ตอนที่ 8 : เศษส่วนความเหงา 07
เศษส่วนความเหงา 07
บางครั้งอะไรที่ได้มาง่าย มันก็ใช่ว่าจะอยู่กับเราได้นาน
คุณว่าคนเราใช้เวลาลบความเหงาออกไปได้เมื่อไหร่ ?
1 ปี
1เดือน
1 วัน
หรือ 1 ชั่วโมง ?
ไม่มีคำตอบของคำถามไร้สาระ
ผมถามตัวเองที่นั่งอยู่คนเดียวในห้วงความฝัน ไม่มีใครอยู่เคียงข้าง รอบด้านมืดสนิท ราวกับความฝันคืนนั้นย้อนกลับมาอีกให้หวาดหวั่น มีนาฬิกาทราบของหมอกแตกอยู่ข้างๆ แปรเปลี่ยนเป็นโทรศัพท์ที่หน้าจอร้าวคล้ายหล่นแตก ผมมองมัน น้ำตาไหลอาบแก้ม
หัวใจแตกร้าว
เศษเสี้ยวของมันบาดผิวเนื้อของผม
เลือดสีแดงสด ไหลหยดลงบนพื้น เจิ่งนองแม้แผลจะเล็กจ้อย อาบไล้หน้าจอที่สว่างวาบมีข้อความปรากฏ
S : จะไปก็ไป พี่ห้ามใครไม่ได้หรอก
ผมฝังหน้าลงให้หยาดใสผ่านใบหน้าผสมกับความเจ็บปวดที่โอบกอดอยู่ทั่วร่าง ก่อนที่ความอบอุ่นจะแทรกผ่านให้ผมเรียกชื่อคนด้านหลังที่เดินมากอดผมเอาไว้
เจ้าของบุหรี่ที่ไม่เคยทิ้งไปไหน
ผมจำได้...ทั้งหมด
‘หมอก...ฮึก’
แสงตะวันไล่เลียร่างกายเมื่อยามเช้ามาถึง ดวงตาสีน้ำตาลหม่นหมองกะพริบไล่หยาดน้ำตานองที่ควรจะแห้งเหือดไปตั้งแต่เมื่อคืน ผมปวดไปทั้งหัว ปวดตาก็ระบมช้ำอย่างช่วยไม่ได้
ไม่เคยคิดว่าจะร้องไห้ให้ใครหนักขนาดนี้
แม้แต่ตอนที่พ่อแม่ทิ้งไป ผมยังไม่ร้องไห้
หรือไม่หัวใจก็เป็นฝ่ายแบกรับไว้ทั้งหมด
“อือ...” เสียงลมหายใจเคล้ากับเสียงครางอย่างงัวเงีย รั้งให้หันไปมองคนที่นอนกอดผมอยู่ ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความนิ่งงัน แฝงด้วยความเหนื่อยล้าที่มักซ่อนเอาไว้ ความรุ่มร้อนของอากาศที่หายใจ รินรดอยู่ข้างผิวแก้ม โลมไล้ต้นคอของผม
ผมเบิกตากว้างก่อนจะหรี่ลง
หัวใจเต้นช้าลงแทนที่จะรัวเร็ว
“หมอก”
“…”
“หมอก”ผมเรียกชื่อเขา เสียงแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน ทว่าคนตัวสูงกลับกอดผมแน่นขึ้นอีก ฝังริมฝีปากลงกับเรือนผมที่มีกลิ่นบุหรี่ติดนิดหน่อย เมื่อวานตอนที่รอเขามารับ ผมสูบบุหรี่จัดให้มันทำลายทุกความคิด
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะเจ็บหนักขนาดนี้
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้ดวงจันทร์เหลือครึ่งเสี้ยวในพริบตา
‘จะไปก็ไป พี่ห้ามใครไม่ได้หรอก’
นั่นคือการขับไล่แบบอ่อนน้อม หรือว่ามันคือคำปลอบของคนที่เฝ้าคอยมาตลอดเวลา
ผมเลื่อนสายตามองเพดาน พื้นสีขาวไม่ได้ทำให้หัวโล่งเหมือนควันบุหรี่ ผมจับมือหมอก บีบเบาๆ คล้ายกับส่งผ่านสิ่งที่มี แล้วก็พ่นลมหายใจทิ้ง
ดีแล้วที่ตื่นมาเจอเขา
“ชิน...” เสียงงัวเงียรั้งสายตา “ตื่นแล้วเหรอวะ”
“กูฝันร้าย”
“…”
“ตอนนี้ก็เหมือนกัน” ผมตอบโดยไม่มองหน้า มือไม่คิดจะหยิบมือถือที่สว่างวาบมาดู มันเหมือนกับให้หัวใจได้มากดูบางอย่างหลังม่านน้ำตา
ผมมีสิทธิ์จะไป เพราะเขาไม่เคยขอให้ผมอยู่
เราไม่ได้เป็นอะไรกัน
ก็แค่คนคุย สถานะน้อยกว่าคนรู้จักด้วยซ้ำ
“กูยังไม่ตื่นจากฝันเลย” ผมยิ้มบาง หัวใจรวดร้าวกลายเป็นเศษเสี้ยว บางทีการที่ดวงจันทร์เหลือเพียงครึ่งอาจจะไม่ได้บอกว่าวันนั้นมันข้างขึ้นหรือข้างแรม
แต่บางทีมันอาจกำลังเสียใจ
เสียใจที่โลกใบนี้หันหลังให้กับมัน จับจ้องเพียงดวงอาทิตย์ที่คอยแผดเผา
เจ็บเพียงครั้งเดียวทำให้ผมมองเห็น...นัยแฝงพวกนั้น
“ในฝันมึงมีกูกอดปลอบไหม” เขาถาม ให้ผมหันไปมอง ผมนิ่งคิดสบตากับเขาแล้วพยักหน้า หมอกเอื้อมมือมาเกลี่ยแก้มผม ยกยิ้มบางๆ ที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก “แปลว่ามึงไม่ได้ฝัน”
“…”
“มันคือเรื่องจริง” ผมอ่านมันไม่ออก ทว่าเขากลับมองผมทะลุทั้งหมด “เพราะกูกอดมึงอยู่ตรงนี้ มึงตื่นแล้ว มึงไม่ได้ฝัน”
“หมอก”
“อรุณสวัสดิ์ ชิน” คำพูดนั้นทำให้ผมชะงัก หัวใจที่เคยเชื่องช้ากลับมาสั่นไหวอย่างรุนแรง เขายิ้มกว้าง มองผมด้วยความห่วงใยระคนอ่อนโยน จ้องลึกเข้ามาค้นหาตัวตนที่ต้องการปลอบโยน มือหนาเลื่อนมากอดผม รวบตัวผมเข้าวงแขน สัมผัสกลิ่นอายอันอบอุ่นพัดพาความหนาวให้เลือนหายไปกับสายลม
ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขา
มันเต้นดัง บอกถึงการมีชีวิต
เหมือนกับผมที่หัวใจถูกกรีด แต่ก็ยังหายใจปกติ
ทว่าเรื่องที่ทำให้ผมยิ้มกลับไม่ใช่เรื่องที่ยังมีชีวิต แต่เป็นเรื่องเสียงหัวใจของพวกเรา
มันเต้นในจังหวะเดียวกัน…
โดยบังเอิญ
“อืม เหมือนกัน ขอบคุณที่กอดกูนะ หมอก”
ผมมองนาฬิกาทรายถูกกลับหัว เม็ดทรายนับล้านตัวร่วงลงสู่อีกฝั่ง ผ่านช่องแคบเล็กๆ ที่ถ้าไม่สังเกตคงมองไม่เห็นมัน นั่นคืออุปสรรคเดียวสำหรับเจ้าของเล่นชิ้นนี้ ผิดกับมนุษย์ที่มีสิ่งกีดขวางเป็นพันชิ้น และบางสิ่งก็ไม่มีทางออกให้แก้ปัญหา
ผมคือหนึ่งในนั้น ปัญหาของผมคือความเหงา
มันไม่เคยหายไป มีแต่เพิ่มพูนขึ้นทุกนาที
“ยังไม่ลุกจากเตียงอีกเหรอ”
“อะ...”
“มึงมีเรียนเช้าไม่ใช่หรือไง”หมอกเดินเช็ดหัวออกมาจากห้องน้ำ กล้ามเนื้อเรียงตัวสวยพราวไปด้วยหยาดใส เขามองผม ย่นคิ้วใส่ขณะเหลือบมองนาฬิกาเหนือประตู “นี่มันเจ็ดโมงกว่าแล้วนะ มึงควรลุกได้แล้ว เดี๋ยวก็ไปไม่ทันพอดี”
“มึงจะไปก่อนก็ได้นะ กูไม่รีบเท่าไหร่”
“ช่วยหัดเกรงใจเสื้อผ้ากับอาหารเช้าที่กูเตรียมให้ด้วย” ว่าอย่างหงุดหงิดเป็นภาพที่เห็นจนชินตา “ไปอาบน้ำแล้วลุกมากินข้าว กูไม่อยากถูกเช็คขาดแบบคราวที่แล้ว”
ผมยิ้มมองคนที่หยิบเสื้อผ้าที่ครั้งหนึ่งเคยเอามาฝากไว้ห้องผมขึ้นมาใส่ ถอนหายใจพร้อมกับเดินออกไปจากห้อง ทิ้งผมยันตัวเองขึ้นมามองความว่างเปล่า หันกลับมาสนใจนาฬิกาทรายอีกครั้ง ตอนนี้ด้านบนเหลือเม็ดทรายไม่มาก ไม่นานนักก็หมดลง
แต่ชีวิตผมยังคงต้องเดินต่อไป
“อรุณสวัสดิ์ชิน วันนี้ก็เหงาเหมือนเดิมเลยนะ”
เสียเวลาไปกับการอาบน้ำประมาณยี่สิบนาที แล้วก็การกินข้าวอีกยี่สิบ ผมมีเรียนตอนแปดโมงครึ่งซึ่งตอนนี้ก็แปดโมงกว่า เราควรถึงมหาลัย ไม่ใช่มานั่งกลอกตาใส่รถยนต์มากมายบนท้องถนน เกือบชั่วโมงที่นั่งอยู่บนรถ
วันนี้ก็คงเข้าสายเหมือนเดิม
“กูบอกแล้วให้รีบ”
“ก็บ่นแบบนี้ทุกวัน”
“ฟังแล้วก็ไม่ปรับตัวด้วยนะ”
“ก็กูไม่รีบเท่ามึง”คำตอบของผมทำให้อีกคนอยากโขกหัวกับพวงมาลัย ผมยิ้มขำ ไหวไหล่พร้อมเท้าคางกับขอบหน้าต่าง มองดูการจราจร และคนที่เดินอยู่บนฟุตบาท ผู้คนมากมายเดินผ่านกันไปมา บางคนรีบมากจนต้องออกตัววิ่ง บางคนก็ติสต์ทำเป็นเดินฟังเพลงไปเรื่อย บางคนก็นั่งกดโทรศัพท์ไม่เงยหน้ามองใครทั้งนั้น
เว้นพวกที่มาด้วยกัน พวกเขาจะหันหน้าคุยกันราวกับโลกนี้มีเพียงเราสองคน
ความรัก ความน่าเอ็นดู คือสิ่งที่ทุกคนโปรดปรานไม่เว้นแต่ผมเอง
แต่ตอนนี้มันอาจทำให้ผม...อยากหลีกหนีมากที่สุด
ครืน
มือถือในกระเป๋าสั่นเรียกสติ ส่งผลให้ผมหยิบมันขึ้นมาดูก่อนจะนิ่งไป ข้อความจากแชทบนสุดขึ้นเลขสองเพื่อให้รู้ว่าใครบางคนส่งข้อความมา
S : อรุณสวัสดิ์
คนเดียวกับเมื่อวานที่ยังไม่ได้ตอบแชทเขาจนถึงตอนนี้
S : งอนเหรอ
“คุยกับพี่เขาเหรอ”
“อะ...” คำถามนั้นทำผมสะดุ้ง เลื่อนสายตาไปสบกับคนที่เลิกคิ้วอย่างสงสัย ผมยกยิ้มกลับมามองหน้าจอก่อนจะตอบไป“กูยังไม่ได้ตอบเขาเลยตั้งแต่เมื่อวาน”
“เพราะงี้ใช่ไหมมึงถึงร้องไห้”
“…”
“เขาทำอะไรมึง”
“เขาไม่ได้ทำ” สวนกลับยิ้มรับอย่างแผ่วเบา “เขาไม่ได้ทำ”
หมอกนิ่งไม่เข้าใจที่ผมสื่อ มันคือเรื่องจริงตามที่ผมพูด พี่เอสไม่ได้ทำให้ให้ผมร้องไห้ มีแค่ผมที่ทำตัวเองเท่านั้นที่ทำตัวเองร้องไห้
อาจเพราะเมื่อวานผมเรื่องอะไรมากมาย เลยอ่อนแอตอนเขาตอบว่า
‘จะไปก็ไปสิ’
ผมเคลื่อนสายตาออกไปมองหน้าต่าง ความรู้สึกนั้นกลับมาเล่นงานอีกครั้ง ความรู้สึกวูบโหวงเวลาที่กดอ่านข้อความที่เราเคยคุยกัน
แรกๆ สนุกสนานจนกระทั่งเมื่อวาน
บทสนทนาก็เริ่มเปลี่ยนไป
7.15
S : อรุณสวัสดิ์
8.20
S : กินข้าวหรือยัง
9.30
S : วันนี้เรียนเช้าเหรอ
11.02
S : ชิน
13.59
S : ฮัลโหล
14.50
S : โกรธอะไรพี่หรือเปล่า
และจุดเริ่มต้นที่ทำให้หัวใจผมอ่อนแรงลง
17.50
CHIN : อย่าดื่มหนักนะครับ พี่ทำงานหนักติดต่อกันควรจะนอนพักเยอะๆ
CHIN : ระวังตอนขับรถด้วยนะครับ ถ้าเมาก็กลับแท็กซี่
CHIN : สนุกได้ก็ต้องระวังตัวด้วย
17.52
S : รู้แล้วน่า ไม่ต้องห่วงหรอก
S : พี่โตแล้วนะ ไม่ใช่เด็ก
17.55
S : เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่ไปฉลองกับบริษัทอีก มีสัมมนาต่างจังหวัดด้วย
S : คงไม่ค่อยตอบข้อความเท่าไหร่
S : ยังไงก็ไม่ต้องรอนะ ชิน
17.59
CHIN : พูดแบบนี้ ระวังผมหนีไปนะ
18.00
S : จะไปก็ไปสิ พี่ห้ามใครไม่ได้อยู่แล้ว
19.30
S : งอนเหรอ
08.00
S : อรุณสวัสดิ์
“กูไม่รู้จะตอบอะไรตอนเขาถามว่างอนเหรอ”
“แล้วมึงงอนเขาหรือเปล่าล่ะ”
“กูลืมไปแล้ว”ผมโกหก เฉยเมยไร้ความรู้สึก ผมอยากหลุดจากฝันร้าย แม้หมอกจะยืนยันว่านี่ไม่ใช่ความฝัน การตื่นขึ้นมาเจอเขานอนกอดอยู่เป็นเรื่องจริง แต่ลึกๆ ในใจ ผมก็ยังคงอยากให้มันเป็นแค่ความฝัน ที่ตื่นมาแล้วพบว่าข้อความนั้นหายไป
เขาทำให้ผมเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อแม่ถึงแยกทางกัน
ความรักมันถูกทอนลงด้วยถ้อยคำ กลายเป็นความเหงาที่หนักขึ้นกว่าเดิม
“มึงรู้สึกแย่อีกแล้วเหรอ”
“เปล่า กูไม่ได้รู้สึกแย่”
“…”
“ก็แค่ความรู้สึกที่หาทางออกไม่เจอ” คำตอบเหมือนกวนประสาท แต่มันคือความจริง ผมไม่รู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้คือความรู้สึกแบบไหน มันวูบโหวงคล้ายอะไรหายไป
แต่อีกใจ...
ผมก็ยังเลือกที่จะมองข้ามมันไปอยู่
Chin : เช่นกันครับ
ในคลาสเต็มไปด้วยบรรยากาศหม่นหมอง สายฝนลงละอองเคล้ากับไปเสียงอาจารย์หน้าห้องที่สอนวิชาหลัก หูของผมฟัง แต่หัวของผมไม่ได้คิดตาม ผมเอาแต่สนใจหยาดน้ำด้านนอก และเมฆหมอกอันน่ากลัว
“ชิน อาจารย์มองอยู่นะ”
“หืม ?”
“จดเร็ว” เพื่อนด้านข้างกระทุ้งแขน รั้งผมให้กลับมามองสไลด์ที่ไม่รู้ว่าถูกเปลี่ยนไปกี่หน้า แอบสบตากับอาจารย์หน้าห้องที่เพ่งเล็งเช่นทุกวัน ผมยิ้มให้เขาหยิบปากกามาจดตาม ความเร่งรีบทำให้มันเกือบอ่านไม่ออกกลายเป็นลายมือหมอทั่วไป
“การเป็นแพทย์ มันต้องการความใส่ใจ”
“…”
“และโอกาสมันไม่ได้มีให้แก้ตัวบ่อย”
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแซะใคร
เสียดายที่วันนี้มันไม่มีผลกับผมเท่าไหร่ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ไม่ย้อนกลับหรือวนเวียน พอสอนเสร็ก็ยกมือไหว้หลังจากที่เขาเดินออกไป
ตามมารยาท
“ไปกินข้าวด้วยกันไหมชิน”
“เราว่าจะไปสูบบุหรี่”
“อ่า...งั้นแล้วเจอกันนะ” ผมโบกมือลากลุ่มเพื่อนที่เคยทำงานด้วยกัน ยกยิ้มเบาบางจนถ้าไม่สังเกตคงไม่รู้ สามเหล่มามองผมดู ชักชวนผ่านสายตา ทว่าผมกลับส่ายหน้า
ให้ผมได้อยู่คนเดียวเถอะ
ติ๊ง !
เสียงข้อความไม่ได้ทำให้ผมกระตือรือร้นที่จะหยิบขึ้นมาดูเช่นทุกวัน ผมเดินออกจากคลาส หยิบบุหรี่มาคาบและจุดไฟ อัดนิโคตินเข้าไป ให้สารพิษมันทำลายเซลล์ในร่าง เหม่อลอยอยู่กับบรรยากาศให้ควันสีขาวอบอวลทั่วตัว
พอรู้สึกว่าหัวมันโล่งก็หยิบมือถือขึ้นมา
S : เรียนเป็นไงบ้าง
S : ไม่เห็นมาเล่าให้พี่ฟังบ้างเลย
อ่านแมสเสจนั้นผ่านๆ นึกขำราวกับอ่านเรื่องตลก ผมปล่อยควันสีขาวให้สายลมพัดผ่านไป สูดหายใจเข้าคิดอยู่นานว่าควรจะตอบอะไรกลับไป
จู่ๆ ผมก็เบื่อกับบทสนทนาเหล่านี้ ทั้งที่เมื่อวานผมยังอินกับมัน
Chin : ก็ดีครับ ไม่มีไร
Chin : พี่พักแล้วเหรอถึงตอบได้
S : อืม พักแล้ว แต่เดี๋ยวต้องรีบไปดูงานต่อ
S : ขอโทษนะที่ไม่ค่อยมีเวลาคุยด้วยเลย
ผมยิ้มแม้ใจจะไม่ยิ้มตาม ไม่โทษอีกฝ่ายหรอกที่ไม่มีเวลาให้ เขาทำงาน แถมยังมีสังคม มนุษย์ก็ต้องไปกับแสงสีเป็นธรรมดา เพียงแค่ผมมีจุดที่ทำให้เสียศูนย์ไป
และรอยด่างมันก็ลบออกได้ยากเหลือเกิน
Chin : ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเข้าใจ
Chin : เอาไว้ว่างแล้วค่อยคุยกันนะครับ
ผมตัดบทไม่เหลือเยื่อใย ผมคิดว่าตัวเองควรจะปัดป่ายหมอกหนานี่ออกไป
ผมจะได้เห็นอะไรมากขึ้นสักที
ผมลงมากินข้าวคนเดียวที่โรงอาหาร คนมากมายรายล้อมพยายามชวนคุยกันตามประสา ผมก็ตอบบ้างเท่าที่ฟัง อะไรที่ไม่ได้ฟังก็เงียบไป ส่วนใหญ่คือนั่งกินข้าวเอื่อยๆ ฟังเพลงที่ชอบไปเรื่อยๆ
11 (ปีแสง) ของ Jetset’er เป็นเพลงโปรดของผมเลย
‘เพลงนี้เพราะนะ ผมชอบฟัง’
‘พี่โหลดใส่ Playlist แล้ว สัญญาจะฟังทุกวัน’
‘ขอบคุณนะพี่ชอบมากเลย’
‘ดีใจที่ชอบนะครับ’
เนื้อเพลงสอดประสานเข้ากับความทรงจำให้ผมยิ้มขำ เมื่อช่วงต้นเดือนผมส่งเพลงนี้ให้อีกคนฟัง แล้วมันก็ไปถูกไทป์อย่างมากจนต้องฟังทุกวัน ถามว่ารู้ได้ยังไง คงเพราะอีกคนอัดตอนเปิดเพลงส่งมามั้ง แล้วก็ชอบบอกว่ามันเพราะอย่างนั้นเพราะอย่างนี้
เรียกรอยยิ้มได้ดีเลยล่ะ
“ไอ้ชิน”
“หมอก”
“มึงจะเรียนบ่ายแล้วไม่ใช่เหรอ มัวทำห่าอะไรอยู่”เจ้าของใบหน้าคมเข้มเอ่ยถามขึ้น พลางเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นว่าผมยังนั่งอยู่ในโรงอาหาร ผมสะดุ้งย่นคิ้วไม่เข้าใจ กวาดตามองรอบข้างก็พบว่าพวกเขาหายไปหมดแล้ว
ก้มมองนาฬิกาก็พบว่าเหลืออีกสิบห้านาทีคลาสบ่ายจะเข้าเรียน
“กูเหม่อไปหน่อย”
“ไม่หน่อยแล้ว มึงรีบกินเลยเดี๋ยวไม่ทัน”
“แล้วมึงมาทำอะไรที่ตึกแพทย์ ?”
“ก็มาดูมึงไง มีสายรายงานข่าวว่ามึงเหม่ออีกแล้ว”ผมเอียงคอมองอย่างสงสัย ทว่าอีกคนกลับถอนหายใจไม่อธิบาย “ไม่ต้องมามอง รีบกินเลยไอ้สัส มึงจะต้องให้กูบอกทุกอย่างเลยหรือไง”
“ทำตัวยิ่งกว่าชาอีกนะ”
“มีน้องแบบมึงกูคงฆ่าตัวตาย” หมอกประชดหลุบตามองผมที่เริ่มกินข้าวคำใหญ่ เขาส่งน้ำที่ซื้อติดมือมาให้ พ่นลมหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย “ไม่ต้องรีบขนาดนั้น เดี๋ยวติดคอตายพอดี”
“เมื่อกี้มึงบอกให้รีบ”
“ไม่ต้องมาประชดกูเลย” ผมยิ้มรับน้ำมาดื่มดับกระหาย แอบเหล่มองคนที่กวาดตามองผมราวกับมีอะไรในใจ ให้ผมดักคอเล่น“จับผิดอะไรกูอีกล่ะ”
“เปล่า” เขาส่ายหน้า เผลอชะงักไปเล็กน้อยตอนผมแซะ “กูแค่ดูว่ามึงโทรมแค่ไหน”
“…”
“แค่คืนเดียวยังร้องไห้เหมือนจะตาย ถ้าคบกันไปไม่ยิ่งแย่เหรอวะ” คำพูดนั้นทำผมนิ่งงัน น้ำที่ดื่มอยู่นั้นถูกวางลงพร้อมรอยยิ้มบางๆ “ถ้ามึงรู้สึกไม่ดีมึงบอกกูได้นะ มันดีกว่ามึงเก็บไว้คนเดียวแบบนี้”
“กูไม่เป็นอะไรหรอกหมอก มันเรื่องปกติ”
“แต่เขาดูแลมึงไม่ดี”
“เขาไม่เคยดูแลกู” สวนกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะยิ้มคล้ายสมเพช
จะให้พูดยังไงในเมื่อมันคือเรื่องจริง
“มีแค่มึงที่ดูแลกู” หัวเราะเบาๆเพื่อไม่ให้สถานการณ์มันตึงเครียด แม้ว่ามันจะไม่ช่วยเท่าไหร่ก็ตาม หมอกเอื้อมมือมาลูบหัวผมปลอบประโลมคล้ายลูกหมา มันทำให้ผมทอนรอยยิ้มลงแล้วคิดว่า...
ถ้าพี่เขาทำ มันจะอ่อนโยนแบบนี้ไหม
“ไปเรียนเถอะไป เดี๋ยวตอนเย็นกูมารับ”
“วันนี้เราไปดื่มกันดีไหมวะ”
“มึงอยากเมาเหรอ”
“เปล่า กูอยากลืม”
“…”
“ลืมความรู้สึกที่เขาทิ้งไว้ให้”
“…”
“กูเหงามากเลยมึง”
พูดคุยเรื่องนิยายที่แท็ก
ติดแท็ก #เศษส่วน52Hz
ติดตามนักเขียน ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อยากมีหมอกเปนของตัวเองบ้างอ่ะ ฉันเขิลล ถ้าชินคบกะหมอก ง่อยแน่ๆ แต่เค้าก็รักของเขาอ่ะเนอะ
สองคนเติมเต็มกันและกันได้ดีออก
เข้าใจยากทั้งคู่นะเนี่ย ต่างคนต่างมีกำแพงกล่องหัวใจจริงๆ
//อินเกิ๊น😂
รักหมอกจัง
แต่เราก็ยังไม่เลือกเดินออกมา
เข้าใจความรู้สึกของชินนะ คุยแบบนี้ -คนรู้สึกก็รู้สึกไปสิ ส่วน-คนไม่รู้สึกแม่งก็ไม่เคยรู้สึกอะไร เจ็บเ-ี้ย ๆ