คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กระเจี๊ยบแดง (Roselle)
กระเจี๊ยบแดง
ชื่อภาษาไทย กระเจี๊ยบแดง
ชื่อภาษาอังกฤษRoselle
ชื่อวิทยาศาสตร์Hibiscus sabdariffa Linn.
ชื่อวงศ์ Malvaceae
ลักษณะพืช
สรรพคุณทางยากลีบรองดอก และกลีบเลี้ยง ใช้เป็นยาขับปัสสาวะและยาขับเสมหะ พบสารสำคัญในดอกคือ protocatechuic acid, hibiscetin, hibiscin, malvin gossypetin
ข้อบ่งใช้และวิธีใช้
ใช้เป็นยาขับปัสสาวะโดยนำเอากลีบเลี้ยงและกลีบรองดอก สีม่วงแดงตากแห้งและบดเป็นผล 1 ช้อนชา (3 กรัม) ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มล.) ทิ้งไว้ 5 - 10 นาที รินเฉพาะน้ำสีแดงใสดื่มวันละ 3 ครั้ง ติดต่อกันทุกวันจนกว่าอาการขัดเบาจะหายกระเจี๊ยบแดงเป็นพืชล้มลุก ลำต้นสูง 1 2 เมตร ลำต้นตั้งตรง มีสีแดงอมม่วง ใบออกสลับกัน ก้านใบยาวประมาณ 5 ซม. ตัวใบรีแหลม อาจมีรอยเว้าลึก แบ่งตัวใบออกเป็น 3 แฉก ดอกเดี่ยว ออกบริเวณซอกใบ กลีบเลี้ยงสีม่วงแดง 5 กลีบ อวบน้ำ ติดกับฐานดอกและคงอยู่จนเป็นผล กลีบดอก 5 กลีบ เกสรตัวผู้เชื่อมติดกันเป็นแท่ง มีอับเรณูติดทั่วทั้งแท่ง ผลมีลักษณะรูปไข่ป้อมๆ มีจงอยสั้นๆ มีขนหยาบๆ สีเหลืองปกคลุม เมล็ดมีจำนวนมาก ลักษณะเป็นรูปไตเกลี้ยง สีดำหรือน้ำตาล
วิธีปลูกและดูแลรักษา เริ่มปลูกในช่วงปลายฤดูฝนโดยเตรียมดินและพรวนดินให้ร่วน ใช้เมล็ดพันธุ์หยอดหลุมละ 3-5 เมล็ด ระยะห่างระหว่างต้น ประมาณ 70 ซม. ระหว่างแถว 120 150 ซม. เมื่ออายุได้ 3 4 สัปดาห์ ให้เลือกถอนต้นที่ไม่เข็งแรงออกเหลือไว้ 1 2 ต้น ควรกำจัดวัชพืชประมาณ 2 ครั้ง ไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย ถ้ามีแมลงรบกวนใช้จำกัดตามความเหมาะสม ออกดอกระหว่างเดือนตุลาคมถึงพฤศจิกายน
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
กลีบเลี้ยงและริ้วประดับ มีสารชื่อแอนโธไซยานิน (Anthocyanin) จึงทำให้มีสีม่วงแดง นอกจากนี้ยังประกอบด้วย
กรดอินทรีย์หลายชนิด ในปี พ.ศ.2522-2524 น.พ.วีระสิงห์ เมืองมั่น และคณะ, คณะแพทย์ศาสตร์รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
ได้ศึกษาสรรพคุณของกระเจี๊ยบแดง โดยการใช้ผงกระเจี๊ยบแดงที่ทำจากริ้วประดับและกลีบเลี้ยงตากแห้งบดเป็นผง
ขนาด 3 กรัม ชงในน้ำเดือด 1ถ้วยแก้ว(300 ซีซี) ดื่มวันละ 3 ครั้ง ระยะ 7 วันถึง 1 ปี รักษาผู้ป่วยโรคนิ่วและการอักเสบ
ของทางปัสสาวะ 73 คน พบว่าทำให้ปัสสาวะเป็นกรด ใส และถ่ายสะดวกขึ้นมาก และยังช่วยลดอาการอักเสบหลังผ่าตัดนิ่วด้วย เห็นได้ว่ากระเจี๊ยบแดงมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะได้ดี ด้านพิษยา มีเกลือโปตัสเซียมมาก จึงต้องระวังในการใช้กับคนไข้โรคหัวใจ
ความคิดเห็น