแท้ๆ แต่ว่า’
ภาพของโคโตมิเนะ คิเรย์ สิ้นลมหายใจ... ‘ในที่สุดเราก็ต้องทำมันอยู่ดีนั่นแหละ’
‘แต่บางทีคนพวกนั้นอาจสมควรตายแล้วนี่นา’ ภาพของมาโตอุ ชินจิที่ตื่นกลัวจากการที่หนังสือลงอาคมกำลังไหม้อยู่ในมือซึ่งนั่นเป็นภาพสุดท้ายที่เขาเห็นชินจิในสภาพมีชีวิตอยู่...
‘ไม่สิ เราไม่มีสิทธิมาตัดสินว่าใครสมควรตายหนิ’
‘แต่ถ้าเราไม่ทำมันล่ะก็...คนบริสุทธิอีกหลายคนก็ต้องตายน่ะสิ’ ภาพศพที่ถูกสังหารในข่าว ภาพของคนทั้งโรงเรียนกำลังขาดใจตายภายใต้อาณาเขตสีแดง... ก่อนจะนึกหวนไปถึงคำพูดของโคโตมิเนะที่โบสถ์ในวันนั้น ‘ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ชั่วช้าโสมมขนาดไหนก็ไม่ใช่สิ่งผิด เพราะยังไงซะมันก็เป็นแค่การกระทำของมนุษย์งั้นหรอ ...มนุษย์ที่มักจะวัดความถูกผิดของสิ่งที่ทำด้วยเหตุผลของตนเองสินะ ฉันเข้าใจสิ่งที่นายพูดแล้วล่ะ คิเรย์’
...กึก! ขายาวหยุดก้าวเมื่อมาถึงที่หมาย ภาพที่เห็นตรงหน้าคือผืนป่าที่โล่งเตียนจากแรงระเบิดและไฟที่ลุกลามตอนเครื่องตก และซากปรักหังพังที่ยังไม่ได้รับการขนย้ายโดยมีแถบพลาสติกสีเหลืองดำที่เขียนไว้ว่า ‘ห้ามผ่าน’ล้อมลอมบริเวณเอาไว้ ซึ่งเขาไม่ลังเลเลยที่จะลอดผ่านเข้าไปเพื่อดูมันใกล้ๆ
“กระจกแตก จริงๆด้วย” เขาเริ่มเดินสำรวจจากส่วนหัวที่ถึงจะไหม้จนเกรียมแต่ก็ยังสามารถเห็นได้ถึงรอยกระจกที่แตกออก จากนั้นเข้าก็เริ่มเดินไล่ลงมาเรื่อยๆ จนมาถึงกระจกบานหนึ่งที่มีรอยคราบเลือดรูปมือแห้งกรังเป็นปื้นใหญ่ติดอยู่ เขาเอื้อมมือไปสัมผัสกับกระจกนั่นช้าๆ แต่ทันทีที่สัมผัสเขาก็รู้สึกได้ถึงกระแสพลังอันน่ารังเกียจจนต้อง
...อแหวะ! ชิโร่รีบวิ่งออกจากที่เกิดเหตุก่อนจะตรงไปยังพุ่มไม้หนาทึบแล้วสำรอกเอาของในท้องออกจนหมด
เฮ้อ..เฮ้อ...หลังจากเอาของเก่าออกเขาก็กลับมานั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้แห่งหนึ่งอย่างหมดแรง ‘แย่จริงๆเลยความรู้สึกแบบนี้มัน’
!!! อึก!! ดาบสั้นสีดำที่มีลายหกเหลี่ยมสีแดงถูกเสียบเข้ามาที่หน้าอกของเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว พอชิโร่มองตามมือขึ้นไปก็พบกับไปหน้าคุ้นตาที่เขายังไม่เคยลืม
“อะ...อ...อาเชอร์..” อ๊ากกก!!!... มันกระชากดาบออกอย่างไม่ปราณีทันที ทำให้บาดแผลยิ่งเปิดกว้างทำให้เลือดไหลซึมไปตามเนื้อผ้าจนเสื้อของเขาแดงฉานไปด้วยเลือดของตัวเองอย่างรวดเร็ว ทำให้เขากัดจต้องฟันรับความกับเจ็บปวดก่อนหันไปมองสบตามันอย่างเคียดแค้น แต่ก็ต้องแปลกใจ เมื่อพบว่าอาร์เชอร์คนนี้มีสิ่งที่ไม่เหมือนคนที่เขาเคยรู้จักนั่นเพราะมันไม่มีประกายตาที่แสงความเย่อหยิ่งทระนงอย่างที่ควรจะเป็น แต่มันกลับว่างปล่าวไร้ความรู้สึกอะไรทั้งนั้น มันเป็นแววตาของคนตาย...
ลุกขึ้นเร็ว ชิโร่! เสียงของโทซากะดังมาจากหลังต้นไม้ที่เขานั่งพิงอยู่ ก่อนร่างของหญิงสาวเจ้าของเสียงจะปรากฏออกมาพร้อมขว้างก่อนหินจำนวนมากเข้าหาศัตรูอย่างรวดเร็ว ก่อนรีบฉุดมือของเขาให้กลิ้งหลบออกมาจากโคนต้นไม้ในจังหวะที่มันตัวนั้นกำลังเสียจังหวะ
“ริน เจ้านั่นน่ะ ไม่ใช่อาเชอร์นะ”
“รู้แล้วล่ะน่ะ” ไม่ทันขาดคำ อาเชอร์ที่เสียจังหวะไม่เพียงชั่วครู่ก็วิ่งกรูเขามาหาคนทั้งสองที่ทิ้งระยะได้ไม่มากนักอย่างรวดเร็ว
“ข้าแต่วิญญาณศักดิ์สิทธิผู้สิงสถิตในอัญมณีจงกำจัดไพรีให้พินาศ!!!!” สิ้นคำร่างของอาเชอร์ที่กำลังง้างดาบในมือก็หยุดชะงักก่อนจะมีแสงสีแดงโลหิตปรากฏออกมารอบตัวก่อนร่างของมันจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆจากภายใน
“เฮ่อๆ...เกือบไปแล้วไหมล่ะ” รินที่มีสีหน้าผ่อนคลายลงหย่อนตัวลงนั่งข้างๆเขาพร้อมปาดเหงือซึ่งเกิดจากความตื่นตระหนกที่หน้าผากออก
“โทซากะ เธอมาทำอะไรที่นี่?” รินเริ่มตัวสั่นเทาระริกด้วยโทสะพร้อมทั้งกำกำปั้นขึ้นมา จนคนถามต้องผงะหนี
“อะ เออ คือ แบบว่า ขอบใจนะที่มาช่วย ถ้าไม่ได้เธอฉันคงแย่” คำขัดตราทับของเขาได้ผล อาการสั่นเทาของโทซากะหายไป ก่อนเธอจะเริ่มสูดหายใจลึกๆสองสามครั้งแล้วลดหมัดลง
“ฉันต่างหากที่ต้องถามนายน่ะ ชิโร่ทำไมนายถึงมาที่นี่” โทซากะที่เลือดยังคงขึ้นหน้าจนแดงกล่ำอยู่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่กลับมาเป็นปรกติ
“ก็พอดีฉันมาหาอิชเซย์น่ะ เลยแวะมาดูแถวนี้ด้วย” รินมองกลับด้วยสายตาที่ยังคงนิ่งสนิทกับคำตอบจอมปลอมของเขา
“เฮ้อ...โกหกโทซากะไม่ได้เลยสินะ ก็อย่างที่เธอคิดนั่นแหละ ว่าแต่แล้วเธอล่ะโทซากะทำไมถึงมาที่นี่ได้”
“พอเห็นว่าชิโร่ยังไม่กลับฉันก็เลยอาสาออกมาตามนายเองน่ะสิ แต่ว่าชิโร่น่ะไม่ได้จะเดินกลับบ้านฉันก็เลยแอบสะกดรอยตามมาน่ะสิ”
“ขอบใจนะ ที่อุตส่าเป็นห่วง” รินหน้าแดง
“ว่าแต่ว่า เจ้าอาเชอร์คนนั้นมันเป็นใครกัน แล้วทำไมต้องมาทำร้ายฉันด้วย” ชิโร่พูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มพลางเริ่มคิดอะไรไปคนเดียว
“โถ่เอ้ย! อีตาบ้า! ชวนคุยอยู่ได้จนลืมเรื่องบาดแผลนายไปเสียสนิทเลย ทำอย่างนี้เดี๋ยวก็ได้ตายกันพอดีหรอก” รินโวยวายจนทำให้ชิโร่ต้องหันกลับมาดูบาดแผลของตัวเอง
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ไม่เจ็บเลยซักนิด ยังไงเดี๋ยวมันก็คงสมานตัวเองนั่นแหละ” ชิโร่แก้ตัวพร้อมทำสีหน้าว่ายังสบายดีแต่รินไม่สนใจ เธอถลกเสื้อของชิโร่ขึ้นแล้วถอดออกจนหมด
“แผลใหญ่มาก รีบไปจากที่นี่กันเถอะ” รินถอดเอาเสื้อออกแล้วพลิกด้านหลังของเสื้อซึ่งไม่ได้เปื้อนเลือดมาซับไว้ที่ปากแผล ก่อนจะฉุดให้ชิโร่ลุกขึ้นแล้วเริ่มออกเดิน...
...
“นี่โทซากะ แล้วเจ้าหมอนั่นมันเป็นใครกันน่ะ” ชายหนุ่มเอ่ยปากถามในขณะที่เท้าทั้งสองคู่ยังคงก้าวไปตามพื้นถนน
“แล้วฉันจะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ รู้แต่ว่านั่นน่ะไม่ใช่อาร์เชอร์แน่นอน เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แล้วอีกอย่างนายก็เห็นใช่ไหม ตาของมันน่ะ”
“อะ ...อื้ม ว่าแต่ก้อนนี่ใช้แทนอัญมณีได้ด้วยเหรอ” ชิโร่เอ่ยในขณะที่มือข้างหนึ่งกำลังอุดปากแผลด้วยเสื้อส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็กำลังถูกกุมโดยริน และท่อนบนที่เปลือยปล่าว
“ถ้าได้ก็ดีน่ะสิ ฉันเอาพลอยเม็ดนึงรวมไว้กับก้อนหินก่อนปาน่ะ ยังไงระยะแค่นั้นก็ไม่มีทางกันได้หมกหรือหลบไปได้หรอกน่า”
“เก่งจริงๆเลย สมกับที่เป็นโทซากะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว เอาล่ะถึงแล้ว” ทั้งคู่มาหยุดอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลโทซากะซึ่งนั่นก็ทำให้ชิโร่ประหลาดใจ
“อ่าว ทำไมถึงพาฉันมาบ้านเธอล่ะ เราน่าจะกลับบ้านฉันกันไม่ใช่หรอ” เขาเอ่ยถามในขณะที่รินกำลังง่วนอยู่กับการเปิดประตู
“จะไปให้ซากุระกับอาจารฟูจิมูระสงสัยหรือไง” รินเปิดประตูบ้านแล้วพาชิโร่มานั่งที่โซฟาก่อนจะไปเอากล่องประถมพยาบาลมารวมทั้งผ้าและน้ำสะอาด
“ก็จริงของเธอนะ แต่เดี๋ยวก่อน! ไทกะยังไม่..”
“อาจารย์ฟูจิมูระน่ะ ตกลงว่าจะมานานพักที่นี่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปแบบไม่มีกำหนด” รินเอ่ยในขณะที่ล้างแผลแล้วใส่ยาให้เขา ก่อนจะเริ่มนั่งจ้องแผลอย่างสนใจ
“ขอบใจมากนะโทซากะ แล้วเธอน่ะไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านบ้างเหรอ” คำพูดของชิโร่ทำให้รินละสายตาจากแผลบนหน้าอกของเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมามองเล็กน้อยก่อนจะกลับลงไปอีก
“ไม่ดีกว่า ที่นี่น่ะนอกจากฉันกับคนใช้ก็ไม่มีใครอยู่อีกแล้วล่ะ เพราะอย่างนั้นอยู่บ้านเอมิยะคุงน่ะสบายใจกว่า .ไม่ว่าอะไรใช่ไหม” เขาพยักหน้าแล้วยิ้มรับคำ
“อื้ม จะตอนไหนเมื่อไหร่ บ้านเอมิยะยินดีต้อนรับเธอเสมอ” รินหันมายิ้มพร้อมหน้าแดงก่อนจะเริ่มเฉไฉไปทางอื่น
“ชิโร่ แผลของนายน่ะหายช้ากว่าเมื่อก่อนนะ แต่ว่ามันก็ยังเร็วกว่าคนปรกติอยู่ดี แสดงว่านี่ไม่ใช่เพราะพลังของเซเบอร์ที่ตอนนี้หายไปแล้วแน่ แต่น่าจะมาจากพลังของปลอกดาบเอ็กส์คาริเบอร์มากกว่า และเพราะว่านายมีมันอยู่ทำให้นายน่ะสามารถเรียกเซเบอร์ออกมาได้ใช่ไหมชิโร่ ว่าแต่มันอยู่ไหนล่ะ ขอฉันดูหน่อยสิ” บทสรุปของรินทำให้ชิโร่ถึงกับอึ้ง
“เธอนี่มันอัจฉริยะจริงๆด้วย แต่ว่าปลอกดาบน่ะชั้นให้ดูไม่ได้หรอก มันถูกฝังอยู่ในนี้”
“ด้วยฝีมือของพ่อบุญธรรมที่ช่วยชีวิตนายไว้ หรือจะให้เรียกว่าเอมิยะคิริสึมุดีล่ะ” ชิโร่อ้าปากค้าง
“..ริน เธอ..”
“ฉันรู้ได้ยังไงน่ะเหรอ ไม่เห็นจะแปลกเลยหนิที่ฉันจะศึกษาข้อมูลเรื่องจอกศักดิ์ครั้งที่แล้ว แล้วรู้ว่าคิริสึมุน่ะมีปลอกดาบศักดิ์ที่หายไปอยู่ในครอบครอง ก็ในเมื่ออาจารย์ของฉันโคโตมิเนะ คิเรย์ก็เข้าร่วมสงครามด้วย”
“พูดอีกก็ถูกอีก ฉันเนี่ยตามโทซากะไม่ทันเลยจริงๆ”
ตึง!!! ตึ่ง!!! เสียงนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืนทำให้บทสนทนาชงักลง
“รีบกลับกันเถอะ ป่านนี้ทุกคนคงกำลังเป็นห่วงเราแย่แล้ว” ชิโร่กำลังจะหยิบเสื้อตัวเก่าที่เปรอะไปด้วยเลือดมาใส่แต่ถูกรินห้ามเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิ นี่นายจะบ้าเหรอ ถ้าจะใส่ชุดนี้กลับไปแล้วเราจะมาทำแผลที่นี่ทำไมกันเล่า” รินพูดจบก็รีบวิ้งขึ้นไปยังห้องของเธอ และชั่วไม่กี่อึดใจก็เดินลงมาพร้อมยื้นบางอย่างให้ชิโร่
“รีบๆใส่เขาสิ อย่าชักช้า” เขาหยิบเสื้อยืดสีชมพูมาใส่อย่างรวดเร็วด้วยท่าทางขัดๆเขิน ที่ได้สัมผัสของใช้ของเด็กผู้หญิง ก่อนจะเดินตามรินออกไปแล้วมุ้งหน้ากลับบ้านเอมิยะอย่างรวดเร็ว
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
จิ๊บ!...จิ๊บ!จิ๊บ!...เสียงนกร้องดังก้องเข้าไปภายในโรงฝึกดาบยามสาย ซึ่งภายในมีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังกิจกรรมเรียกเหงื่อหลังจากไม่ได้ทำมันมานานกว่าสองเดือน
ฟ้าว...ฟ้าว! แผ่นเหล็กสีดำและขาวบนมือทั้งสองข้างถูกฟันสลับกันไปมาอย่างรวดเร็ว รับกับฝีเท้าที่เคลื่อนไหวหลบหลีกและโรมรันพร้อมกันไปกับดาบ
‘เรื่องเมื่อคืน ถ้าไม่ได้รินช่วยเอาไว้ป่านนี้เราคงตายไปแล้ว แปลว่าเรายังฝึกมาไม่พอ จะช่วยคนอื่นได้ยังไงถ้าแม้แต่ตัวเองยังเอาไม่รอด แล้วเจ้าหมอนั่น เจ้าอาร์เชอร์ตัวปลอมนั่นมันเป็นใครกัน..’ ดาบยังคงถูกฟาดไปกับอากาศอย่างต่อเนื่องแต่รวดเร็วและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ฟ้าว!....... ดาบหยยุดชะงักพร้อมด้วยสีหน้าของชิโร่ที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง บางสิ่งที่ยังคงคาอยู่ในหัว และเขาพึ่งนึกถึงมันได้ตอนที่คิดถึงรินและอาร์เชอร์ ก่อนสีหน้าของชิโร่จะกลายเป็นความประหลาดใจเมื่อในที่สุดเขาก็คิดออก
‘ที่โรงเรียนนั่น! วันนั้น ’ ภาพอาเชอร์และแลนเซอร์กำลังต่อสู้กันแล้วบังเอิญเขาไปเห็นเข้า ‘ที่นั่นไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากฉัน ส่วนแลนเซอร์ก็ไม่ได้เอามาสเตอร์มา แล้วอาร์เชอร์ก็เป็น...’ ภาพตอนที่เขาถูกหอกสีแดงแทงลงมาทะลุหัวใจ ก่อนที่เขาจะตื่นขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพราะฝีมือของใครบางคน
“โทซากะ! เป็นเธอเองหรอเนี่ย?” ดาบคู่ในมือตอนนี้หายไปกับอากาศอีกครั้ง
ครืด!... ประตูโรงฝึกถูกเป็นออกพร้อมกับการปรากฏตัวของร่างเจ้าของชื่อที่กำลังทำสีหน้าแปลกใจ
“โถ่ อุตส่าย่องเข้ามาแล้วเชียว... ตามหาซะทั่วบ้านในที่สุดก็เจอซักที” ชิโร่กำลังจะอ้าปาก แต่ถูกขัดจังหวะไว้ก่อน
“อ๊ะๆ..ที่ฉันตามหานายเพราะว่าฉันไม่มีอะไรทำน่ะ อิลริยาก็อ้อนไทกะให้พาออกไปเที่ยวจนสำเร็จ ส่วนซากุระก็บอกว่าลืมของเอาไว้ที่บ้านเลยต้องกลับไปเอา ฉันเลยต้องมาหานายน่ะ” รินในเสื้อสีแดงตัวเก่งของเธอเอ่ย
“เดี๋ยวก่อนซิ โทซากะ ที่ฉันจะถามน่ะไม่ใช่เรื่องนั้นซะหน่อย”
“งั้นเรื่องอะไรล่ะ อย่าบอกนะว่าเรื่องเจ้าตัวปลอมที่ทำร้ายเธอเมื่อคืน ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันน่ะไม่มีข้อมูลเรื่องนี้เลยซักนิด แต่มันน่าจะเกี่ยวข้องกับเครื่องปิดที่ตก แล้วก็เจ้าเงาประหลาดบนนั้นแน่ๆ”
“หืม?...เรื่องนี้ก็ไม่ใช่หรอกเหรอ งั้นมันเรื่องอะไรล่ะยะ” ชิโร่ยิ้มก่อนจะก้มหัวลงจนทำให้รินทำตัวไม่ถูก
“นะ...นะ...นายจะทำอะไรน่ะ เงยหน้าขึ้นสิ เดี๋ยวคนอื่นเขาก็เข้าใจผิดไปกันใหญ่หรอก” รินเอ่ยพร้อมด้วยท่าทางรุกรี้รุกรนทำตัวไม่ถูก
“ขอบใจมากนะโทซากะ ที่เธอช่วยชีวิตฉันเอาไว้ในตอนนั้น” ชิโร่เอ่ยเสียงดัง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น
“ตอนนั้นของนายน่ะ มันหมายถึงเมื่อคืนนี้งั้นหรอ ถ้าเรื่องนั้นฉันว่าอย่าเพิ่งขอบใจฉันเลยดีกว่า” รินเอ่ยด้วยสีหน้าที่วิตกกังวล
“เหอะๆ ฉันนั่ต้องให้โทซากะช่วยจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วสินะ แต่ว่าฉันหมายถึง ตอนที่เธอชุบชีวิตฉันขึ้นมาใหม่ที่โรงเรียนในวันนั้นน่ะ” รินเบี่ยงหน้าที่ขึ้นสีหนีออกไปทางอื่นซักพัก ก่อนจะหันกลับมา
“เฮ้อ นั่นน่ะสิ ครั้งนั้นน่ะ ถ้าฉันรู้ว่านายมีปลอกดาบนั่นอยู่แล้วล่ะก็ฉันคงไม่ช่วยให้ดายของหรอก” รินยิ้มยั่วโมโหชิโร่ที่กำลังหงุดหงิด
“หน๋อย!! ยัยโทซากะ คนเขาอุตส่ามาขอบคุณแล้วแท้ๆ”
“อ้อ! งั้นหรอถ้าอย่างจะขอบคุณล่ะก็...เอาเป็นว่า...อืม...ช่วยอย่าไล่ฉันออกจากบ้านนายก็พอแล้ว” รินยิ้มให้ชิโร่อย่างจริงใจทำให้เขาหายโกรธเธอทันที
“ไอ้เรื่องแบบนั้นยังไงฉันก็ไม่ทำอยู่แล้วล่ะน่า”
“อ๊อ! แล้วตอนนี้ฉันก็กำลังเบื่อๆอยู่ซะด้วยสิ งั้นฉันขอทดสอบอะไรบางอย่างในตัวนายหน่อยก็แล้วกันนะ ชิโร่” รินกล่าวพลางยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยทำให้ชิโร่เริ่มผวากับชะตากรรมของเขาที่ต้องมากลายเป็นของเล่นแก้เซงของโทซากะแทน
“มานี่เลยยะ”
“เดี๋ยวก่อนซิ!! โทซากะ” ชิโร่ถูกลากไปยังโรงเก็บของอย่างไม่ปราณีปราศรัย
.........
ณ.โรงเก็บของ
...เทรสออน เงาของก้อนหินเริ่มปรากฏอยู่บนมือของเขาลางๆ โดยมีอาจารย์คอยนั่งดูอยู่ข้างๆ ก่อนที่มันจะเริ่มมีน้ำหนักและชัดขึ้นจนในที่สุดก็กลายมาเป็นก่อนหินจริงๆ
“เยี่ยมมากชิโร่” รินหยิบก้อนหินมาพิจารณาดู
“นายรู้สึกยังไงบ้างเวลาสร้างเสร็จ”
“ถามได้ก็เหนื่อยน่ะสิ” รินพยักหน้าหงึกๆ รับ ก่อนจะละสายตาจากหินมามองหน้าเขาเพื่อสังเกตอาการแล้วออกคำสั่งต่อ
“ทีนี้ ลองตัดพลังเวทย์ที่จ่ายให้มันออกดูสิ” หินในมือของรินหายไปทันที ทำให้เธอยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
“นายรู้จักตัดพลังเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ”
“ก็ไม่กี่อาทิตย์ก่อนน่ะ กว่าจะทำได้ก็เล่นเอาแทบตายเหมือนกัน” เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะได้รับรอยยิ้มจากหญิงสาวเป็นคำชม
“จริงแล้วเวทย์สร้างสิ่งของน่ะ จะใช้พลังเวทย์จำนวนหนึ่งเพื่อสร้างสิ่งของขึ้นมาซึ่งมันจะหายไปเองเมื่อพลังเวทย์ที่ใช้ในตอนแรกหมดไป แต่วิธีการของนายมันไม่เหมือนกัน นายน่ะต้องใช้พลังเวทย์เพื่อคงสภาพมันเอาไว้ตลอดเวลา พอนายหมดแรงหรือหมดสติมันก็จะหายไป”
“แล้วมันดีหรือไม่ดีล่ะ”
“มันก็ไม่เชิงน่ะนะ ข้อเสียของมันก็คือมันจะทำให้ชิโร่น่ะสามารถต่อสู้ได้ในเต็มที่ในช่วงระยะเวลาที่จำกัดเท่านั้น ตอนเซเบอร์ยังอยู่น่ะคงยังเห็นได้ไม่ชัด แต่พอไม่มีเซเบอร์ นายคงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าวงจรพลังเวทย์ครึ่งเดียวนี่มันเป็นยังไง”
“เรื่องนั้น ฉันไม่เคยคิดจะเสียใจอยู่แล้วล่ะ” รินยิ้ม ก่อนจะพูดต่อ
“แต่ในทางกลับกันถึงจะเป็นแค่ในช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม แต่นายสามารถเพิ่งพลังให้กับสิ่งที่นายสร้างขึ้นมาได้แบบไร้ขีดจำกัด จนกว่าพลังเวทย์ของนายจะหมดนั่นเอง ซึ่งนี่แหละก็เป็นข้อดี หรือจะเรียกว่าเป็นพรสวรรค์ที่มีแต่นายคนเดียวที่ทำได้นะชิโร่”
“พรสวรรค์ งั้นหรอ”
“แต่น่าเสียดายนะ ถ้าความสามารถของนายตกไปอยู่ที่คนซึ่งมีพลังเวทย์มากมายมหาศาลล่ะก็ มันคงจะทรงพลังมากกว่านี้” รินมีอาการเสียดายเล็กน้อย ก่อนจะเหลี่ยวไปมองชิโร่ที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่เอาอ่าว
“แต่บางทีพลังนี้อาจเหมาะจะอยู่กับคนที่ไม่มีพลังเวทย์มากมายอย่างนายมากกว่า” ชิโร่หันไปมองทางตามคำพูดของริน เพื่อขอคำอธิบาย
“พลังที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์ที่ทรงพลังและบ้าอำนาจจะมีไว้ครอบครอง พลังของผู้สร้างยังไงล่ะ”
“พลังของผู้สร้างงั้นหรอ?”
...
กิ๊ง!...ก่อง! เสียงออดหน้าประตูดังขึ้นเรียกให้คนทั้งสองลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกจากห้องไป ทิ้งบทสนทนาที่หน้าสนใจไว้เบื้องหลัง....
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
เที่ยงวัน...
“งั้นถ้าไม่มีอะไร ฉันขอตัวก่อน” หลังจากจัดการจับจานชามเสร็จชิโร่ก็เอ่ยปาก ก่อนจะเดินออกไปจากห้องอาหารที่ทุกคนยังอยู่กันพร้อมหน้า
“อ่านแล้วนั่นจะไปไหนล่ะ ชิโร่” ไทกะถาม
“ก็ว่าจะไปที่โรงฝึกซักหน่อยน่ะ”
“โรงฝึกงั้นหรอ เอไหนๆก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว วันนี้ให้ฉันเป็นคู่ซ้อมให้เอาไหมชิโร่” ไทกะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
“ยะ...ยะ..อย่าดีกว่ามั้ง” เขาตอบตะกุกตะกัก
“ว้าว! ว้าว! ว้าว! ให้อิลริยาไปดูด้วยคนนะคะ” อิลริยาเอ่ยขึ้นมาอย่างตื่นเต้น
“งั้นไปกันเถอะจ๊ะ อิลริยา เดี๋ยวฉันจะสั่งสอนชิโร่ให้เธอดู” พอพูดจบเด็กแก่แดดกับผู้ใหญ่ไม่รู้จักโตก็เดินออกไปตามด้วยคนจะถูกสั่งสอน
“อ่าว แล้วโทซากะ กับซากุระไม่ไปด้วยกันหรอ”
“เชิญตามสบายเถอะยะ ฉันกับซากุระน่ะ มีอะไรที่สนุกกว่าไปนั่งดูพวกนายฟาดดาบไม้ใส่กันเยอะ” รินพูดทำให้ซากุระหัวเราะส่วนชิโร่ งง
“อะไรที่ว่านั่นน่ะ มันคืออะไรล่ะ”
“รุ่นพี่โทซากะ จะสอนเวทย์มนตร์ให้ฉันน่ะค่ะ” ซากุระกล่าวแต่รินกลับมีสีหน้าไม่พอใจผิดกับชิโร่ที่กำลังประหลาดใจ
“ก็บอกแล้วไงว่าให้เรียกว่ารินน่ะ” เธอหันไปเอ็ดใส่รุ่นน้อง
“นี่เธอจะเอาจริงหรอโทซากะ”
“ฉันตัดสินใจแล้ว แล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะเสียหายตรงไหนด้วย หรือว่าอดีตลูกศิษย์อย่างนายจะหวงอาจารย์งั้นหรอ แต่ก็ช่วยไม่ได้นี่นานายดันมาเป็นประเภทผู้มีพลังพิเศษซะนี่”
“โทซากะ นี่เธอมาพูดเรื่องนี้ต่อหน้าซากุระได้ยังไง” ชิโร่เอ่ยเสียงขุ่นส่วนซากุระที่ได้ฟังดังนั้นก็หัวกับท่าทางขึงขังของรุ่นพี่
“คุณรินเล่าให้ฉันฟังหมดแล้วล่ะ ค่ะ”
“นี่โทซากะ!”
“ก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลยหนิ ยังไงซะสงครามนั่นก็จบลงไปแล้ว แล้วก็มีอีกเรื่องที่ฉันยังไม่ได้บอกนาย จริงๆแล้วคนที่เรียกไรเดอร์ออกมาก็คือ ซากุระ แต่เธอก็ยกตราเวทย์ให้ชินจิเพื่อเข้าร่วมสงครามจอกศักด์”
“ซากุระ ที่โทซากะพูดน่ะ มันเป็นจริงหรอ”
“ค่ะ รุ่นพี่” ชิโร่มีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปรกติ
......ชิโร่!!! มัวไปทำอะไรอยู่ อย่าบอกนะว่าเกิดกลัวขึ้นมาน่ะ!!!! เสียงเรียกของไทกะทำให้เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนหันไปมองสองสาวอย่างไม่ค่อยอย่างจะเชื่อว่าเรื่องที่ฟังมาเมื่อครู่เป็นเรื่องจริง แล้วจึงเดินออกจากห้องตรงไปยังโรงฝึก
...ณ.โรงฝึกดาบ
“ช้าจังเลยชิโร่เนี่ย” อิลริยาเอ่ยอย่างหงุดหงิด ซึ่งเขาก็ได้แต่ยิ้มเจือนๆแล้วเดินไปหยิบดาบ เพื่อไปประจันหน้ากับไทกะที่ยืนตั้งท่ารออยู่แล้ว
“ถึงจะใช้ดาบสองมือ ก็ไม่ช่วยอะไรหรอกนะชิโร่” คำเย้ยหยันถูกส่งมาจากไทกะทันทีที่เห็นว่าชิโร่ใช้ดาบไม้ถึงสองอัน
“เข้ามาเลยชิโร่!” ถึงไทกะจะพูดอย่างนั้นแต่เขายังคงยืนนิ่งรอคอยการจู่โจม ซึ่งไทกะเมื่อเห็นดังนั้นก็รุกเขาใส่ทันที...
ตึกๆ! ตึก...แป๊ะ!! ชิโร่ใช้ดาบมือขวารับดาบของฟูจิมูระก่อนจะสอนกลับทันควันด้วยดาบมือซ้าย แต่ไทกะก็ถอยหลบจนพ้น
“ไม่เลวหนิ ชิโร่ ไปซุ่มซ้อมมาสินะ ได้งั้นสงสัยฉันคงต้องเอาจริงซะแล้ว” สิ้นคำไทกะก็หวดดาบไม้เข้ามาจากด้านขวาอย่างรุนแรงจนเกือบต้านไว้ไม่อยู่ ก่อนเธอจะถอยตัวทิ้งห่างออกจากเขาเพียงชั่วอึดใจก็ฟาดเข้ามาจากด้านขวาเขารีบใช้ดาบไม้ตั้งรับไว้ทันทีแต่ด้วยความที่มันเป็นข้างที่ไม่ถัดทำให้ทานแรงของไทกะไว้ไม่ไหวจนต้องใช้แขนขวาเข้ามาช่วยรับแทน ก่อนเขาจะถอยตัวออกห่างเพื่อตั้งหลัก
“ดีเกินกว่าที่ฉันคาดไว้อีกนะชิโร่ แต่แขนข้างซ้ายของชิโร่น่ะ ฉันจะไม่มีวันเปิดโอกาสให้มันเด็ดขาด” ไทกะประกาศก้องพร้อมด้วยแววตาที่จริงจังแน่วแน่ด้วยไฟแห่งการต่อสู้ที่กำลังถูกเผาผลาญอยู่ภายใน
“จัดการเจ้าชิโร่เลย ไทกะ” อิลริยาร้องตะโดนเชียร์อย่างออกรสชาติ
“ลุยล่ะนะชิโร่”
‘ถึงจะไม่แกร่งเท่าเซเบอร์ แต่ฝีมือของพี่ฟูจิก็ไม่เบาเลย แล้วเราจะเอาชนะได้ยังไงล่ะเนี่ย’ เขาคิดในใจในขณะที่กำลังถูกไทกะไล้ต้อนมาเรื่อยๆจนเกือบจะจนมุม ก่อนที่ภาพของอาร์เชอร์จะปรากฏขึ้นมาในหัว พร้อมกับภาพดาบของที่ทรงพลังของเซเบอร์
‘ไม่สิ เราทำแบบนี้มันไม่ถูก ถ้าเราจะชนะต้องไม่ใช่เพราะพลังของดาบ แต่เป็นพลังของผู้ใช้ดาบต่างหาก’ แป๊ะๆ! แป๊ะ .
“จนมุมแล้วสินะชิโร่ ต้องขอยอมรับว่าฝีมือพัฒนาไปมาก คงไปเรียนมาจากเซเบอร์สินะ แต่ว่ามันก็ยังไม่พอที่จะล้มฉันหรอกนะ ชิโร่!” ไทกะเริ่มโรมรันเข้ามาอีกครั้งโดยเน้นไปทางดาบขวาซึ่งเป็นจุดบอด จนตอนนี้หลังของเขาแทบที่จะชิดกำแพงแล้ว
‘ต้องรอจังหวะ’ ฟ่าว...ดาบของไทกะหวดเขามากลางลำตัวจากทางด้านซ้าย ‘รับดาบให้ได้ แล้วสวนกลับ!!’ ชิโร่ใช้ดาบในมือขวารับแรงกระแทกก่อนจะพลิกตัวไปตามความยาวดาบแล้ววาดแขนด้านซ้ายออกไปในมุมสูง และ..แป๊ะ! ตรงเข้าเป้า..
“เย้ๆ ชิโร่ชนะแล้ว อิลริยาน่ะเชียร์ชิโร่นะรู้ไหม” นกสองหัวกระโดหย๋องๆ พร้อมร้องเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ส่วนไทกะที่ถูกฟาดจนหน้าหงายก็รีบลุกขึ้นมาแล้วขอท้าแก้ตัวใหม่
“เมื่อตะกี้น่ะ ฉันแค่ประมาทไปหน่อยก็เท่านั้น” ไทกะตั้งท่าเตรียมพร้อมอีกครั้งก่อนจะพุ้งเข้ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียง แป๊ะ!!!!.....ไทกะหวดดาบไม้ไผ่ลงมาตรงกลางหน้าฝากอย่างรุนแรงจนเขาต้องย่อตัวลงรับเพราะดาบที่ถือด้วยพลังแขนเพียงข้างเดียวไม่สามารถทานแรงของสองแขนไว้ได้ ในวินาทีนั้นเองที่ในหัวเขาจู่ๆก็มองเห็นช่องว่างของไทกะซึ่งเขาไม่รอช้าที่จะจัดการกับมัน
“พี่ฟูจิแพ้อีกแล้ว” ดาบมือซ้ายของชิโร่ถูกกลับไปเป็นดาบมือหลังอย่างคล่องแคล่วในจังหวะที่เขาก้มตัวลงรับแรงกระแทกก่อนเขาจะวาดมันไปสัมผัสกับลำตัวของครูสาวอย่างแผ่วเบาในชั่วอึกใจ
“เย้ๆ ยอดไปเลยชิโร่ ชิโร่สอง ไทกะ ศูนย์”คำพูดของอิลริยากยิ่งทำให้ฟูจิมูระหงุดหงิดขึ้นไปอีก
“ชิโร่โกงนี่นา แน่จริงก็ใช้ดาบแค่มือเดียวสิ” ไทกะเริ่มโวยวายเป็นเด็กๆ เล่นเอาเขาเหงื่อตก ก่อนเขาก้มลงไปมองดูมือของตัวเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตาว่าเขาจะมีวันนี้ ตอนนี้เขาเริ่มจะจับวิถีดาบของตัวเองได้แล้วและรู้ว่ามันจะพัฒนาต่อไปยังไง ไม่ใช่ที่การสร้างแต่เป็นการใช้มันต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
“โอ๋ย..อูย. หิวข้าวจังเลย วันนี้รินกับซากุระจะทำอะไรให้กินบ้างเนี่ย” ชิโร่เดินลากขาอย่างอ่อนระโหยโรยแรงไปตามทางกลับบ้าน หลังจากที่ทำงานพิเศษเสร็จทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เสียเหงื่อไปกับการฝึกดาบกับไทกะมาตลอดช่วงบ่าย
...จ๊อกๆ เสียงลำใส้บิดตัวไปมาทำให้ชิโร่รีบเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมก่อนจะเริ่มคิดไปถึงภาพของเซเบอร์ที่ออกมายืนรอหน้าบ้านแล้วดุด่าเขาเรื่องที่กลับมาช้าด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วงเป็นใย ทำให้เขาเผลอยิ้มออกมา
‘โห...นี่เราหิวมากจนละเมอเลยหรอเนี่ย’ ชิโร่สลัดหัวไปมา ไล่ความคิดบ้าๆออกจากหัว ‘อย่างยัยนั่นคง...’ เขาคิดไปถึงภาพของเซเบอร์ที่กำลังโกยทุกอย่างบนโต๊ะเข้าปากอย่างสุภาพแต่รวดเร็ว ทำให้เขาเผลอหัวเราะกับตัวเองแล้วอมยิ้มอย่างมีความสุข...แต่แล้วจู่ๆ
ฟ้าว!!!!!!!! มีบางอย่างกำลังพุ่งตรงเข้าจากเงามืด บางอย่างที่ฟุ่งแหวกอากาศออกมาอย่างรวดเร็ว ตรงมายังหน้าผากของเขา...ตึก!! ชิโร่หงายหลังลมลงไปกระแทกพื้นอย่างแรงแต่นั่นก็แลกกับการที่เขายังคงมีชีวิตอยู่ ก่อนที่ผู้กระทำการหมายสังหารชีวิตจะค่อยๆปรากฏกายออกห่างจากเงามืดของถนนในยามพลบค่ำ
“ก...กะ..แก!!....” เขาพูดอะไรไม่ออก ร่างตรงหน้าอยู่ในอาภรณ์สีแดงสดที่คุ้นตาแต่ขาดรุ่งริ่งไม่มีชิ้นดีไม่ผิดกับเนื้อหนังที่บางส่วนถูกระเบิดออกจนเห็นกระดูกขาวโพลนรวมไปถึงเส้นเอ็นและหนังแท้ที่โผล่ออกมาอยู่ทั่วไปหมด เป็นภาพที่น่าสะอิดสะเอียนและน่าขนลุกขนพองที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต
“แกเป็นใคร..ต้องการอะไรจากฉัน” เสียงของเขาสั่นเครื่อแต่ยังคงแฟงไปด้วยความกล้าหาญ ชิโร่ค่อยๆถอยตัวออกห่างก่อนจะลุกจากพื้นเพื่อตั้งหลักป้องกันตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้เพราะฝ่ายนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง โถมเขาจู่โจมโรมรันชิโร่ด้วยอาวุธคู่มือทั้งสองก่อนจะประทะกับอาวุธแบบเดียวกันจนเกิดเสียงดังสนั่น
เคร้งๆ ชิโร่ได้แต่ตั้งรับฝ่ายเดียวเพราะการโจมตีของอาร์เชอร์เทียมนั้นทั้งรวดเร็วรุนแรงและถึงแม้เขาพอจะเห็นถึงวิธีการที่จะสวนกลับไปบ้างแต่ร่างการที่อิดโรยของเขาตอนนี้ไม่มีทางทำเช่นนั้นได้แน่
เคร้งๆ..... ดาบในมือชิโร่เริ่มมีรอยบิ่นและแต่งหัก ส่วนมือของเขาทั้งช้ำและบวมแดงจนแทบจะจับดาบซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่ขวางกั้นเขาและความตายอยู่ในขณะนี้ และถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะยังไม่มีบาดแผลใดๆแต่ทุกๆครั้งที่ดาบในมือเขาถูกฟันมันกลับทำให้เขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ เพราะต้องสุญเสียพลังในการเกรงพลังซ่อมแซมสภาพดาบซึ่งเป็นทางเดียวที่เขาจะมีชีวิตอยู่...และในสถานะการสิ้นหวังนั่นเอง
...ให้ช่วยไหม? .....ทันใดนั้นห่าก้อนหินขนาดย่อมก็ถูกซัดลงมาหาเป้าหมายที่รีบถอยผละออกไปอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ ทำให้เขาเริ่มได้พักหายใจบ้าง ก่อนที่ร่างเจ้าของเสียงจะมายืนอยู่ข้างๆเขา
“นึกว่าจะไม่มาแล้วนะ โทซากะ” ชิโร่เอ่ยพลางหันไปทำหน้าทะเล้นใส่โทซากะ
“หุบปากไปเหอะน่า ”เธอตอบกลับทันควันด้วยน้ำเสียงปนหมั่นไส้ ก่อนคนทั้งคู่จะยิ้มให้กัน
“โอ้โห ถึงจะรอดมาได้ แต่สภาพนี่มันอุบาทสุดๆ” รินมองมันด้วยสายตาสายตาเหยียดหยามไปต่างจากน้ำเสียง แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้มันสะทบสะท้านแต่อย่างใด
“เอาไงดีล่ะชิโร่ !!!” ยังไม่ทันพูดจบศพที่มีสภาพเละเทะก็จู่โจมเข้ามาอีกครั้ง ชิโร่ผลักรินให้ถอยไปอยู่ด้านหลังก่อนจะเข้าปะทะกับมันแบบดาบต่อดาบ
“ตอนนี้แหละ โทซากะ” ชิโร่ตะโกนบอกรินที่ซัดเศษกรวดที่มีอัญมณีบางส่วนปนอยู่ออกไปใส่ร่างเงาของอาร์เชอร์ แต่ดูเหมือนว่ามันจะรู้ตัวแล้วเพราะทันทีที่รินซัดห่ากรวดออกมา มันรีบผละออกห่าดาบขอชิโร่ก่อนจะใช้คันโจวกับฮาคุยะควงเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วจนไม่มีกรวดก้อนไหนสัมผัสตัวมันเลย แล้งในที่สุดมันก็ปริปากออกเป็นครั้งแรก
“I am the born of my sword” เสียงเย็นชืดหลุดออกจากปากของมันอย่างเชื่องช้าเย็นชาจนน่าขนลุก
“ตอนนี้แหละ!!!” ชิโร่พุ่งเขาไปหามันอย่างรวดเร็วก่อนจะเริ่มลงดาบเชือดเฉือนอย่างสุดกำลังแต่ด้วยแรงที่มีอยู่ตอนนี้ทำให้เขาถูกมันซัดกลับมาจนหน้าหงาย
“Steel is my body,and fire is my blood” เคร้งมันรับดาบของชิโร่ด้วยมือข้างซ้ายก่อนจะสวนกลับไปด้วยมีข้างขวาอันทรงพลังจนชิโร่ที่ใช้ดาบซ้ายรับถึงกลับกระเด็นอีกครั้ง
“I have created over athousand blades” รินที่กำลังเริ่มเก็บรวบรวมก้อนกรวดหันไปมองชิโร่ที่กำลังแย่
“Unknow to death,Nor know to life” รินบอกส่งสัญญาณให้ชิโร่โจมตีอีกครั้งเพื่อเปิดช่องซึ่งเขาก็ทำตามก่อนเธอจะซัดอาวุญสังหารเขาหาเป้าอีกครั้งแต่ด้วยระยะที่ห่างออกมามากเกินไปทำให้มันเบี่ยงตัวหลบออกไปได้อย่างง่ายดาย
“Have withstoob to create many weapons” รินสบถกับตัวเองก่อนจะล้วงเขาไปในกระเป๋าเพื่อหยิบส่วนที่เหลือทั้งหมดออกมาและหาชิ้นที่หล่นอยู่บนพื้น ส่วนชิโร่ตอนนี้ได้แต่ยินกัดฟันอย่างจนปัญญา
“Yes, those hands never hold anythings” รินกำอัญมณีในมือเป็ครั้งสุดท้ายก่อนจะพุ่งเข้าไปหามัน ส่วนชิโร่เองก็ลุกขึ้นมาใหม่อีกครั้งก่อนจะตัดพลังที่หล่อเลี้ยงดาบทั้งสองให้หายไป แต่ในขณะนั้นที่หัวมุมถนนจู่ๆก็มีคู่หนุ่มสาวเดินผ่านเขามาพอดี
“นี่พวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่ค่ะ!!........So as I pray..” หญิงสาวอารมณ์ดีกล่าวทักอย่างร่าเริงแต่เพราะความมืดนั่นเองที่ทำให้เธอไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ชัด แต่เสียงเรียกของเธอนั้นทำให้ชิโร่และรินหันหลังกลับไปมอง
...Unlimited Blade Work!!! หญิงสาวและชายหนุ่มยืนอยู่กับที่ด้วยความตะลึงเมื่อจู่ๆร่างทั้งสามก็ถูกล้อมรอบไปด้วยไปแล้วหายไปในอากาศธาตุต่อหน้าต่อตา
ผ..ผะ...ผี หลอก!!!!!
ผืนดินที่แห้งแล้งแตกระแหงไร้ซึ่งสีสันของการมีชีวิตมีเพียงแต่ดาบจำนวนมากมายเหลือคณะนับที่ปักอยู่บนพรมแดนที่ดูเหมือนจะไร้ซึ่งขอบเขต ท้องฟ้าสีแดงฉานประดับประดาไปด้วยฟันเฟืองขนาดยังที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศอย่างเหนื่อธรรมชาติ
“โทซากะ ที่นี่มัน....”ชิโร่เอ่ยพลางมองไปรอบๆเช่นเดียวกับโทซากะที่กำลังตะลึงงัน
“ไม่ผิดแน่ชิโร่ ที่นี่คือมิติที่เจ้านั่นสร้างขึ้น มันคือท่าไม้ตายประจำตัวของอาร์เชอร์ที่แม้แต่ฉันก็ไม่เคยเห็นมันมาก่อน” ขณะที่ทั้งคู่กำลังตะลึงศัตรูที่ถูกลืมไปชั่วขณะจึงสบโอกาศเหมาะ
เคร้ง!!! ฉึก!! ดาบของมันฝันเข้าที่ต้นแขนของชิโร่ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว แต่คราวนี้ดาบที่มันใช้กลับเปลี่ยนไป มันมีความยาวที่มากกว่าดาบปกติ บางแต่แข็งแกร่ง เบาแต่คมกริบ ซึ่งถ้าเขาจำไม่ผิด มันคือดาบของเซอร์วอนท์ที่เฝ้าประตูวัดริวโดจิในวันนั้น
เคร้งๆ เคร้ง! ทุกๆครั้งที่เขาประดาบ ความยาวและความเร็วที่เหนือกว่าของมันก็มักจะเรียกเลือดจากบาดแผลเล็กๆที่เกิดจากการเฉือนผ่านร่างกายของเขาได้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ถอยไป !! ชิโร่” รินหยิบกรวดจากพื้นขึ้นมาปาใส่มันอีกครั้งซึ่งนั่นก็ได้ผล มันถอยออกห่างอย่างรวดเร็วเหมือนที่คาดไว้ทำให้ชิโร่ได้มีเวลาตั้งหลัก
“กลืนนี่เข้าไปเร็วเขาชิโร่ กลืนลงไปให้หมด! อย่าพึ่งถามอะไรทั้งนั้น” รินจำอัญมณีกรอกลงไปในปากชิโร่ที่กลืนแทบไม่ทัน และหลังจากที่เขากลืนมันลงไปจนหมดแล้วอยู่ๆ ภาพเบื้องหน้าก็เริ่มเลือนรางและหมุนคว้าง จนเขาแทบจะยืนไม่อยู่
“เร็วๆเข้าสิชิโร่” เคร้ง!! รินรับดาบของอาร์เชอร์ด้วยดาบที่หยิบออกมาจากมือของเขา เพราะดูเหมือนว่าดาบบนพื้นนั้นนอกจากอาร์เชอร์แล้วไม่มีใครสามารถดึงมันออกมาได้เด็ดขาด แต่รินซึ่งไม่มีฝีมือทางดาบเลยก็ต้องถอยห่างออกมาหลังจากรับไปได้แค่ดาบเดียว ก่อนเธอจะถลดแขนเสื้อขึ้น ปรากฏเป็นวงจรอักขระเวทย์มนตร์ที่เรืองแสงสีฟ้า ก่อนเธอจะกระหน่ำยิงมันเขาใส่อาร์เชอร์แบบไม่ยั้งทำให้มันต้องเสียเวลาไปกับการปัดป้องกระสุนแต่พอกระสุนแกรนช๊อตกระทบเข้ากับร่างของมัน มันกลับไม่แสดงความเจ็บปวดใดๆเลยแม้แต่น้อย
“ชิโร่!!!” รินอ่อนแรงเต็มที ความเร็วและรุนแรงของกระสุนค่อยๆน้อยลงไปเรื่อยๆ ทำให้มันเริ่มรุกคืบเข้ามาอย่างช้าๆ จนแทบจะไม่เหลือระยะห่างแล้ว
“หลบไป โทซากะ!” ชิโร่กระโดดไปผลักรินให้พ้นจากคมดาบ และแล้วในที่สุดเขาก็ตื่นจากอาการงัวเงียพร้อมด้วยพลังที่เปี่ยมล้น
“เทรสออน!!” มโนภาพในหัวของชิโร่เริ่มเป็นรูปร่าง เขานึกไปถึงวันแรกที่เห็นการต่อสู้ของเซอร์วอนท์ อาร์เชอร์กับแลนเซอร์ โดยในที่สุดเขาก็ได้โทซากะช่วยเอาไว้ ภาพหอกสีแดงโลหิตค่อยๆปรากฏขึ้น..
“อีตาบ้าชิโร่ เร็วๆ เข้าสิยะ!!” รินหยิบดาบในมือของเขาที่เหลืออีกเล่มมารับดาบของอาร์เชอร์ แล้วปาเข้าใส่จนทำให้มันเสียจังหวะ
“หอกต้องสาบ เกลย์โบลว์” เขาลืมตาขึ้นพร้อมกับแสงสีแดงที่ส่องประกายบนมือ พร้อมกับรูปร่างพื้นฐานของหอก ตอนนี้ในหัวของเขา กำลังคำนวณน้ำหนักความหนาแน่นความยืดหยุ่นรูปลักษณ์ที่มีผลต่ออากาศกลศาสตร์และอื่นๆ เขาซึ่งเคยถูกมันแทงและฟาดมาแล้วย่อมรู้ดีที่สุด
เคร้ง!! อาร์เชอร์ถูกดันกลับไปจากการแทงของคมหอกที่รวดเร็วราวกับสายฟ้า ก่อนเขาจะเริ่มกระหน่ำแทงออกไปอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ซึ่งมันก็ได้ผล ตอนนี้อาร์เชอร์กลับมาเป็นฝ่ายรับบ้างแล้ว
เคร้ง!! มันดีดตัวออกห่างแล้วเสียบดาบกลับเข้าไปบนพื้นดินก่อนมันจะสร้างดาบคู่ออกมาอีกครั้งแล้วกระโจนเข้าใส่ ซึ่งทำให้มันกลับมาได้เปรียบอีกครั้งด้วยรูปแบบการโจมตีของหอกซึ่งจะไปในทิศทางเดียวไม่สามารถต่อกรกับดาบสองมือซึ่งถึงแม้ระยะจะสั้นกว่าแต่ก็สามารถปัดป้องคมหอกออกได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคมหอกของคนอ่อนหัดอย่างชิโร่
“ชิโร่ตอนนี้แหละ!!!” รินร้องพร้อมกับปาก้อนกรวดใส่เข้าไปอีกซึ่งแน่นอนว่ามันต้องถอยตัวออกหลบอีกเช่นเคย ทำให้ชิโร่มองเห็นช่องโหว่ของมันก่อนเขาจะจ่ายพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ทุ่มไปกับการโจมตีครั้งเดียวที่จะชีชะตาของคนทั้งสอง หอกเกลย์โบลว์ทอประกายสีแดงเข้มก่อนที่ผู้ถือมันจะพุ่งปลายหอกผ่านวงดาบที่ความเป็นวงเพื่อปัดป้องก้อนกรวด ตอนนั้นเองที่อยู่ๆชิโร่ก็รู้สึกถึงพลังของหอก มันนำวิถีเข้าหาหัวใจอย่างแม่นยำ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้เลือดในกายสูบฉีดอย่างรุนแรงด้วยความตื่นเต้นและความทะยานอยากที่จะพุ่งเข้าหาหัวใจ...ถึงจะเป็นเรื่องแปลกแต่มันกลับเป็นความรู้สึกดีอย่างบอกไปถูก..
ฉึก!!!!! หอกแทงทะลุไปถึงด้านหลังมันและทันใดมันของเหลวสีดำก็พวยพุ่งออกพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่น่าเกลียดหน้ากลัวมันใช้มือข้างหนึ่งสาวตัวหอกเข้าใส่ตัวมันเองเรื่อยๆจนมาอยู่ใกล้กับชิโร่ที่กำลังยืนตะลึงไม่ได้สติ เพราะช๊อคกับภาพตรงหน้าภาพร่างสีดำทมิฬที่ค่อยๆคลืบคลานพลางกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
“ระวังนะ!! ชิโร่!!” มันเงื้อดาบด้วยมืออีกข้างอย่างสุดแรง แต่ในที่สุดก็ทำได้แค่นั้นเพราะมันสิ้นใจคอคมหอกที่ถูกบิดโดยริน ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะละลายกลายเป็นของเหลวสีดำที่ลุกไหม้แล้วสลายหายไป พร้อมๆกับการแตกออกเป็นเสี่ยงๆของอาณาจักรดาบไร้ขอบเขต...
ผลึก!! ชิโร่ล้มลงไปกองกับพื้นแล้วสลบไป พร้อมๆกับการสลายตัวไปในอากาศธาตุของหอกต้องสาบสีแดงฉานที่ช่วยชีวิตคนทั้งสองเอาไว้
ผ..ผะ..ผีหลอก รินหันไปมองตามเสียงก็พบกับคู่หนุ่มสาวที่มีหน้าตาซีดเซียวไปต่างจากศพ กำลังยืนขาสั่นระริกด้วยความกลัว แล้ววิ่งหนีไป ทำให้รินถอนใจเบาๆแล้วมองกลับลงมายังคนที่ดีแต่สลบ
“นายนี่มันจริงๆ เลยนะชิโร่ นี่ต้องให้ฉันแบกกลับบ้านอีกหรอเนี่ย” เธอทำหน้าบูดก่อนพลางกอดอกมองไปทางอื่นอย่างเบื่อหน่าย พอมองซ้ายมองขวาว่าไม่มีใครเธอจึงลอบทำสิ่งที่ไม่อาจทำได้ต่อหน้าคนอื่น รินสซุกตัวลงนอนอยู่ภายใต้อ้อมแขนของชิโร่ที่หลับไหลไม่ได้สติอยู่กลางถนนอย่างมีความสุขก่อนจะหลับตาพริ้มจนดูเหมือนหลับไป
ค่าจ้างซัก 3 นาทีแล้วกัน...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
ฟ้าววว~~ สายลมพัดใบหญ้าอ่อนให้พลิ้วไปตามกระแสจนเกิดเป็นคลื่นลูกต่างๆบนผืนหญ้าเขียวชอุ่มที่ไร้พรมแดน อันสาดส่องไปด้วยแสงแดดอ่อนๆแห่งดวงทินกรที่ไม่เคยหลับใหล
‘นี่เราอยู่ในความฝันจริงๆน่ะเหรอ แต่ทำไมความรู้สึกนี้มัน...’ ชิโร่หันไปมองสาวผมทองหน้าตาจิ้มลิ้มที่นั่งอยู่ข้างๆเขาอย่างเป็นสุข ในขณะที่สายตาของคนถูกมองกำลังมองออกไปไกลเหมือนพยายามหาอะไรบางอย่าง ก่อนที่เธอคนนั้นจะรู้สึกตัวแล้วหันมามองคนจ้อง
“มีอะไรเหรอค่ะ ชิโร่”
“อ่อ อ๋อ...ปล่าว ฉันแค่สงสัยขึ้นมาน่ะว่าที่ๆเรานั่งอยู่ตอนนี้ มันเป็นแค่ความฝันของฉันจริงๆน่ะเหรอ” เขาพูดก่อนหันขึ้นไปมองท้องฟ้า ก่อนจะสังเกตเห็นเงาสีขาวของดวงจันทร์ที่ถูกบดปังด้วยแสงแห่งดวงอาทิตย์จนยากที่จะสังเกตเห็น
“ข้าเองก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ว่าข้าน่ะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“ก็ นั่นล่ะที่แปลกล่ะ ก็ถ้าเป็นเซเบอร์ในความฝันของฉันล่ะก็ เธอก็น่าจะพูดในสิ่งที่ฉันอยากให้พูดเท่านั้นนี่นา” เขากล่าวพร้อมหันมามองทางเซเบอร์แบบแปลกๆ
“มันก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนั่นแหล่ะค่ะ แต่บางทีสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่ตอนนี้ก็อาจจะเป็นสิ่งที่คุณคิดว่าถ้าเป็นฉันคงต้องพูดแบบนี้อยู่แล้วหนิค่ะ ชิโร่” เธอหันมามองแล้วยิ้มอย่างสดสัย
“งั้นเหรอ เธอในตอนนี้ก็อาจเป็นแค่สิ่งที่ฉันสร้างขึ้นในความฝันสินะ” เขาถอนหายใจเล็กน้อย แต่เซเบอร์กลับหัวเราะเบาๆอย่างอบอุ่น
“จะสร้างข้าขึ้นมาเองหรือไม่นั้น มันไม่สำคัญหรอกค่ะ” เซเบอร์กล่าวทำให้เขาหันมามองอย่างแปลกใจก่อนที่เธอจะก้มหน้าลงเพื่อหลบรอยแดงบนแก้มขาวๆ ก่อนพูดต่ออย่างเขินอายว่า
“ข้าดีใจนะคะ ที่ชิโร่น่ะไม่ฝันถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากข้า” เธอเงยหน้ามาสบตากับชิโร่อย่างอายๆ ทำให้เขาตีสีหน้าไม่ถูก
“ก็แหม!! แบบว่า...” ชิโร่กล่าวพลางเอามือลูบท้ายทอยไปมา ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับเซเบอร์เพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อดีซึ่งเรื่องนี้ดูเหมือนเซเบอร์จะพอเข้าใจ
“ใกล้ได้เวลาตื่นแล้วล่ะค่ะ ชิโร่” เซเบอร์ทักก่อนที่แสงสว่างบนท้องฟ้าจะเริ่มจ้ากว่าปรกติจนเป็นสีขาวโพลนทั่วไปหมด
“เดี๋ยวก่อนนะ เซเบอร์” ชิโร่หลับตาลงตั้งสมาธิก่อนจะพยายามนึกถึงภาพตุ๊กตาที่ยังไม่มีโอกาสให้เธอคนนี้ซักทีเข้ามาในหัว ชั่วครู่เดียวน้ำหนักและรูปทรงของมันก็เขาสู่ประสาทสัมผัสบริเวณมือของเขา
“อะนี่ เซเบอร์ ฉันยกให้เธอนะ จะได้ไม่เหงา” เขายื่นมันให้แก่หญิงสาวที่หน้าแดงเครือก่อนจะรับตุ๊กตามาไว้ในอ้อมกอดแต่โดยดี
“ขอบคุณมากค่ะชิโร่” เธฮกล่าวในขณะที่ตอนนี้แสงสีขาวเริ่มทำให้ภาพทุกอย่างสว่างเกินกว่าจะสามารถมองเห็นได้
“แล้วเจอกันนะ เซเบอร์” ตัวของเขาค่อยๆลอยสูงขึ้นไปในอากาศ เข้าหาแสงที่สว่างจ้าจนไม่สามารภมองเห็นอะไรได้
“ค่ะชิโร่...แล้วเจอกันใหม่ค่ะ.......”
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny--------------------------------------------
ครืด....
“อรุณสวัสดิค่ะ รุ่นพี่” ซากุระกล่าวทักทายชิโร่ที่มาถึงโต๊ะอาหารเป็นคนสุดท้ายก่อนจะตามมาด้วยเสียงของอิลริยา ไทกะและโทซากะ
“อรุณสวัสดิ ชิโร่”
“มาช้าจังเลยนะชิโร่”
“อรุณสวัสดิ เอมิยะคุง”
“อรุณสวัสดิทุกคน! ขอโทษทีนะที่มาช้า” ชิโร่พูดก่อนจะค่อยๆนั่งลงประจำที่ของตนเองแล้วเริ่มลงมือทานอาหาร
“ทานเลยนะครับ...อื้ม! ซากุระจังนี่ทำอาหารเก่งจังเลย ทำได้ถึงขนาดนี้น่าจะเปิดร้านขายได้แล้วมั้ง” ชิโร่เอ่ยคำชมหลังจากตักอาหารเข้าปากเป็นคำแรก ทำให้ซากุระยิ้มแก้มปริ
“ก็ได้คุณรินช่วยด้วยน่ะค่ะ”
“โฮ้ โฮ้ๆ..อย่างคุณโทซากะน่ะเหรอจะทำอาหารเป็น....อย่างมากก็เป็นได้แค่ลูกมือของซากุระจังเท่านั้นแหละ จริงไหมจ๊ะ ซากุระจัง” ไทกะยิงใส่รินก่อนจะโยนปืนไปให้ซากุระที่กำลังตีสีหน้าไม่ถูก
“ก็คงจะจริงของอาจารย์ ฟูจิมูระค่ะ ฉันน่ะไม่ค่อยถนัดเรื่องงานครัวซักเท่าไหร่ งั้นไว้คราวหน้าคงต้องขอรบกวนอาจารย์ช่วยสาธิตการทำอาหารให้ดูเป็นขวัญตาหน่อยเถอะค่ะ” รินกล่าวก่อนจะยกน้ำขึ้นจิบแล้วชายสายตามองไปยังไทกะที่กำลังร้อนตัวอย่างคาดหวัง
“นี่ๆ ทั้งสองคนอย่าทะเลอะกันเลยนะ หัดอายเด็กซะบ้าง” ชิโร่ยกเอาอิลริยาที่กำลังทำหน้าตาจิ้มลิ้มพลางตักอาหารกินอย่างมีความสุขมาเป็นไม้กั้นแต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
“ได้อยู่แล้วคุณโทซากะ อย่าคิดนะว่าฟูจิมูระ ไทกะ คนนี้ไม่มีน้ำยา เดี๋ยวฉันจะเป็นคนแสดงฝีมือการทำอาหารที่ล้ำลึกของฉันให้เธอได้ดูเป็นขวัญตา” ไทกะประกาศกล้าแต่ดูเหมือนว่ารินจะไม่ได้ใส่ใจอะไร
“..มะ.มะ.ไม่ดี..มั้ง พี่ไทกะ” ชิโร่ปราม เขายังจำคราวก่อนที่ไทกะพยายามทอดไข่ดาวเป็นครั้งแรกได้ดี เพราะมันไหม้จนดำปี๋แต่เธอก็บังคับให้เขากินอยู่ดี
“ชิโร่น่ะ เงียบไปเลย”
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะอาจารฟูจิมูระ เรื่องทำอาหารปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉันเถอะค่ะ” ซากุระเสริมอีกแรง เพราะเธอเคยฝากให้ไทกะดูแลอาหารที่กำลังจะเสร็จแทนเธอซักพัก แต่ผลปรากฏว่ามื้อนั้นรสชาติของอาหารแย่ลงจนแทบจะกินไม่ได้หลังจากที่ฟูมิระแอบใส่อะไรต่อมิอะไรเพิ่มลงไปเองตามใจชอบ
“งั้นก็ได้ โชคร้ายของเธอนะคุณโทซากะ ที่มีคนขอร้องครูไม่ให้แสดงฝีมือต่อสาธารณะชนน่ะ...อะ.เอ๋”ไทกะมองไปรอบโต๊ะแล้วร้องอย่างแปลกใจ
“....หายไปไหนหมด!!!!”
“อิ่มแล้วค่ะ!...” อิลริยาเอ่ยหลังจากตั้งอกตั้งใจกวาดกับข้าวลงท้องอยู่นานตามสุภาษิตน้ำขึ้นให้รีบตัก
“ฮือๆ..แงๆ...เหลือแค่นิดเดียวเอง...” ไทกะครวญครางแล้วเริ่มจัดการกับอาหารอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ซากุระกำลังเปิดโทรทัศน์
........เมื่อเช้านี้ทางตำรวจได้มีการพบศพชายชราคนหนึ่งนอนเสียชีวิตอยู่ภายในสวนสาธารณะโดยที่สภาพศพมีรอยถูกกันแทะอยู่ทั่วร่างกาย รวมทั้งอวัยวะบางส่วนสูญหาย สัญนิฐานว่าจะเป็นการฆ่าเพื่อชิงทรัพย์และทำลายศพเพื่ออำพรางคดี.......
“อีกแล้วเหรอค่ะ โหดร้ายจริงๆเลย แม้แต่คนแก่ก็ไม่เว้น” ซากุระเอ่ย
ชิโร่เริ่มคิดถึงภาพเหตุการณ์ตอนที่เขาไปสัมผัสกับกระจก ภาพความฝันที่เป็นนิมิตอันประหลาด แล้วจึงหันไปมองทางรินที่กำลังมองเขาอย่างรู้กัน
“งั้นฉันขอตัวก่อนล่ะนะ” ชิโร่กล่าวก่อนจะลุกออกจากห้องแล้วเดินออกไปทางประตู
“อิ่มแล้วค่ะ” รินเอ่ยพร้อมกับกระดกน้ำในแก้วแล้วเดินตามออกไป
................ณ.โรงเก็บของ
“มันยังไม่ตายโทซากะ ข่าวเมื่อเช้านี้ต้องเป็นฝีมือของเจ้าหมอนั่นแน่ๆ” ชิโร่เอ่ยเสียงเครียดพร้อมทั้งเอามือทุบฝาหนังอย่างอารมณ์เสีย ผิดกับรินที่ดูจะอารมณ์เย็นกว่า
“ชิโร่ตอนที่นายทำลายจอกในครั้งนั้น นายบอกว่ามันถูกปนเปื้อนไปด้วยของเหลวสีดำใช่ไหม...” รินพูดพลางหันไปทางชิโร่ท่พยักหน้าเป็นคำตอบ
“ของเหลวนั่น มันเหมือนกับที่เจ้าอาร์เชอร์ตัวปลอมนั่นมีใช่ไหม”
“จะว่าไป มันก็คล้ายๆกันอยู่นา” ชิโร่ทำท่าครุ่นคิด
“ไม่ผิดแน่ มันต้องเป็นแบบเดียวกันแน่ๆ สงครามจอกศักดิ์สิทธิจบลงที่วัดริวโด นับตั้งแต่นั้นก็มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นแถวนั้นเสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่าที่ถูกฆ่าอย่างเลือดเย็นจำนวนมาก จนในที่สุดก็มีอุบัติเหตุเครื่องบินตก” นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมองมาทางเขาอย่างแน่วแน่
“แต่ว่า ทำไมมันถึงพยายามจะฆ่าฉันล่ะ”
“คนธรรมดาที่ไม่ได้มีสัมผัสพิเศษหรือเป็นจอมเวทย์จะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงพลังเหล่านี้ แต่นายน่ะมีสัมผัสที่แรงเป็นพิเศษจนอาจเป็นปัญหาในการดำรงอยู่ของมัน หรือไม่มันก็แค่อยากจะแก้แค้น”
“จะยังไงก็ชั่ง เราจะปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ ต้องออกไปกำจัดมันก่อนที่จะมีคนต้องตายมากกว่านี้” ชิโร่เอ่ยเสียงดังอย่างมุ่งมั่น ถ้าเขาสามารถล้มมันได้แล้วครั้งหนึ่งครั้งที่สองกคงไม่ยากเท่าไหร่นัก
“ด้วยอะไรล่ะชิโร่ พลอยของฉันก็แทบจะหมดแล้ว ส่วนพลังของนายก็อ่อนแอลงไปมาก ที่รอดตายมาได้น่ะก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว” รินมองไปทางชิโร่ที่กำลังเริ่มหงุดหงิด
“แล้วเธอจะปล่อยไว้เฉยๆแบบนี้น่ะเหรอ”
“ตอนนี้ก็คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นแหละ เพราะเราไม่รู้ว่ามันจะทำอะไรต่อไป และจะหามันได้จากที่ไหนขืนบุกเขาไปคงมีแต่คว้าน้ำเหลวปล่าวๆ และถึงมันจะอ่อนแอกว่าเซอร์วอนท์ตัวจริงแต่การจะล้มมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ” รินพูดำลางแอบชายตามองไปทางชิโร่ที่กำลังอารมณ์เสีย
“ถ้านายอยากจะช่วยจริงๆล่ะก็ ตอนนี้ที่นายทำได้คือต้องพัฒนาฝีมือของตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อให้ทัดเทียม...ไม่สิ เพื่อให้สามารถเอาชนะมันได้ยังไงล่ะ”
“คงมีแต่วิธีนี้เท่านั้นสินะ เอาล่ะงั้นจะมัวเสียเวลาอยู่ทำไม ยิ่งเก่งขึ้นเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งช่วยคนบริสุทธิ์ได้มากขึ้นเท่านั้น” ชิโร่ผ่อนคลายลง เปลี่ยนจากความหงุดหงิดมาเป็นความมุ่งมั่น
“ส่วนเรื่องตามหาเบอะแสน่ะ เดี๋ยวฉันจะจัดการเอง”
“อื้ม!...ต้องชอรบกวนเธอด้วยนะโทซากะ”
“รบกวนอะไรกันเล่า อีตาบ้า การช่วยชีวิตคนอื่นมันก็เป็นสิ่งที่ฉันควรจะทำนะยะ” รินฉุนขาดตะคอกใส่ชิโร่ที่ได้แต่หัวเราะแหะๆ
“ขอบใจมากนะโทซากะ ทั้งๆที่มันพุ่งเป้ามาที่ฉันแท้ๆ แต่เธอกลับเอาตัวเองเข้ามาเสี่ยงด้วย ทั้งช่วยชีวิตฉันแล้วก็ช่วยเหลือฉันสารพัด เธอน่ะ..ดีกับฉันเกินไปรึปล่าว?..” ชิโร่เอ่ยเป็นเชิงยั่วโมโห เขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้เธอคนนี้เขาคงไม่มีโอกาสได้มายืนอยู่ที่จุดนี้ได้แน่ แต่บางครั้งเขาก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้และแอบสงสัยอยู่ตลอด
“อย่าพูดมากน่า เอมิยะคุง น่ารำคาญจริงเลย ที่ฉันเอาตัวเข้ามาเสียงด้วยก็เพราะว่าอยากจะช่วยคนอื่นหรอกน่า ส่วนที่ฉันคอยช่วยเหลือนาย ก็เพราะว่าฉันมันเป็นโรคทนเห็นคนโง่ไม่ได้ต่างหากล่ะยะ อย่าหลงตัวเองให้มันมากนักเลยน่า” รินหน้าแดงพร้อมพูดออกมาอย่างฉุนเฉียว
“เอ...แล้วทำไมเธอต้องหน้าแดงด้วยล่ะโทซากะ ดูสิลามไปถึงหูแล้ว” รินที่ยิ่งได้ฟังชิโร่พูดยิ่งแดงจัดเข้าไปใหญ่ จนเขาเริ่มไม่แน่ใจว่าแดงเพราะอะไรกันแน่
“อะๆ ก็ได้ๆ ก็ได้ งั้นฉันไปก่อนนะ” ชายหนุ่มกล่าวพลางเปิดประตูแล้วเดินออกไป ทิ้งให้หญิงสาวหน้าแดงกล่ำหายใจฟึดฟัดอย่างไม่พอใจอยู่คนเดียวซักพักก่อนจะเดินตามออกไปแล้วปิดประตูแต่ทันทีที่รินหันหลังกลับ สายตาของเธอก็ประทะเข้ากับร่างหญิงสาวผมสีม่วงอ่อนเช่นเดียวกับตาที่คงจะแอบตามมาตั้งแต่ตอนนั้น
“ฉันน่ะ ไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรอกนะคะ แต่ถ้ามีอะไรที่ฉันพอจะช่วยรุ่นพี่กับคุณรินได้ล่ะก็...” ซากุระก้มหน้าลงเล็กน้อย ซึ่งโทซากะก็มองดูอาการนั้นอย่างเอ็นดู
“งั้นเธอก็ ช่วยทำอาหารอร่อยๆให้หน่อยก็แล้วกัน” รินกล่าวแล้วยิ้มจนซากุระที่ไม่เข้าใจความหมายเอียงหัวอย่างสงสัย
“ก็กองทัพน่ะ มันต้องเดินด้วยท้องนะ แล้วอีกอย่างช่วยเรียกฉันว่าพี่รินจะดีกว่านะ” รินพูดพร้อมมองจ้องเข้ามาในตาของซากุระที่กำลังเกิดประกายหวั่นไหว อย่างมีความในบางอย่าง
“เพราะว่า ถ้าฉันมีน้องสาวล่ะก็ ฉันก็คงอยากให้เรียกแบบนี้มากกว่าน่ะ เข้าใจไหม ซากุระ” รินลูบผมสีม่วงของซากุระเบาๆ ซึ่งคนถูกลูบหัวก็พยักหน้ารับและยิ้มอย่างมีความสุข
“เอาล่ะ เราเรียนถึงไหนกันแล้ว.....
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny---------------------------------------- ณ.โรงฝึก...
เทรสออน... ดาบสองเล่มค่อยๆปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจนบนมือของผู้เอ่ยวลีดังกล่าว พร้อมๆกับที่ชายหนุ่มผมสีส้มตาสีเหลืองอัมพันลืมตาตื่นจากการมโนภาพ
‘อย่างที่เจ้าหมอนั่นว่า สิ่งที่เราต้องเอาชนะไม่ใช่ศัตรูตรงหน้า แต่ว่าเป็นจินตนาการในหัวของเราเอง’ เขามองดูดาบเล่มหนึ่งในมือก่อนจะทดลองขว้างมันออกไปให้สุดแรงจนชนเข้ากับผนังด้านหนึ่งของโรงฝึก
ปึง!! เล่มที่สองตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ดูเหมือนกับว่าผู้ขว้างมันออกมาจะไม่ค่อยพอใจกับผลที่ได้ซักเท่าไหร่
‘วันนี้พี่ไทกะพาอิลริยาออกไปทำธุระอะไรซักอย่าง ส่วนโทซากะกับซากุระก็อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องจะมีคนมาเห็น เทรสออน ’ ดาบสองเล่มที่พื้นค่อยๆสลายไปก่อนมันจะปรากฏขึ้นมาใหม่บนมือของชิโร่ ก่อนที่เขาจะจับมันทั้งสองปาร่อนออกไปในแนวระนาบบ้างซึ่งผลที่ตามมาก็ไม่ต่างกัน
ปึงๆ!! ปึงๆ!!! หนังไม้ของโรงฝึกเกิดรอยขีดข่วนเล็กๆที่เกิดจากคมของดาบที่ถูกปาออกมาอีกหลายครั้ง อยู่ทั่วไปหมดจนเริ่มเห็นได้ชัด
เฮ้อ... ‘ทำแบบนี้มันเหนื่อยชะมัด ทำไมจู่ๆพลังของเราถึงพึ่งจะมาถูกจำกัดเอาตอนนี้น้า ที่เมื่อก่อนตอนแบ่งให้เซเบอร์ไปใหม่ๆกลับไม่เห็นจะเป็นแบบนี้เลย สงสัยต้องหาวิธีใหม่แล้วล่ะเรา’ เขาเดินไปที่กำแพงแล้ววางมือทาบลงตามรอยขีดข่วนก่อนจะหลับตาลง ซักพักรอยต่างๆก็เริ่มจางลงจนหายไป
“ลองกลับไปใช้การแปรสภาพแบบเดิมดูดีกว่า...รออยู่นี่นะเซเบอร์” เขาเดินไปลูบหัวตุ๊กตาสิงโตน้อยอย่างรักใคร่ก่อนจะเดินออกไปแล้วกลับมาด้วยแท่งเหล็กขนาดย่อมๆสองแท่งในมือ
‘เอาล่ะ เทรสออน...’ เหล็กทั้งสองค่อยๆเปล่งแสงสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆจนในที่สุดก็มองไม่เห็นตัวเหล็ก ก่อนมันจะค่อยๆเปลี่ยนรูปร่างเป็นดาบพร้อมๆกับการดับลงของแสงสว่าง
“แบบนี้แทบที่จะไม่ต้องใช้พลังเลยแฮะ การใช้สิ่งของเป็นแกนกลางของดาบเนี่ย” เขามองดูผลงานในมืออย่างชื่นชมก่อนจะเปลี่ยนมันกลับไปเป็นรูปแบบพื้นฐานของมัน
“ดีล่ะ งั้นลองวิธีนี้ดู” เทรสออน... สะสารโครงสร้างวัตถุ ชัดเจน... องค์ประกอบวัตถุ ชัดเจน... ‘คราวนี้เราลองจินตนาการถึงการสร้างดาบนั่นขึ้นมาอย่างถ่องแท้..’ เขสเริ่มเพ่งสมาธิให้มากขึ้นในดาบทั้งสองแต่ดูเหมือนมันจะมากเกินไป ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจจะทำทีล่ะอัน
‘ดาบเกิดจากเหล็กที่ถูกไฟ ....ไฟ....ไฟ...ความทรงจำเกี่ยวกับไฟของเราคือมันร้อน...มันทำให้เจ็บปวด..แต่ต้องร้อนขนาดไหนกันถึงจะตีดาบได้...คงต้องซักพันองศา..แต่เราไม่รู้ว่าความร้อนพันองศานี่มันให้ความรู้สึกยังไงกันแน่’ ชิโร่เม้มริมฝีปากแน่นพร้อมทั้งกำแท่งเหล็กในมือจนเกร็งไปหมด
‘จินตนาการเข้าสิ เอาชนะตัวเอง จินตนาการเข้าสิ....แสงแดด...ไม่สิ ดวงอาทิตย์...ร้อน แดดร้อน...น้ำร้อนๆ...สายลมร้อน...ไฟ! ไฟที่ร้อนสุดๆ...’ ภาพตอนที่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่เมื่อสิบปีก่อนกลับเขามาในหัวของเขาอีกครั้ง ในขณะนั้นเองแท่งเหล็กในมือของชิโร่ก็เริ่มร้อนจนแดงขึ้นเรื่อยๆอย่างเห็นได้ชัด
‘พอร้อนได้ที่ก็ต้องถูกตีให้ขึ้นรูปตามแบบที่ต้องการ...’ แท่งเหล็กที่แดงฉานค่อยๆบิดเบือนรูปร่างของมันไปเรื่อยๆทีละน้อยจนดูคล้ายดาบขึ้นมาทุกที
‘ไม่พอ เหล็กในมือเราตอนนี้มันมีไม่พอ ไม่สิ เราจินตนาการขึ้นมาได้หนิ...’ เหงื่อไคลเรอ่มไหลไปทั่วตัวของชายหนุ่มพร้อมกับอาการหายใจหอบถี่เหมือนคนที่วิ่งมานับสิบกิโลโดยไม่ได้หยุดพัก พร้อมกับปรากฏแสงจ้าท่ามกลางเหล็กร้อนสีแดงฉานเข้ามาผสมผสานเพื่อเติมส่วนที่ขาดหายของกันและกันจนเต็มและมีรูปร่างเป็นดาบคันโจวที่สมบูรณ์ครบถ้วน
“คราวนี้ก็ต้องทำให้เย็นลง...ช้าๆ....” มโนภาพของเขาไหลลึกไปถึงภาพที่ฝนเริ่มเทกระหน่ำลงมาดับไฟแห่งความพินาทเมื่อสิบปีก่อน ภาพใบหน้าของบุคคลที่ช่วยชีวิตของเขาไว้ด้วยความยินดี รังสีและไอร้อนของดาบที่เคยปกคลุมทั่วโรงฝึกค่อยๆลดลงอย่างช้าตามมาด้วยไอน้ำที่ระเหยออกอย่างรวดเร็วจากตัวดาบ
แฮก....แฮก...ดาบเริ่มปรากฏรูปร่างที่มั่นคงตรงข้ามกับผู้ถือมันที่ค่อยๆทรุดลงไปเรื่อยๆทุกขณะ สมองของเขาตอนนี้มึนไปหมด และเริ่มวูบเป็นพักๆ เหมือนเขาจะไปสามารถคุมสติของตัวเองเอาไว้ได้อีกอีกแล้ว และในขณะนั้นเองภาพของเธอก็ปรากฏอย่างเด่นชัดภายในจิตใต้สำนึก ภาพของหญิงสาวผิวขาวผมสีทองสลวยหน้าตาจิ้มลิ้มแต่กลับนิ่งเฉยเหมือนดั่งเธอแบกโลกไว้ทั้งใบในชุดอาภรณ์สีขาวลูกไม้ซ้อนทับด้วยสีน้ำเงินขลิบทองที่ดูสง่าเหมาะกับเธอผู้มีตาสีเขียวมรกตอันคมกริบดั่งพยาราชสี ภายใต้แสงจันทร์ส่องอัมพัลที่เล็ดลอดผ่านเขาเพียงเล็กน้อยแต่กลับทำให้เธอดูสวยเด่นสง่าราวกับเทพธิดาลงมาจุติ
เซเบอร์...เขาเพ้อออกมาเป็นคำพูดสุดท้ายก่อนสติทุกอย่างจะเลื่อยลอยออกไปจากตัว แต่ทันใดนั้นดาบในมือที่เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยกลับเปล่งประกายแสงสีทองสว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะดับลงพร้อมกับสติของผู้ถือที่ร่างลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเป็นที่เรียบร้อย
ดาบสีดำสนิทที่มีลายหกเหลี่ยมสีแดงเป็นส่วนประกอบค่อยๆ เลือนหายไปกับอากาศธาตุอย่างช้าๆ จนในที่สุดก็หายลับไปจากพื้นไม้....
.......
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
อุ๊! อุ้ยยย... ‘ปวดหัวเป็นบ้าเลย....สงสัยจะเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้แน่’ ชายหนุ่มในสภาพสลึมสลืใช้มือลูบหัวเบาๆ พลางค่อยๆลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างช้าๆแล้วเริ่มกระพริบตาถี่ๆ แต่ในขณะที่กำลังพยายามปรับสายตาอยู่นั้นมือข้างหนึ่งของเขาที่ซุกอยู่ใต้ผ้าห่มก็เริ่มรู้สึกถึงไออุ่นของอะไรบางอย่าง
“ตื่นแล้วเหรอค่ะ ชิโร่” เขาหงายหลังลงไปจากเตียงด้วยความตกใจก่อนจะผงะถอยหนีออกไปจนติดฝาผนังของห้องเมื่อได้ยินเสียงของสิ่งมีชีวิตที่นอนร่วมเตียงกับเขาเมื่อคืน
“เจ็บมากไหมค่ะ ชิโร่” หญิงสาวร่างบางผมสีทองตาสีมรกตถามเขาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลไม่ต่างจากหน้าก่อนจะลุกออกจากเตียงเดินลงมาหาเขาอย่างช้าๆ
“ซะ..ซ.....เซเบอร์นี่เธอ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน” หญิงสาวในชุดคลุมยาวสีขาวค่อยๆพยุงเขาขึ้นจากพื้นพร้อมด้วยหน้าตาที่แปลกใจไม่น้อยไปกว่าเขา
“ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันค่ะ จู่ๆพอข้านึกไปถึงประเทศของข้าอีกครั้ง ข้าก็มาอยู่ที่นี่แล้ว” ชิโร่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะมองดูไปรอบๆห้องซึ่งถูกประดับประดาอย่างสวยงามโอ่อ่าตามแบบโบราณ
“แล้วฉันเข้ามาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ล่ะเนี่ย”
“พอข้ากลับเข้ามาก็เห็นชิโร่นอนหลับอยู่บนเตียงแล้วล่ะค่ะ คุณดูเหนี่อยมากข้าก็เลยไม่อยากรบกวนน่ะค่ะ” เซเบอร์ก้มหน้าหลบสายตาชิโร่อย่างเขินอายซึ่งไม่ต่างอะไรกับชิโร่ที่เอามือลูบท้ายทอยเนื่องพลางหันไปทางอื่น
“งั้นฉันต้องขอโทษด้วยนะเซเบอร์ ที่ฉันเสียมารยาท” เขาโค้งตัวลงเป็นการขอโทษ
“เงยหน้าขึ้นเถอะค่ะชิโร่ ทำแบบนี้ข้าลำบากใจนะคะ” เธอค่อยๆพยุงเขาขึ้นอย่างช้าๆจนสายตาของเขามาบรรจบเข้ากับหน้าขาวมลของเซเบอร์ที่ถูกชะโลมไปด้วยแสงแดดอ่อนของรุ่นอรุณทำให้เธอดูงามดั่งเทพธิดาในสายตาของเขา
‘เซเบอร์ในชุดนอนเนี่ย...’ เขาอดไม่ได้ที่จะมองลงไปสำรวจส่วนอื่นของร่างสาวตรงหน้าที่ตรึงตาตรึงใจเขาให้หยุดนิ่งอยู่ที่เธอได้ตั้งแต่แรกเห็น
“ชิโร่มองอะไรคะ หรือว่าร่างกายข้ามีอะไรผิดปรกติงั้นเหรอ” หน้าตาขึงขังจริงจังกับคำพูดขวานผ่าซากที่ตรงไปตรงมาของหญิงสาวทำให้เขาหยุดชะงัก
“อะแฮ่มๆ...ปล่าวๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก แต่ฉันแค่สงสัยว่า นี่น่ะไม่ใช่ความฝันของฉันนั่นก็หมายความว่าเธอน่ะ ไม่ใช่สิ่งที่ฉันสร้างขึ้นสินะ” เข้ากระแอมเล็กน้อยก่อนพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื้นตันพร้อมประกายตาแห่งความหวัง
“ก็คงจะเป็นแบบนั้นนั่นแหละค่ะชิโร่ การที่ข้าสามารถดึงคุณเข้ามาในจิตใจเช่นเดียวกับที่ชิโร่ดึงข้าไปได้ นั่นก็หมายความว่าข้ากับชิโร่นั้นมีอะไรบางอย่างสื่อถึงกันได้ค่ะ และนั่นคงจะเป็นเพราะวงจรพลังเวทย์ที่ชิโร่แบ่งให้ข้า และปลอกดาบของข้าที่ฝังอยู่ในตัวชิโร่นั่นแหละค่ะ”
“เธอลืมอะไรไปรึปล่าวเซเบอร์” เขายิ้มเล็กน้อย
“มีอะไรอีกอย่างงั้นเหรอค่ะ”
“หัวใจของเรายังไงล่ะ” ชิโร่มองลึกเข้าไปในตาของหญิงสาวตรงหน้าที่เบิกกว้างอย่างประหลาดใจ พร้อมด้วยสีหน้าที่แดงฉานดังลูกมะเขือเทศสุกไม่มีผิด ซึ่งนั่นทำให้ชิโร่ยิ้มอย่างพึงพอใจ
“คงจะจริงอย่างที่คุณว่านั่นแหละค่ะ ข้าเองก็คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าในระหว่างที่ชิโร่ไม่อยู่ ในหัวของข้าก็คิดถึงแต่เรื่องของคุณตลอด” เธอก้มหน้างุดจนดูน่ารัก
“ฉันก็คิดถึงเธอเหมือนกันนะ เซเบอร์ ว่าแต่ทีนี้เราจะทำยังไงต่อกันดีล่ะ อย่าบอกนะว่าจะยืนคุยกันจนหมดวันอย่างเนี้ย”
“ไม่หรอกค่ะชิโร่ ข้าน่ะคิดไว้แล้วว่า วันนี้ข้าจะพาชิโร่ไปเดทในประเทศของข้าค่ะ”
“ด..ดะ....ดะ...เดท งั้นเหรอ” ชิโร่เหงื่อตกเล็กน้อย พร้อมด้วยท่าทีที่ดูสับสน
“ค่ะ หรือว่าชิโร่ต้องการจะพักผ่อนข้าก็ไม่ว่านะค่ะ” ถึงสายตาและน้ำเสียงของเธอจะยังตรงไปตรงมาแต่เขาก็รู้ดีว่าเธอคนนี้กำลังงอนเขาอยู่ลึกๆแบบไม่แสดงอาการ
“ปะ..ไปซิ ฉันไม่ปล่อยเธอไปตามลำพังหรอกน่า” ถึงจะเพียงชั่ววูบแต่เขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มของเธอที่ถึงจะเพียงน้อยนิดแต่ก็มากพอที่จะทำให้เขาชื่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“งั้นตกลงค่ะ วันนี้ข้าจะพาชิโร่ไปเดท ยินดีต้อนรับสู่คาเมลอตท์ ค่ะ
”
..
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
“ที่นี่คือห้องประชุมของเหล่าอัศวินโต๊ะกลมแห่งสภาสูงค่ะ .” เธอเดินนำเขาเข้ามาสู่ห้องโถงกว้างที่มีโต๊ะกลมตัวใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง ภายในห้องประดับปะดาไปด้วยธง คบไฟ ดาบ และโล่ที่ติดอยู่ตามผนังหินอ่อนสีน้ำเงินจางๆ แต่กลับทำให้ห้องทั้งห้องดูศักดิ์ทรงพลังและน่าเกรงขาม
“เออ...เซเบอร์เจ้าชุดนี่มัน....” ชิโร่หันลงไปมองชุดสีน้ำเงินคลิปทองเช่นเดียวกับของเซเบอร์ที่ลากยาวตามมาด้วยผ้าคลุมขนสัตว์อ่อนนั่นแต่หนาและหนักยังกับอะไรดี และถึงแม้อากาศของที่นี่จะชื้นมากกว่าที่บ้านของเขามากจนออกจะหนาวแต่ไอ้เจ้าเสื้อคลุมยาวนี่กลับทำให้ร้อนได้อย่างน่าอัศจรรย์
“อ๋อ...จริงด้วยสิ ชิโร่น่ะคงไม่ค่อยสะดวกที่จะใส่ชุดนี้สินะคะ” เธอหันมายิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วหัวเราะกับท่าทีเก้ๆกังๆของเขาก่อนจะสั่งให้คนเอาชุดมาเปลี่ยนให้
....
“แหม เป็นกษัตริย์นี่มัน สบายอย่างนี้นี่เอง แค่กระดิกนิ้วก็มีคนมาให้ใช้” เขาเอ่ยในขณะที่ก้าวเดินออกมาทางหลังปราสาทพร้อมด้วยชุดเสื้อผ้าของสามัญชนธรรมดาที่ถึงจะคันไปหน่อยแต่ก็ไม่รุ่มร่ามเหมือนชุดเดิม พร้อมกับเซเบอร์ในชุดกระโปรงยาวสีขาวพร้อมด้วยเสื้อสีน้ำตาลอ่อนแบบธรรมดาๆ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสวยน้อยลงได้เลยในสายตาของเขา
“เธอไม่เห็นจำเป็นต้องเปลี่ยนชุดเลยนี่นา”
“ทำไมเหรอค่ะชิโร่ หรอว่าคุณไม่ชอบชุดนี้” เซเบอร์กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูวิตก ก่อนจะก้มลงสำรวจชุดของตัวเอง
“ปะ..ปล่าวหรอกเซเบอร์ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอก แต่เธอเป็นกษัตริย์นี่ แต่งตัวแบบนี้มันจะดีหรอ” เซเบอร์ยิ้มรับ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ชุดแบบนั้นไม่ว่าใครก็สามารถหามาใส่ได้ แต่ว่าความเป็นกษัตริย์หรือไม่นั้นมันอยู่ที่ภายในค่ะ ไม่ใช่ภายนอก” เธอกล่าวอย่างเต็มภาคภูมิสมกับที่เป็นราชาก่อนจะออกเดินนำไปปล่อยให้เขาเดินตามมาอย่างเงียบๆ จนมาถึงคอกแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยอาชาที่สง่างามจำนวนเล็กน้อยเท่านั้น
“ชิโร่เคยขี่ม้าไหมค่ะ” เขาลอบกลืนน้ำลายเอิ๊กแต่ยิ่งทำให้เซเบอร์ ยิ้มอย่างอารมณ์ดีก่อนเธอจะเดินไปจูงม้าลักษณะดีสีขาวตัวหนึ่งมาหาเขาที่กำลังทำสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก
.......
“ค่อยๆค่ะ ชิโร่” ชฺดโร่ค่อยๆเอาแครอทที่เซเบอร์ส่งให้ยื้นเข้าไปใกล้เจ้ามาอย่างช้าๆ ตามคำสอนก่อนที่มันจะค่อยๆคาบอาหารออกไปจากมือเขาอย่างแผ่วเบา
“ทีนี้ก็ ลองลูบหัวของมันเบาๆดูสิค่ะ” เซเบอร์เอ่ยอยู่ข้างๆคอยมองดูชิโร่ที่กำลังยื้นมือเข้าไปลูบหัวเจ้าม้าเบาๆอย่างมีความสุข
“ทีนี้ มาลองขี้กันค่ะ” เซเบอร์ค่อยๆปีนขึ้นไปนั่งบนหลังม้าสีดำสนิทของเธอที่อยู่ข้างๆเขา ชิโร่กล้าๆกลัวๆเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆปีนขึ้นหลังม้าอย่างทุลักทุเล จนเซเบอร์หัวเราะเบาๆ
“ขำอะไรของเธอน่ะ ยายบ๊อง!” เขาหน้าแดงเล็กกน้อยจากความอายและความโกรธ แต่คนถูกว่ากลับเพียงแค่ยิ้มแล้วควบม้าออกไปเดินอย่างช้าๆ
“เดินช้าๆ ก่อนนะคะชิโร่” เซเบอร์เตือนชิโร่ที่กำลังโกรธจนไม่สนใจจะฟังมากนัก
“รู้แล้วล่ะน่า...” เขาตอบอย่างไม่แยแสจนทำให้เซเบอร์เริ่มเป็นกังวลก่อนที่เขาจะกระตุกบังเหียนแรงๆด้วยโทสะ แต่ทันใดนั้นเองจู่ม้าของเขาก็เริ่มวิ่งฉิวควบออกไปอย่างรวดเร็วจนทำให้เขาตกใจทำอะไรไม่ถูก
“ดึงบังเหียนไว้ค่ะชิโร่!!!” เสียงของเซเบอร์ตะโกนตามมาจากระยะใกล้ ซึ่งนั่นแสดงว่าเขาวิ่งออกมาใกล้มากแล้ว และถ้าไม่รีบหยุดมันล่ะก็คงต้องมีเรื่องแย่ๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เขารีบดึงบังเหียนตามที่เธอสอนทันที แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่เป็นผล แต่ในขณะนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าอีกตัววิ่งใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้เขาหันกลับไปมอง
“เซเบอร์ มันไม่ได้ผล..” สายลมประทะเข้าหูของเขาจะได้ยินเสียงอื้นอึงไปหมด จนฟังไม่ได้ศัพท์ว่าเซเบอร์พูดอะไร เมื่อเห็นดังนั้นฝีเท้าของม้าตัวสีดำก็เร่งขึ้นมาอีกเป็นทวีคูน จนในที่สุดก็มาเทียบข้างกับม้าของเขา พร้อมด้วยหญิงสาวร่างบางที่มีสีหน้าเขร็งขรึมผู้กำลังควบมันอย่างเอาจริงเอาจัง
“ถอยไปค่ะชิโร่” เธอพูดแบบไม่ทันได้หันมามองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย ก่อนเธอจะปล่อยบังเหียนออกจากมือแล้วทำเรื่องที่ไม่คาดฟัน.. เซเบอร์ยืนขึ้นบนหลังม้าก่อนจะกระโจนข้ามมานั่งข้างหน้าเขาอย่างน่าหวาดเสียว เพราะกระโปรงบานๆของเธอนั้นจู่ๆก็เกิดกินลมในขณะที่เธอกระโดด จนเซเบอร์เสียหลักแล้วเกือบตกลงไปแต่โชคดีที่เธอยังเกาะบังเหียนไว้ได้ แล้วไต่ขึ้นมาความคุมมันจนสงบลงในที่สุด
“ซะ..ซะ..เซเบอร์” เขามองดูแผ่นหลังเรียวเล็กของเธอที่กำลังขยับขึ้นลงถี่ๆด้วยความเหนื่อยหอบอย่างรู้สึกผิด เขาพยายามจะยื้นมือไปแตะที่ไหล่มลนั้น แต่เธอกลับหันหลังมาหาเขาพอดี
“ฉันขอโทษนะเซเบอร์ ที่ทำให้เธอต้องลำบากน่ะ” เขาก้มหน้าลงอย่างสำนึกผิด
“ข้าต่างหาก ที่ต้องขอโทษคุณ” ชิโร่เงยหน้าขึ้นทันที
“ขอโทษค่ะชิโร่ ถ้าข้าไม่หัวเราะชิโร่ในตอนนั้น คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ข้าไม่ควร...ทำอย่างนั้น” เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยในขณะเอี้ยวตัวมาข้างหลังแล้วปล่อยให้ม้าเดินอย่างเอื่อยๆ
“แต่ข้าอดใจไว้ไม่ไหวจริงๆค่ะ เวลาข้าเห็นชิโร่แบบนั้นแล้ว ข้ารู้สึกว่า..มันน่ารักอย่างบอกไม่ถูกค่ะ ยกโทษให้ข้านะคะชิโร่” เธอกล่าวทั้งยิ้มอย่างเหนียมอายจนเขาอดไม่ได้ที่จะใจละลายลงไปกองกับพื้น
“ฉันเองก็ทำอะไรงี่เง่าไปหน่อย จนทำให้เธอต้องมาลำบาก”
“ถ้าชิโร่ไม่อยากจะขี่ม้าล่ะก็ น่าจะบอกข้ามาตั้งแต่แรกนะคะ หรือว่าถ้าไม่อยากให้ข้าเป็นคนสอนล่ะก็ข้าจะให้คนอื่นมาสอนให้แทนค่ะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นซะหน่อยเซเบอร์ ฉันน่ะอยากขี่ม้ามากแล้วก็ไม่อยากให้คนอื่นหัดให้ด้วย นอกจากเธอเซเบอร์ เพราะฉะนั้น ช่วยสอนฉันขี่ม้าทีสิ” เธอหันมายิ้มให้เขาก่อนจะขยับเตรียมจะลงจากหลังม้า
“นั่นเธอจะไปไหนน่ะ เซเบอร์”
“ข้าจะไปตามเจ้าจันทรามาค่ะ เราจะได้เริ่มหัดกันใหม่อีกครั้ง”
“ไม่ต้องหรอก เธอสอนฉันอยู่ตรงนี้แหละ ฉันน่ะมันพวกสมองทึบถ้าไม่มีอาจารย์คอยชี้แนะอยู่ใกล้ๆก็จะไม่เข้าใจน่ะ” ชิโร่เอื้อมมือทั้งสองไปจับบังเหียนทำให้เซเบอร์ที่อยู่ด้านหน้าตกอยู่ใต้วงแขนของเขาไปโดยปริยาย
“มัวทำอะไรอยู่ล่ะ เซเบอร์ ถ้ามัวชักช้าเดี๋ยวฉันจะตื่นก่อนนา” คนถูกโอบหน้าขึ้นสีทันทีที่แผ่นอกของเขาทาบลงไปบนไหล่บางจนทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่อาจจะบรรยายได้ เซเบอร์ค่อยๆจับบังเหียนขึ้นมาบ้างอย่างเก้ๆกังๆ ก่อนจะค่อยๆควบม้าเดินออกไปตามแม่น้ำที่ไหลทอดยาวอย่างเอื่อยๆ นานเท่าไหร่ไม่มีใครทราบที่หัวใจสองดวงเต้นประสานเสียงอยู่ข้างๆกันอย่างอบอุ่นจนกระทั่งชายหนุ่มเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
...
“ตะกี้ เธอบอกว่าม้าตัวนั้นชื่อจันทรางั้นหรอ” เขากล่าวพลางก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อให้สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของเส้นผมสีทองหนานุ่มดังแพรไหมของหญิงสาวที่อยู่ข้างกายเขา
“ค่ะ เจ้านั่นคือจันทรา ส่วนเจ้าตัวที่เราขี่อยู่นี่ชื่อว่า ตะวัน ค่ะ” หน้าของเธอยังคงร้อนผ่าวจนไม่กล้าหันกลับไปพูดกับชายหนุ่มเบื้องหลังที่กำลังโปรยลมหายใจอุ่นๆลงบนเส้นผมของเธอเบาๆ
“ทำไมเธอถึงตั้งชื่อพวกมันว่าอย่างนั้นล่ะ”
“อาชาสองตัวนี้เป็นม้าทรงของข้าค่ะ เจ้าตะวันนั้นข้าจะใช้มันในเวลาที่พระอาทิตย์ยังคงส่องแสงอยู่ค่ะ ส่วนเจ้าจันทรา ข้าจะทรงมันในตอนที่อาทิตย์อัสดงไปแล้วค่ะ”
“ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วยล่ะเซเบอร์” เขาพยายามหาเรื่องเรื่อยเปื่อยมาคุยกับเธอเพื่อยืดเวลาแห่งความสุขนี้ให้นานออกไปมองที่สุด ซึ่งเขาเองคงไม่รู้ว่าเธอเองก็เช่นกัน
“เพราะว่าอาชาสีขาว จะสามารถเห็นได้เด่นชัดในเวลาที่มีแสงสว่าง จึงง่ายแก่การสังเกตและคุ้มกันของเหล่าทหารค่ะ ส่วนเจ้าจันทรานั้นก็เหมาะที่จะใช้ในยาทราตรีเพราะจะทำให้ง่ายแก่การซ่อนตัวจากการซุ่มโจมตี ทั้งยังใช้อำพรางได้ดีอีกด้วยค่ะ”
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง
ว่าแต่เงียบจังเลยนะที่นี่ แล้วคนอื่นๆหายไปไหนกันหมด” เขากล่าวพลางมองดูไปรอบๆตัวแต่ก็ยังไม่เจอใคร
“สถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตพระราชฐานของข้าค่ะ เลยไม่ค่อยมีใครเข้ามาซักเท่าไหร่”
“เรียกง่ายๆว่าเป็นที่ส่วนตัวของเธอสินะ...เซเบอร์...”เสียงทุ่มของชายหนุ่มปลอบประโลมทุ่งหญ้าสายลมและผืนน้ำไปตามทางที่เขาทั้งสองเดินผ่าน เนิ่นนานเท่าไหร่ ไม่มีใครรู้...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
“เฮ้อ...ชักหิวข้าวซะแล้วซิ..” ชิโร่ถอนหายใจใต้ร่มไม้ใหญ่ก่อนจะกระดกน้ำในถุงหนังแกะเข้าไปอย่างรวดเร็วด้วยความกระหาย โดยมีเซเบอร์นั่งพับเพียบอยู่ข้างๆ
“ถ้ามีข้าวกล่องมานั่งกินแถวนี้ก็คงจะดีสินะ”
“ขอโทษด้วยค่ะชิโร่ ข้าน่ะไม่มีฝีมือเรื่องทำอาหารหรอกค่ะ เลยทำอย่างที่ชิโร่ต้องการไม่ได้” เธอกล่าวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจังจนเขาต้องรีบตอบปฏิเสธ
“เรื่องนั้นช่างมันเถอะน่าเซเบอร์ ว่าแต่วันนี้ฉันขี่ม้าเป็นยังไงบ้างล่ะเนี่ย” ชิโร่พยายามหาเรื่องบ่ายเบี่ยงเพื่อเลี่ยงเรื่องที่เซเบอร์ไม่ถนัดไปในทันทีที่เห็นสีหน้าของหล่อนดูเหมือนจะเป็นกังวลขึ้นมา
“เพราะม้าเองก็เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นการจะควบคุมมันให้ได้ดั้งใจนึกจำเป็นจะต้องอาศัยความผูกพันและคุ้นเคยกับมันซึ่งนั่นต้องใช้เวลาค่ะ แต่ในขั้นพื้นฐานแล้วชิโร่ทำได้ดีค่ะ” เซเบอร์ยิ้มเล็กน้อยเพื่อแสดงความยินดี
“ก็เพราะได้เธอช่วยนั่นแหละ ต้องขอบใจนะเซเบอร์”พยักหน้ารับก่อนกล่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งที่ข้าต้องการจะให้ชิโร่ได้เรียนรู้อยู่แล้วค่ะ”
“งั้นเราไปกันเถอะเซเบอร์ เข้าเมืองไปหาอะไรกินกัน” เขาลุกขึ้นยืนก่อนจะมองเข้าไปทางตัวเมืองที่อยู่ห่างออกไปไม่มากนักซึ่งกำลังคึกคักขึ้นมาผิดหูผิดตาจากเมื่อเช้าลิบลับ แล้วยื้นมีไปทางสุภาพสตรีเป็นการชักชวน
“จำเป็นต้องทำแบบนั้นด้วยหรอค่ะชิโร่” เธอทำท่านั่งงงซึ่งนั่นก็ไม่ต่างอะไรกับเขา
“ก็ไหนเธอบอกว่าทำกับข้าวไม่เป็นนี่นา”
“ข้าน่ะไม่สันทัดเรื่องการทำอาหารก็จริงค่ะ แต่ถ้าเป็นตะกร้าใบเล็กๆนี่ล่ะก็” เซเบอร์หยิบตะกร้าปิคนิคใบเล็กๆที่มีขนมปังใหม่ๆบรรจุอยู่พร้อมด้วยกระปุกน้ำชาทำจากโลหะใบเล็กๆ กับแก้วกระเบื้องเคลือบใบสวยสองใบ
“ข้าต้องขอโทษชิโร่ด้วยค่ะที่ต้องรับรองคุณด้วยอาหารพื้นๆแบบนี้ ทั้งที่ตอนเช้าข้าก็รับพาชิโร่ออกมาจนลืมไปว่าชิโร่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย” ชิโร่ยังคงยืนงงต่ออีกซักพักในขณะที่เซเบอร์ทำท่าเหมือนกำลังสำนึกผิด
“ถ้าชิโร่ไม่....” เซเบอร์เอ่ยพลางยื้นมือจะฉวยตะกร้าใบน้อยมาเก็บแต่กลับถูกมือของชิโร่รั้งเอาไว้ก่อนจะมองมาทางเซเบอร์ด้วยรอยยิ้มแล้วนั่งลงข้างๆกันแล้วเริ่มหยิบขนมปังขึ้นมาชิมเล็กน้อย แล้วรินชามาจิบตาม
“ขนมปังของพระราชานี่ก็อร่อยไม่เลว ส่วนชาของกษัตริย์นี่ก็นับว่าสุดยอด” เขาเอ่ยแล้วมองไปทางเธอซึ่งกำลังแอบยิ้มอย่างมีความสุขก่อนที่เธอจะร่วมทานกับเขา
“ไม่ยักรู้มาก่อนว่าในความฝันน่ะจะมีของอร่อยๆ ให้กินแบบนี้ด้วย ” ชิโร่กล่าวก่อนจะโยนขนมปังเข้าปากอย่างสำราญ แต่คำพูดของเขากลับทำให้เซเบอร์หยุดชะงัก
“เป็นอะไรไปน่ะ เซเบอร์..”
“ไม่มีอะไรค่ะ...” เธอก้มหน้าลงจนเส้นผมสีทองลงมาปกปิดในหน้า แล้วทันใดนั้นเขาก็เห็นน้ำในถ้วยชาของเธอกระจายออกเป็นคลื่นวงกลมเล็กๆที่มาจากจุดเดียวกัน ‘น้ำตา?..’
“ข้าอิ่มแล้ว ไปกันเถอะค่ะชิโร่” เซเบอร์กล่าวก่อนจะรีบลุกขึ้นจากพื้นแล้วเดินออกไปทันทีจนชิโร่ที่กำลังคิดอะไรไปเลยเถิดอยู่นั้นไม่ทันตั้งตัว
“ดะ...ด.เดี๋ยวก่อนซิ เซเบอร์” ชิโร่รีบวิ่งตามออกไปทันที ทิ้งไว้แต่เพียงตะกร้าปิคนิคใบเล็กที่ถูกเก็บอย่างเรียบร้อยกับถ้วยชาเปื้อนน้ำตา....
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
.......ณ.ลานประลองดาบกลางแจ้ง
เขาวิ่งตามหลังเซเบอร์มาติดๆจนมาถึงลานกลางแจ้งที่มีผู้คนมุงดูกันอย่างคับคังตั้งแต่บนอัถจรรย์ยันขอบสนาม อึกทึกไปด้วยเสียงเชียร์และเสียงโห่ร้องปะปนกับเสียงกระทบกันของโลหะ แต่ในขณะที่เขากำลังมองหาใครบางคนอยู่นั้น เขาก็เดินไปชนชญิงสาวคนหนึ่งเขาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“เออ..ขอโทษนะครับผมไม่ได้ตั้งใจ..ผมแค่”เขาตกใจรีบขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ ..เออ ไม่ทราบว่าพอจะเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ผมสีทอง เดินผ่านมาแถวนี้บ้างไหมครับ” เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างเบื้องหน้าเขาก็เริ่มถอนหายใจ
“เฮ้อ ลืมไปซะสนิทเลย เราพูดคนล่ะภาษากับเขานี่นา ปล้วใครจะไปฟังรู้เรื่อง” เขากำลังจะหันหลังกลับแล้วเดินหาเซเบอร์ต่อไป แต่กลับมีมือรั้งเอาไว้จากด้านหลัง
“เด็กผู้หญิงที่ว่าน่ะ หมายถึงข้าใช่ไหมค่ะ” เธอกล่าวโดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับการประดาบในสนามอย่างจริงจัง
“เซเบอร์ นี่เธอมาอยู่นี่เองเหรอ ฉันอุตส่าหาตั้งนานก็ไม่เจอ แล้วทำไมเธอรีบวิ่งออกมาแบบนั้นเล่าฉันเป็นห่วงนะรู้ไหม” เซเบอร์หันกลับมามองเขาเมื่อถูกตำหนิ
“ข้าต่างหากที่ต้องเป็นห่วงคุณ...ชิโร่” เซเบอร์เอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉยห่อนจะหันกลับไปสนใจเหตุการณ์ในสนามต่อ
“อะ ฮะๆ จริงของเธอนะ” ชิโร่หัวเราะก่อนจะเดินไปเกาะราวระเบียงข้างๆกับเซเบอร์ที่จู่ๆก็ทำตัวแปลกๆ ‘เป็นอะไรของเขานะ จู่ๆก็...’
เคล้ง!!...
ดาบของอีกฝ่ายถูกตวัดหลุดออกจากมือหล่นลงพื้นในขณะที่ผู้ชนะถือดาบจ่อที่คอของผู้แพ้ด้วยอาการเหนื่อยหอบ เสียงของคนดูดังกระหึ่มขึ้นมาทันทีที่การประลองจบสิ้นลง ก่อนที่ฝ่ายชนะจะลดดาบลงแล้วจับมือกับผู้แพ้ด้วยรอยยิ้มแล้วเดินออกจากสนามไปทั้งคู่พร้อมด้วยเสียงปรบมือดังกึงก้อง จากนั้นชายร่างใหญ่ก็เดินเขามากลางลานดินแล้วเริ่มกล่าว
“?????????????????” ชายร่างท้วมเอ่ยด้วยเสียงดังที่แปลว่าอะไรซักอย่างแล้วเดินจากไป สลับกับการกระโดดข้ามรั้วเข้ามาของชายร่างสันทัดที่โค้งคำนับผู้ชมอย่างสุภาพแล้วยืนรอคู่ต่อสู้
“ข้าต้องขอโทษด้วยค่ะ ที่เสีบมารยาทกับคุณ ข้าแค่กลัวว่าจะมาไม่ทันดูการประลองก็เท่านั้น” เซเบอร์เป็นผ่านพูดก่อนบ้างเพราะเธอเริ่มรู้สึกอึดอัดใจที่เห็นชิโร่นิ่งเงียบไปอย่างนั้น
“เรื่องนั้นไม่ต้องไปสนใจมันหรอกน่าเซเบอร์ ฉันไม่โกรธเธอหรอก แต่คราวหลังก็หัดบอกกันก่อนซะบ้างนะ อย่าลืมสิว่าฉันไม่ใช่คนแถวนี้ ถ้าเกิดเซเบอร์หายไปฉันก็ลำบากแย่น่ะสิ” เขาเอ่นอย่างอารมณ์ดีทำให้สีหน้าของเธอดูผ่อนคลายลงแล้วเซเบอร์ก็หัวเราะอย่างน่ารัก
“ว่าแต่ เซเบอร์ เธอพอจะประเมินฝีมือของเจ้าหมอนั่นได้รึปล่าว ทำไมถึงไม่มีใครลงไปสู้กับเขาซักทีล่ะฮะ?” เซเบอร์หันกลับไปมองในสนามอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอเขม็นตาอยู่ครู่ใหญ่ๆก่อนหันมาตอบเขา
“นั่นเซอร์ คอนสแตนตินค่ะ เป็นหนึ่งในอัศวินอันดับต้นๆของข้า ไม่แปลกหรอกค่ะที่จะไม่มีใครกล้าประลองด้วย เพราะเขาคนนี้จะเป็นผู้ครองประเทศต่อจากข้าหลังจากที่ข้ากลายไปเป็นเซอร์วอนท์แล้วค่ะ”
“เอ๋ แล้วเธอรู้เรื่องนั้นได้ยังไงล่ะ เซเบอร์”
“คิริสึงุ เล่าให้ข้าฟังค่ะ”
“อ๋อ งั้นหรอกเหรอเนี่ย แหมฉันนี่มันโง่ชะมัดเลย เรื่องแค่นี้ก็เดาไม่ออก” ชิโร่พูดพลางลูบหัวไปมาอย่างละอายในความทึ่มของตัวเองซึ่งเซเบอร์ก็มองเขาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
“เอาล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันจะแสดงฝีมือให้เธอดูเอง เซเบอร์”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ ชิโร่” พูดจบชิโร่ก็รีบวิ่งหน้าตั้งลงไปโดยไม่ฟังคำทักท้วงของเซเบอร์ ซึ่งใรตอนแรกสีหน้าของเธอดูเป็นกังวลเล็กน้อยก่อนจะจางหายไปพร้อมกับการประกฎตัวของชิโร่ถายในสนาม
เขาโค้งให้กับคู่ประลองในแบบญี่ปุ่นโดยไม่พูดพล่ำทำเพลงหรือแนะนำตัวอะไรทั้งสิ้น เพราะถึงพูดไปก็คงไม่มีใครฟังออก เสียงของคนดูเงียบกริบทันทีที่เขาลงสู่สนาม และในไม่ช้าชายร่างท้วมก็เดินออกมาอีกครั้ง
“เจ้าคนต่างถิ่น เจ้าเป็นใครและมากจากไหน หรือว่าเจ้ามาเป็นสายของศัตรูมาสอดแนมเรา” คำพูดของชายร่างท้วมที่ชิโร่พอจะเดาออกเพราะมันเรียกเสียงโห่ร้องอึกทึกครึกโคมของคนดูภายในทันที ชิโร่เริ่มทำตัวไม่ถูกเขามองไปรอบๆแล้วเริ่มโทษความโง่ของตัวเองที่ไม่รู้เอาสมองส่วนไหนคิดถึงได้พาตัวมาลำบากแบบนี้
“เขาเป็นแขกของข้าเอง” สุรเสียงของหญิงสาวผมทองเพียงหนึ่งสยบทุกสรรพเสียงในลานประลองได้ในทันที ทุกคนในสนามต่างพร้อมใจกันทำความเคารพต่อนางผู้เป็นกษัตริย์อย่างพร้อมเพรียงจนดูสวยงามตระการตา
“แล้วฉันต้องคุกเข่าไหมเนี่ย?” เขาชีมือมาทางตัวเองพร้อมกับทำหน้าเหยเก
“ลุกขึ้นเถอะทุกท่าน ข้ามาดูการประลองก็เท่านั้น” ทุกชีวิตค่อยๆกลับมาเป็นปรกติอย่างช้าๆ ก่อนชายร่างท้วมจะประกาศก้องว่าอะไรอีกก็ไม่รู้แต่ดูเหมือนจะแปลว่า
...เริ่มการประลองได้!!! เสียงเฮกลับมาตราตรึงที่แห่งนี้อีกครั้ง อัศวินหนุ่มโค้งตัวลงเล็กน้อยก่อนจะพูดภาษาอังกฤษซึ่งชิงโร่หาได้เข้าใจไม่
‘เหวอ!!..แล้วเจ้าหมอนี่มันพูดว่าอะไรล่ะเนี่ย’ เขาคิดในใจแต่จู่ๆก็มีอีกเสียงหนึ่งดังเขามาในหัว
‘เขาบอกว่าเขาจะไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีอาวุธค่ะ’ ชิโร่รีบมองกลับขึ้นหาเซเบอร์ทันที เธอพยักหน้าเล็กน้อยทำให้ชิโร่ยิ้มอย่างแปลกใจแล้วกลับมาสนใจกับคู่ต่อสู้ต่อ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า เทรส..ออน” คันโจวกับบาคุยะปรากฏขึ้นในมือของชิโร่อย่างน่าอัศจรรย์ เรียกเสียงฮือฮาจากทั้งทุกด้าน
ชิโร่มองดูดาบในมือของตัวเองอย่างประหลาดใจ ‘แทบจะไม่รู้สึกถึงการสูญเสียพลังเลย..ดีล่ะ’ อัศวินหนุ่มมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะกลับมาเป็นปรกติ แล้วเริ่มชักดาบมันวาวออกจากฝักก่อนจะฟาดใส่เขาอย่างรุนแรง
เปรี้ยง!!! เคล้งงงงงๆๆๆ!! ดาบทั้งสองเข้าประทะกันอย่างรุนแรงจะเกิดสะเก็ดไฟออก ชิโร่รับดาบของอีกฝ่ายได้อย่างยากลำบาก หลังจากประทะกันเพียงสองสามดาบเขาก็ต้องถอยออกมาตั้งหลักก่อน
‘แข็งแกร่งจริงๆเลย ดาบคู่ของเราแทบจะต้านไว้ไม่อยู่..แบบนี้ไม่ได้การแน่ ต้องบุกกลับให้เร็วที่สุด’ อัศวินทะยานเข้ามาหาเขาอีกครั้งแล้วเริ่มออกดาบปิดทางไล่ต้อนเขาเข้ามุมมากขึ้นเรื่อยๆ
‘หน๋อย!! เจ้าหมอนี่ จะหาทางบุกยังไม่มีเลย’ ชั่วพริบตาชิโร่ถอนตัวหลบการโจมตีของท่านเซอร์มาได้อย่างฉิวเฉียดแล้วเริ่มออกดาบบุกบ้าง เขาตวัดดาบทุลวงฟันอย่างไม่ยั้งมือก่อนจะวาดดาบเป็นวงแล้วโจมตีอย่างหนักหน่วงแต่ก็ไม่ได้ผล ถึงจะรุนแรงและแม่นยำซักแค่ไหน แต่ด้วยพละกำลังฝีมือและความยาวของดาบทำให้เขาเสียเปรียบอยู่ตลอด
เคร้ง!! อีกฝ่ายฟาดดาบมาที่กลางลำตัวของเขาจากด้านขวาประทะเข้ากับคันโจวที่ถือกลับหลังจนแขนของเขาระบมไปหมดจากแรงของอีกฝ่าย ชิโร่รีบสวนกลับทันทีด้วยบาคุยะทางด้านขวาแต่ด้วยความที่เป็นดาบสั้นจึงไม่รวดเร็วพอที่จะฝ่าแนวป้องกันของอัศวินไปได้ เขาจึงรีบถอยออกมาอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ผู้ที่ได้เปรียบกว่าไม่บุกเข้ามาใส่แต่กลับปักดาบลงพื้นแล้วค้ำมันรอ
ชิโร่หายใจหอบเหนื่อยๆ พลางมองดูมือที่ระบมแดงไม่หมด แล้วทันใดนั้นเขาก็คิดอะไรดีๆออก ชิโร่จับเอาดาบทั้งสองมาหลอมรวมเข้าด้วยกัน เทรสออน... ดาบซามูไรเรียบบางเบาแต่คมกริบเข้ามาอยู่ในมือของชิโร่พร้อมด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจปรากฏลงบนใบหน้าของเขา ก่อนชิโร่จะพุ่งเขาใส่ศัตรู
เคร้ง! เคร้ง! เคร้งงๆๆ! ดาบประทะกันหลายต่อหลายครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้เป็นรองอีกต่อไปแล้ว การต่อสู่จบลงในที่สุดเมื่อชิโร่ตวัดดาบพลาดไปจนทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสฟาดดาบเข้ามาตรงๆอย่างรวดเร็วแต่โชคดีที่ชิโร่หมุนตัวหลบออกไปข้างๆได้แต่พริบตานั้นดาบที่อยู่ในมือขวาในจังหวะหวุดหวิดก็หายมาอยู่มือซ้ายซึ่งจ่อคอของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างน่าทึ่งเรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมได้อย่างล้นหลาม
“น่าทึ่งมาก ค่ะชิโร่ ทั้งฝีมือดาบและทักษะเฉพาะตัว พัฒนาขึ้นมากเลยนะคะ” เซเบอร์เอ่ยในขณะที่พาเขาออกจากสนามหลังจากจับมือกับเซอร์คอนสแตนตินเรียบร้อยแล้ว ทำให้เขายิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะพาเขาไปหามุมดีๆดูการประลองอย่างสนุกสนานด้วยกันตลอดทั้งบ่าย เวลาที่คู่ประลองสู้กันอย่างสูสีทีไรเซเบอร์มักจะออกอาการทุกทีจนเขาอดขำไม่ได้แล้วถูกงอนไปพักใหญ่ๆ เธอบอกว่าเหตุผลที่เธอต้องคอยดูการประลองดาบพวกนี้ไว้ก็เพื่อที่จะได้พิจารณาการแต่งตั้งเป็นอัศวินได้ถูกต้องเหมาะสมนั่นเอง....
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
มื้อเย็น
“ทุกท่าน ข้าขอแนะนำให้รู้จักกับผู้มาเยือนจากดินแดนฝั่งตะวันออก เซอร์เอมิยะ” เซเบอร์ยืนขึ้นกล่าวและหลังจากที่เธอกล่าวจบเสียงปรบมือต้อนรับก็เริ่มดังขึ้นจากมือทุกคู่อย่างไม่ขาดสาย
“ขอฝากเนื่อฝากตัวด้วยนะครับ” ชิโร่ซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของหัวโต๊ะยืนขึ้นแล้วคำนับอย่างรุกรี้รุกรน ก่อนจะพูดภาษาแปลกๆ จนทำให้เหล่าอัศวินต่างมองหน้ากันอย่างฉงน จนกระทั่งเซเบอร์ช่วยพูดแทนเขาทุกอย่างจึงกลับมาเป็นปกติ ก่อนที่เธอจะเริ่มนำสวดให้แก่พวกอัศวินจนจบจึงจะได้ฤกษ์ลงมือทาน
“ทานเลยนะครับ” เขาพูดเบาๆเพื่อไม่ให้มีใครอื่นหันมามองอีก ก่อนจะมองดูอาหารบนโต๊ะที่ดูอลังการที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาอาหารแต่ละอย่างสงกลิ่นหอมตลบอบอวนชวนน้ำลายสอทั้งสิ้น แต่ทันทีที่เขาหันหลับลงมามองดูจานตัวเองก็พบกับปัญหาอีกเรื่อง มันคือจำนวนของอุปกรณ์การรับประทานที่แต่ละอันก็หน้าตาคลายๆกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นมีด ช้อน หรือส้อม แตกต่างกันตรงที่ขนาดและรูปร่างเท่านั้น
เขารีบมองหาความช่วยเหลือจากคนอีกฝั่งทันทีซึ่งสาวน้อยก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้ดีแต่ลืมไปเสียสนิทเธอจึงโค้งตัวลงอย่างสุภาพในขณะที่ผู้ทรงคุณวุฒิคนอื่นๆกำลังง่วนอยู่กับอาหารจนไม่มีใครสังเกต แล้วจึงเริ่มสอนเขาโดยการยกอุปกรณ์ทีละชิ้นขึ้นแล้วใช้ให้ดูเป็นตัวอย่างจนครบ ซึ่งกว่าจะครบก็เล่นเอาชิโร่กระเพาะแทบคราก
“????????” บทสนทนาบนโต๊ะอาหารเริ่มต้นขึ้นหลังจากเริ่มลงมือไปได้ไม่นาน ซึ่งมีไม่กี่คำเท่านั้นที่ชิโร่พอจะฟังออก แต่เขาพอจับใจความได้ว่าหัวขอสนทนาไม่ได้หนีไปไหนไกลนอกจากตัวเขานั่นเอง ซึ่งทุกคำถามนั้นเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนถาม แต่ดูเหมือนว่าเซเบอร์จะเป็นคนตอบแทนให้ทั้งหมด
‘พวกเขาชื่นชมในฝีมือแล้วก็เทคนิคของคุณค่ะ ชิโร่ ข้าจึงอธิบายไปว่ามันเป็นศาสตร์ลับแขนงหนึ่งของโลกตะวันออก’ ชิโร่ชะงักทันทีก่อนจะมองไปทางคนอีกฝั่งซึ่งก็กำลังมองเขาอยู่เช่นกัน
‘เธอทำได้ยังไงน่ะ เซเบอร์’
‘ข้อก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ แต่มันน่าจะเป็นเพระว่าที่นี่เป็นที่ของข้าค่ะ ชิโร่’
‘อย่างงี้ก็แย่น่ะสิ ถ้าเกิดชั้นคิดอะไรแผลงๆขึ้นมา...’
‘ท่านต่อไปได้แล้วค่ะ ชิโร่’ เซเบอร์ทำหน้าตายับยู่ยี่ทันทีก่อนจะเลิกสนใจเขาแล้วกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าแทน...
...
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จเซอร์เอมิยะก็ถูกคะยั้ยคะยอให้แสดงเทคนิคลึกลับให้ประจักษ์อีกหน ซึ่งเหล่าอัศวินชื่นชอบกันเป็นอันมากจนเขาเกือบจะไม่ได้ไปไหนเลย หากไม่ได้เซเบอร์มาช่วยไว้ทัน
“เฮ้อ...สบายตัวดีจัง” ฟุ๊บ.. ชิโร่ล้มตัวลงนอนบนเตียงอย่างอ่อนแรง ห้องของเขาอยู่ข้างๆกับห้องของเซเบอร์ซึ่งถึงแม้มันจะดูเล็กไปถนัดตาถ้าเอามาเทียบกันแต่ก็ยังดูกว้างขว้างมากอยู่ดีสำหรับเขาอยู่ดี
ชิโร่ลุกออกจากเตียงก่อนจะเดินออกไปทางระเบียบรับลมหลังประตูกระจกบานสวยเพื่อหายใจเอาอากาศยามค่ำคื่นพร้อมกับชื่นชมวิวทัวทัศน์ของเมือง แต่ทันทีที่เขาเอามือพาดลงบนราวระเบียงพร้อมมองใกล้ออกไปก็ได้ยินเสียงทักจากเด็กหญิงข้างห้อง
“น่าแปลกนะคะชิโร่ ที่จนป่านนี้คุณก็ยังไม่ตื่น เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณรึปล่าวค่ะ” เขารีบหันไปมองตามเสียงเรียกทันที
“นั่นสินะ เฮอะๆ สงสัยวันนี้จะนอนตื่นสายเป็นพิเศษ” เขาหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่สายตาจะต้องมนสะกดของหญิงสาวเบื้องหน้า ผมที่ปกติจะถูกรวบไว้เป็นมวยถูกปล่อยออกให้พลิวไปกับสายลมอ่อนๆ สะท้อนกับแสงจันทร์นวลเหลืองงดงามจนไม่อาจละสายตา แต่สีหน้าของเธอกลับเรียบเฉยไร้อารมณ์สงบนิ่งเหมือนมีเรื่องกลุ้มใจอะไรบางอย่าง
“สวยจริงๆเลยนะ เมืองของเธอน่ะ เซเบอร์” เขาเอ่ยพร้อมมองออกไปไกลลิบตา เมืองที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและทุ่งหญ้า ถูกประดับประดาไปด้วยดวงไฟจากคบเพลิงเล็กๆนับพันๆที่ถูกจุดขึ้นเพื่อปัดเป่าความมืดมิดของราตรีการให้สลายไปพร้อมกับสายลมหนาวเป็นภาพที่ดูงดงามและชวนให้อบอุ่นใจยิ่งนัก
“ค่ะ ชิโร่” เธอตอบสั้นๆก่อนจะหันมามองทางเขาเหมือนพยายามจะบอกอะไรบางอย่าง
“ชั้นชักจะรักที่นี่ซะแล้วสิ”
“ไม่ได้นะคะ ชิโร่!! ยังไงคุณก็ต้องกลับไปค่ะ” น้ำเสียงของเธอเน้นหนักขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่จริงจังอย่างเห็นได้ชัดทำให้บรรยากาศเย็นๆเริ่มร้อนระอุ
“ไม่เห็นจะต้องจริงจังขนาดนั้นเลยนี่นา แต่ฉันว่าบางทีอยู่กับเธอที่นี่มันก็ดีเหมือนกันนะ” ชิโร่ยังคงผ่อนคลายต่อผิดกับเซเบอร์ที่กำลังเตรียด
“นั่นแหละค่ะ ที่ทำไม่ได้ ยังไงซะที่นี่ก็ยังคงเป็นแค่ความฝันค่ะ ชิโร่น่ะต้องตื่นซักทีแล้วใช้ชีวิตที่มีต่อในโลกแห่งความจริงค่ะ” เธอขึ้นเสียงทำให้เขาเริ่มหงุดหงิด
“จะความฝันหรือว่าความจริงมันก็ไม่ต่างกันหรอกน่า” ทั้งคู่เริ่มโต้คารมกันโดยมีเพียงระเบียงคั่นกลางไว้ซึ่งห่างกันออกไปแค่ไม่กี่นิ้ว
“ต่างสิ ทำไมจะไม่ต่าง ข้สน่ะดีใจนะค่ะที่ชิโร่ยังคงไม่ลืมข้า แต่คุณไม่คิดบ้างเหรอว่าการที่จะฝันถึงเรื่องเดิมๆซ้ำๆกันตลอดสองเดือนน่ะมันดีเกินกว่าที่จะเป็นความจริง แต่มันเป็นการสื่อสารระหว่างข้ากับชิโร่โดยมีตัวกลางเป็นดาบและปลอกดาบต่างหากล่ะ” เซเบอร์หันหลังกลับแล้วเริ่มเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น ไหล่บางของเธอไหวระริก
“ข้าน่ะ อยากให้ชิโร่เลิกคิดถึงข้าค่ะ คุณไม่ควรจะมาจมปรักอยู่กับข้าซึ่งเป็นแค่ตัวตนในความฝันเป็นเพียงคนในอดีตเท่านั้น”
“ยัยบ๊องเอ๊ย!! ทำไมเธอถึงพูดอย่างนั้นเล่า ยังไงซะเราก็ต้องได้เจอกันอีก เธอน่ะเป็นเซอร์วอนท์ไม่ใช่เหรอ เป็นวีรชนที่ในทุกๆสิบปีก็จะถูกเรียกออกมาปรากฏตัว ถึงไม่ใช่อีกสิบปีข้างหน้าแต่ไม่ว่าจะอีกกี่สิบปีฉันก็จะรอเธอ เซเบอร์”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะชิโร่ ข้าน่ะไม่มีเหตุผลที่จะต้องมาเป็นเซอร์วอนท์อีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ข้าก็เป็นแค่เพียงวิญญาณที่ปรากฏตัวขึ้นในความฝันของคุณเท่านั้น” เขาทนฟังอีกต่อไปไม่ไหว ชิโร่กระโดดข้าวราวระเบียงมายืนอยู่ข้างๆเซเบอร์ที่หันมามองเขาทั้งน้ำตาซึ่งมันทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
“เซเบอร์..ฉันน่ะไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องเป็นห่วง ความจริงของฉันคือความฝันที่มีเธออยู่ในนั้นแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับฉัน เซเบอร์”
“นั่นแหละค่ะ ที่ข้าต้องการจะบอก....ในรอบสองเดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่ข้าโผล่เข้ามาอยู่ในความฝันของชิโร่ ข้ารู้สึกได้ว่าร่างกายของคุณน่ะอ่อนแอลงไปทุกวันๆ นั่นคงเป็นเพราะว่าชิโร่ตั้งใจจะทำให้ตัวเองเหนื่อยจนหมดแรงเพื่อที่จะได้อยู่กับข้านานให้นานขึ้น ซึ่งข้าไม่ต้องการให้มันเป็นอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย” คำพูดของเซเบอร์เสียดแทงใจดำของเขาเข้าอย่างจัง
“อึ อึ๋!! แล้วมันยังไงล่ะ ก็ฉันรักเธอนี่นา ฉันก็ต้องอยากอยู่กับเธอให้นานที่สุดสิ” ชิโร่โผเขากอดร่างบางที่สั่นเทาจากด้านหลังหวังให้เธอหยุดคิดมากเรื่องตัวเขาซักที
“ฉันรักเธอนะเซเบอร์ แค่นั้นแหละที่สำคัญสำหรับฉัน เรื่องอื่นจะเป็นยังไงฉันไม่สนหรอก”
“แต่ข้าไม่ได้รักคุณค่ะ ชิโร่”........ไม่ได้รักคุณคุ่ชิโร่.....ไม่ได้รักคุณคุ่ชิโร่..... จู่ๆหัวใจของเขาก็หยุดเต้นก่อนจะรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาที่หน้าอก วินาทีนี้ดูเหมือนกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะดับสบายเจ็บจนอยากจะตายเพื่อหนีมันไปให้พ้น เธอผู้ทำให้เขาตกหลุมรักได้ภายในเวลาสั้นๆ เธอผู้เคยเสี่ยงชีวิตร่วมกันกับเขาเพื่อความถูกต้องมาก่อน เธอผู้ที่เป็นดังทุกสิ่งที่เขามีอยู่ บัดนี้เธอ.....ไม่ได้รัก....เขาแล้ว....
.....
ร่างของชายหนุ่มร่วงลงไปกองกับพื้นเหมือนคนไร้สติ ทำให้เธอผู้ทำร้ายเขารีบก้มลงดูด้วยความห่วงหาอาทรพร้อมทั้งน้ำตาที่ไหลรินราวกับจะไม่ยอมหยุดในขณะที่มองดูร่างของเขาค่อยๆสลายตัวไปจากโลกนี้อยากช้าๆดังเม็ดทรายที่ถูกกระแสลมพัดผ่าน พร้อมกับแสงสว่างรอบตัวเธอเพื่อกลับไปยังความว่างปล่าวอีกครั้ง
“ตื่นได้แล้วค่ะ ชิโร่” เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอรักมากกว่าศักดิ์ศรีที่เป็นยิ่งกว่าชีวิตของกษัตริย์และอัศวิน รักจนยอมตบัดสัตที่เคยให้ไว้แก่กัน รักมากจนไม่อาจรั้งเขาไว้ให้อยู่กับเธอได้อีกต่อไป
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
เฮือก!! ... ชิโร่สะดุ้งตื่นขึ้นมาในสภาพเหนื่อยหอยพร้อมด้วยเหงื่อโทรมกาย เขาหันมองออกไปรอบๆตัวก็ไม่พบสิ่งผิดปกตินอกจากอ่านน้ำใบหนึ่งกับผ้าขนหนูผืนเล็กและแสงแดดอ่อนๆของยามเช้าแล้ว ห้องทั้งห้องยังคงเป็นห้องของเขาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแปลง และทันทีที่ร่างกายเริ่มทำงานอีกครั้งท้องของเขาก็เริ่มครวญครางเหมือนอดอยากมาหลายมื้อ ทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้ารีบลุกออกไปจากห้องทันที
..... แปะๆๆ!!! ความเงียบในห้องน้ำที่มีเพียงแต่เสียงของแผ่นกระเบื้องที่ถูกกระทบอย่างสม่ำเสมอทำให้ความคิดของเขาหวนกลับไปยังเรื่องที่ทำให้เจ็บปวดที่สุดในชีวิตอีกครั้ง
ปึง!! ‘ตั้งแต่วันนั้น วันที่ฉันเสียเธอไป ทั้งๆที่ฉันก็อุตส่าทำใจได้แล้วแท้ๆ แต่จู่ๆเธอก็โผล่เข้ามา มาทำให้ความฝันของฉันมันเป็นจริงขึ้นมาอีกครั้ง ฮึ!..เหมือนแกล้งกันชัดๆ’ ชายหนุ่มเอาหัวพิงกับผนังอย่างอ่อนแรง ปล่อยให้น้ำไหลผ่านศรีษะลงมาโดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหยดไหนไหลออกจากก๊อก ส่วนหยดไหนไหลออกจากตา
ฟืด....
“อรุณสวัสดิทุกคน~! วันนี้หิวจังเลยมีอะไรกินบ้างเนี่ย?” ทุกคนหันหน้ามาจ้องเขาเป็นตาเดียวอย่างไม่วางตาด้วยสีหน้าประหลาดๆ ก่อนที่ตะเกียบที่หลุดจากมือของไทกะจะทำลายมันลง
กิ๊ก!!..ชิโร่!!!
“แหมไม่ต้องทักซะดังขนาดนั้นก็ได้” เขาพูดแก้ขัดหลังจากที่ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียวกันหมดก่อนจะเดินไปนั่งร่วมโต๊ะหน้าตาเฉย
“เป็นอะไรไปรึปล่าวค่ะ รุ่นพี่” ซากุระยกถ้วยข้าวมาให้ด้วยสีหน้าเป็นกังวล
“เป็นสิ หิวจัดเลยล่ะ ทานเลยนะครับ” เขากล่าวก่อนจะเริ่มคีบอาหารเข้าปากอย่างไม่ลืมหูลืมตา
“เดี๋ยวก่อนสิชิโร่ นี่อย่าบอกนะว่านายไม่รู้ตัวเลยว่านายน่ะสลบไปตั้งสามวันเต็มๆ” โทซากะพูด
“ตลกแต่เช้าเลยนะโทซากะ ก็เมื่อวานพี่ไทกะยังพาอิลริยาขี่มอเตอร์ไซด์ออกไปทำธุระอะไรซักอย่างอยู่เลยไม่ใช่รึไงกัน” ชิโร่เอ่ยต่อพลางซดน้ำซุปต่อไปอย่างไม่สนใจคำพูดของริน
“เอ จะว่าใช่มันก็ใช่อยู่หรอกฉันน่ะ พายัยหนูนี่ไปลงทะเบียนเรียนน่ะ แต่นั่นมันก็เมื่อสามวันก่อนนี่นา”
“หา! นี่เราหลับไปตั้งสามวันเลยหรอ” เขาตกใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ก่อนจะก้มลงมองดูที่มือของตัวเอง ‘ตอนนั้น จำได้ว่าเราพยายามที่จะสร้างดาบขึ้นมาอีกเล่ม แล้วทุกอย่างก็วูบ..’
“อย่าหักโหมฝึกซ้อมให้มากนักสิชิโร่ หมอน่ะแค่บอกว่าร่างกายนายต้องการการพักผ่อนก็เท่านั้น เลยให้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ไม่งั้นป่านนี้นายได้ถูกหามส่งโรงพยาบาลแล้วรู้ไหม” รินเอ่ยด้วยสีหน้าที่หงุดหงิดเล็กน้อบแต่ชิโร่กลับไม่ได้เอาใจใส่นักเขายังคงตักอาหารเข้าปากอย่างเหม่อๆ เหมือนคนไม่ได้สติ
“ชิโร่!!..... นี่! ชิโร่” ในหัวของเขายังคงวงเวียนอยู่แต่เรื่องเมื่อคืนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกๆอย่างสับสนไปหมด
“มะ มะ มีอะไรหรอพี่ไทกะ”
“เหม่ออะไรของนาย ฉันแค่จะขอให้นายช่วยซ่อมเจ้ารถกระป๋องของฉันให้หน่อย พอดีอิลริยาเขาเผลอไปทำพังน่ะจ๊ะ ช่วยหน่อยนะ..” ไทกะขอร้องซึ่งเขาก็พยักหน้ารับคำอย่างเนืองๆ
“นี่ ชิโร่อย่าไปฟังที่ไทกะพูดนะ ไทกะนั่นแหละเป็นคน... อือ อือ อื้อๆ” อิลริยายังไม่ทันได้พูดแก้ต่างให้ตัวเองจบก็ถูกมือของไทกะปิดปากไว้เสียงสนนิท แต่ชิโร่ก็ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอีกเช่นเคย
“รุ่นพี่ ทำไมวั้นนี้ดูรุ่นพี่เหม่อลอยจังเลยนะค่ะ” เสียงของซากะระที่ถามอย่างเป็นห่วงเป็นใยทำให้ชิโร่หลุดจากภวังค์
“ปล่าวๆ แฮะๆ ก็แค่เพลียเท่านั้น ยังไงฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน” เขาพูดก่อนจะเดินออกจากห้องไปในขณะที่ไทกะยังคงฟัดกับอิลริยาอยู่
“อ่าวเดี๋ยว ชิโร่ จะไปไหนน่ะ ไปซ่อมรถให้ฉันก่อนสิ” ไทกะตะโกนไล่หลังแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ
“เป็นอะไรของเขานะอีตานั่น” รินกล่าวขณะกำลังยกชาขึ้นจิบอย่างไม่สนใจกับมวยปล้ำคู่ข้างหลังเธอ
“บางทีรุ่นพี่คงแค่อยากอยู่คนเดียวบ้างน่ะค่ะ” ซากุระเอ่ยพลางเก็บถ้วยชามไปล้างอย่างชำนาญ
“เป็นงี้ทุกทีแหละ หมอนั่นน่ะ เวลามีเรื่องอะไรก็ไม่ยอมบอกใคร เก็บมันไว้ในใจอยู่คนเดียว” รินยังคงจิบชาต่อไปอย่างสงบแม้น้ำเสียงจะยังคงแฝงไปด้วยโทสะเล็กน้อยก็ตาม
“ค่ะ รุ่นพี่น่ะก็เป็นซะแบบนี้ล่ะค่ะ แต่บางทีรุ่นพี่อาจจะแค่เหนื่อยเกินไปจริงๆก็ได้นะคะ ทำงานเสร็จก็กลับมาฝึกดาบต่อแถมยังต้องมาปวดหัวกับเรื่องของพวกเราอีก บางทีการได้พักผ่อนเต็มๆไปซักสามวันอย่างนี้อาจจะดีกับตัวรุ่นพี่เองก็ได้ค่ะ” ซากุระเอ่ยในขณะกำลังล้างจานอย่างขมักขเม้น
“เหนื่อย เหน่อ อะไรกัน เล่นสลบไปตัวสามวันเนี่ยนะ พี่สาว” อิลริยาใช้จังหวะที่เอาเท้ายันหน้าของไทกะเอาไว้ได้เอ่ยขึ้นมาบ้าง ส่วนซากุระก็หัวเราะเล็กน้อยกับความคิดโง่ๆของตัวเอง
“ก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้นนะ” รินพึงพำแล้วยกชาขึ้นจิบอีกทีพร้อมด้วยสีหน้าครุ่นคิดแต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงขลุกขลักของสิ่งมีชีวิตที่สองที่กัดกันยังไม่หาย
“แล้วนี่เมื่อไหร่คู่นี้จะลเกกันกันซักทีล่ะเนี่ย..” เธอเอามือเท้าคางแล้วส่ายหัวไปมาส่วนซากุระก็ได้แต่ยิ้มอย่างเจือนๆแล้วเบือนหน้าหนี กับคู่นี้ที่บางทีก็เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแต่บางทีก็กัดกันยังกับหมา
นี่แหนะ ยัยเปี๊ยก!!! ผึก!! ผลัก!! หน๋อยแน่ไทกะ!!!...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
ชิโร่! ชิโร่! ชายหนุ่มสดุ้งตื่นจากถวังค์พลัยหันรี่หันขวางอย่างกระเสือกกระสนเพื่อหาคนต้นเสียง หลังจากที่เขาเข้ามานั่งคิดอะไรอยู่คนเดียวมานานสองนาน
“โทซากะ? นี่เธอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จะเมื่อไหร่แล้วมันสำคัญตรงไหน ในเมื่อยังไงนายก็ไม่รู้สึกตัวอยู่ดี เอาแต่นั่งเหม่ออยู่ได้ นี่ถ้าฉันไม่เรียกเสียงกังแบบนี้ ถึงฉันจะนั่งอยู่นี่ทั้งวันนายก็คงไม่รู้สึกตัวอยู่ดี” รินบ่นปาวๆ จนชิโร่เหงื่อตก
“แล้วเธอมาทำอะไรที่ห้องฉันล่ะเนี่ย... อย่าบอกนะว่า” กล่าวพลางทำหน้าทะเล้นใส่ริน ที่กำลังกัดเมิ้มริมฝีปากอย่างสะกดกลันอารมณ์ที่ประทุอยู่ภายใน
“อะ เออๆ มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันงั้นหรอ” คิ้วของรินที่กำลังกระตุกค่อยๆแผ่วลง ก่อนเธอจะเริ่มวางฟอร์มให้กลับมาเป็นปกติ
“สิบห้าศพ เพียงแค่ช่วงสามวันมันจัดการไปแล้ว สิบห้าศพ” น้ำเสียงของรินที่เริ่มจริงจังทำให้ชิโร่เริ่มมีสีหน้าตึงเครียด ‘นี่เรามัวแต่คิดถึงยัยนั่นจนลืมเรื่องนี้ไปซะสนิท เรานี่มัน...’
“ตอนนี้เบาะแสอย่างเดียวที่พอจะหาได้คือ สิ่งนี้เท่านั้น” รินหยิบแผ่นพลาสติกหลายแผ่นออกมาแล้วเริ่มเอามาวางทับกัน
“นี่มัน หมายความว่ายังไง” ชิโร่จ้องมองเบาะแสอย่างเคร่งเครียด มันเป็นแผ่นพลาสติกที่วาดรูปคนเอาไว้คร่าวๆ ซึ่งแต่ละแผ่นจะมีแถบสีแดงแต้มอยู่ตามส่วนต่างๆกันไป แต่พอเอาพวกมันมาทับกัน ก็จะได้สีแดงที่แต้มครบทั้งรูป แถมยังเหลืออีกสองสามแผ่น ที่เกินออกมา
“เหยื่อพวกนี้ ตายในสภาพที่เหมือนถูกกินไปบางส่วน แต่น่าแปลกมากที่แต่ละคนจะไม่ถูกกินที่จุดเดียวกัน ดังนั้นฉันเลยลองทำสัญลักษณะพวกนี้ขึ้นมาแบบคร่าวๆ เป็นยังไงถึงกับอึ้งไปเลยหรอ” รินพักเล็กน้อยเพื่อมองดูสีหน้าของเขาซึ่งต่างอะไรจากคนที่ตื่นจากฝันร้าย
“ข่าวร้ายก็คือ ตอนนี้มันได้ร่างมาจนครบส่วนแล้ว แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือ” เธอมองไปยังส่วนเกินที่อยู่ในมือของเขา
“ตอนนี้มันกำลังเริ่มคนที่สอง...”
“นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย....ถ้าฉันไม่ได้หลับไป ป่านนี้คนพวกนั้นก็อาจจะไม่ต้องตายแล้วแท้ๆ แต่ฉันกลับ” ชิโร่ก้มหน้าลงกล่าวอย่างเก็บกด
“อย่าโทษตัวเองเรื่องนั้นเลยน่า ทุกคนน่ะเขาเป็นห่วงนายมากเลยรู้ไหม จู่ๆนายก็สลบไป ถึงกับได้หามส่งโรงพยาบาล แต่โชคยังดีที่ไม่ได้เป็นอะไรมาก รู้ไหมซากุระน่ะเขาเป็นคนมาดูแลนายทุกวันเลยนะ” รินพยายามปลอบเขาแต่ไม่ได้ผลเธอจึงเปลี่ยนวิธี
“ฉันว่าบางทีการที่นายสลบไปนานแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน เพราะถ้าเป็นนายในสภาพที่อ่อนแอเหมือนเมื่อสามวันก่อนล่ะก็คงเอาชีวิตไปทิ้งปล่าวๆ ยังไงตอนนี้รอให้ร่างกายนายพร้อมเต็มที่ซะก่อน แล้วเราค่อยมาวางแผนกัน”
“ฉันฝันถึงเซเบอร์ โทซากะ” เขาเงยหน้าขึ้นอย่างช้าๆด้วยความวิตกกังวลและสับสน มันคงจะดีกว่าถ้าเล่าเรื่องที่คนโง่อย่างเขาไม่เข้าใจให้คนฉลาดอธิบายให้ฟังซะบ้าง
“หลังจากหลับไปฉันจะฝันเห็นเธอทุกคืน ปกติเราจะเจอกันที่เดิมตลอด แต่เมื่อสามวันที่แล้วจู่ๆฉันก็เข้าไปอยู่ในเมืองของเซเบอร์ เราอยู่ด้วยกันตลอดทั้งวัน แล้วเธอก็ไล่ฉันให้ตื่นขึ้นมาในแบบที่เจ็บปวดสุดๆ” เริ่มเริ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังจากที่เขากล่าวจบก่อนเอ่ย
“เข้าใจแล้วล่ะ ทีแรกน่ะฉันก็นึกว่าเป็นแค่ความฝันปกติ จนกระทั่งนายเล่ามาถึงสาเหตุที่ทำให้นายหลับไปสามวัน ตอนนั้นฉันถึงได้เอ๋ใจขึ้นมา” ชิโร่มีสีหน้าที่ดีขึ้นทันที
“นายหลับไปตั้งสามวันแต่ในความฝันมันเท่ากับหนึ่งวันเท่านั้น แปลว่านั่นไม่ใช่ความฝันธรรมดา ฉันว่ามันน่าจะเป็นการสื่อจิตถึงกันมากกว่า ชิโร่กับเซเบอร์น่ะเชื่อมถึงกันได้โดยมีวงจรพลังเวทย์เป็นสื่อ แต่ลำพังวงจรพลังเวทย์คงไม่มีทางทำแบบนี้ได้แน่ มันต้องเป็นเพราะพลังของดาบกับฝักดาบแน่นอน”
“แต่ว่าโทซากะ ฝักดาบน่ะมันไม่ได้อยู่ที่ตัวฉันแล้วนี่นา เซเบอร์น่ะขอยืมมันไปใช้ตั้งแต่ตอนที่ไปทำลายจอกด้วยกันแล้ว” รินหลิ่วตาลงทันทีเหมือนไม่อยากจะเชื่อ
“กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ ถ้าเซเบอร์บอกว่ายืมล่ะก็ รับรองว่ามันยังคงอยู่ในตัวนายอย่างแน่นอน ไม่เชื่อฉันจะสูจน์ให้นายดู” เธอเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาแล้วกางมันออก พึมพำอะไรเบาๆซักอย่างใส่มัน ก่อนจะฉรกกระเษออกหน้าหนึ่งอย่างไม่สนใจยัยดี
“นี่เธอจะทำอะไรของเธอน่ะ อ๊าก!!” คำตอบของรินคือกระดาษที่คมดั่งมีดเชือดลงมาที่ข้อมือของเขาจะเลือดเริ่มไหลนองออกมาไม่หยุด
“โทซากะ ก็ฉันบอกเธอแล้วไง..” ชู่ว!! รินขมวดคิ้วมองมาทางเขาอย่างไม่สบอารมณ์นักพลางจ้องลงไปยังปากแผลที่แดงเถือกไปด้วยเลือดจนแทบมองไม่เห็น ก่อนจะจับมือเขาจุ่มลงในน้ำที่วางไว้ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วยกมันขึ้นมาเช็ดด้วยผ้าสะอาด
“ทีหลังจะทำอะไรก็หัดบอกกันก่อนบ้างสิ...มัน...” รินยกข้อมือของเขาขึ้นให้เจ้าของของมันดู
“ไม่เห็นจะมีอะไรเลยนี่นา” รินขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา ชิโร่จึงต้องพยายามจ้องมองมันอีกครั้งแต่ในช่วงพริบตาที่เขาละความสนใจไปจากมัน จากปากแผลที่เคยเปิดจนเลือดไหลนอง ตอนนี้ปิดสนิทเหมือนโดนกรีดไปเมื่อวาน ถึงจะแตกต่างเพียงเล็กน้อยแต่มันก็เห็นได้ชัดในช่วงเวลาเพียงชั่วพริบตา
“นี่ยังน้อยนะ ฉันเชื่อว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนล่ะก็ป่านนี้น่าจะไม่เหลือรอยอะไรทิ้งไว้แล้วด้วยซ้ำ” เขายังคงจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของข้อมือตัวเองอย่างตั้งอกตั้งใจหลังจากที่ไม่เคยใยดีส่วนไหนๆของ่างกายตัวเองมานาน แผลค่อยๆสมานกันอย่างช้าๆ จนต้องใช้สมาธิในการเพิ่งมอง
“การติดต่อทางจิตจนทำให้เกิดมโนภาพนั้น ไม่มีผลต่อเวลา ฉะนั้นสิ่งที่นายฝันนั้นฉันคิดว่า ไม่สิต้องบอกว่าฉันมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นมิติที่ถูกสร้างขึ้นมาจากพลังของดาบ หรืออาจจะเป็นของเซเบอร์ ไม่ก็ของนาย ชิโร่” รินเริ่มเก็บแผ่นพลาสติกมากองรวมกันเหมือนกำลังจะไป
“ซึ่งนั่นก็จะช่วยอ้างอิงได้ ว่าทำไมพลังเวทย์ของนายถึงได้อ่อนแอลง ถึงร่างกายจะพักผ่อนอยู่ก็ตามแต่ถ้าจิตวิญญาณยังคงตื่นอยู่ล่ะก็ นั่นเท่ากับว่า ในรอบหลายวันที่ผ่านมาพลังเวทย์ของนายไม่ได้รับฟื้นฟูเลยน่ะสิ เอ้...แต่เดี๋ยวก่อน ฉันยังมีอะไรคาใจนิดหน่อย ถ้านายหลับไปได้ตั้งสามวันขนาดนั้นแล้วเซเบอร์ไปปลุกนายอิท่าไหนล่ะคนอย่างนายถึงจะตื่น” ชิโร่สีหน้าไม่ดีขึ้นในทันทีที่ได้ยินคำถามของริน ทำให้คนหัวหมอพอจะสรุปได้เองคร่าวๆ
“เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง ตอนนี้ฉันอยากให้นายฟืนฟูพลังเวทย์ให้เต็มที่ซะก่อน ในระหว่างที่รอเบาะแสเพิ่มเติม ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นฉันไปก่อนล่ะนะ” รินพูดจบก็ลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินออกจากห้องแต่ชิโร่กลับเรียกเอาไว้ก่อน
“เดี๋ยวก่อนสิโทซากะ เกือยลืมไปแหนะ” เขาเดินไปหยิบของจากในลิ้นชักโต๊ะออกมาสองชิ้น มันคือมีดอะซอร์ทกับสร้อยเส้นหนึ่งที่มีพลายน้ำงามติดอยู่
“นี่ของเธอใช่ไหม” ชิโร่ส่งมันให้กับหญิงสาวที่มีประกายตาวาววับทันทีที่ได้เห็นมันอีกครั้ง แล้วเลือกหยิบเพียงแต่สร้อยออกไปจากมือเขา
“ขอบใจมากนะ เอมิยะคุง ที่ยังอุตส่าเอามาคืน สร้อยเส้นเนี้ยเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายจากคุณพ่อ เป็นของดูต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวที่ฉันมีอยู่” รินกล่าวอย่างอ่อนโยนผิดกับนิสัยจนดูแปลกตา
“แล้ว.. มีดนี้..”
“นายเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ ฉันเชื่อว่ามันจะมีประโยชน์กับนายมากกว่าอยู่กับฉัน”
“ไม่เอาล่ะ มีดนี่มันสำหรับจอมเวทย์เต็มขั้นนี่นา พวกครึ่งๆกลางๆอย่างฉันเก็บเอาไว้ก็ไม่มีประโยชน์หรอก ฉันว่าเอาไปให้ลูกศิษย์ของเธอจะดีกว่า” เขายื้นมันให้โทซากะที่มองอย่างสงสัยเล็กน้อยก่อนจะรับมันกลับเมื่อเห็นว่าเป็นความคิดที่ดี
“ก็ได้ งั้นฉันไปล่ะ ป่านนี้ซากุระคงรอแย่แล้ว....อ้อ เกือบลืมแหนะ อาจารย์ฟูจิมูระให้มาตามนายไปที่โรงฝึก เห็นบอกว่าจะลงโทษเรื่องที่นายขี้เกียจสันหลังยาวน่ะ” พูดจบ ริน โทซากะ ก็เดินจากไป...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
ทานเลยนะครับ....ชิโร่เริ่มตักอาหารเข้าปากอย่างเนือยๆโดยไม่สนใจที่จะติหรือชมฝีมือของซากุระเหมือนปกติ นัยน์ตาสีเหลืองอัมพันของเขาจ้องมองออกไปในอากาศอย่างเหม่อลอยสลับกับการตักอาหารอย่างเดียวกันเข้าปากซ้ำๆ
“รุ่นพี่เองก็อย่าหักโหมให้มากนักสิคะ อันที่จริงฉันว่าเรื่องงานพิเศษน่ะรุ่นพี่น่าจะหยุดทำได้แล้วนะคะ เพราะยังไงซะรุ่นพี่เองก็ไม่มีความจำเป็นต้องหาเงินมาใช้เองเลยหนิคะ” ซากุระกล่าวอย่างเป็นห่วงในขณะที่กำลังตักข้าวชามที่สองให้กับไทกะที่กินมูมมามตามปกติ
“ช่างเขาเถอะน่าซากุระ เรื่องเงินทองน่ะไม่ใช่ปัญหาของบ้านเอมิยะหรอก จะว่าเป็นโชคดีของชิโร่ล่ะมั้งที่บังเอิญได้มาอยู่กับคุณคิริสึงุเข้าเลยเหมือนหนูตกถังข้าวสารมีเงินใช้ไปตลอดชาติ ส่วนไอ้เรื่องที่ไปทำงานนั่นน่ะเพราะอยากจะช่วยเจ้าของร้านเขาต่างหากล่ะ” ไทกะที่ได้จังหวะปากกำลังว่างพูดออกมา ทำให้ชิโร่เริ่มกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหลังจากได้ยินเสียงของไทกะ
“จริงหรอคะรุ่นพี่” ซากุระถามด้วยสีหน้าที่ปลื้มปิติพลางส่งชามข้าวไปอุดปากไทกะต่อ
“ขอบใจมากนะที่เป็นห่วงน่ะซากุระ ไม่เหมือนกับใครบางคนที่วันๆเอาแต่กินจนไม่ลืมหูลืมตา” ชิโร่เหน็บแนมใส่ไทกะที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรทั้งสิ้น
“นี่ไทกะ ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามกินมูมมามน่ะ มันเสียมารยาทนะรู้ไหม” คนอายุน้อยสุดว่ากล่าวผู้อาวุโสที่ไม่รู้จักโตอย่างสมเหตุสมผลแต่คนถูกว่าก็ยังคงไม่สนพระอินทร์พระพรหม์ใดๆ
“ไอ้ของอย่างนั้นน่ะฉันไม่เคยมีมาแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะน่า.. ขอข้าวเพิ่มอีกจ้า.. ซากุระจัง” ไทกะเอ่ยหลังจากกินจนหมดถ้วยที่สอง ส่วนอิลริยาที่ไม่พอใจก็เริ่มใช้ยุทธการหนามยอกต้องเอาหนามโบ่ง คนอย่างไทกะถ้าไม่โดนกับตัวเองซะบ้างย่อมไม่มีวันรู้สึก เด็กหญิงจึงเริ่มกินแบบไม่อายชาติตระกูลวงศ์หงส์ศาคณาญาติที่เป็ผู้ดีมาก่อน.....ขอข้าวเพิ่งอีกค่ะ..
ริน...
....กลางดึกของคืนวันนั้น
ชิโร่นั่งอยู่ในห้องตามลำพังใต้แสงจันที่ส่องผ่านหน้าต่างที่เปิดกล้างรับลมเข้ามาทำให้เงาของเขาทอดผ่อนออกไปนอกประตูห้อง
“ยังไม่หลับอีกหรอคะ รุ่นพี่” ซากุระเอ่ยทักจากหลังประตูที่เห็นเพียงแต่เงาของเธอพาดผ่านเข้ามา ชิโร่จึงรีบลุกเดินออกไปเปิดประตูทันที
“แล้วเธอล่ะซากุระทำไมดึกดื่นป่านนี้ถึงยังไม่ไปนอนอีกล่ะ อีกอย่างเด็กผู้หญิงมาหาเด็กผู้ชายในเวลาแบบนี้มันเหมาะไม่ควรนะ” ชิโร่พูดแกล้งเป็นเชิงหยอกทำให้หญิงสาวหน้าแดงกล่ำ
“รุ่นพี่นี่ล่ะก็ ฉันเป็นห่วงน่ะค่ะ กลัวว่ารุ่นพี่จะหลับไปทีละหลายๆวันอีก ยิ่งวันนี้รุ่นพี่ดูเหม่อลอย ผิดปกติ ฉันเลยอดเป็นห่วงไม่ได้น่ะค่ะ” เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยอย่างสุภาพเรียบร้อย
“อ่อ เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันสัญญาว่าจะไม่หลับไปนานๆ ให้ทุกคนต้องเป็นห่วงอีก” เขามองดูรุ่นน้องในชุดนอนสีฟ้าอย่างเอ็นดู
“ค่ะรุ่นพี่.... อ่อ ฉันเกือบลืมไปแหนะค่ะ” ซากุระยกแก้วน้ำที่เธอถือมาด้วยในมือให้กับชิโร่ที่รับมันไว้อย่างงงๆ
“รุ่นพี่โทซากะฝากมาให้ค่ะ บอกว่ามันเป็นสมุนไพรช่วยบำรุงร่างกายน่ะค่ะ งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิค่ะรุ่นพี่”
“อะ..อืม ขอบใจมากนะซากุระ ราตรีสวัสดิ” เขากล่าวอย่างนุ่มนวลทำให้หญิงสาวอมยิ้มแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เขาจะเริ่มมาสนใจกับของเหลวสีเขียวจากแม่มดโทซากะที่อยู่ในมือ
“จะถึงตายไหมเนี่ย” ชิโรมองดูมันอย่างประหม่าก่อนจะกลั้นใจดื่มเข้าไปจนหมดแต่แทนที่มันจะขมเหมือนอย่างที่เขาคิดมันกลับหวานเมือนน้ำหวานธรรมดาๆ เขาแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะเดินกลับเขาไปนั่งจ้องมองดวงจันทร์ต่อในห้องโดยวางแก้วทิ้งไว้บนโต๊ะ แต่ในชั่วไม่กี่อึดใจจู่ๆทุกอย่างก็เริ่มพล่ามัวมืดสลัวไปหมดเหมือนสติของเขากำลังจะหลุดลอยกลับไปหาเธอคนนั้นอีกครั้งซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดในตอนนี้
โทซากะ... เขาพูดคาดโทษไว้ก่อนจะหลับไปอย่างไม่เต็มใจที่สุด...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
ฟ่าวว.ว.~.~ ‘นี่เรา..กลับมาที่นี่อีกแล้วหรอ’ ชิโร่หันมองไปรอบๆตัวอย่างช้าๆ ทุกๆครั้งที่เขาเข้ามาที่นี่ถึงจะเป็นเวลากว่าสองเดือนแต่มันเหมือนผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นในความฝันของเขา หากรุ่งเช้าถึงหัวค่ำซึ่งเป็นเวลาเพียงครึ่งวันในความฝันแห่งนี้เท่ากับสามวันในความเป็นจริงแล้วล่ะก็
‘เวลาหนึ่งชั่วโมงในความฝัน ก็เท่ากับ หกชั่วโมงในความจริงน่ะสิ’ เขาหันกลับไปมองทางหญิงสาวซึ่งนั่งหันหลังให้กับเขาโดยในมือยังคงถือตุ๊กตาตัวโปรดเอาไว้ เส้นผมสีทองถูกรวบมัดไว้เป็นมวยอย่างเรียบร้อยโดยมีริบบิ้นสีน้ำเงินเส้นเล็กผูกเป็นโบว์ไว้ด้านหลังบไปมองทางหญิงสาวซึ่งนั่งหันหลังให้กับเขาโดยในมือยังคงถือตุ๊กตาตัวโปรดดือนแต่มันเหมือนผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นในความ
“ทำไมคุณถึงยังกลับมาที่นี่อีกล่ะค่ะ ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าข้าน่ะ...” เธอหันหลังกลับมาพูดในขณะที่กำลังนั่งพับเพียบปล่อยให้ชุดกระโรงสีน้ำเงินสยายไปกับพื้นหญ้า
“แล้วเธอล่ะ เซเบอร์ ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่” วันทั้งวันหลังจากที่เขากลับสู่โลกแห่งความจริงอีกครั้ง เขามัวแต่คิดถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด ว่าทำไมล่ะ ทำไมเซเบอร์ถึงได้พูดอย่างนั้นออกมา
“ชิโร่น่ะ ควรจะอยู่ในโลกแห่งความจริงแล้วเลิกคิดถึงข้า ข้าน่ะดูออกนะค่ะ ว่าทั้งรินแล้วก็ซากุระต่างก็มีใจให้กับชิโร่ เพราะฉะนั้นเลิกคิดถึงข้าซะเถอะค่ะ” เธอตีสีหน้าเคร่งขรึมใส่เขาทั้งที่ยังไม่ได้ตอบคำถาม
“เธอยังไม่ตอบคำถามของฉันเลยนะ เซเบอร์” เซเบอร์ที่โดนคำถามเดิมยิงซ้ำอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบจนชิโร่เริ่มที่จะเข้าใจ
“ขะ ..ขะ ข้าน่ะ”
“ที่นี่น่ะ ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ต้องการอีกฝ่าย ก็จะไม่สามารถมาเจอกันได้สินะ....เธอไม่อยากให้ฉันมาติดอยู่กับเธอที่นี่ แต่แทนที่เธอจะเลิกคิดถึงฉัน เธอกลับบังคับให้ฉันเลิกคิดถึงเธอ เพราะอะไรกันน่ะ เซเบอร์” หญิงสาวหน้างอง้ำทันทีเหมือนเด็กที่ถูกจับได้ว่าแอบกินขนม
“ทำไม.. คุณถึงได้เข้าใจข้ามากกว่าตัวข้าเองซะอีก ถูกอย่างที่คุณพูดนั่นแหละค่ะชิโร่” เธอกำหมดแน่นพลางก้มหน้าแล้วเอ่ยด้วยของคนที่กำลังสับสนเมื่ออารมณ์หลายอย่างประดังเข้ามาพร้อมกัน
“เพราะข้าทำมันไม่ได้ ข้าเลยต้องทำให้ชิโร่ทำมันแทน ข้าน่ะมันคนเห็นแก่ตัว อยากจะมีชิโร่อยู่ข้างๆทั้งที่มันเป็นไปไม่ได้” ร่างของเธอสั่นเทาไปหมดเหมือนลูกนกที่เพิ่งขึ้นมาจากน้ำ
“ฉันอยู่นี่แล้วไง เซเบอร์ ทำไมมันจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ ” เขาคุกเข่าลงแล้วกอดร่างบางที่กำลังสั่นสะท้านเอาไว้ในอ้อมแขนพร้อมเอ่ยอย่างนิ่มนวลจนเธอหยุดสั่น
“มันไม่ถูกค่ะ ชิโร่ ข้าน่ะ...” เธอหันขึ้นมามองเขาด้วยดวงตาสีเขียวมรกตที่สั่นเคลือไปด้วยน้ำตาที่ยังคาอยู่ในเบ้า
“นี่มันชีวิตของฉัน ฉันอยากทำอะไรที่ไหนมันก็เรื่องของฉัน เธอไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกเซเบอร์ กับทางที่ฉันเลือกเองฉันไม่เคยคิดที่จะเสียใจกับมันภายหลัง หรอกน่า แล้วอีกอย่าง กับโทซากะน่ะฉันไม่เคยรู้สึกอะไรมากไปกว่าเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายกันเท่านั้น ส่วนซากุระก็คือน้องสาวที่น่ารักคนหนึ่ง ไม่เหมือนเธอ เซเบอร์” คนถูกกอดก้มหน้าหลบลงไปหาเสื้อของเขาอย่างน่ารัก ก่อนที่เขาจะค่อยๆปล่อยเธอออก
“เห็นโทซากะบอกว่า ที่นี่น่ะ เป็นในอีกมิติหนึ่ง ถ้าไม่นอนพักซะบ้างำลังเวทย์ก็จะไม่สามารถฟื้นฟูได้ เอาล่ะ งั้นฉันของีบซักหน่อย” ชิโร่หยิบตุ๊กตาสิงโตมาหนุนหัวแล้วทิ้งกายนอนลงกับพื้นหญ้าที่อ่อนนุ่มแสงแดดที่อบอุ่นกับสายลมที่พัดเย็นชุ่มฉ่ำ แต่ก็ดันโดนเจ้าของตุ๊กตาดึงหมอนหนุนออกไปจากหัว
“ไม่ได้นะคะ ชิโร่ ทำอย่างนี้เดี๋ยวไลอ้อนก็แบนหมดพอดี...” เธอต่อว่าเขาเล็กน้อยแล้วแย่งเอาตุ๊กตากลับสู่อ้อมกอดอย่างหวงแหนก่อนจะประคองเขาให้มานอนบนตักเธอจนทำให้เขาหน้าแดงกล่ำ
“เธอจะทำอะไรน่ะ เซเบอร์” เขาพยายามลุกขึ้นแต่ก็ถูกแรงมือของอัศวินกดลงให้หัวสัมผัสกับตักนุ่มๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สายตาของเขามองขึ้นไปประจันกับใบหน้าของเธอ
“รังเกียจข้าหรอค่ะ” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงความไม่พอใจ
“ปะ..ปะ..ปล่าวจ๊ะ เพียงแต่ว่า...” คิ้วของเซเบอร์ยังคงผูกเป็นปมอย่างแน่นหนาจนชิโร่ไม่รู้จะแก้ตัวไปทางไหน ได้แต่เต็มใจนอนหลับไปอย่างเป็นสุข ซักพักชิโร่ก็เริ่มรู้สึกถึงน้ำอุ่นๆที่หยดลงมากระทบใบหน้าของเขา
“ขอโทษค่ะชิโร่ ข้าไม่ตั้งใจจะทำให้คุณตื่น จู่ๆมันก็ไหลออกมาเอง ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” เธอยิ้มเล็กน้อยในขณะที่กำลังเอามือปาดน้ำตาบนแก้มของตัวเองออก
“ร้องไห้ออกมาแบบนี้ไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ” เขายิ้มตอบ
“ข้าเองก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งหนิค่ะ” เธอเอ่ยพลางใช้มือเล็กๆปาดน้ำตาที่หลดลงมาบนหน้าของเขาออกอย่างแผ่วเบา จนเขาเข้าสู่นิทราอีกคราพร้อมกับเสียงพรรณาที่ผ่านเข้ามาอย่างแผ่วเบา
มีคนเคยบอกข้าว่า ถ้าตั้งใจภาวนาอย่างแรงกล้าแล้วล่ะก็ จะสามารถฝันถึงเรื่องเดิมต่อไปได้ค่ะ........แล้วเขาคนนั้นก็ไม่เคยโกหกข้าเลยแม้แต่ครั้งเดียว.....ข้าเองก็แค่อยากจะฝันต่อไปเท่านั้น...
...........
ชิโร่ค่ะ....ได้เวลาตื่นแล้วค่ะ...... เขาลืมตาขึ้นพบกับแสงสว่างจ้าและใบหน้าของหญิงสาวที่ยิ้มให้กับเขาอย่างอ่อนโยน ชิโร่จึงค่อยๆลุกขึ้นมาจากหมอนใบสวยช้าๆ
“งั้นฉันไปก่อนนะ เซเบอร์” เซเบอร์ลุกจากพื้นแล้วยืนขึ้นตามมาส่งเขา ซึ่งชิโร่ก็มองดูการะกระทำนั้นอย่างอ่อนโยนก่อนที่เขาจะอดใจไม่ไหวจุมพิตลงไปบนหน้าผากมลจนแดงกล่ำ
“ชิโร่!!” เธอเอ็ดแต่สายไปเสียแล้วตอนนี้จิตวิญญาณของเขาล่องลอยกลับสู่ความเป็นจริงที่สว่างไสวอีกครั้ง ก่อนจะตื่นมาด้วยรอยยิ้มจากความฝันเหมือนคนบ้ายังไงอย่างงั้น...
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
“โอ่ โอ้ย... เช้าเร็วจังเลย” เขายันตัวขึ้นจากที่นอนพลางบิดขี้เกียจไปมาพร้อมกับกระพริยตาถี่ๆเพื่อให้ดวงตาชินกับแสงสว่างไสวของเช้าวันใหม่ ก่อนจะเริ่มรู้สึกถึงอะไรอุ่นๆบางอย่างที่อยู่ข้างตัว
“เอ๋..อะไรล่ะเนี่ย” ชิโร่เอ่ยพลางมองก้อนอะไรซักอย่างที่ถูกคลุมไปด้วยผ้าห่มบนที่นอนของเขาจนมิดชิด ด้วยความสงสัย ชายหนุ่มกระชากผ้าห่มออกอย่างไม่ปราณีพร้อมกับที่มีสิ่งมีชีวิตกลิ้งออกมาตามแรงดึง
“อุ.อุ..อู๊ย...แสบตาจังเลย..” เด็กหญิงผมสีขาวอายุราวสิบขวบในชุดนอนบ่นอุบอิบ ในขณะที่เจ้าของห้องผงะออกไปอย่างตกใจ
“ทะ..ทะ...ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้..แล้วเธอ..” ชิโร่กล่าวอย่างรุกรี้รุกรนทำให้เด็กสาวยิ้มอย่างมีเล่ห์นัย
“อะไรกัน ชิโร่!! พูดอย่างงี้ได้ยังไงก็เมื่อคืนชิโร่น่ะ
” อิลริยาโวยวายขึ้นมาอย่างหุนหันพลันแล่นก่อนจะทำเป็นเอียงอายหน้าบางขึ้นมาทันทีเวลาพูดถึงเรื่องที่ละเอาไว้ ทำให้ชิโร่แทบสำลักน้ำลาย ในขณะที่อิลริยาตีสองหน้าลอบหัวเราะอยู่ด้านหลัง
“ชิโร่น่ะ นอนอยู่เฉยๆ แล้วยัยนี่น่ะ ก็มุดเข้าไปนอนเองต่างหาก” เสียงพูดดังออกมาจากนอกประตูก่อนร่างสูงเรียวจะเลื่อนประตูเปิดออก
“อรุณสวัสดิชิโร่...แล้วก็อิลริยา” อิลริยาจ้องมองรินอย่างโกรธแค้นซึ่งคนถูกจ้องก็เพียงแต่มองกลับอย่างไม่สนใจอะไร
“อรุณสวัสดิ โทซากะ....ว่าแต่อิลริยา แอบเข้าห้องคนอื่นโดยพลการแบบนี้ไม่ดีนะ” ชิโร่ดอ่ยด้วยน้ำเสียงปนตำหนิก่อนจะมองค้อนไปยังเด็กหญิงตัวเล็กเจ้าปัญหา
“ก็ไทกะน่ะสิ นอนกรนเสียงดังแล้วยังนอนดิ้นอย่างกับอะไรดี แถมยังนอนละเมอลุกขึ้นมาซ้อมฉันอีก เล่นเอาระบมไปหมดทั้งตัวเลย” ชิโร่กับรินได้ฟังแล้วถึงกับเหงื่อตกเริ่มจินตนาการภาพตามถึงสภาพค่ำคืนหฤโหดที่คนเล่าต้องเผชิญ
“แหะๆ..ว่าแต่ แล้วทำไมพี่ไทกะถึงไปนอนห้องเดียวกับอิลริยาได้ล่ะ” ชิโร่หัวเราะก่อนถามอย่างยิ้มๆ แต่คนถูกถามกลับสะบัดหน้าหนี
“ก็ฉันเอาเบอร์เซอร์กเกอร์ ฟาดจนสลบไปน่ะสิ” อิลริยากล่าวอย่างงอนๆ เหมือนมันไม่ใช่ความผิดเธอ ซึ่งคนฟังทั้งสองได้ยินแล้วยิ่งหนักใจ
“ยิ่งพูด ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ งั้นฉันไปหาอะไรกินก่อนดีกว่า” รินกำลังจะเดินออกไปทางประตูแต่กลับถูกอิลริยาแซงหน้าออกไปก่อนพร้อมเหล่ตามองค้อนอย่างเคื่องแค้นแล้วเดินกระทืบส้นออกไปเสียงดัง
“เดี๋ยวก่อนสิโทซากะ เรื่องยาเมื่อคืนน่ะ” เสียงของชายหนุ่มรั้งหญิงสาวที่กำลังจะก้าวออกไปให้หันกลับมามองที่ดูเอาความของเขาก่อนมันจะคลายลง เมื่อเขาเอ่ยประโยคถัดมา
“ขอบใจมากนะ...ว่าแต่ทำไมเธอถึงให้ฉันกินยานอนหลับล่ะ” รินยิ้มอย่างผู้มีภูมิเหนือกว่าก่อนกล่าว
“คนอย่างนายกับเซเบรอ์น่ะ สำหรับฉันแค่มองแปปเดียวก็ทุลุปรุโปรงหมดแล้ว นายบอกว่าฝันเห็นเซเบอร์ แต่ว่าเมื่อมันไม่ใช่ความฝันเซเบอร์ที่นายเห็นก็ต้องเป็นตัวจริงอย่างแน่นอน และเซเบอร์ตัวจริงก็คงไม่ชอบใจที่นายยังคงไม่ลืมหล่อนแล้วมีชีวิตใหม่เสียที เซเบอร์น่ะคงพอจะเดาออกว่ามันเป็นการเชื่อมต่ออะไรบางอย่าง ซึ่งใช้หลักการเหมือนโทรศัพท์ที่ถ้าโทรไปแล้วไม่มีคนรับก็จะไม่สามารถพูดคุยกันได้ เธอเลยหาวิธีกำจัดนายให้ขาดการติดต่อไปซะเพราะว่าไม่อยากให้นายต้องมาจมปรักอยู่กับตัวเอง และวิธีเดียวที่น่าจะใช้กับคนอย่างนายได้ผล ก็คงจะเป็นการบอกเลิก...ไงชิโร่ ที่ฉันพูดมาถูกรึปล่าว” ชิโร่อึ้งไปซักพัก ก่อนจะได้สติแล้วพยักหน้ารับช้าๆ
“งั้นถ้าไม่มีอะไรสงสัยแล้ว ฉันไปล่ะ เดี๋ยวซากุระจะรอนาน” รินทำท่าจะก้าวออกจากประตูแต่เสียงชิโร่ก็รั้งเอาไว้อีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อนโทซากะ”
“อะไรอีกเล่า อีตาบ้าหนิ!” ชิโร่ชำเลืองไปดูนาฬิกาปลุกครู่หนึ่งก่อนถาม
“ตื่นเช้าจังเลยนะ เธอน่ะ”
“ช่างสังเกตดีหนิ จะว่าตื่นก็ไม่เชิงหรอกนะ จริงๆแล้วฉันไม่ได้หลับเลยต่างหาก แต่ในที่สุดก็ได้เบาะแสชิ้นสำคัญมาได้ ดีนะที่นายถาม เพราะตอนนี้ฉันรู้ตำแหน่งของมันแล้ว คืนนี้เราจะบุกกัน แต่ครั้งนี้ต้องลำบากหน่อยล่ะ พลอยที่ฉันพอจะหามาได้มีแค่เม็ดนี้เม็ดเดียวเท่านั้น” รินหยิบอัญมณีสีแดงออกมาโชว์ให้เขาดู
“งานนี้คงต้องพึ่งฝีมือนายแล้วล่ะ ชิโร่” เขาพยักหน้าอย่างเต็มภาคภูมิ
“เชื่อมือฉันเถอะ ตอนนี้ฉันน่าจะพอมีพลังเวทย์มากขึ้นบ้างแล้วล่ะ”
“งั้นก็ดี เพราะถ้าสู้ไม่ไหวขึ้นมาจริงๆล่ะก็ คืนนี้อาจจะเป็นคืนสุดท้ายที่เราจะยังมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้...” รินวางมาดแล้วเอ่ยเสียงเรียบก่อนจะเดินออกไป....
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
วิ๊บ!!...รายงานข่าวเช้าวันนี้.......... จอแก้วสีดำปรากฏภาพสีตามมาด้วยเสียงของคนในจอ ทันที่ที่นิ้วเรียวของเด็กสาวผมสีม่วงจิ้มลงไปบนปุ่ม ปุ่มหนึ่งบนแท่งสีดำขนาดเท่าฝ่ามือ ในขณะที่คนอื่นๆในห้องกำลังจดจ่ออยู่กับอาหารเช้า
“นี่ๆ พี่สาว ฉันขอข้าวเพิ่มค่ะ” ซากุระรับชามข้าวมาจากเด็กหญิงตัวเล็กตาสีแดงผมสีขาว ก่อนจะค่อยๆบรรจงคตข้าวใส่ชามอย่างช้าๆ จนดูสวยงามแล้วยื้นกลับให้เจ้าคนตัวเล็ก
“นี่ทุกคน ดูนี่สิค่ะ ” ซากุระจ้องตรงไปทางโทรทัศน์ทำให้คนอื่นๆหันไปสนใจมันตาม บนจอแก้วปรากฏภาพร่างของคนสามคนที่ใบหน้าถูกเซ็นเซอร์ไว้ด้วยเครื่องหมายปริศนา
....นี่คือใบหน้าที่ถูกปกปิดเพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินคดี ของเหล่านักสืบสวนคดีปริศนาเรื่องลึกลับ ซึ่งจะเริ่มเข้ามาปฏิบัติการภายในเมืองของเรานับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลังจากที่เกิดคดีฆาตกรรมที่ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยได้เลยแม้แต่รายเดียว อีกทั้งยังมีหลักฐานภาพถ่ายที่ยืนยันได้ว่าเกิดปรากฏการณ์ประหลาดขึ้นภายในเมืองเขาเราทุกๆสิบปี......
ภาพของคนทั้งสามค่อยๆหายปพร้อมๆกับเสียงผู้ประกาศข่าว เปลี่ยนมาเป็นภาพที่ทำให้ชิโร่จ้องตาค้าง มันเป็นภาพของสายลมวนขนาดใหญ่ที่เกิดอยู่บริเวณทางขึ้นเขาวัดริวโดจิ ‘นั่นมัน ตอนที่เซเบอร์..’ ภาพของวันนั้นที่เซเบอร์ขัดคำสั่งของเขาออกไปต่อสู้ตามลำพังปรากฏชัดอยู่ในหัว วันที่เธอสลบลงมาจากบันไดอย่างกะทันหันแต่เขาก็รับไว้ได้ทัน ถึงวันนั้นเขาจะโกรธเธอแค่ไหนแต่พอได้เห็นใบหน้าของเธอคนนั้นแล้วความโกรธที่เคยมีก็ไม่พลันหายไป
.....ภาพของกระแสลมปริศนาที่ก่อตัวขึ้นบริเวณวัดริวโดจิ สันนิฐานว่าน่าจะเกิดจากการแปรปรวนของอากาศที่ผิดปรกติ หรือใต้ฝุ่นขนาดย่อม หรืออาจจะเป็นสัญญาณจากนอกอวกาศ ก็ไม่อาจสรุปได้แน่ชัด เพราะจากระยะที่ถ่ายภาพได้นั้นห่างจากจุดเกิดเหตุมาก จึงไม่สามารถเจาะลึกหรือตีความอะไรได้มากนัก.....ภาพต่อไปค่ะ
“กะแล้วเชียวว่าเมืองเนี้ยต้องมีอะไรแปลกๆ ที่แท้ก็เป็นเพราะพวกยูเอฟโอนี่เอง เห็นไหมล่ะ ชิโร่ฉันเคยบอกนายไปแล้วรอบนึงไง นายจำได้รึปล่าว” ชิโร่ยิ้มแห้งๆก่อนจะหันมองไปทางคนอื่นๆที่พอจะรู้เรื่องนี้ซึ่งก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน
ภาพต่อมาเป็นภาพของลำแสงสีขาวที่ปรากฏขึ้นอยู่กลางป่า ก่อนจะต่อมาด้วยภาพของปราสาทร้างที่พังยับเยินไม่มีชิ้นดี ชิโร่นึกย้อนไปถึงภาพภาพที่เขากำลังอุ้มร่างของเซเบอร์วิ่งเข้าไปในป่าก่อนที่จะมีลำแสงปรากฏตามหลังมาจากทางปราสาทตามมาด้วยเสียงกัมปนาทดังสนั่นพร้อมกับการหายไปของตราอาญาสิทธิ์ของริน
.....ปราสาทแห่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลผู้ดีเก่าแก่ซึ่งสร้างไว้เพื่อเป็นที่สำหรับพักผ่อนตากอากาศ โดยทางตระกูลดังกล่าวไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายหรือเอาความแต่อย่างใดพร้อมปฏิเสธจะออกความเห็น....มาต่อกันที่ภาพนี้นะคะ...
ภาพของลำแสงสีทองจากยอดตึกพุ่งเข้าประทะกับลำแสงสีฟ้าจากบนฟากฟ้าซึ่งถ้าไม่ทันสังเกตุจะดูเหมือนว่าเป็นลำแสงที่พุ่งจากฟ้าลงมาหายอดตึก ภาพของเซเบอร์ที่ล้มลงหมดสติ การจากไปของไรเดอร์ และความตายของชินจิ ชิโร่จ้องเขม็งไปยังอิลริยาอย่างเอาความซึ่งดวงตาสีแดงคู่นั้นก็จ้องตอบอย่างห้าวหาญ
.....นี่เป็นภาพที่เป็นปริศนามากที่สุดอีกภาพหนึ่ง และเป็นที่ถกเทียงกันมาโดยตลอดว่าอาจจะเป็นกระแสไฟฟ้าที่ผ่าลงมาบนยอดตึก หรืออาจจะเป็นแสงสปอร์ตไลน์ที่ถูกเปิดทิ้งไว้ก็เป็นได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ช่วงบ่ายของวันนั้นมีคนพบเห็นเด็กผู้หญิงชาวต่างชาติกับเด็กชายคนหนึ่งทำตัวแปลกๆเหมือนพยายามจะหาอะไรบางอย่าง ก่อนจะเกิดเหตุในเวลากลางคืนของวันนั้น....และนี่คือภาพสุดท้าย
ภาพลำแสงสีทองสว่างเจิดจ้าที่พุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า ก่อนจะตัดมาที่ภาพพื้นหินที่เป็นรอยแตกยาวอย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้หากไม่ใช่เพราะฝีมือของเครื่องจักร ‘วันนั้น เซเบอร์กับเรา...’ ภาพการต่อสู่กับราชันแห่งวีรบุรุษ ที่ซึ่งปลอกดาบคือความหวังสุดท้าย
....จากรายงานที่ปรากฏบริเวณที่เกิดเหตุไม่ได้มีการใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่และร่องรายที่ปรากฏบนพื้นก็ไม่น่าจะมาจากฝีมือของมนุษย์ แต่อย่างไรก็ดีภายถ่ายที่ได้มาเหล่านี้ล้วนตัดต่อมาจากภาพที่ถ่ายติดโดยบังเอิญจึงไม่มีความละเอียดมากพอที่จะสันนิฐานให้แน่ชัดได้...ขอจบรายงานข่าวเพียงเท่านี้ ต่อไปเป็นรายงานข่าวสภาพอากาศค่ะ....สภาพอากาศวันนี้....
“เฮ้อ...หมดซะแล้วหรอเนี่ย ว่าแต่ทำไมพวกมนุษย์ต่างดาวถึงได้สนใจเมืองของเรานักนะ” ไทกะถอนหายยาว
“ก็อาจจะเป็นเพราะว่า พวกเขาจะมาเอาตัวพี่ไทกะกลับดาวล่ะมั้ง?”
“หนิ!! ชิโร่ ตะกี้พูดว่าอะไรนะ ฟังไม่ค่อยจะเขาหู”ไทกะมองอย่างเอาเรื่อง ส่วนชิโร่ก็ได้แต่โบ่ยปากไปทางอื่นทำไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะทำท่าเดินเอาจานไปเก็บ
“รุ่นพี่ไม่ต้องช่วยหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันกับพี่โทซากะจะจัดการเอง” ซากุระเดินมารับจานจากมือชิโร่ก่อนเดินไปยังอ่างล้าง
“งั้นฉันขอตัวไปทำความสะอาดทางเดินก่อนก็แล้วกัน”
“นี่ชิโร่ เอายัยหนูนี่ไปช่วยด้วยสิ” ไทกะเอ่ยก่อนจะผลักไสอิลริยาให้ออกไปทางประตู ส่วนคนถูกใช้งานก็โวยวายเป็นการใหญ่
“เธอน่ะ หัดช่วยงานกับเขาซะบ้าง”
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ไทกะ งานแบบนี้ฉันทำเองจะสะดวกกว่านะ อิลริยาน่ะยังเด็กอยู่เลย ควรจะไปหาอะไรเล่นมากกว่า เอาไว้โตก่อนค่อยทำก็ไม่เห็นเป็นไรเลยหนิ” ชิโร่ลูบหัวอิลริยาที่อ้อนยังกับลูกแมวสีขาว
“ชิโร่พูดถูก เป็นเด็กก็ควรจะเล่นสิ แล้วทำไมไทกะเป็นผู้ใหญ่แล้วถึงไม่ไปช่วยงานล่ะ” อิลริยาค้อนไปทางไทกะ
“ก็ฉันเป็นแขกนี่นา ไม่มีเจ้าของบ้านที่ไหนเขาใช้ให้แขกทำงานหรอกย่ะ” ฟูจิมูระทำท่าทางเยอะเย้ยอิลริยาจนทำให้คนตัวเล็กกว่าเดือดปุดๆ ส่วนชิโร่ก็ได้แต่ยืนเหงื่อตกอย่างเดียวก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินออกไป
...งั้นฉันก็เป็นแขกเหมือนกันนั่นแหละ!!
...เธอน่ะเป็นผู้อาศัยต่างหาก ต้องช่วยงานเจ้าของบ้านสิถึงจะถูก มามัวเอาแต่เล่นแบบนี้มันเสียมารยาทนะรู้ไหม?...
...หน๋อยแหนะ!! เงียบไปเลยนะไทกะ!!
...อะ อ่าว อยากลองดีหรือไงกันเจ้าหนู.....!%#&$?~.
.ตึกๆ ๆ
“นี่!! ชิโร่ หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ นายไปเจอฉันที่ห้องเก็บของ จะได้มาวางแผนของคืนนี้กัน” รินที่เดินไล่หลังมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กล่าว ๙งเขาก็พยักหน้ารับก่อนที่เธอจะเดินหันหลังกลับไปอีก....
--------------------------------------------------------Fate/Freedom Destiny----------------------------------------
เที่ยง...
“เฮ้อ... เสร็จซักที...” ชิโร่นั่งลงบนพื้นทางเดินข้างๆตุ๊กตาตัวโปรด พลางถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยแล้วปาดเหงื่อบริเวณหน้าผากออก ก่อนจะเอนตัวลงนอนแผ่ไปกับพื้นไม้ที่พึงถูเสร็จไปหมดๆ กลิ่นอ่อนๆของไม้ที่เปียกชื้นผ่านเข้าในโพรงจมูกของเขาช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลายไปอีกแบบ
“ไปหาอะไรกินกันเถอะ ไลอ้อน” เขาหยิบตุ๊กตาข้างตัวขึ้นมาอุ้มอย่างถนุถนอมก่อนจะเดินไปยังประตูห้องอาหารแล้วเลื่อนมันเปิดออก...
คลืดดด!! ทุกคนออกมายืนเรียงกันที่ประตูจนแน่นขนัดทำให้ชิโร่เริ่มรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนที่สาวๆจะกล่าวพร้อมกันเสียงดังว่า...
เซอร์ไพร์ส!!!!! ทุกคนถอยออกจากประตูเผยให้เห็นกล่องของขวัญหลายไปหลากสีสันวางอย่างมีระเบียบอยู่บนโต๊ะทานอาหาร
“อะ เอ๋ นี่พวกเธอเล่นอะไรกันอีกล่ะเนี่ย”
“ฉันบอกแล้วไงค่ะ ว่าน่าจะเป็นตอนกลางคืน”ซากุระท้วงติงขึ้นมา
“เอาเถอะน่า น่าร้อนแบบนี้ต้องตอนกลางวันสิถึงจะได้บรรยากาศ เร็วสิชิโร่ มาแกะของขวัญเร็วเข้า” ไทกะดึงมือเขาเข้าไปนั่งที่โต๊ะก่อนจะยัดเยียดกล่องของขวัญที่ห่อด้วยกระดาษสีเขียวอ่อนให้แก่เขา
“ดะ...ดะ...เดี๋ยวก่อนสิ พี่ไทกะ ของขวัญนี่มันหมายความว่ายังไงกันน่ะ”ชิโร่วางตุ๊กตาลงข้างๆก่อนจะรับกล่องใบนั้นมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่
“ก็เป็นของขวัญให้ชิโร่ ที่ทำตัวน่ารัก ที่ยอมให้พวกเราเข้ามาอยู่ได้ตามสบายเหมือนบ้านของตัวเองยังไงอย่างงั้น ไงล่ะ” อิลริยาเอ่ยเสียงใสพลางส่งยิ้มให้แล้วยื้นกล่องใบเล็กๆสีชมพูมาให้เขา
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่ ที่ช่วยดูแลพวกเรามาตลอด” ซากุระยื้นกล่องใบสีม่วงให้เขาก่อนตามมาด้วยรินที่ห่อกล่องของขวัญด้วยสีแดง
“นี่สำหรับเจ้าของบ้าน ที่ขยันทำงานบ้าน ไม่มีบ่น เบื่อ”ชิโร่แสยะยิ้มรับ
“จริงๆแล้วไม่เห็นต้องทำแบบนี้ก็ได้นี่นา บ้านนี้น่ะ ก็เป็นสมบัติที่คุณพ่อทิ้งไว้ให้ และคุณพ่อก็คงจะดีใจมากแน่ๆที่รู้ว่าห้องต่างๆที่เคยว่างปล่าวกลับมีคนเข้ามาอยู่อาศัยแบบนี้ ทำให้บ้านน่าอยู่ขึ้นเป็นกอง ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจพวกเธอน่ะ” มีเพียงซากุระเท่านั้นที่ยิ้มอย่างปลื้มปิติในคำพูดของเขา ทำให้คนพูดลอบถอนหายใจอย่างอนาถ
“เอาล่ะๆ งั้นมาเปิดกล่องของขวัญกันก่อนดีกว่า...เอาสิ ชิโร่ๆ แกะของพี่ก่อนเลย จะได้รู้ว่าข้างในมันมีอะไร” ชิโร่หลิ่วตามองอย่างหวาดระแวงก่อนจะฉีกกระดาษสีเขียวออกแล้วเปิดของซึ่งอยู่ภายในกล่อง มันคือเสื้อนั่นเอง แต่ทันทีที่เขาหยิบมันขึ้นมาก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรประหลาดๆของเสื้อตัวนี้
“เอ๋! นี่มันชุดของผู้หญิงนี่นา”
“ใช่แล้วจ๊ะ ชิโร่ เมื่อเป็นชุดของผู้หญิงชิโร่ก็คงใส่ไม่ได้ใช่ไหม งั้นถือว่ายกมันให้พี่ก็แล้วกัน ล่าลัลล้าลา อยากได้มานานแล้วชุดกระโปรงสวยๆแบบนี้...ว้าว ขอบใจมากนะชิโร่” ไทกะฉกชุดไปทาบกับตัวเองแล้วเต้นไปมาอย่างมีความสุขจนคนที่เหลือได้แต่มองอย่างปลงๆ
“เชื่อเขาเลย
” ชิโร่บ่นอุบอิบก่อนจะลงมือแกะกล่องใบสีชมพูของเด็กหญิงผมสีขาว ชิโร่ยกของที่อยู่ภายในชิ้นนั้นออกมาดู มีด้ามจับที่ทำจากพลาสติกขนาดกระทัดรัดและน้ำหนักเหมาะมือ ใบมีดบางคมกริบเพียงแค่ตวัดพลาดนิดเดียวก็สามารถเรียกเลือดออกมาได้อย่างง่ายดาย ใช่แล้วมันคือ
“มีโกนหนวด?? งั้นหรอ??” ชิโร่มองมันอย่างหมดอาลัยตายอยากถึงมันจะไม่ใช่ของที่เหมาะจะเอามาทำเป็นของจวัญแต่อยากน้อยก็ยังดีกว่าชิ้นที่แล้ว
“ขอบใจมากนะอิลริยา” เด็กหญิงยิ้มรับอย่างร่าเริงทันทีที่รู้ว่าของขวัญของเธอถูกใจคนรับ ก่อนที่ชิโร่จะเริ่มแกะกล่องสีม่วงของคนที่ดูจะให้ของขวัญที่เข้าท่าที่สุด และทันทีที่เขาเห็นของในกล่องเขาก็เริ่มยิ้มออก มันคือผ้าพันคอที่ถักขึ้นเองนั่นเอง
“ขอโทษด้วยนะคะ รุ่นพี่ ทั้งที่เป็นช่วงหน้าร้อนแท้ๆแต่กลับให้ของอะไรแบบนี้ ” ซากุระรีบก้มหน้าขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่
“ไม่เป็นไรหรอกน่า จะช้าหรือเร็วยังไงก็ได้ใช้อยู่ดี ว่าแต่...แล้วเจ้ากล่องสุดท้ายนี่หล่ะ” ชิโร่หันไปมองทางรินอย่างประหม่าก่อนจะแกะห่อกระดาษสีแดงออกแล้วเปิดดูของที่อยู่ภายใน
“โอ้โห เข้าใจเลือกนี่ โทซากะ” มันคือชุดน้ำชาที่ทำจากกระเบื้องลายคลามสวยงามที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีต
“นายชอบก็ดีแล้ว เพราะอันเก่าฉันทำหล่นแตกหน่ะ” รอยยิ้มของชิโร่ละลายหายไปทันที พร้อมกับแสงแห่งความหวังที่ดับวูบลง
“เอาล่ะ ถ้าเรียบร้อยแล้วก็หาอะไรกินกันเถอะ ไหนๆ ก็ไหนๆแล้ววันนี้ให้คุณเจ้าของบ้านแสดงฝีมือบ้างก็แล้วกัน มัวนั่งเฉยอยู่ทำไมล่ะชิโร่ รีบไปจัดการเร็วเข้าสิ” ชิโร่ถอนหายใจด้วยสีหน้าปลงตก ก่อนจะลุกออกไปแล้วเริ่มปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่ง
“นี่ อิลริยา จะเอามีโกนไปโกนขนตุ๊กตาไม่ได้นะ” เสียงของซากุระทำให้ชิโร่ที่หันหลังอยู่ถึงกับเหงื่อตกนึกสภาพของตุ๊กตาสิงโตที่โดนโกนขนไม่ออก
“รุ่นพี่ค่ะ ให้ฉันช่วยไหมค่ะ” เสียงหวานของหญิงสาวที่พอจะวางใจได้คนเดียวในบ้านเอ่ยหลังจากปรามเด็กซนไม่ให้โกนขนตุ๊กตาสิงโต
“นี่อิลริยา ทำแบบนั้น เดี๋ยวเจ้าเซเบอร์ก็ขนหลุดหมดพอดี” ไทกะเอ่ยหลังจากที่เลิกเพ้อรำพึงรำพันได้ซักพัก ทำให้ซากุระต้องกลับไปง่วงอยู่กับการแย้งของจากมือเด็กดื้อต่อ ‘แล้วนี่ใครไปตั้งชื่อให้มันใหม่ล่ะเนี่ย’ เขาคิดแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจแล้วลงมือทำอาหารต่อไปจนเสร็จ....
ความคิดเห็น