คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : [Friend] บัดดี้อีกกลุ่ม? (1)
สวัสดีอีกครั้งค่ะ ตอนนี้ก็เป็นเรื่องเพื่อนค่ะ ตอนนี้จะเน้นหนัก ๆ ไปที่คน ๆ หนึ่งเลย
เช้าวันต่อมา คาบแรกไม่มีเรียน เราก็มาเช้าอยู่ดี มาลองใช้เน็ตกับไอโฟนดูว่าใช้ได้ไหม (ที่บ้านเคยขอรหัสไวไฟแล้ว แต่ก็ไม่ค่อยมีโอกาสเล่นเยอะอยู่ดี และช่วงแรกไอโฟนเราเป็นอะไรไม่รู้ ไม่ยอมจำรหัสไวไฟ ต้องขอใหม่ตลอด -*- ซึ่งนอกจากใช้เน็ตเล่น มันก็ค่อนข้างจำเป็นในการทำการบ้านหรือแปลหนังสือน่ะค่ะ)
ปรากฏว่าใช้ได้! ตอนนั้นก็ค่อนข้างดีใจมาก เพราะไม่ได้แตะเน็ตมา รู้สึกนานมากกกกก คิดถึงเพื่อน คิดถึงอะไรหลาย ๆ อย่าง
ก็ยืนเล่นมือถืออยู่แถว ๆ ล็อคเกอร์ (เรายังไม่มีล็อคเกอร์ เพราะเพิ่งมาใหม่ แต่เราก็ค่อนข้างชินกับกระเป๋าที่ใส่)ไปเรื่อย ๆ จนคนเริ่มมา (จริง ๆ ตอนนั้นคนก็ไม่เยอะนะ เพราะมีแค่คลาสเราคลาสเดียวที่เริ่มเรียนคาบสอง ถ้าจะมีใครมาโรงเรียนเอาสายขนาดนั้น ก็มีแค่คลาสเราแหละ ซึ่งตอนนั้นยังไม่รู้)
อยู่ ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา...
ผู้หญิงตัวสูง แต่งตัวสวย เจาะจมูก แต่งหน้า ผมสีน้ำตาลหยิกเล็กน้อย ตาสีอำพันที่ดูคมเพราะมาสคาร่าและอาจจะเมคอัพอื่นๆ ไม่รู้ เราไม่เคยแต่ง ^^” ไม่คิดว่าคน ๆ นี้จะเดินเข้ามาทักเรา
เรายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่าเขาเป็นคนหนึ่งในคลาสของเรา
“Hoi” (สวัสดี) เขาทักเรา ไม่ได้ยิ้มหรืออะไร
“Hoi ik ben mew”(สวัสดี ฉันชื่อหมิวนะ) เรายิ้ม แล้วเป็นฝ่ายยื่นมือไปให้
“เอลเลน”(ตอนนั้นก็ฟังชื่อไม่ทันเช่นกัน) เขาจับมือเราตอบ จับแบบหลวมมาก ต่างจากคนดัตช์คนอื่น ๆ ที่จับมือเรา ด้วยความที่ชอบอ่านหนังสือจิตวิทยา การจับมือในลักษณะนี้แปลว่า เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง
แต่...มันก็แปลกนะ ที่คนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง จะเป็นฝ่ายเข้ามาทักเราก่อน อย่าว่าแต่การแต่งตัวของเด็กคนนี้ ก็จัดเต็มเอามากทีเดียว
เราก็ทักไป ตามบทสนทนาอังกฤษระดับพื้นฐานตามโรงเรียนทั่วไป
“ยินดีที่ได้รู้จัก คุณสบายดีไหม”เริ่มจะรู้สึกตัว ว่าจับมืออีกฝ่ายไว้นานเกินไปแล้ว เวลาเหม่อ หรือในสถานการณ์ประหม่าแบบนี้ ก็ทำอะไรไม่ค่อยถูกทุกที
“ดี แล้วคุณล่ะ”
“สบายดี”การสนทนาก็ลงเอยอยู่แค่นั้นแหละ
เอลเลนก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เรา ไม่ได้ชวนคุยอะไร ขณะที่เราก็นึกอะไรไม่ออก อารมณ์ยังเบลอ ๆ ค้าง ๆ จากการได้เล่นเน็ตที่ไม่ได้แตะมานาน ก็ไม่ได้หยิบมาเล่นนะ แต่...มันไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
เราคิดขอโทษในใจ ที่เราคิดเรื่องที่จะพูดไม่ออก และถ้ามีโอกาสได้คุยกับคน ๆ นี้อีก หรือมีคนอื่นเข้ามาทัก เราจะตั้งสติให้ดีกว่านี้
แต่เราคิดผิด...โอกาสดี ๆ ที่จะมีคนเข้ามาทัก มันไม่ง่ายหรอก ^^”
ออดดังขึ้น เด็กคนนี้ก็เดินไปเรียน โดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่ลา ไม่ชวน ไม่แม้แต่จะหันมามอง
และเราก็โง่มาก ที่ไม่ตามไป ไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ คงจะเรียกเอลเลนเอาไว้ ถามว่าขอไปเรียนด้วยได้ไหม ถามทาง ถามว่าเรียนวิชาอะไร หรืออย่างน้อยที่สุดคือเดินตามไป
เราปล่อยโอกาสครั้งแรกให้มันจบลง อย่างไม่น่าให้อภัยตัวเอง
แล้วเมลลารี่ ที่มาโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ก็เดินเข้ามาถาม
“เมื่อกี้ฉันเห็นคุณอยู่กับเอลเลน เธอเข้ามาทักคุณเหรอ”(อังกฤษล้วน เยสสสสสส)
“อืม คุยกันนิดหน่อยมาก ๆ ”เรายิ้มแบบไร้เหตุผล
“แต่แล้วเธอก็เดินไปโดยไม่บอกอะไรคุณอย่างนั้นเลยเหรอ ฉันคิดว่านั่นไม่ดีเท่าไหร่นะ แต่บางที เธออาจจะคิดว่าคุณเดินตามเธอไปก็ได้”
“อืม อาจจะ”เราก็ตอบไป แต่ในใจค่อนข้างเชื่อ ว่าเด็กคนนั้นไม่ชอบเราเข้าแล้ว
จุดเริ่มต้นระหว่างเรากับเอลเลนเป็นแบบนี้ โดยไม่รู้เลยว่า ต่อจากนี้เขาจะเป็นหนึ่งในคนที่มีอิทธิพลกับชีวิตเรามาก ๆ คนหนึ่ง
_________________________
โซนเพ้อ กับอังกฤษมั่ว ๆ
If you were not the very first person who I knew,
Still I feel like this?
I asked myself a lot of time.
But the answer is the same.
I like you because...it's you
Not becuase something you did for me.
and i dont even want anything...friend? Can I use this word?
Sometimes I wonder... Can i be even your friend?
How do you thinked or looked at me? But it isn't important.
only you're fine
I hope you're happy with everything.
ถ้าคุณไม่ใช่คนแรก ๆ ที่ฉันรู้จัก
ฉันจะยังรู้สึกแบบนี้ไหมนะ
ฉันเฝ้าถามตัวเองนับพันครั้ง
แต่คำตอบยังคงเหมือนเดิม
ฉันชอบคุณ เพราะนั่นคือคุณ
ไม่ใช่เพราะบางสิ่ง ที่คุณทำเพื่อฉัน (มันมีด้วยเหรอ ฮะ ๆ)
และฉันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น...เพื่อน? ฉันใช้คำ ๆ นี้ได้ไหมนะ
บางครั้งฉันสงสัย ฉันเป็นได้ แม้เพียงเพื่อนของคุณหรือเปล่า หรือเป็นเพียงคนรู้จัก?
คุณคิดยังไง ในสายตาคุณ ฉันเป็นอย่างไร แต่นั่นคงไม่สำคัญเท่าไหร่
แค่คุณสบายดี
ฉันหวังว่าคุณจะมีความสุข กับทุก ๆ อย่าง
ความคิดเห็น