คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : โฮสและโรงเรียน
สวัสดีค่ะ เรื่องนี้ก็จะพูดเกี่ยวกับโฮสและโรงเรียน
เรื่องโฮส...เราไม่ขอพูดอะไรมากเท่าไหร่ ถามว่าเขาดีไหม ก็ค่อนข้างดีค่ะ ดีกับเรามาก แต่ถามความรู้สึกเรา...เราอึดอัดเล็กน้อย ก็อย่างเช่นการที่ซิสๆบราๆทั้งหลายมาติดเรา โดยเฉพาะคนเล็กที่ต้องการเล่นตลอดเวลา -*- และเป็นเด็กแบบที่ว่า...โคตรเอาแต่ใจอะ ไม่มีวันไหนที่ไม่ร้องไห้ ไม่สิ ต้องบอกว่า ถ้าร้องไห้วันนึงต่ำกว่าสามครั้งได้นี่...วันนั้นปาฏิหาริย์ = =” โดนปลุกก็ร้องไห้ หกล้มก็ร้องไห้(อือ อันนี้รรมดา) ง่วงนอนก็ร้องไห้(แต่บอกว่าตัวเองไม่ง่วง?) โดนคนอื่นแซวนิดๆก็ร้องไห้(แต่แซวคนอื่นตลอด นี่เป็นสาเหตุหลักที่เถียงกันในบ้านแทบจะตลอดเวลา ถามว่าเราไปแซวเด็กนี่ตอบไหม แน่นอนว่าไม่! เราไม่เคยว่าเด็กนี่ ไม่เคยทำอะไรทั้งนั้นนอกจากจะเล่นด้วย) หลัง ๆ นี่แทบจะเอามีดเอาส้อมจิ้มหน้าเรา อืมมม = =
ในแง่ดี แน่นอนว่ามี ทั้งครอบครัวใจดีนะ แบบเราเป็นคนเงียบ ๆ ชอบอยู่กับหนังสือและโลกไซเบอร์มากกว่า(และบ้านนี้ห้ามเล่มเน็ต = = เราแอบเล่นตลอด... จริง ๆ ก็ไม่ถึงกับห้าม พอเล่นได้บ้าง แต่ไม่บ่อย นาน ๆ ครั้ง เดือนละครั้งสองครั้งอะไรแบบนี้) ถ้าอยู่กับโฮสอื่น บางทีคงโดนส่งกลับโทษฐานอยู่คนเดียวมากไปไปแล้วก็ได้ = = (แต่ถ้าเขาไม่จำกัดการเล่นเน็ต เราก็ไม่อยู่คนเดียวนะ เหอะ ๆ)
โฮสค่อนข้างชอบที่จะขับรถไปส่งที่ไกล ๆ อย่างเช่น มีกิจกรรมของทางมูลนิธิ นัดเจอที่เบรด้า(ที่เกือบทุกคนนั่งรถไฟไป) โฮสก็เลือกที่จะขับไปส่ง
นั่นเป็นความใจดีของเขา แต่ถามว่าเราชอบไหม.. เราไม่ชอบ เราชอบที่จะเดินทางด้วยตัวเองมากกว่า
คนอื่นปั่นจักรยานกันไกลมากกกก หลายกิโล แต่ของเราไม่ถึงกิโลฯ ทุกคนอิจฉานะ แต่เราชอบถี่จะขี่จักรยานไปไกล ๆ จริง ๆ 555 (แต่หลัง ๆ มานี้ชอบนะ เพราะมันไม่ต้องตื่นเช้า โรงเรียนเข้าเจ็ดโมงครึ่ง ออกจากบ้านเจ็ดโมงยี่สิบห้ายังทันฉิวเฉียด)
น้องสะใภ้ของโฮสเป็นคนไทย เพิ่งมาอยู่เนเธอร์ได้ไม่นาน แต่น้องชายของโฮสมัมตายแล้ว แต่พี่เขามีลูก และก็น่าจะอาศัยอยู่ที่เนเธอร์ ตอนที่ได้ฟังเรื่องราวก็รู้สึกเศร้าไปอยู่เหมือนกัน (อืม ถ้าพี่เขาเปิดเจอเว็บนี้ เราตายอะค่ะ = = ขอโทษนะคะ ถ้าพี่เปิดเจอจริง ๆ ขอความกรุณาอย่ารายงานโฮสด้วยค่ะ ;w; หมิวรู้สึกดีกับโฮสนะ แต่มันก็ขัดจากนิสัยส่วนตัวหมิวมากทีเดียว...แต่ถามว่ารู้สึกผูกพันไหม ก็มากค่ะ)
อ้อ ที่ลืมบอกไปเสียนาน...ในเนเธอร์แลนด์จะมีการแบ่งเป็น 12 provincie ค่ะ ฟีลคล้าย ๆ กับจังหวัดล่ะมั้ง? แต่ในprovincie ยังแบ่งได้เป็น stad(ตัวเมือง)กับ platteland(ชนบท)อีก ชื่อตามที่บอกเลยค่ะ ถ้าเป็นโซนตัวเมือง ก็จะมีพวกห้างสรรพสินค้า โรงหนัง อะไรประมาณนั้น ถ้าเป็นชนบท พื้นที่ส่วนมากก็จะเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีค่ะ
ของเราอยู่ใน stad ถือเป็นโชคดีล่ะมั้ง? (แต่เราก็ยังชอบการปั่นจักรยานไกล ๆ อยู่ดี...)
เราอยู่ provincie zeeland โซนตะวันตกเฉียงใต้ อ่านจากชื่อก็พอเดาได้ แปลว่า “ดินแดนแห่งทะเล”ค่ะ อยู่ติดเบลเยี่ยม ที่นี่จะมีภาษาท้องถิ่นเช่นกัน(ฟีลเหมือนภาษาเหนือ ภาษาอีสานบ้านเรา) แต่รอบตัวเราไม่มีใครพูด ถือเป็นโชคดีไป เพราะดัตช์ปกติก็ยากแล้ว = =
ว่าด้วยเรื่องภาษาถิ่น หลัก ๆ ที่เห็นก็มีในโปรวินซี่ ฟรีสลันด์(ภาคเหนือ)จะมีภาษาที่เรียกว่าฟริเซี่ยนค่ะ และภาคใต้ โปรวินซี่ลิมเบิร์ก ก็จะมีภาษาสำเนียงตัวเอง... ที่เขาว่ากันว่า ให้คนดัตช์ปกติไปภาคใต้ ยังฟังคนลิมเบิร์กพูดไม่รู้เรื่อง
เด็กแลกเปลี่ยนไทยส่วนมากถูกส่งไปโซนเหนือค่ะ แถบ ๆ ฟรีสลันด์ โครนิงเงิ่น
ส่วนภาคใต้มีเรา ใบเฟิร์น(โปรวินซี่เดียวกัน) และพี่โมกับพี่ทรายอยู่โปรวินซี่ลิมเบิร์ก โดยตอนแรกพี่ทรายอยู่อีกเมืองนึงแล้วย้ายมาทีหลัง เพราะโฮสแรกเป็นโฮสชั่วคราวค่ะ ก็มีบางคนที่ได้โฮสชั่วคราว และต้องย้ายเมืองอยู่เหมือนกัน เป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดเนอะ แบบรู้จักกันประมาณเดือนกว่าสองเดือน พอเริ่มจะผูกพัน เริ่มจะปรับตัวได้ก็ต้องย้าย เรารู้สึกดีมากที่ไม่ต้องเป็นแบบนั้น และรู้สึกชื่นชมคนที่ย้ายเมืองมาก ๆ
แต่นั่นก็เป็นข้อดีเนอะ ที่ทำให้รู้จักคนมากขึ้น ^^ (มีเพื่อนคนนึงชื่ออาย ตอนแรกอายอยู่เดเวนเต้อ แต่ถูกย้ายไปเมืองอื่น น่าจะเป็นฟรีสลันด์ล่ะ พอปิดเทอม ก็มีนัดกับเพื่อนที่เดเวนเตอร์นะ เป็นความสัมพันธ์ที่ดีมากจริง ๆ ^^ ก็นะ อายเป็นคนน่ารัก และเป็นคนที่เข้มแข็งมากคนหนึ่งเลย พอย้ายเมืองไป เท่าที่ฟังมา อะไรหลาย ๆ อย่างแย่กว่าที่เมืองเก่า ถ้าเป็นเรา เราอาจจะทนไม่ได้ ถึงแบบนั้นอายก็ยังชมเราอยู่เสมอ... แต่อายนั่นแหละที่เก่งที่สุด)
การปิดเทอมที่นี่ นอกจากปิดเทอมคริสมาสตร์แล้ว แต่ละภาคจะปิดไม่พร้อมกันค่ะ -*-
การปิดเทอมที่นี่มีค่อนข้างบ่อย แต่จะปิดแค่อาทิตย์เดียว ปิดเทอมใหญ่จริง ๆ มีแค่คริสมาสตร์ที่หยุดสองอาทิตย์ และช่วงซัมเมอร์ที่รู้สึกว่าสองเดือนมั้ง (แต่เราก็ต้องกลับไทยตอนปิดเทอมซัมเมอร์เนี่ย = =” พอกลับมาไทยก็ต้องไปตามงานที่ไทย ซึ่งโรงเรียนเปิดเทอมไปนานแล้ว เอ้อ...)
เราก็อยู่ที่บ้าน สองสามวันแล้วก็ไปโรงเรียน ช่วงเวลาที่หยุดนั้น โฮสก็พาไปจัดการเรื่องเอกสารอะไรเล็กน้อย (คล้าย ๆ ที่ว่าการอำเภอน่ะ นอกจากนี้จะมีการทำ ind (อ่านว่าอีเอ็นเด ตามแอลฟาเบ็ทดัตช์)ที่เป็นวีซ่า ประมาณเดือนที่สอง-สาม แล้วสักพักก็จะได้บัตรประชาชนเนเธอร์มา เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลมาก เพราะโฮสช่วยเต็มที่จริง ๆ ทุกคน ก็โฮสมีฐานะเป็นผู้ปกครองของเราที่นี่นี่นา)
แล้วก็ไปสมัครเรียน เขาเอาเราเข้าห้องประชุม แล้วคุยกับพวกครูใหญ่เลย ดัตช์ล้วน แน่นอนว่าเราฟังไม่รู้เรื่องงงงงง ตอนนั้นเพิ่งวันที่สองเองเหอะ สรุปคือมัมจัดการเรื่องการเรียนให้ทุกอย่าง
ที่ไทยเราอยู่ม.สี่นะ แต่ที่นี่เราอยู่คลาสสาม (เรียนไปเถอะ เทียบโอนได้นะ ไม่ชัวร์ แต่ว่าเราคุยกับทางโรงเรียนแล้ว โรงเรียนออกใบเกรดให้เป็นสำหรับคลาสห้าซะงั้น =[]=! ก็โชคดีไป 5555 แต่คะแนนนี่คือไม่ใช่ว่าเขาโกงให้นะ สอบล้วนๆ ดัตช์ล้วนทุกวิชา อั้กกกก)
สายการเรียนที่นี่จะแบ่งเป็นสี่สาย ที่นักเรียนแลกเปลี่ยนได้เรียน เท่าที่เห็นมีแค่สองสายคือ Havo กับ VWO โดย ฮาโฟ่จะเรียนห้าปี เฟวีโอ(vwoนั่นแหละ อ่านว่าเฟวีโอ)จะเรียนหกปี
คลาสที่นี่จะเป็นเหมือนกับไทย เรียนกับเพื่อนร่วมห้องเดิมตลอด แต่ว่าต้องเดินเปลี่ยนห้องเรียน พอคลาสสี่ถึงเลือกสาย และจะมีบางคาบที่เรียนไม่ตรงกัน ตามแต่สายที่เลือก คลาสหนึ่งมีแค่ยี่สิบกว่าคน คลาสเรามีทั้งหมดยี่สิบหก (ตอนหลังมีเพื่อนย้ายสายไป เหลือยี่สิบห้า)
เราเรียนอยู่คลาสฮาโฟ่3 ชื่อคลาสว่า H3b (ฮาดรีเบ) แต่ด้วยคะแนนที่พุ่งสูงตั้งแต่สามอาทิตย์แรก(ก็อย่างว่า มันดีเฉพาะการเขียน ฟัง และอ่าน แต่พูดตกต่ำ!) ก็เลยได้รับการเสนอให้ไปเรียนเฟวีโอ แต่เราจะเขียนในบทต่อไป...
วันแรกที่เราได้เรียนคือวันพุธ ซึ่งคลาสเรามีเรียนแค่สี่คาบ (เที่ยงก็เลิกแล้ว ไวมาก แต่วันอื่นก็เลิกเย็นนะ 55 ถ้าอยู่คลาสสี่ที่เลือกสาย เลือกวิชาลงได้ มันจะมีเวลาว่างกว่านี้มาก ตอนคลาสสามเหมือนยังเรียนทุกวิชาครอบจักรวาลแบบไทยอยู่)
ก็ขี่จักรยานไปพร้อมกับซิสคนโต ที่อยู่โรงเรียนเดียวกัน (เอ้อ แชร์ห้องนอนกับซิสคนโตด้วย เป็นเตียงสองชั้น...และห้องนอนที่บ้านไม่มีประตูปิด มีแต่ผ้าบาง ๆ กั้น พูดอะไรได้ยินไปทั้งชั้น หรือกระทั่งอยู่ชั้นล่างก็ได้ยิน) เราก็ยืนรอตรงแถว ๆ หน้าห้องประชาสัมพันธ์ หน้าล็อคเกอร์ด้วย ออดก็ดัง ซิสก็ไปเข้าเรียน
เราก็ยืนรอคนออกมารับ มองนักเรียนผ่านหน้าไปอย่างกังวล...
อืม ที่นี่คนต่างชาติเยอะมาก เพราะงั้นการที่เรายืนอยู่ตรงนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน พูดดัตช์ไม่ได้ คือกลมกลืนไปกับทุกคนมากกกก = =
(เรามารู้ทีหลังน่ะ แค่คลาสเราก็มีเด็กจากซูรินาเม(ที่นี่เรียกว่าสุรินาม ถ้าเราเผลอพิมพ์สุรินาม ก็นั่นแหละ ประเทศเดียวกัน) ลิเบีย เยอรมัน สวิตซ์เซอร์แลนด์ ชิลี เด็กต่างคลาสที่รู้จักภายหลังมีมาจาก โปแลนด์ อินโดนิเซีย โมรอกโก และประเทศแถบ ๆ อาหรับอีกมาก ฝรั่งเศล ฯลฯ เห็นคนหนึ่งหน้าเหมือนคนญี่ปุ่นด้วย แต่แค่เดินผ่านกัน เราไม่รู้จัก เลยไม่ได้ทัก และคิดว่าเขาคงมาอยู่นี่ตั้งแต่เกิด เหมือนคนอื่น ๆ ที่พูดดัตช์กันคล่อง)
แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งออกมารับ...
เราก็พยายามจะพูดดัตช์กับเขา ด้วยศัพท์พื้นฐานเช่น สวัสดี สบายดีไหม ฉันสบายดี คนนี้คือคนที่เราเจอตอนประชุมครูใหญ่ด้วย เพราะงั้นไม่ได้แนะนำชื่อกันใหม่หรอก (แต่เราก็ฟังชื่อเขาไม่ออกอยู่ดี = =)
แล้วเขาก็ถามว่าเราตื่นเต้นไหม เราก็บอกใช่ไปแบบมึน ๆ ตั้งใจแปลเต็มที่อะ 555
แล้วเขาก็พาไปเคาะประตูห้องเรียนหนึ่งบนชั้นสอง... คาบนั้นเป็นวิชาภาษาดัตช์ (ตอนแรกเรานึกว่าเป็นครูประจำชั้นซะอีก 555 แต่ไม่ใช่ ครูประจำชั้นเราเป็นครูสอนฟิสิกส์กับเคมี(คนเดียวกันนะ แต่สอนสองวิชา))
แล้วเขาก็คุยกับครูสอนดัตช์ เป็นผู้หญิงวัยกลางคน เขาใจดีนะ (แต่เอาจริง ๆ เถอะ ห้องเรามันโคตรดื้อเลย 555 ทำเขาโกรธบ่อยมากกกกกกก)
ฟังไม่ออก แต่พอเดาออก ว่าคงพูดแนะนำตัวเราแน่ ๆ เพราะครูก็หันมามองเรา คนทั้งห้องก็หันมามองเรา ตอนนั้นเราก็พยายามมองไปรอบห้อง แล้วยิ้มออกมา (ทั้งที่ไม่สบตาใคร...อย่างกะคนบ้า 555)
ถามว่ารู้สึกยังไงตอนเห็นเพื่อนร่วมห้อง....
ความรู้สึกแรกจริง ๆ เลยนะ...
“ตรูจะโดนตบมั้ยวะคะ”
เราอยู่ในโรงเรียนรัฐบาลที่ไทย ม.ต้นไว้ผมติ่ง ยูนิฟอร์ม ไม่แต่งหน้า แม้จะขึ้นม.สี่แล้วตอนก่อนมา มันก็แทบไม่ต่างอะไรกับม.ต้นเลย บรรยากาศดูเรียบร้อยกว่าที่นี่มาก
ขณะที่ที่นี่ ใครไม่แต่งหน้าสิแปลก...(ฉันไง อยู่มาตอนนี้หกเดือนแล้ว ไม่เคยแต่งหน้าเลยสักครั้ง = =)
พวกผู้หญิงแต่งหน้า เจาะหู เจาะจมูก(มีคนเดียวแหละ ที่ภายหลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตเรามาก ๆ ด้วย ฮิฮิ) ใส่ชุดหนัง แต่งตัวแบบ...นึกถึงหนังฝรั่งที่ให้ฟีลประมาณมาเฟียหญิงหรือไฮโซ หรือพวกกลุ่มแรง ๆ ทั้งหลายอะค่ะ ฟีลนั้นเลย = =”
ส่วนพวกผู้ชาย...ไอ้คนนี้ดุชะมัด ไอ้คนนั้นหน้ากวนตีนมาก ไอ้คนโน้นมันหัวเราะอะไรวะ บลาบลาบลา
นั่นคือความรู้สึกแวบแรก...
จากนั้นครูก็พูดแนะนำตัวเรา บอกว่าเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน (ซึ่งพวกเขายังไม่รู้ในตอนนั้นด้วยซ้ำ ว่าเรามาอยู่นี่แค่ปีเดียว มาอยู่กับโฮสแฟมิลี่ ไม่ได้มากับครอบครัวตัวเอง เขามารู้ตอนคุยกันทีหลัง)
ครูก็ชี้ไป ให้นั่งกับคน ๆ นึง ที่ได้ชื่อว่าเป็น “บัดดี้” ของเรา
ขอเรียกชื่อเลยแล้วกัน เพราะกว่าเราจะรู้ชื่อเขาน่ะ อีกนานหลังจากนี้ บัดดี้เราสองคนชื่อเมลลารี่ กับโรเมซ่า เมลลารี่มาจากสุรินาม โรเมมาจากลิเบีย(กว่าเราจะรู้ก็สามอาทิตย์หลังจากนั้นน่ะ -_-“) โดยโรเมเป็นอิสลาม ใส่ผ้าคลุมหัว
พอครูชี้ไป เราก็มองตาม เมลลารี่ก็ยิ้มแล้วโบกมือให้เรา เราแบบ รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาเลยค่ะ คนอื่นดูแรงงง ยิ้มแล้วไม่ยิ้มตอบ (ก็มันวัฒนธรรมเขา = =”) แต่ตอนนั้นเมลนั่งข้างโรเมอยู่แล้ว โรเมลุกไปนั่งข้างหลังเมลแทน ทำเอาเรารู้สึกผิด+กังวลว่าจะโดนโรเมเกลียดมั้ยที่ไปแย่งที่นั่งเขา (นี่ก็คิดมากเกินไป เอาจริง ๆ เหมือนเขาถามคนในคลาสตั้งแต่ก่อนมาแล้วว่ามีใครอยากเป็นบัดดี้ให้เรามั้ย แล้วเมลลารี่เป็นคนอาสา)
พอเราทัก แนะนำตัวกับเมลลารี่เสร็จ (ภาษาอังกฤษ ฮ่า ๆ >< แต่เราก็ฟังชื่อพวกเขาไม่ค่อยออกอยู่ดีอะ เรารู้ชื่อพวกเขาเพราะอ่านเอาจากปกหนังสือ) เราก็หันไปชวนโรเมซ่าคุยทันที ตอนแรกโรเมตอบแบบเสียงเบา ๆ บวกกับการใส่ผ้าคลุมหัว ทำให้เรานึกว่าเขาเป็นคนเรียบร้อย และเราคิดว่าเมลลารี่คงเป็นเด็กเรียนแน่ ๆ ซึ่งความคิดทั้งสองอย่างนั้น ผิดอย่างร้ายแรงค่ะ! ฮ่า ๆ ๆ
หลังจากนั้น เราก็นั่งข้างเมลลารี่ทุกคาบ โดยเมลจะบอกครูให้ว่าเราเป็นเด็กแลกเปลี่ยน (แล้วครูทุกท่านก็จะมาแนะนำตัว จับมือ ซึ่งเราฟังชื่อใครไม่ออกสักคน -*- ) แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ครูส่วนมากท่านไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะว่าเราพูดภาษาดัตช์ไม่ได้
พอเรียนจบครึ่งวันวันนั้น เมลลารี่ก็ถามว่า จำทางกลับบ้านได้ไหม
เราจำได้ลาง ๆ นะ แบบถ้าขี่ไปเรื่อย ๆ ก็พอหาทางได้อยู่ แต่ถ้าจะให้บอกทางล่ะก็ ตายค่ะ = =”
สุดท้าย เมลลารี่กับโรเมซ่าขี่จักรยานไปส่งถึงหน้าบ้าน เฮ้ยยยยยยยย เนเธอร์มีคนดีขนาดนี้ด้วย ดีใจอะ ดีใจมาก ๆ ><
จากวันนั้นมา เขาก็กลายเป็นบัดดี้ที่อยู่ข้างเราตลอด ถามว่าวันนั้นเราคิดไหม หรือรู้มั้ย ว่าเขาจะกลายมาเป็นคนที่อยู่ข้าง ๆ เสมอ เป็นเพื่อนสนิท เป็นไม่กี่คนที่เชื่อใจได้ในคนที่นี่?
ก็...ไม่เลย ไม่เคยคิดมาก่อนเลยล่ะ
___________________________
โซนเพ้อก่อนจบตอน
Veel mensen heb me gevraagd.
Warrom ben ik hier?
Heel ver van mijn huis, heel ver van iederen dat kende ik.
Ik heb me zich ook gevraagd.
En die antwoord is… ik weet het niet.
Dus ik heb hier gekomen te vind te reden van mijn leven
หลาย ๆ คนเคยถามฉัน
เหตุใดฉันจึงอยู่ตรงนี้
ไกลห่างจากบ้าน ไกลห่างจากทุกคนที่ฉันรู้จัก
ฉันก็เฝ้าถามตัวเองเช่นกัน
และคำตอบนั้น...คือฉันไม่รู้...ฉันไม่รู้อะไรเลย
ฉันจึงมาที่นี่ เพื่อที่จะค้นหา เหตุผลในชีวิตของฉัน
ความคิดเห็น