คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ความสุข
บทที่ ๑ ความสุข?
ขโมย!..ขโมย! ช่วยจับนางที
ณ กิลดิเรก เสียงเอะอะโวยวายเซ็งแซ่ในตลาดยามกลางวันแสกๆ ดังมาจากการแข่งขันกรีฑาระหว่างชายวัยกลางคนและคู่กรณีที่เป็นหัวขโมยสาว
“
แฮก..แฮก..” ‘นี่เราเอาอะไรมองล่ะเนี่ย เห็นหัวขโมยเป็นลูกผู้ดีไปซะได้ซวยจริงๆเลย แถมสร้อยนั่นก็แพงระยิบ ถ้าไม่ได้คืนมาล่ะก็ ต้องถูกมนุษย์เมียเอาตายแน่เลย’พ่อค้าผู้เสียหายคิดถึงสาเหตุที่ทำให้ตนต้องมาวิ่งโชว์ฝีเท้ากลางวันแสกๆนี่ และผลที่จะตามมาหากไม่ได้ของกลางคืนจากคู่กรณี ทำให้เกิดแรงฮึดสู้วิ่งต่อไปอย่างไม่ลดละ ทั้งๆที่สังขารเริ่มจะฟ้องว่าไม่ไหวแล้ว
‘
คิดจะประลองฝีเท้ากับทายาทตระกูล เดอเบอโรว์ ยังเร็วไปอีกร้อยปี’ คนก่อเรื่องหันกลับไปมองยังผู้เสียหายที่อยู่ห่างกันหลายเมตร ในขณะที่เท้าก็ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆ รักษาความเร็วและระยะห่าง ให้คงที่เพื่ออ่อยให้เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหมดแรงวิ่งแล้วเลิกราไปเอง แต่ดูเหมือนสวรรค์จะมีตาซะนี่พลัก!..ตุ๊บ..โอ๊ย!!
“
เดินภาษาอะไรวะ ไม่ดูตาม้าตาเรือ คนกำลังรีบๆ ไม่เห็นรึไง” ร่างบางชนเข้ากับอะไรบางอย่าง จนลงไปกองกับพื้น ปากจิ้มลิ้มยังคงด่าไว้ก่อนตามสโลแกนคนปากเบา มือข้างหนึ่งยังคงกำหลักฐานไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็จัดการปัดฝุ่นและดินออกจากเสื้อผ้าอย่างลวกๆตามนิสัยหัวขโมย“เฟริน” เสียงเข้มๆ จากบุรุษผมสีเงิน ดวงตาสีฟ้าคู่สวยที่แสนคุ้นเคยมีประกายประหลาดใจเล็กน้อย ตรงกันข้ามกับใบหน้าคมคายราวรูปสลักที่ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ มือใหญ่ถูกยื่นมาช่วยฉุดหญิงสาวขึ้นจากพื้น
“บรรลัยล่ะ” คำสบถถูกส่งออกมาจากร่างบางแทนที่คำกล่าวขอบคุณตามมารยาทของสตรีทั่วไป แต่เธอก็รับความช่วยเหลือจากบุรุษตรงหน้าแต่โดยดี แล้วเริ่มออกวิ่งต่ออย่างไม่คิดชีวิต แต่ไม่เป็นผลเมื่อข้อมือบางถูกจับไว้แน่นจากคนตัวสูงกว่า
“ปล่อยสิวะ เดี๋ยวก็ถูกจับหรอก” สตรีรูปร่างอรชรในชุดบุรุษตัวหลวมโครกไม่สมกับตัว ใบหน้ากลมมนรูปไข่ไร้เครื่องสำอางแต่งเติมกลับทำให้ดูงามตามธรรมชาติ ปากบางจิ้มลิ้มรูปกระจับสีแดงระเรื่อน่าลิ้มลอง ดวงตาสีน้ำตาลเปลือกไม้กลมโตที่ขณะนี้แววตาบ่งบอกถึงความหงุดหงิดเพราะบุรุษตรงหน้า เรือนผมสีน้ำตาลสลวยยาวประบ่า ตำหนิเดียวบนใบหน้าของนางคือรอยแผลเป็นที่กลับมาชัดอีกครั้งหลังจากถูกซ้ำรอยเดิม
ไม่ทันขาดคำผู้เสียหายก็ตามมาถึง ชายวัยกลางคนก้มหน้าลงหอบหายใจ ยกมือขึ้นห้ามเป็นเชิงบอกให้รอซักครู่ ชายหนุ่มมาดน้ำแข็งเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเริ่มพิจารณาเหตุการณ์ ก่อนหันไปมองแม่ตัวดีที่แอบแยกออกมาคนเดียว
“ข้าขอบคุณท่านมากที่ช่วยจับนาง โปรดส่งนางให้ข้าเพื่อที่ข้าจะได้ดำเนินคดีกับนาง” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง ใบหน้ายังคงแดงจากการวิ่งตากแดดฝืนสังขาร เหงือเป็นเม็ดๆฝุดขึ้นเต็มใบหน้าแสดงถึงระยะเวลาที่ใช้วิ่งได้เป็นอย่างดี
“สร้อยนี่” คาโลกล่าวเสียงเย็นพลางมองไปยังข้อมือของเฟรินที่กำสร้อยแน่นราวกลับกลัวว่ามันจะอันตราธานหายไป แล้วหันกลับไปจ้องหน้าคนขายเป็นเชิงถาม
“อ๋อ หรือว่า” เจ้าของร้านขายเครื่องประดับเอ่ยด้วยท่าทางแปลกใจก่อนสาธยายคุณสมบัติตามนิสัยพ่อค้า
“สร้อยเส้นนี้ประดับด้วยอัญมณีสิบสองราศี โดยมีไพลินแปรธาตุเป็นประธานอยู่ตรงกลาง สร้างจากเนื้อเงินแท้จาก
เวนอล อัญมณี 12 เม็ดจากซาเรส ลงอาคมโดยแม่มดขึ้นชื่อแห่งวิทช์ให้สามารถบล็อกเวทย์โจมตีได้หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ สวดให้พรโดยนักบวชแห่งแอเรียส และสุดท้ายไพลินเล่นแร่แปรธาตุจากกิลดิเรก .”
“ราคา” คาโลรีบรวบรัดตัดตอนทันทีเมื่อเห็นว่าสรรพคุณจะไม่หมดง่ายๆ
“ ไม่แพงเพียงแค่ ห้าพันเจ็ดร้อยคราวน์เท่านั้น ว่าแต่จะซื้อ-ขายแค่นี้ ไม่เห็นต้องให้เปลืองแรงขนาดนี้เลย ทีแรกข้าล่ะนึกว่าขโมย ถึงว่าหน้าตาดีอย่างนี้จะเป็นขโมยได้ยังไง” พ่อค้าทำหน้าครุ่นคิดแอบแก้ความคิดของตัวเองอยู่ในใจ
“แหะๆ ก็ฉันอายหนิลุง” คนกะล่อนหัวเราะแห้งๆดูไม่จืด รีบตามน้ำทันทีเพื่อให้พ้นข้อหา คาโลเลิกคิ้วแล้วหันไปมอง
เฟรินอย่างสงสัย
‘พูดจริงหรือพูดเล่นล่ะเนี่ย’ เขาได้แต่สงสัยในใจ แล้วจัดแจงจ่ายเงินแก้ปัญหาให้เจ้าตัวยุ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้
แสงแดดยามบ่ายที่ร้อนระอุทำให้ผู้คนในเมืองต่างหาที่หลบร้อนกัน ไม่เว้นแม้แต่ร่างบางของหัวขโมยหรือร่างสูงของก้อนน้ำแข็ง
“ดื้อ” คาโลปรามเสียงอ่อน เพราะเริ่มปลงกับนิสัยของเจ้าตัวยุ่งที่ไม่ว่าจะดุจะด่า เท่าไหร่ก็ไม่กระเตื้องขึ้นซักนิด
ขณะนี้ทั้งคู่เข้ามาหลบแดดที่ม้านั่งยาวใต้ต้นไม้ใหญ่ในสวนสาธารณะที่อยู่ติดกับทะเล ส่วนทัศนียภาพที่สามารถสัมผัสได้จากม้านั่งยาวที่หันหน้าออกทะเลคือ
เรือเดินสมุทรขนาดน้อยใหญ่แล่นอย่างเอื่อยๆบนผิวน้ำทะเลสีฟ้าครามที่บัดนี้เป็นประกายระยิบระยับจากแสงแดดที่ส่องกระทบ คลื่นลมเย็นสบายจากท้องทะเลกว้างพัดมาเป็นระยะๆโดยมีกลิ่นของเกลือจากน้ำทะเลอ่อนๆที่ชวนให้ผ่อนคลายยิ่งนัก เสียงนกนางนวลร้องเป็นจังหวะขับกล่อมดังมาจากท่าเรือที่อยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก
“ขอดูศอกซ้ายหน่อย” เฟรินยื่นแขนส่งให้คาโลตามคำขอเพราะจำได้คร่าวๆ ว่าตอนล้มมันเป็นแผล ส่วนมือขวาก็ส่งขนมที่คนรู้ใจซื้อให้เข้าปากมอมๆอย่างตะกละ ตาก็จ้องมองดูสร้อยที่เพิ่งได้มาสดๆร้อน แล้วคำพูดของตัวเองก็ผุดขึ้นมาในหัว
“ใครจะไปรู้ใจของธิดาแห่งความมืด”
“ .ก็คน .”
คิดแล้วก็หน้าแดงขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ทำให้คาโลสังเกตเห็นความผิดปกตินั้นหลังจากก้มหน้าก้มตารักษาแผล
“เฟริน นายเป็นอะไรรึเปล่า” เสียงเย็นๆที่ปิดยังไงก็ไม่มิดว่าเป็นห่วงถูกส่งมาจากเจ้าชายน้ำแข็งทำให้สาวเจ้าตื่นจากภวังค์
“เปล๊า ฉันแค่สงสัยว่าอากาศร้อนอย่างนี้ทำให้น้ำแข็งอย่างแกละลายจนสติฟั่นเฟือนหรือยังไง ถึงได้ซื้อสร้อยให้ฉัน”
เฟรินตีหน้าซื่อพลางส่งขนมเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆอย่างไม่ยีหระ ส่วนอีกมือก็ถือสร้อยขึ้นมาดูผ่านๆ หวังเบี่ยงเบนความสนใจ
แต่มีหรือคนที่อยู่ด้วยกันมานานจะดูไม่ออก
‘มันอาย อายอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่า น่าแกล้งชะมัด’ ประกายตาจากเจ้าชายแห่งคาโนวาลฉายแววเจ้าเล่ห์อย่างหาดูได้ยากเล่นเอาหัวขโมยเริ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆกับคนที่นับวันยิ่งชักจะมองเธอทะลุปรุโปร่ง
‘มันจะมาไม้ไหนล่ะเนี่ย คิดจะเล่นงานกับท่านเฟรินเหรอ อย่างนี้ต้องหลอม’ เตาหลอมตัวยงตัดสินใจเคาะสนิมหลังจากไม่ได้ใช้งานมานาน“ใครว่าฉันซื้อให้นาย” คาโล หยิบสร้อยในมือเฟรินขึ้นมาพิจารณา เริ่มแผนการแช่แข็งเตาหลอม
“วะ ถ้าแกไม่ซื้อให้ฉันแล้วแกจะเอาไปให้หมาตัวไหนล่ะฮะ หรือว่าจะเป็นเรนอนคนงาม เดี๋ยวนี้ริอาจมีกิ๊กแล้วเหรอ อย่าให้มันเกินหน้าเกินตาระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งอย่างฉันมากนักนะโว้ย ไอ้น้ำแข็งอนุบาล”
พูดเสร็จก็สะบัดหน้าหนีแล้วหลับตาปี๋เหมือนเด็กๆ หารู้ไม่ว่าที่พูดออกมา กับที่กระทำอยู่มันขัดกันยังกับอะไรดี ลืมจุดประสงค์จะหลอมน้ำแข็งไปสิ้นเมื่ออารมณ์ลึกๆมันเริ่มแสดงตัว แล้วอาการอย่างนี้ทำไมคนฟังจะดูไม่ออกว่า
‘มันงอน งอนเสียจน .น่ารัก’คาโลคิดแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนซึ่งคงมีแต่เธอเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้เห็น ถ้าเพียงแต่เจ้าหล่อนไม่หันหน้าหนี
“เฟริน” คาโลเรียกเสียงนุ่ม นึกสนุกอยากหลอมเจ้าคนปากหมาแล้วยังไม่ตรงกับใจอีก ดูท่านับวันมันจะยิ่งทำตัวน่ารักสมหญิงขึ้นทุกทีๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้เอะใจเลย
“นี่ เฟริน” คาโลเรียกซ้ำอีกที ใบหน้ารูปสลักบัดนี้อมยิ้มอย่างเอ็นดูกับสตรีตรงหน้าโดยไม่เหลือมาดเก่าเอาไว้เลย
‘
ไอ้น้ำแข็งงี่เง่า แกจะเอาไปให้ใครก็ไป ฉันไม่เห็นอยากจะได้ซักหน่อย’ คิดแล้วก็ฉุนในใจ แต่แล้วเจ้าตัวดีก็เริ่มรู้สึกตงิดๆ ‘เฮ้ย นี่เรากำลังทำอะไรเนี่ย ชักจะเริ่มทำตัวไร้สาระเหมือนผู้หญิงแล้วนะเนี่ย’ รู้ตัวเสร็จก็คิดกำลังหาวิธีแก้เขิน แต่ทว่าไม่ทันกาลเสียแล้ว“เฟริน อย่างอนสิ” เสียงไพเราะทุ้มต่ำดังกังวาลอยู่ในโสตประสาทของหัวขโมยสาว เล่นเอาฟังชักเริ่มสั่นสะท้านไปทั้งหัวใจ แต่ก็ทำให้เธอเก็ทไอเดียแก้เขินแล้ว
“ฮ่าๆ ฮ่า .” เฟรินลืมตาขึ้นมาแล้วพยายามหัวเราะกลบเกลื่อน พลางหันหน้าไปทางที่อยู่เดิมของคนๆนั้น แต่ทว่ามันไม่อยู่เสียแล้ว
“เฟริน”เสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างหลัง มาพร้อมกับลมหายใจอุ่นๆที่กำลังรดต้นคอของเธออยู่ชวนให้เคลิบเคลื้มยิ่งนัก ในขณะที่เจ้าของเสียงเริ่มซุกไซ้ไปตามเรือนผมหอมเหมือนกลิ่นดอกไม้และนุ่มสลวยราวกับแพรไหม
“ฉันไม่ได้มอบให้นาย เฟริน เดอเบอโรว์ แต่ฉันจะมอบให้แด่เฟลิโอน่า เกรเดเวล ของฉันต่างหาก” เสียงทุ้มต่ำที่มากระซิบอยู่ข้างใบหู จากบุคคลข้างหลังเรียกใบหน้าของหญิงสาวให้ขึ้นสีแดงกล่ำ ก่อนเขาผู้นั้นจะสวมเครื่องประดับดังกล่าวลงบนคองามระหงของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา
บัดนี้เฟรินได้หันตัวกลับเผชิญหน้ากับคนข้างหลัง เพื่อสบเข้ากับนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยที่แสนห่วงหา “คาโล” เสียงพูดเบาๆจากปากจิ้มลิ้มที่แทบจะเป็นเสียงครางซะด้วยซ้ำ
“เฟริน” สิ้นประโยคสั้นๆ ก็กลายมาเป็นบทสนทนาด้วยสายตาที่แสนหยาดเยิ้ม และแล้วริมฝีปากของคนทั้งคู่ก็ประกบเข้าหากันอย่างเนิ่นนานเพื่อถ่ายทอดความโหยหา ความคิดถึง ความห่วงใย และความรักสู่กันและกัน
ให้สาสมกับช่วงสงครามที่พรากเขาและเธอให้แยกจากกัน โดยที่สรรพเสียงรอบตัวก็เงียบสงัดเพื่อเป็นพยานความรักของทั้งคู่ เหลือไว้เพียงเสียงคลื่นที่กระทบชายฝั่งทะเลที่ดังเป็นจังหวะเพื่อบ่งบอกถึงกาลเวลาที่ยังคงหมุนไป
“เฟริน .คาโล เย็นแล้วนะโว้ย .รีบไปเถอะ ” เสียงของนักรบตาเดียวแห่งไนล์ และ นักฆ่าเพื่อนซี้ตะโกนอยู่ไกล ทำให้คาโลจำต้องถอนริมฝีปากจากหัวขโมยสาวอย่างเสียดาย
“ไปกันเถอะเฟริน” คาโลเอ่ยขัดความเงียบขึ้น ทำให้เฟรินตื่นจากภวังค์แห่งความโหยหา ลืมตาขึ้นมาสบกับดวงตาคู่นั้นอีกครั้งหลังจากที่จำไม่ได้ว่า หลับตาลงไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ไอ้น้ำแข็งลามก ใครใช้ให้แกมาโอบเอวฉันวะ” เจ้าตัวดีเอ่ยด้วยสีหน้าแดงระเรื่อด้วยความอาย ก่อนรีบชักมือกลับเมื่อรู้ว่าแขนของตนเองก็กำลังโอบอยู่ที่ต้นคอของคนตรงหน้าเหมือนกัน
คาโลยิ้มน้อยๆให้กับความเขินอายจนน่ารักของพระคู่หมั้น ก่อนปล่อยมือออกจากเอวบางที่เคยได้โอบไว้อย่างถือสิทธิ์
“ฉันหิวแล้วล่ะ ไปหาอะไรกินกันเถอะ” เฟรินพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนที่หาฟังไม่ได้ง่ายๆจากปากคนกะล่อน
คาโลก็ได้แต่ยิ้มเป็นคำตอบ แต่ยิ้มนี้ของเขาก็หาดูไม่ได้ง่ายๆเช่นกัน มือแกร่งของคนตัวสูงกว่าจับที่ข้อแขนบางของคนตัวเล็กแล้วเดินเคียงคู่กันไปตามต้นเสียงของเพื่อนทั้งสอง
“ทำไมวันนี้แกใจดีจัง”
“ก็แล้วแต่ว่านายจะทำตัวดีแค่ไหน”
“ไอ้คาโล ไอ้เฟริน หายหัวไปไหนกันวะ”
“แล้วทำไม .”
“เพราะ .”
แล้ว .. . .
ความคิดเห็น