ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Fic } ฟิคบารามอส ภาค ดินแดนน้ำแข็ง

    ลำดับตอนที่ #6 : หนทาง

    • อัปเดตล่าสุด 8 ต.ค. 49


    บทที่ ๕ หนทาง

    คลิ๊ก…….. ตึกๆ..ตึก……..

    เสียงกลอนประตูที่ถูกล๊อคอยู่ถูกสะเดาะออกจากด้านใน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใครบางคนที่แทบไม่เหลือร่องรอยวิชาตีนเบาที่ถูกถ่ายทอดมา ซึ่งเป็นความสามารถที่ใช้หากินของอาชีพหัวขโมยเลยแม้แต่น้อย

    ถึงกระนั้น ด้วยร่างที่บางเบา และน้ำหนักที่ไม่มากนักถึงแม้เจ้าของร่างจะชอบกินแบบไม่ลืมหูลืมตาเลยก็ตามที ก็ทำให้เสียงฝีเท้าของร่างบางนั้นยังคงสามารถเล็ดลอดประสาทหูที่ไวยังกับเรด้าของยอดฝีมือรอบข้าง

    ประกอบกับความเคยชินในลักษณะการเดินที่ภาษาชาวบ้านเขาเรียก –ตีนแมว- ซึ่งหากเจ้าของวิชาเพียรที่จะกลบเสียงอย่างเต็มที่ก็คงไม่มีทางที่ใครจะได้ยิน เพราะวิชาที่เธอได้รับสืบทอดมานั้นก็ไม่ธรรมดาซะด้วย

    แต่ตอนนี้เจ้าของวิชาเองกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความเศร้ากับความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต การตัดสินใจอย่างบ้าบิ่นเพื่อเอาตัวให้รอดโดยไม่ใส่ใจที่จะหาวิธีอื่นที่ง่ายกว่าและผลที่จะตามมา จึงทำให้ความผิดพลาดของเธอครั้งนั้นกลายเป็นตราบาปที่จะติดตัวเธอไปจนวันตาย

    ทำให้เสียงฝีเท้าของคนเศร้าที่อาจจะเล็ดลอดหูของใครต่อใคร แต่ก็ไม่สามารถเล็ดลอดหูของคนห่วงไปได้ ร่างสูงใหญ่ขยับลุกออกจากเตียงทันทีที่ได้ยินเสียงจังหวะฝีเท้าที่แสนคุ้นของบุคคลเพียงคนเดียวที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเขา

    ข้อมือแกร่งข้างซ้ายที่เป็นข้างไม่ถนัดถูกใช้ทำงานที่ไม่คุ้นเคยอย่างการหมุนลูกบิดประตูไปมาอย่างร้อนรน เพราะกลัวว่าจะตามแม่ยอดดวงใจของเขาไม่ทัน และอาจทำให้คลาดกันได้ซึ่งเขาคงไม่ยอมแน่

    ส่วนข้อมือขวาก็กำลังหยิบเสื้อคลุมตัวหนามาคลุมไว้ที่ไหล่กว้าง เพราะกลัวว่าแม่ตัวดีของเขาจะหนาวไปกับคลื่นลมแรงๆของภูมิประเทศติดทะเลเช่นนี้ ก่อนใช้เท้าทั้งสองข้างออกย่างก้าวตามหัวใจของเขาไปอย่างเงียบกริบด้วยกลัวว่าอาจจะทำให้เพื่อนๆตื่น ซึ่งอาจจะเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของเหล่ามิตรสหายไปซะเปล่าๆ

    คาโลสาวเท้าทั้งสองไปที่ระเบียงรับลมอย่างร้อนรน แต่ก็เงียบกริบ และไม่นานนักเมื่อดวงตาสีฟ้าคู่สวยเริ่มชินกับความมืด ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทั้งคู่ คือร่างบางของหญิงสาวเพียงคนเดียวในดวงใจของเขา กำลังเดินดุ่มๆ

    ตรงไปยังริมฝั่งทะเล ซึ่งจะต้องผ่านตึกรามบ้านช่องไปอีกหนึ่งบล๊อคกว่าจะถึง แต่ด้วยความรักและความห่วงหากลับทำให้เจ้าชายแห่งคาโนวาลเริ่มคิดอะไรต่อมิอะไรออกมาในแง่ลบ

    ทะเล….น้ำ…….เฟริน!!’ ไวเท่าห้วงคิดที่ห่วงหา เท้าทั้งสองของคนที่ไม่เคยแคร์สตรีนางใด ไม่เคยสนใจแม้แต่จะชายตามองด้วยซ้ำถึงแม้หญิงสาวที่เสนอตัวเข้ามาเหล่านั้นจะหน้าตาดีเพียงใด แต่ตอนนี้เท้าทั้งคู่กลับต้องมาวิ่งสะกดรอยตามคนที่ใจร้ายที่ขโมยแม้กระทั่งหัวใจของเขาไปครอบครองจนหมดทั้งสี่ห้องดวงใจ ภายในหัวและหัวใจของบุรุษผู้เย็นชาไร้ความรู้สึกผู้นี้กลับมีแต่ชื่อของเธอคนเดียวเท่านั้น

    เฟริน…เฟริน..เฟริน…นายอย่าทำอะไรบ้าๆนะ…ได้โปรด…ถ้าไม่มีนายฉันจะอยู่บนโลกเน่าใบนี้ได้ยัง..เฟริน คาโลภาวนาในใจ ในขณะที่ยังคงสะกดรอยตามหัวขโมยสาวที่เดินอย่างเหม่อลอยมาพักหนึ่งแล้วไปจนถึงริมฝั่งทะเล

    แต่หญิงสาวยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ ใกล้ขึ้น ใกล้ขึ้น จนคาโลเริ่มใจหาย ในขณะที่สมองยังคงบอกให้รอดูก่อนแต่หัวใจนี่สิกลับเรียกร้องที่จะปกป้องเจ้าของของมัน

    และดูเหมือนร่างกายของเขาจะเชื่อหัวใจมากกว่า เมื่อร่างใหญ่รีบผละไปจากที่ซ่อนตัวก่อนจะกระโดดตะครุบร่างบางให้ลงไปนอนอยู่ใต้วงแขนแกร่ง ทั้งสองข้าง เข้าสู่เขตแดนของการปกป้องคนที่เขารัก

    ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้ของผู้ถุกกระทำมีประกายตกใจและตื่นกลัวคละเคล้ากันไปกับคราบน้ำตาที่ไหลอาบแก้มนวลขาวผ่อง ที่ถึงแม้ตัวเธอจะไม่เคยรักสวยรักงามเฉกเช่นสตรีนางอื่นเพราะนิสัยที่เคยใช้ชีวิตเป็นชายชาตรีตั้งแต่เกิดแต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ความงามตามธรรมชาติของเจ้าหญิง เฟลิโอน่า ผู้นี้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย

    “เฟริน นายอย่าทำอะไรบ้าๆนะ” เสียงตวาดจากคนขึ้นคร่อมที่คิดว่าตัวเองเกือบเสียคนรักไปต่อหน้าต่อตา ทำให้คนถูกคร่อมเกิดสะดุ้งตกใจเล็กน้อย

    “เฟริน” ถ้อยคำต่อมาที่แผ่วเบาลงจนสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วง ทำให้เธอเริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ก่อนร่างสูงจะผละออกจากการขึ้นคร่อมพร้อมๆกับช้อนร่างบางขึ้นมานั่งข้างๆ

    “น้ำตาไม่เคยช่วยทำให้อะไรดีขึ้นหรอกนะ” คาโลเอ่ยเสียงนุ่ม ดวงตาสีฟ้าคู่สวยจับจ้องไปยังดวงหน้าหวานของแฟนสาวที่ร้องห่มร้องให้จนตาแดงก่ำ มือใหญ่เลื้อยไปตามไหล่บางผ่านเรือนผมสีน้ำตาลไหม้ ก่อนจะคว้าร่างบางเข้าซบกับแผ่นอกกว้าง

    ส่วนเฟรินที่นั่งกอดเข่าอยู่เมื่อถูกกระทำเช่นนั้นจึงไม่สามารถขัดขืนได้ ในขณะที่ดวงตาทั้งคู่ยังคงจ้องมองออกไปยังท้องทะเลกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา ที่กำลังถูกอาบไปด้วยแสงจันทร์นวลผ่องในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงเช่นนี้

    “แล้วนายจะให้ฉันทำยังไงล่ะ คาโล” เฟรินเอ่ยเสียงหวานที่พยายามกลบความสั่นเครือแต่ก็ไม่สนิทนัก ดวงตาคู่โตที่เคยจ้องมองออกไปยังทะเลโดยมีน้ำตาคลอเบ้า บัดนี้หันกลับสบกับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยทั้งๆที่น้ำตายังคงไหลออกมาเป็นระยะๆ

    “เมื่อนายทำให้ผู้อื่นเป็นทุกข์ นายก็ควรเสียสละตัวเองเพื่อความสุขของผู้อื่น เป็นการตอบแทน” คาโล กระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพลางใช้มือข้างที่ว่างอยู่ช่วยแฟนสาวซับหยาดน้ำตาที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด

    “แต่..” สาวน้อยเอ่ยเสียงแผ่ว แต่ก็ต้องหยุดลงเพียงแค่นั้น เมื่อใบหน้าคมคายน้อมลงมาจิบเอาหยาดน้ำตาใสๆของเธอไปลิ้มรส ก่อนจะกระซิบข้างหูเพื่อไขข้อสงสัยในใจแฟนสาว

    “ขึ้นเป็น ควีน แล้วอุทิศเวลาเพื่อสร้างประโยชน์และความสุขให้ประชาชน” คำอธิบายเสียงทุ้มจากเจ้าชายสุดที่รักทำให้ ว่าที่ควีนในอนาคตหยุดร้ำไห้โดยชะงัก นั่นสินะวิธีนี้ก็คงจะดีที่สุดแล้ว จากสีหน้าที่เคยเศร้าหมองกลับมาเป็นยิ้มแย้มแจ่มใสกลายเป็นหัวขโมยคนเดิมในพริบตา

    “ขอบใจนะคาโล ว่าแต่ฉันจะเป็นควีนประเทศไหนดีล่ะ” เตาหลอมน้ำแข็งที่เพิ่งหายดีกลับมาทำหน้าที่ของมันตามปกติ หลังจากไม่ได้ทำซะนานเพราะมัวแต่ทำน้ำแข็งเชื่อมกับเจ้าคนข้างๆ จนลืมอาชีพเก่า

    “นั่นสินะ ถ้าบารามอสก็คงจะได้เป็นจักรพรรดินี หรือจะเป็นแอเรียสดีเพราะดูท่าจะถูกใจนายไม่เบา ไม่ดีกว่าทริสทอร์คงจะดีที่สุดเพราะเจ้าขอทานนั่นน่ะมันก็ปิ๊งนายซะเต็มเปา ส่วนเจมิไน คงไม่ต้องพูดถึง เพราะน้องหญิงของนายน่ะเค้าจองไว้แล้ว”

    คำร่ายยาวเหยียดที่ถูกลอกเลียนแบบมาจากใครบางคน เล่นเอาต้นตำหรับอึ้งจนต้องผละออกจากแผ่นอกกว้าง แต่นั่นกลับทำให้คนสวนกลับทำหน้าระรื่นอมยิ้มในขณะที่คนถูกสวนต้องแยกเขี้ยวใส่

    “หรือว่าจะเป็นคาโนวาล” คาโลเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนกล่าวคำถาม ทำให้เจ้าตัวดีเลิกแยกเขี้ยวแล้วเปลี่ยนมาเป็นหน้าตาทะเล้น พลางยิ้มเหยียดๆ

    “แล้วจะทำไม หรือว่าคาโนวาล แร้นแค้นถึงขนาดไม่มีปัญญาเลี้ยงควีนของตัวเอง” เฟรินยิ้มเยอะกับคำพูดเหยียดหยามของตัวเองอย่างภาคภูมิใจในผลงานโดยหารู้ไม่ว่า อ้อยได้เข้าปากช้างเรียบร้อยแล้ว

    “ถึงไม่ไหวก็จะเลี้ยง” ก้อนน้ำแข็งยิ้มอย่างผู้มีชัย พลางกระตุกรายยิ้มเจ้าเล่ห์ไว้ที่มุมปาก ทำให้หัวขโมยสาวต้องรีบเอามือตะครุบปากไว้แทบไม่ทัน ก่อนแขนแกร่งจะรวบเอวบางของคนนั่งข้างหน้ามากอดไว้จากด้านหลัง

    “เจ้าเล่ห์นักนะแก” เฟรินหันมาค้อนคนอยู่ข้างหลัง ซึ่งคาโลเองก็ยิ้มรับก่อนจะถอดเสื้อคลุมมาคลุมกันลมด้านหน้าให้หญิงสาว

    “ขอบใจ” เฟรินกล่าวเสียงห้วน พลางใช้มือเรียวบางขยับเสื้อคลุมให้เข้าที่ ก่อนจะเอนกายลงแนบชิดกับแผ่นอกอุ่นของเจ้าชายมาดน้ำแข็ง ในขณะที่ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กำลังจับจ้อง ออกไปยังท้องทะเลสีคราม จากหาดทรายขาวสะอาดที่ทั้งคู่ทิ้งตัวลงนั่งอยู่

    “คาโล ที่แกว่าฉันจะทำอะไรบ้าๆ แกคิดว่าฉันจะทำอะไร” เฟรินเปิดประเด็นขึ้นอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคาโลมีท่าทีร้อนรนมากตอนที่เจอเธอ

    “ฆ่าตัวตาย” คำตอบสั้นๆ ไร้หัวคิดหลุดออกจากปากคนที่ไม่น่าจะพูดทำให้เฟริน ระเบิดหัวเราะจนตัวสั่นน้ำตาเล็ด นี่มันเอาส่วนไหนไปคิดว่าคนรักตัวกลัวตายอย่างเรา จะฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา

    ส่วนคาโลกลับยิ้มระรื่นกับความคิดของตัวเอง ‘ใช่ เขาอาจจะบ้าไปหน่อยที่คิดไปเองว่าเจ้าตัวดีของเขาจะฆ่าตัวตาย แต่ในเมื่อคนมันเศร้าอะไรๆ มันก็อาจเกิดขึ้นได้ แล้วคนอย่างเขาก็ไม่มีทางให้เกิดความเสี่ยงกับคนที่ตนรักโดยไม่ทำอะไรเลยเด็ดขาด

    ขอบใจนะที่เป็นห่วง” เฟรินเอ่ยเสียงหวานน่ารัก ทำให้คาโลหลุดจากห้วงความคิดของตน หลังจากที่เจ้าตัวดีเพิ่งจะหยุดหัวเราะท้องแข็งไปหมาด ๆ

    “ถ้าไม่ห่วงนาย แล้วจะให้ฉันห่วงใคร” น้ำคำหวานที่ไม่เหลือความเย็นชาถูกป้อนให้แก่แฟนสาวจนเจ้าหล่อนหน้าขึ้นสี ก่อนที่คนถูกหยอดจะซบลงบนไหล่กว้างต่างหมอนแล้วมองออกไปยังท้องทะเลอีกครั้งโดยมีเสียงคลื่นที่ซัดกระทบฝั่งเป็นจังหวะช่วยขับกล่อม

    ไม่นานนักเฟลิโอน่าก็เข้าสู่ห้วงนิทราซึ่งเป็นผลของความเหน็ดเหนื่อยจากการร่ำไห้และการเดินทาง ทิ้งภาระให้เป็นของร่างใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังที่รับรู้ถึงการเข้าเฝ้าพระอินทร์ของแฟนสาวจากลักษณะการหายใจที่สม่ำเสมอ

    ดังนั้นคนตัวสูงกว่าจึงช้อนร่างบางไร้สติขึ้นจากหาดทรายขาวก่อนเดินกลับตรงไปยังโบสถ์เพื่อพักผ่อนบ้าง ไม่นานนักร่างสูงใหญ่เดินมาถึงหลังโบสถ์ก่อนจะหมุนกลอนประตูด้วยเวทย์มนตร์เพราะมือทั้งสองข้างไม่ว่างพอที่จะเปิดประตูเนื่องจากไม่อยากให้บุคคลสำคัญในอ้อมแขนทั้งสองต้องตื่นขึ้นมา ทั้งๆที่ยังเหนื่อยอ่อนอยู่

    สักครู่หนึ่งเมื่อสายตาของเจ้าชายคนสำคัญเริ่มปรับสภาพเข้ากับแสงไฟสลัวๆของห้องโถงใหญ่ที่เหลือเพียงไฟตามทางเดินเท่านั้น ภาพที่ผ่านเข้าม่านตาสีฟ้าสวยคือเหล่ามิตรสหายที่ลงมานั่งรอการกลับมาของเขาและคนในอ้อมแขนอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา ซึ่งภาพเหล่านี้ก็เรียกความประหลาดใจไม่น้อยให้แก่ชายหนุ่มผู้เข้ามาใหม่

    “พาเฟรินไปนอนซะ คาโล แล้วก็ทุกๆคนด้วย พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางกัน” เจ้าแม่แห่งป้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาด้วยกลัวว่าเพื่อนสาวจะตื่น แต่ถึงกระนั้นเสียงที่ดังในความเงียบกริบนี้ก็ทำให้ทุกคนได้ยินกันอย่างชัดเจน

    คาโลพยักหน้ารับ รวมไปถึงคนอื่นๆ ทุกคนต่างก็แยกย้ายกันขึ้นห้องของตน เพื่อพักผ่อนเก็บเอาแรงไว้ต้อนรับรุ่งอรุณของเช้าวันต่อไป …..

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×