ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Holland-Netherland บันทึกความคิด นร.แลกเปลี่ยน ฮอลแลนด์

    ลำดับตอนที่ #1 : ค่ายเตรียมความพร้อม ณ Heino เนเธอร์แลนด์!!

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 56


    สวัสดีค่ะ ที่ ๆ แรกที่เราได้ไปในเนเธอร์แลนด์...ไม่นับสนามบิน -__- คือค่ายใน Heino ค่ะ
    ก่อนอื่นขอพูดเรื่องมูลนิธิ
    คือตอนอยู่ในไทยจะมีหลายโครงการมากใช่มั้ยคะ อย่าง AFS YFU AYC EDU(เราสังกัดอีดียูค่ะ เขาดีจริง ๆ นะ เข้ามาแล้วไม่เสียใจ ฮ่า ๆ)
    ถ้าโครงการใหญ่ ๆ อย่าง AFS YFU เขาก็จะมีมูลนิธิในต่างประเทศเป็นของเขาเองเลย
    แต่สำหรับเรา EDU เป็นโครงการเล็ก ๆ AYC(นี่ดูไม่เล็กเท่าไหร่ในไทย?) จะมารวมกันเป็นมูลนิธิเดียวในเนเธอร์ ชื่อมูลนิธิว่า TravelActive หรือ HighschoolHollandค่ะ
    เพราะงั้นนอกจากเพื่อนร่วมโครงการ4คนที่เคยเจอกันแล้วที่ไทย เราก็ได้มาเจอเพื่อนคนไทยจากAYCที่นี่อีกเกือบสิบคนค่ะ

    ค่ายของเนเธอร์แลนด์ จะจัดเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์
    แต่เราบินมาทีหลังกับเพื่อนอีกสามคน เพราะติดปัญหาเรื่องวีซ่าเล็กน้อยค่ะ
    พอมาถึง ก็มีแท็กซี่ที่ทางโครงการส่งมารับที่สนามบิน พาไปค่าย
    (มารู้ทีหลังว่าแท็กซี่เนเธอร์แพงมาก โฮสบอกว่าจากสนามบินไปค่ายนั้น เกินหมื่นบาทค่ะ = =" แต่มูลนิธิเป็นคนจ่าย 555 อ้อ สกุลเงินที่นี่ใช้สกุลเงินยูโรค่ะ อัตราการแลกเปลี่ยนก็ประมาณหนึ่งยูโร = สี่สิบบาทไทย ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ประมาณนี้)

    ด้วยความเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่พยายามจะเฟรนลี่...
    เราก็พยายามพูดอังกฤษกับคนขับแท็กซี่ แต่นางดันฟังเราไม่รู้เรื่อง 555
    เรากับเพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่มาด้วยก็พยายามพูดดัตช์ (พี่ทรายเทพมาก) นางก็ฟังออก
    แต่พอบทสนทนาเริ่มเอ็กซ์เพิร์ทศัพท์ยาก สุดท้ายเราก็พูดอะไรต่อไม่ถูก
    แล้วสุดท้ายเราก็หลับ = =" ไม่รู้เพื่อน ๆ พี่ ๆ ที่มาด้วยหลับหรือเปล่า 555
    นั่งรถนานมากกก สามชั่วโมงได้ ขนาดว่ารถไม่ติด ก็ไม่ได้ตื่นเต้นกับถนนหรือตึกอะไรในเนเธอร์เท่าไหร่นะ 555
    แต่ท้องฟ้าสวยมาก เวลาหน้าร้อน ฟ้าใส ไม่มีเมฆ เหมือนฉากในนิยายไม่มีผิด

    พอไปถึงค่าย...
    เราเจอเพื่อนคนไทยจากอีดียู ก็แทบจะกระโดดกอดทันที แบบดีใจมาก 555
    จากนั้นก็คุยแนะนำตัวกับแอลซี (เจ้าหน้าที่ดูแลประจำท้องถิ่น ถ้าเป็นอเมริกาจะเรียกว่าซีอาร์ค่ะ)
    เรามันเป็นพวกภาษาไม่เทพเท่าไหร่ ส่วนมากถนัดเขียนกับอ่านด้วย
    เป็นคนที่เวลาคุยกับใครก็ตื่นเต้นไปหมด ปัญหาที่เจอคือ 'ฟังชื่อที่คนเนเธอร์แนะนำตัวไม่รู้เรื่อง' = ="
    ซึ่งชื่อคนในค่ายนี้ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะถามเพื่อนเอาได้
    เวลาเขาพูดอะไร ฟังไม่รู้เรื่อง ก็ถามเพื่อนเอา 555 (ไม่แนะนำให้ทำตาม เพราะหลังจบค่าย คือต้องใช้ชีวิตโดยปราศจากคนไทย รีบปรับตัวให้ชินกับภาษาดีกว่าค่ะ ^^)
    แอลซีใจดีมาก ยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องให้ (กระเป๋าเราหนักเวอร์ น้ำหนักเกินมาสิบกิโล จ่ายค่ายน้ำหนักเกินเยอะมาก = = ขอแนะนำว่า ไม่ต้องเอามาเยอะค่ะ พวกเสื้ออะไรงี้ มาซื้อที่นี่สวยกว่า เสื้อแขนสั้นไม่ต้องเอามามาก อากาศร้อนสุดก็ยี่สิบ-ยี่สิบห้าองศา เกินจากนี้ไม่มาก ตอนที่เราไปนี่เป็นหน้าร้อนพอดี แต่ต่อจากนี้จะหนาวขึ้นเรื่อย ๆ จนติดลบ อาจมีหิมะ สลับกับอากาศเย็นธรรมดา จนถึงเดือนกุมภามีนา ก็จะเข้าฤดูใบไม้ผลิ มันก็อุ่นขึ้นมาไม่เท่าไหร่หรอก = = ส่วนพวกครีม สบู่ มาหาซื้อที่นี่เอาก็ได้ค่ะ อาจจะเอามาเผื่อบ้างสำหรับเดือนแรก ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าจะเข้าร้านค้าที่ไหนยังไง แต่ไม่ต้องเยอะมากค่ะ อย่าให้น้ำหนักเกินเลย มันสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุจริง ๆ )

    เด็กแลกเปลี่ยนก็จะมีมาจาก ไต้หวัน(สามคนเอง) อิตาลี(คนเดียว) บราซิล ไทย เบลเยี่ยม(เยอะมาก) ที่เยอะจริง ๆ คือไทยกับเบลเยี่ยมค่ะ เยอะที่สุดแล้ว แต่หลายคนจากเบลเยี่ยมจะมาแค่เทอมเดียว ไม่กี่เดือนก็กลับประเทศ และเบลเยี่ยมส่วนมากจะพูดภาษาดัตช์ได้ดีอยู่แล้วค่ะ (แหงล่ะ ประเทศเพื่อนบ้าน และเบลเยี่ยมแบ่งเป็นสองโซนคือโซนที่พูดดัต กับโซนที่พูดฝรั่งเศส)
    พอเดือนมกราคมก็จะมีเด็กแลกเปลี่ยนมาใหม่ (เรายังไม่เคยเจอเลย แต่เห็นในเว็บ ^^") ก็จะมีมาจากแถบอเมริกา ออสเตรเลียค่ะ

    ห้องนอนในค่ายจะนอนมากสุด8คน ไม่สามารถเลือกเองได้ค่ะ ทางทราเวลจัดให้
    พอเรามาปุ๊บก็เจอเรื่องเข้าเลย....
    อันที่จริง เขาก็คงไม่ได้หาเรื่องอะไรหรอก...มั้ง
    ห้องนอนของเรา มีคนไทยหนึ่งคนนอกจากเราค่ะ นอกนั้นเป็นเบลเยี่ยมทั้งห้อง(หรือมีบราซิลด้วย ไม่แน่ใจ)
    ระหว่างที่เราเก็บของในห้อง กลุ่มเด็กเบลเยี่ยมก็ขึ้นมา
    พอชีเห็นเรา คำแรกที่ชีพูด "โอ้มายก้อด"
    เราก็พยายามจะพูดอังกฤษกับนาง "สวัสดี ฉันต้องนอนห้องนี้เหมือนกัน ฉันเพิ่งมาวันนี้วันแรก ยินดีที่ได้รู้จักนะ"
    เด็กเบลคนนั้น ชีชื่อเอมิลี่ (คนอื่นในกลุ่มเราจำชื่อและหน้าไม่ได้ และไม่สนใจจะจำด้วย = =)

    เอมิลี่ก็ทำหน้าแบบเอียน ๆ เหยียด ๆ (เราอาจจะคิดไปเองจริง ๆ ) "คุณไม่เห็นเหรอว่าห้องนี้เต็มแล้ว ฉันว่าคุณไปนอนห้องอื่นเถอะ"
    ฟีลแรกคือช็อค แน่นอนว่าเตียงไม่เต็ม เตียงมีแปดเตียง แต่เตียงที่ว่างอยู่ พวกนางเอากระเป๋าไปกองรวมกัน = =
    จากนั้นเอมิลี่ก็เดินหาห้องให้ แล้วก็บอก "บางทีคุณน่าจะนอนห้องนี้ได้"
    เราก็บอก "โอเค ฉันจะลองคุยกับแอลซี"

    จากนั้นเราก็ลงไปหาคนไทย เพื่อขอคำปรึกษา
    คนไทย จากโครงการเอวายซี เราไม่เคยเจอมาก่อน (ยกเว้นพี่นนกับพี่ทรายที่เดินทางมาด้วย พี่ทรายนี่ผู้ชายนะคะ) แต่เคยเห็นรูปในเว็บหาโฮสอยู่เหมือนกัน
    ความรู้สึกแรกตอนเห็นหน้าคือ "ช...ใช่แน่เหรอ"
    คือทุกคนดูต่างจากในรูป มากกกกกกกกก! ดูดีกว่าในรูปนะ ไม่ใช่แย่กว่า 555
    ยิ่งพี่แซนดี้ ตอนแรกเรามองว่ารูปพี่แกดูเป็นคนหยิ่งมาก ชื่อเป็นคนฝรั่ง บ้านดูกว้าง(จากวีดีโอแนะนำตัว) สำเนียงอังกฤษดีมาก ๆ แวบแรกเราคิด ถ้าเจอกันเราจะโดนพี่แกเหยียดมั้ยเนี่ย
    แต่หลังจากนั้น พี่แซนดี้ กลายเป็นพี่สาวคนนึงที่เราเคารพหมดหัวใจ แบบนับถือเป็นพี่สาวจริง ๆ เลยค่ะ <3

    เจอพี่แซนดี้ครั้งแรก พี่เขาพูดอังกฤษใส่ "เฮลโล วอทอิสยัวเนม"
    "ชื่อหมิวค่ะ"เราตอบไทยกลับ อ่าาา คือตอนนั้นเขินที่จะพูดอังกฤษนะ ยิ่งแบบเป็นคนไทยด้วยกันด้วย มาเนเธอร์วันแรก จากบ้านครั้งแรก ขอพูดไทยไม่ได้เหรอ T___T
    แต่มาคิดดู พูดอังกฤษเถอะค่ะ เพื่อจะได้ชิน เพื่อจะได้ปรับตัว และแสดงให้ฝรั่งเห็น ยิ่งพูดไทยด้วยกันน้อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งผูกมิตรกับฝรั่งได้ง่ายค่ะ
    ก็มีบางคน ที่เราคุยทางเฟสด้วย อย่างใบเฟิร์น (อยู่ภาคเดียวกันอีกในเนเธอร์) เรามีเพื่อนอยู่เอวายซี(แต่ไปประเทศอื่น แต่ตอนค่ายเอวายซี เขารู้จักกัน) ก็เลยรู้จักเฟิร์น พี่อีฟ พี่ทราย เพราะเป็นเพื่อนของเพื่อน (แต่พวกเขาไม่รู้จักเรา 555)

    กลับมาเรื่องห้องนอน... เราบอกพีพี พีพีบอกให้บอกแอลซี
    แล้วห้องที่ว่างอยู่คือห้องของพี่แซนดี้ ก็เข้าไปขอพี่แซนดี้ว่า พี่คะ ขอนอนด้วยนะ (ทั้งที่จริง คนตัดสินใจจริง ๆ น่ะแอลซี 5555 ต่อให้คนร่วมห้องอนุญาต แต่แอลซีไม่อนุญาต มันก็ไร้ประโยชน์ค่ะ)

    เราก็เดินเข้าไปบอกแอลซีแบบกล้า ๆ กลัว ๆ
    หนึ่งในแอลซีก็เดินขึ้นมาที่ห้องนอนด้วย แล้วก็ตรวจป้ายชื่อหน้าห้องนอน แอลซีก็งง อ้าว มันจะเต็มได้ไง มันยังไม่เต็มนี่
    เราก็บอกไปว่า ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็เพื่อนร่วมห้องเขาบอกว่าเต็ม ฉันควรจะย้ายไปห้องอื่น
    แอลซีก็รอให้เด็กพวกนั้นขึ้นมาแล้วถามข้อเท็จจริง
    ในใจเรานี่แบบแทบจะกรีดร้อง แบบขอย้ายห้องไม่ได้เหรอ มันพูดขนาดนี้แล้ว ถ้ามันถูกบังคับด้วยกฎให้ยอมรับให้เรานอนห้องเดียวกับมันจริง มันคงจะหาเรื่องเราแน่ ๆ = =
    แต่สุดท้าย เด็กนี่ขึ้นมา ก็มีแต่เด็กห้องพี่แซนดี้ค่ะ 555
    ที่จำได้คือ เด็กบราซิลคนนึงชื่อการ์ล่า

    แอลซี : คุณนอนห้องไหน
    การ์ล่า : ห้องนี้ ทำไมเหรอ (ตอบแบบเฟรนลี่)
    แอลซี : หมิวเพิ่งมาวันนี้ จริง ๆ ต้องนอนห้องโน้น แต่เพื่อนร่วมห้องบอกว่าห้องเต็ม
    การ์ล่า : งั้นให้เธอมานอนห้องฉันก็ได้ค่ะ (เปิดประตูห้อง เดินเข้าไป) ห้องฉันเตียงว่างเยอะ เตียงนี้ก็ว่าง เตียงนั้นก็ว่าง คุณเลือกได้ตามสบายเลยนะ
    แอลซี : แต่ว่า...อืม..คุณอยากย้ายห้องจริง ๆ เหรอ
    เรา : ค่ะ! (แน่นอนล่ะ เจอคนที่เป็นมิตรกว่าอย่าการ์ล่าเข้าไป อย่าว่าแต่ห้องนี้มีพี่แซนดี้ด้วย ใครจะไม่อยากย้าย)
    แอลซี : ตกลง คุณไปเอากระเป๋าย้ายมาแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะเช็คชื่อหน้าห้อง ไม่ให้มีใครย้ายห้องโดยพลการอีก (แล้วก็เขียนป้ายชื่อหน้าห้องใหม่ แล้วเอามือถือถ่ายรูปเอาไว้ จะได้เช็คได้ถ้ามีใครมาแอบเปลี่ยน)
    แล้วเราก็หันไปขอบคุณการ์ล่า
    นางก็ตอบมาว่า "ด้วยความยินดี ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย ก็'เพื่อนของฉัน'มีปัญหาอย่างการไม่มีห้องนอน ให้นอนด้วยกันก็ดีนี่นา"
    คือแบบ นางใช้คำว่า "มายเฟรนด์" ซึ่งหมายถึงเรา ><
    เจอเอมิลี่เข้าไปแล้วมาเจอการ์ล่า คนละโลกกันเลยค่ะ!!

    แต่ความจริงเอมิลี่ก็คงไม่ได้ร้ายอะไรหรอก เขาคงจะคิดว่าห้องเต็มจริง ๆ เพราะห้องค่อนข้างแคบ เป็นเตียงสองชั้นสี่เตียง (เอาจริง ๆ มันก็มีที่เหลือ แต่ถ้าคุณรักความสะดวกสบายก็...อืม มันแคบจริง ๆ) เขาคงไม่ได้เหยียดอะไรเรา เพราะพีพีที่้เป็นคนไทยก็ไม่ได้โดนเหยียดอะไร

    แต่พีพีเล่าว่า ตอนกลางคืน พวกนาง ๆ ทั้งหลังถอดเสื้อ เปลือยหัวนมนั่งคุยกันเป็นเรื่องปกติค่ะ =___=
    อืมมม วัฒนธรรมเขา ซึ่งเราอาจจะยังไม่ชิน ถ้าใครไปก็คงได้เจออะไรแนว ๆ นี้ ^^"""
    และห้องนี้ เป็นห้องที่คุยกันดังมากกกก คุยกันทั้งคืน ขนาดเรานอนห้องข้าง ๆ ยังได้ยินตลอด -_- วันท้าย ๆ ที่จะจบค่ายเสียงแก๊งนี้แหบกันมาก จนคืนสุดท้ายนางนอนอย่างสงบกันจริง ๆ 555

    พูดเรื่องคนในค่ายไปคร่าว ๆ แล้ว
    ก็พูดเรื่องกิจกรรมในค่ายบ้าง...
    จะเป็นการแบ่งกลุ่มเรียนค่ะ (ของเราโชคดี ที่ได้อยู่กับคนไทยหลายคน)
    ก็แน่นอน ว่าต้องมีการสอนภาษา มีคำถามจำลองสถานกาณ์ให้เราตอบคำถามเล่น ๆ
    เช่น "ถ้าคุณจะซื้อโน๊ตบุ๊ค คุณจะทำยังไง
    1.สอบถามข้อมูลจากคนรู้จักก่อนตัดสินใจซื้อ
    2.ค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก่อนซื้อ

    ถ้าคุณนัดกับเพื่อน คุณจะเป็นยังไง
    1.นัดที่เดิม ที่ไหนที่นั่น
    2.มีการเดินไปเรื่อย ๆ แล้วโทรถามกันว่าอยู่ไหน"

    ซึ่งคำถามพวกนี้ไม่มีผิดถูกแต่อย่างใดค่ะ แต่ทางแอลซีจะให้คนที่ตอบเเหมือนกันมาพรีเซ้นว่าทำไมถึงตอบอย่างนั้น
    (กลุ่มเรามีสามคน เรา เอมิลี่(บังเอิญ? = =) และอแมนด้า ซึ่งเป็นที่น่าแปลกที่เราตอบเหมือนอแมนด้าทุกข้อ!)
    ตอนคุยกัน เอมิลี่นางก็คุยกับอแมนด้าโดยไม่สนใจเรา เหมือนโลกนี้มีนางอยู่สองคน = = ก็...อาจเป็นเพราะอังกฤษเราอ่อนด้วยมั้ง แต่นางไม่ถาม เราก็เลยไม่พูด (ไม่ควรเอาแบบอย่าง เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนควรพูดเยอะ ๆ ค่ะ แต่ก็ดูกาลเทศะด้วยนะ 5555)
    จนกระทั่งอแมนด้านางเริ่มสังเกตเห็นเรา ก็หันมาถามเรา ขอบคุณค่ะอแมนด้า - -
    จากนั้นก็ออกไปพรีเซ้น คนพูดหลัก ๆ ...เราจำไม่ได้ แต่ไม่ใช่เราอะ 555

    แล้วแอลซีก็จะเฉลยว่า นิสัยคนดัตจะตอบข้อไหนค่ะ (ซึ่งก็แน่นอนว่าไม่ตรงกับคนดัตช์ทุกคนหรอก เหมือนกับคนไทย ที่มีนิสัยหลากหลายต่างกันไป แต่การรู้เรื่องพื้นฐานพวกนี้ไว้ ก็ถือเป็นเรื่องดีที่สุด)

    แล้วก็มีกิจกรรมให้ร้องเพลงประเทศตัวเองแล้วเต้น (คือเป็นเพลงแบบง่าย ๆ ที่ทุกคนรู้จัก เหมือนสมัยอนุบาล "ยกมือขึ้นแล้วหมุน ๆ " ของไทย อะไรประมาณนั้นค่ะ ของเบลเยียมก็จะเป็นการเอามือชี้จมูก ตา ปาก เข่า แล้วร้องเป็นเพลงที่พูดชื่ออวัยวะนั้น) รู้สึกเหมือนไทยจะไม่ได้ร้องนะ แต่เต้นตามเบลเยี่ยม 555 ก็น่ารักดี

    แล้วก็มีการเรืยนเรื่องการบอกเวลาในเนเธอร์แลนด์
    แล้วก็มีกิจกรรม "เล่นไพ่" โดยห้ามพูด ไม่กำหนดแน่นอนว่าเกมนั้นเล่นยังไง ต้องสื่อกันให้ได้โดยไม่พูดว่าจะเล่นกันยังไง คนที่ชนะสองคนในโต๊ะนั้นจะเดินเปลี่ยนกลุ่มไปเรื่อย ๆ (ตอนเล่นนี่อย่างมึน แอบกระซิบกันเองกับฝรั่งด้วยว่า I dont get it คือในกลุ่ม จะมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่ทำตัวเป็นหัวหน้า แล้วชี้ว่าใครได้แต้ม ใครชนะ 555 ไม่งั้นเกมก็ไม่จบอะสิ ถ้าเข้าใจกฎไม่ตรงกัน ส่วนมากก็ปล่อย ๆ ไปนะ เพราะแบบ พูดไม่ได้ มีเวลาจำกัด ไม่รู้จะสื่อสารยังไง ใครชนะใครแพ้ก็ไม่มีผลอะไร -*-)
    โดยกิจกรรมนี้ต้องการจะสื่อเกี่ยวกับ "ต่างความคิด ต่างวัฒนธรรม" ค่ะ ต้องมีการปรับตัว ยอมรับซึ่งกันและกัน


    แล้วก็จะมีการบ้านที่ได้จากมูลนิธิ เป็นแฟ้ม ให้ทำเดือนละบท บทแรกเขียนอังกฤษได้(แต่เราเขียนดัตช์ไป ฝึกภาษาดัตช์ -w-) เอาจริง ๆ มันเป็นการบ้านที่ยากกว่าการบ้านโรงเรียนเสียอีก 5555 ทำเสร็จต้องให้ VCUเซ็น(ซึ่งบางคนก็บอกวีซียูคือครูประจำชั้น(เรียกว่าเมนเตอร์)ที่โรงเรียน บางคนก็บอกว่าวีซียูคือแอลซี แล้วแต่แอลซีของแต่ละคน แต่ของเราวีซียูคือครูประจำชั้นค่ะ)
    การบ้านนี้สำคัญมาก ถ้าไม่ทำไม่ได้ใบจบโครงการค่ะ (เท็จจริงอย่างไรไม่ทราบ เพราะยังไม่จบ 555 แต่ก็ทำ ๆ ไปเถอะ เพราะแอลซีเช็คทุกครั้งที่มาเยี่ยมบ้าน = =)

    โดยส่วนตัว ประทับใจแอเรียล เด็กไต้หวันมาก ๆ >< เว่ยเหว่ยกับยุนเช่ก็เช่นกัน (แต่ยุนเช่ สำเนียงอังกฤษเขาฟังยากมาก)

    เราว่าเด็กแลกเปลี่ยนไทยในรุ่นเรานี่ ทุกคนน่าชื่นชมมาก ๆ (ยกเว้นเรา เรารู้สึกงั้นจริง ๆ = =)
    ทุกคนพยายามคุย ผูกมิตรกับต่างชาติ ขณะที่เราไม่กล้าเท่าไหร่ ทักษะทางภาษาก็อ่อน ที่เราคุยด้วยเป็นพิเศษก็แค่แอเรียลค่ะ(ให้โปสการ์ดไปด้วย ฮ่า ๆ ปลื้มแอเรียลอะ)
    ส่วนเดียร์...เด็กไทยคนนี้ เป็นคนที่สุดยอดจริง ๆ ^^
    เดียร์เฟรนลี่มาก หลังจากจบค่ายนี้ เดียร์ขอเฟสบุ๊คทุกคน แล้วตั้งกลุ่มในเฟสสำหรับนักเรียนแลกเปลี่ยนขึ้นมาค่ะ

    มีเรื่องหนึ่งที่เราว่าน่ารักดี คือการสอนภาษาค่ะ ทั้งศัพท์หยาบ ทั้งศัพท์บอกรัก เป็นแฟนกันมั้ย อะไรงี้ ^^
    ตอนเด็กเบลเยี่ยมเดินพูดว่า "เป็นแฟนกันไหม" ไปทั่วค่าย นี่มันเป็นภาพที่น่ารักมากจริง ๆ 555
    เราก็เรียนศัพท์จากต่างชาติมาเหมือนกันค่ะ (เดียร์เดินพูดทั้งค่ายเลย น่ารัก 5555 ศัพท์จีน)
    ตอนแอเรียลรู้ว่ายุนเช่สอนคำหยาบ แอเรียลแทบจะฆ่ายุนเช่ 5555

    ในคืนนึงก็มีให้ไปดิสโก้ (แต่เราไม่ได้ไปอะ แหะ ๆ เรากลับห้องกับพี่แซนดี้ เราเต้นไม่เก่ง และไม่ค่อยถูกกับงานเลี้ยงแนว ๆ นี้)
    แต่พีพีบอกว่า บรรยากาศคล้าย ๆ สตรีทแดนซ์ (หนังอะค่ะ)
    และ...เดียร์ชอบเต้นและเต้นเก่งมากค่ะ ฮ่า ๆ ชมรมในเนเธอร์เดียร์ก็อยู่ชมรมเต้น
    พีพีบอกว่าเด็กต่างชาติก็ไม่ได้เต้นเก่งอะไรมาก พีพีกับเดียร์เต้นเก่งกว่า 55
    พีพีบอกว่าลากแอเรียลไปเต้นด้วย

    วันก่อนวันสุดท้าย ก็มีให้แสดงวัฒนธรรมประเทศตัวเองบนเวทีค่ะ
    กลุ่มเบลเยี่ยมเต้น อิตาลี(คนเดียว-_-)โยนบอลหลาย ๆ ลูกพร้อมกัน นึกถึงคณะละครอะค่ะ ฟีลนั้นเลย ไต้หวันเขียนอักษรจีน บราซิล...จำไม่ได้ ขอโทษน้าาา รู้สึกว่าจะเต้นเหมือนกัน ส่วนไทย...รำค่ะ 555 บางคนที่มีชุดไทยก็ใส่ชุดไทย ^^

    ส่วนวันสุดท้าย ไม่มีอะไรจริง ๆ รอแยกย้ายไปบ้านโฮส ต้องเก็บของให้เสร็จตั้งแต่กลางคืนค่ะ
    แบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มคนที่โฮสมาแล้วตั้งแต่เช้า กับกลุ่มที่รอโฮสตอนบ่าย (แต่ตอนรอรู้สึกว่าสั้นมากนะ เวลาผ่านไปเร็วมากจริง ๆ )
    เวลานั้นคือแบบใจหาย...พอจะแยกก็แยกแบบไม่ทันใต้ตั้งตัว เราอยู่กลุ่มบ่ายค่ะ
    ก็บอกลาทุกคน กอดกัน อวยพรกัน
    คำพูดของพี่แซนดี้ (ไม่ได้บอกเราหรอก 55)ที่รู้สึกว่าแทงใจดำมาก "ต่อไปนี้ก็อยู่คนเดียวจริง ๆ แล้วนะ อย่าเอาแต่พึ่งคนอื่น สู้ ๆ ทำอะไรด้วยตัวเองนะ โชคดีนะ" อะไรประมาณนั้นแหละ
    เพราะอยู่นี่...เราถามคนอื่นตลอดว่าเขาพูดอะไร เราต้องอยู่ข้าง ๆ คนไทยตลอด ไม่อย่างนั้นจะทำตัวไม่ถูก
    ....

    พอโฮสมา ก็จะมีการเรียกชื่อ ให้นร.แลกเปลี่ยนแต่ละคนออกมาแนะนำตัวเองเป็นภาษาดัตช์
    เราไม่รู้ว่าคนอื่นพูดอะไรยังไงบ้าง แต่สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราตั้งใจไว้มาตลอด และพูดมาตลอดตั้งแต่สอบเข้าโครงการ
    เป็นคำพูดที่มีคน ๆ นึงสอนเรามาเหมือนกัน นั่นคือ
    "จะพยายามเต็มที่ค่ะ"
    (แอบเล่านิด คือตอนสอบเข้าโครงการที่ไทย มีสัมภาษณ์ เราก็ตอบพี่เขาไปด้วยคำตอบนี้ โดนพี่เขาตอกมาว่า "งั้นน้องคงต้องพยายามหนักหน่อยนะคะ" เอ่อออออ เหวอค่ะ 555 แต่ก็นะ สอบสัมภาษณ์ เขาต้องการวัดสภาพจิตใจเรานี่นา ตอนนั้นเราก็ยิ้มแล้วตอบไปว่า "ค่ะ จะพยายามเท่าที่ตัวเองจะทำได้")

    ในภาษาดัตช์นั่นคือ "Hoi, Ik ben Mew. Ik ben 15 jaar. Ik kom uit Thailand. Ik zal mijn best doen in Nederland"
    แล้วเราก็โค้งตัวให้ คล้าย ๆ การไหว้ของคนไทยแบบไม่ยกมือ (จริงๆไม่ต้องทำหรอก ไม่มีใครทำกัน แต่เราติดเป็นนิสัย ที่ต้องก้มหัวให้ใครตลอด จนตอนนี้ก็ยังแก้ไม่หาย)
    ที่อึ้งคือพวกเขาปรบมือ+ยิ้ม บอสของโครงการก็ชูนิ้วโป้งให้ แล้วกระซิบบอกส่วนตัวว่า คุณพูดได้ดีมาก
    เราก็ยิ้ม แล้วตอบกลับด้วยคำพูดประจำ "dank u wel" = ขอบคุณค่ะ

    จากนั้น...เราก็แยกย้ายกันไป
    ของเราประกอบด้วยแด๊ด มัม ซิสคนโตอายุสิบสอง บราอายุสิบเอ็ด ซิสคนเล็กอายุห้าขวบ
    แด๊ด มัม ซิส พูดอังกฤษเก่ง ส่วนบรา...ไม่ค่อยคล่อง และคนเล็ก...ไม่ได้เลย
    แต่ เราก็พูดดัตล้วนตั้งแต่วันแรก (มีอังกฤษบ้าง แหงล่ะ ก็มันไม่เข้าใจอ้ะ = =)
    นั่นทำให้ภาษาดัตเราพัฒนาไวมาก
    ในหนึ่งเดือน ก็ฟังคนดัตช์พูดกันรู้เรื่องแล้ว (เราเขียนนิยาย+ไดอารี่เป็นดัตเพื่อฝึกภาษาด้วย และเพื่อความสนิทใจ หากว่าโฮสต้องการอ่าน แต่ทักษะการพูดเราพัฒนาช้านะ อย่างที่บอกว่านิสัยเราโคตรขี้อายและประหม่ามากเวลาพูด ทั้งที่ถ้าเขียนหรือพิมพ์ล่ะก็ชิวมาก)

    เนื่้อหาต่อจากนี้ก็คงจะเกินจากค่ายแล้ว งั้นพอแค่นี้นะคะ
    สำหรับบทนึง ยาวเกินไปมั้ย?

    ปล.ลืมเล่าอย่างนึง ในค่ายมีวันนึงที่พาขี่จักรยานเข้าเมืองด้วยค่ะ เพื่อให้รู้จักกับการจราจร และพาสัมผัสบรรยากาศในเมือง ที่นี่จักรยานสำคัญมาก ก่อนเดินทางถ้าใครขี่ไม่เป็น ก็หัดไว้ก่อนเถอะค่ะ ย้ำว่าสำคัญมาก!!!
    สำหรับเรา เราขี่เป็น แต่เนื่องด้วยเราเตี้ย = =(ตอนนี้สูงขึ้นเยอะจากตอนไปใหม่ ๆ จริง ๆ ห้าเซนฯได้เลยล่ะ เล่นกีฬาเยอะ นอนเร็ว อยู่ไทยนี่นอนเกินเที่ยงคืนไม่ก็โต้รุ่งตลอด = =) จักรยาน ขาเราไม่ถึงพื้น และตอนแรกเรามีปัญหาในการขี่มาก โคตรอาย =_= แต่ตอนนี้โอเคแล้ว ^^

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×