ตอนที่ 4 : เศษส่วนความเหงา 03
เศษส่วนความเหงา 03
ผลักไสสู่ฝันร้าย ฉุดดึงเข้าฝันดี
ความตลกอยู่ที่แม้จะลืมตาตื่นอีกกี่ครั้ง ฝันนั้นก็ไม่จบลง
ผม...ฝันร้าย
ในภาพความฝันผมถูกทิ้งให้นั่งกอดเข่าอยู่ท่ามกลางความมืด ฟังเสียงสะอื้นกับนาฬิกาทรายที่หล่นแตก ผมไม่คิดว่าตัวเองเสียใจกับเรื่องนั้น บางทีผมอาจจะเสียใจกับเวลาของมัน
ผมเสียเวลาไปกับมัน เนิ่นนานจนจำไม่ได้ว่าการรอคอยนี่มันเริ่มต้นเมื่อไหร่
ผมได้แต่นั่งกอดเข่า ฟังเสียงตัวเองร้องไห้ ในฝันผมไม่มีใคร
และนาฬิกาทรายก็กลายเป็นโทรศัพท์ที่หน้าจอมันร้าวยิ่งกว่าเศษแก้ว ผมก้มมองมัน พลันน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม รอยร้าวพวกนั้นผ่านทับข้อความที่ส่งมา
S : พี่ไม่อยากเจอเรา
“เฮือก !” ผมสะดุ้งตื่น ร่างกายหอบหนัก หัวใจเต้นแรงไม่เป็นส่ำขณะกวาดตามองรอบห้องที่มืดสนิทจนต้องเปิดไฟหัวเตียงก่อนเป็นอันดับแรก ยกมือขึ้นจับแก้มสำรวจว่าหยาดใสไหลรินเช่นในฝันหรือเปล่า ทว่าก็ไม่พบอะไรนอกจากเหงื่อกาฬที่ไหลท่วมตัว
และหน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบ ปรากฏข้อความจากคนในความฝัน
S : ฝันดีนะ ชิน
ตอกย้ำว่าผมฝันไปเอง
ผมถอนหายใจ โล่งอกที่เขาไม่ได้ตอบอะไรทำนองนั้น หน้าจอมือถือก็ไม่ได้ร้าวสักพักก็ดับเพราะไม่มีใครไปกดมัน ผมไม่ได้ตอบข้อความพี่เขา เลื่อนสายตามองนาฬิกาเหนือประตูที่บอกว่าตอนนี้เที่ยงคืนกว่า
และไอเทมเจ้าปัญหายังคงวางนิ่งอยู่ที่เดิม
นาฬิกาทรายที่หมอกซื้อให้มันยังไม่แตก
“คิดมากไปหรือเปล่าวะเนี่ย” ผมพึมพำเสยผมที่ชื้นเหงื่อไปด้านหลัง ลูบหน้าตัวเองพลางคิดว่าควรจะเดินไปหาหมอกที่ห้องดีไหม ผมปล่อยเท้าลงข้างเตียง เปิดประตูเดินออกไป
ห้องของผมกับหมอกมีประตูที่เชื่อมถึงกันได้
ผมยังเห็นแสงสว่างรอดผ่านมาจากช่องประตู
“ยังไม่นอนเหรอ” ผมถามกับตัวเองแปลกใจที่อีกฝ่ายยังไม่นอน เลยแอบเปิดประตู แง้มดูว่าเขากำลังทำอะไร ร่างสูงง่วนอยู่กับโน้ตบุ๊คตัวใหม่ รันอะไรเต็มหน้าจอไปหมด ส่วนใหญ่เป็นรูปภาพไม่ก็วิดีโอ มีของตกแต่งอีกหลายอย่างไม่ต่างจากพวกถาปัตย์ที่นั่งตัดโมทั้งวันทั้งคืน
“เหนื่อยชะมัด”
เขาปิดปากหาววอด ยืดเส้นยืดสายความเมื่อยล้า ลูบหน้าลูบตาแล้วจับจ้องหน้าจอต่อ ปลายนิ้วเรียวเคาะกับคีย์บอรด์ พิมพ์อะไรเหยียดยาวที่ผมมองไม่เห็น
ผมยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก
อยากเดินเข้าไปให้เขากอดปลอบ แต่พอเห็นงานเยอะขนาดนั้นผมก็เลยเลือกที่จะปิดประตูลง
เดินกลับมาที่ห้อง หยิบมือถือขึ้นมากดโทรออก
เสียงรอสายทำให้หัวใจผมแอบหวั่น ผมกลัวว่าปลายสายจะไม่รับ เพราะนี่มันก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว ถ้าไม่มีเหตุด่วนจริงๆ โทรไปเวลานี้ย่อมโดนต่อว่า
แต่คนเราถ้ากลัวอะไรมากๆ สิ่งเดียวที่จะทำให้เราหายกลัว...
ก็คือสิ่งที่เรากลัว
(ฮัลโหล)
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นอย่างงัวเงีย มันทำให้ผมยิ้มอย่างโล่งอก ถึงอย่างนั้นก็ต้องพ่นลมแล้วเม้มปากแน่นอย่างประหม่า
“พี่เอส...นอนแล้วเหรอ ?” ได้ยินเสียงครางงึมงำ ทำเอาผมรู้สึกผิด “ขอโทษนะที่โทรหาตอนนี้ แต่ผม...ไม่รู้จะทำไง”
(เป็นไร ชินมีอะไรหรือเปล่า)
“…”
(ฝันร้ายเหรอ ?)
ผมหลุบตาต่ำ แปลกใจเล็กน้อยที่เขาอ่านใจผมได้ หรือไม่บางทีเขาอาจจะจำได้เพราะก่อนหน้านี้ผมก็เคยไลน์หาเขาตอนฝันร้ายเหมือนกัน
แล้วเขาก็โทรมา ปลอบขวัญให้คืนสติ
ทุกคำพูดทำให้ผมยิ้มเหมือนวันนี้
(โอ๋เอ๋นะคนดี ชินจะไม่เป็นไร)
กึก !
(พี่อยู่นี่ ไม่ต้องกลัวนะคนเก่ง)
ผมยิ้มกว้างรู้สึกปลอดภัยแม้เขาจะไม่ได้อยู่ตรงนี้ ผมเคยจินตนาการว่าถ้าผมฝันร้ายตอนเราเจอกัน เขาจะทำยังไงให้ความกลัวผมหายไป
จะจูบหน้าผาก
จะหอมแก้ม
หรือจะกอดเหมือนที่เคยบอกเอาไว้
ผมอยากรู้มันทั้งหมด ทว่ามันก็ต้องสลายทุกครั้งที่เขาปฏิเสธคำเชื้อเชิญให้มาเจอกันของผม กระทั่งวันนี้ที่เขาชวนให้เรามาเจอกัน
มันเหมือนเราเทน้ำลงบ่อทราย แล้วมันใกล้เต็มเพราะเราเอาทรายใส่ขวดไว้
ผมกำลังมองดูน้ำในขวดนั้นผ่านม่านตาที่ใกล้จะปิดลงเต็มที ขยับตัวลงนอน เบียดแก้มลงกับหมอน ฟังเสียงลมหายใจของคนที่หลับไปก่อนแล้ว
เลยไม่ทันได้ยินความปรารถนาที่ผมพูดออกไป
“ผมอยากให้พี่อยู่ตรงนี้”
(ฟี้...)
“พี่เอส...” ผมเรียกเขาแม้จะรู้ว่าเขาไม่ได้ยิน เหลือบมองนาฬิกาทรายที่หมอกซื้อให้ก่อนจะยกยิ้ม คำบอกลาสุดท้ายถูกกลืนลงท้องไปโดยไม่มีการตัดสาย ผมนอนอยู่อย่างนั้น ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนที่เข้าไปรออยู่ในความฝัน
สัญลักษณ์ที่บอกว่าคืนนี้เราจะฝันด้วยกัน
และปล่อยคำพูดสุดท้ายออกมา ก่อนจะให้ความมืดมิดครอบงำดวงตาอีกครั้ง
“ฝันดีนะครับ”
ตอนเช้ามาไวกว่าที่ผมคิด
แสงแดดยามเช้าไล่เลียร่างกายตั้งแต่ยังไม่ตื่นนอน มันกระทบกับเปลือกตาบางให้ย่นคิ้วนิดหน่อยอย่างหงุดหงิด พลิกตัวมาอีกด้านก็ได้ยินเสียงบางอย่างตก
ตุ้บ
มันดังพอที่จะทำให้ผมปรือตาหันกลับมามอง
หน้าจอแสดงการโทรออกของแชทที่ผมโทรหาเมื่อคืน
“พี่เอส” ผมพึมพำเอื้อมไปหยิบมือถือขึ้นมาถือ กวาดตามองดูจำนวนชั่วโมงที่เราเสียไปโดยไม่พูดอะไรกัน นอกจากนอนฟังเสียงลมหายใจของกันและกันตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
ผมแปลกใจที่เขาไม่กดตัดสาย ทั้งที่ประจำเขาจะเป็นฝ่ายทำก่อน
พอเอามาแนบหู ผมก็ยังได้ยินเสียงลมเข้าออก แสดงให้เห็นว่าเขายังไม่ตื่น
“เจ็ดโมงแล้วนะครับ ตื่นได้แล้ว”ผมกรอกเสียงลงตอนเหล่มองนาฬิกา ตอนนี้เจ็ดโมงกว่า อีกไม่นานผมต้องไปเรียน “พี่ต้องไปทำงานแล้วนะ เดี๋ยวเจ้านายก็บ่นหรอก”
(อือ...ขออีกห้านาที)
“พี่เอส”ผมหัวเราะ ผมไม่เคยคุยกับพี่เขาเช้าขนาดนี้เว้นในแชท เราไม่ค่อยได้โทรหากันเท่าไหร่เพราะต่างคนต่างยุ่งกันมาก
ผมปีสาม ส่วนเขาทำงาน
ช่วงเวลาของเรามีมากกว่าที่จะเป็นเส้นขนาน
มันคือเส้นที่จะไม่มีวันบรรจบกัน เว้นเสียเราตัดโค้งมัน ให้เส้นทางเบี่ยงตัว
(อือ...ไม่อยากไปทำงานเลย)
ผมได้ยินเขาบ่น เสียงยังไม่ตื่นดีเท่าไหร่
(โดนบ่นอีกแน่)
“งั้นก็รีบเถอะครับ ผมเองก็จะไปเรียนเหมือนกัน”
(ชิน)
“ครับ ?”
(อรุณสวัสดิ์นะ)
ผมยิ้มหัวใจเต้นถี่กับถ้อยคำที่เปล่งด้วยเสียงทุ้มต่ำ ครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่เราคุยกัน เขามักจะบอกคำนั้นผ่านตัวอักษรเสมอ แต่วันนี้มันถูกส่งผ่านน้ำเสียงที่ผมตกหลุมรัก
มันทำให้ผมหลุบตาต่ำ ตอบรับด้วยความดีใจ
“อรุณสวัสดิ์ครับ พี่เอส”
ผมเดินยิ้มออกมาข้างนอกหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ กวาดตามองดูร่างสูงที่ง่วนอยู่กับการทำอาหารเช้า นมกล่องใหญ่ที่เราซื้อมาแชร์กันวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว มีแก้วเปล่าสองใบที่ถูกตกแต่งโดยคนหัวศิลป์ แก้วนึงสีฟ้า มีชื่อผมติดพร้อมกับลวดลายแบบลายไม้ ส่วนอีกอันเป็นสีม่วงเหลือบเทา
เป็นสีของหมอกเคล้ากับชื่อเขาที่ผมเขียนด้วยตัวเอง
“มึงตื่นเร็ว” นั่นคือคำทักแรกตอนที่ผมหยุดยืนอยู่ตรงโต๊ะ “ฝันร้ายเหรอ ?”
ผมชะงักตอนโดนอ่านใจ หมอกไม่ได้หันมามองผมด้วยซ้ำ แต่คิดว่าคงจะเดาจากประสบการณ์ที่มี
ประจำเขาจะเป็นฝ่ายไปงัดผมลุกจากเตียงตอนทำอาหารเสร็จ ถ้าวันไหนตื่นก่อนเขามาปลุกแปลว่าวันนั้นผมฝันร้ายจนไม่กล้าหลับ
เมื่อคืนผมก็เป็นแบบนั้น ฝันร้ายจนหลับไม่ลง
แต่ผมได้พี่เอสช่วยไว้
เขาขับไล่แล้วพาเราเดินจับมือกันในความฝัน
มันทำให้ผมตื่นเร็วกว่าทุกวัน เพื่อมาฟังเสียงลมหายใจของเขา
“ไม่เชิง”ผมส่ายหน้าหลังจากเงียบไปนาน “ฝันร้ายก็มีฝันดี”
“ไม่เห็นมึงมาหากู”
“มีคนปลอบกูแล้ว”
หมอกชะงักก่อนจะทำอาหารต่อ คาดว่าน่าจะเดาออกว่าใครคือคนที่ผมกำลังพูดถึง
“เขายอมคุยกับมึงด้วย ?”
“กูก็แปลกใจเหมือนกัน” ผมหัวเราะเบาๆ ทิ้งตัวลงนั่งขณะรินนมใส่แก้ว “แต่มันก็ดี อย่างน้อยกูก็ไม่ติดใจเรื่องเขา”
“แปลว่ามึงฝันร้ายเรื่องเขา”
ผมยิ้ม ไม่ได้ตอบกลับ ยกนมขึ้นดื่มกวาดตามองสิ่งที่เขาเทใส่จาน
ข้าวผัดหอมฉุยตลบอบอวลไปทั่วห้อง หมอกยกสองจานมาวางบนโต๊ะ ตรงหน้าผมที่นึง ตรงข้ามผมที่นึง จากนั้นก็เดินไปหยิบน้ำ เทใส่แก้ววางคู่กับแก้วนมที่ผมเทให้ บทสนทนายืดยาวคล้ายจะถูกตัดไป
แทนที่ด้วยนิโคตินที่อีกฝ่ายสูบเข้าปอด
“กี่มวนแล้ว”
“สอง”
“มึงเหลือโควตาแค่สอง” ผมตอบกลับ เป็นสัญญาโง่ๆที่ผมขอมัน หลังจากที่เรียนเรื่องมะเร็งปอดแล้วเกิดกลัวว่ามันจะตายก่อนวัยอันควร
หมอกสูบบุหรี่จัด เข้าใจว่าเครียดจากงานที่ทำ แต่ผมก็อยากให้มันมีชีวิตอยู่ไปนานๆ
หรือไม่ก็เท่ากับผม
“ดูก่อน ถ้าไหวก็ตามนั้น”
“ต้องไหว”
“อย่ามาจุกจิกน่า”มันด่า ย่นคิ้วใส่พร้อมพ่นควันสีขาวคลุ้งห้องผม ครั้งหนึ่งเราสองคนเคยอยากเป็นรูมเมทกัน แต่แล้วก็ล้มเลิกความคิดนั้นไปเพียงเพราะเรารักสันโดษเหมือนกัน
และหมอกมีบางอย่างที่ผมไม่ชอบเท่าไหร่
“วันนี้กูกลับดึกนะ”
“หิ้วหญิงเหรอ” ผมถามตักข้าวเข้าปากโดยไม่เป่า ให้ความร้อนแผ่ซ่านอยู่ในนั้น ดื่มน้ำตามจ้องมองคนที่พยักหน้า
“แต่เดี๋ยวไปรับมาส่งหอก่อน จะได้ไม่ต้องนั่งรถเมล์กลับ”
ผมไม่ตอบเพราะเขาคิดให้ทุกอย่าง ผมขับรถไม่เป็นชีวิตเลยต้องพึ่งพาแค่สองทาง คือเขา กับรถประจำทางเท่านั้น โดยส่วนใหญ่แล้วเราจะออกและกลับพร้อมกัน
ขนาดวันที่เรียนไม่ตรงกัน หมอกก็ยังขับรถไปส่งผม และมารับกลับเหมือนเดิม
ผมถึงไม่อิดออดเวลาเขาจะไปไหนกับใคร เขาควรหาความสุขและสนุกใส่ตัวบ้าง
แต่เซ็กส์กับผู้ชายมันเป็นของคู่กัน นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมเราไม่ควรอยู่ห้องเดียวกัน แล้วเลือกที่จะอยู่ห้องติดกันที่มีประตูเชื่อมกันแทน
ผมไม่อยากกลับมาเห็นผู้หญิงนั่งอยู่ในห้องเขา หรือพบเจอเศษซากที่บ่งบอกว่าเขามีความสุขในรสราคะแค่ไหน ไม่ใช่ว่าผมอิจฉาหรือรำคาญหัวใจ
ผมแค่รู้สึกรับไม่ได้ที่เขา...
มีคนอื่น
“ชิน”
“ไม่มีอะไร”ผมส่ายหน้าก่อนที่เขาจะพูดจบ อยู่ด้วยกันนานย่อมรู้อยู่แล้วว่าเขาจะพูดอะไร “วันนี้กูเลิกสี่โมง จะไลน์บอกตอนเลิกแล้ว”
“ขอก่อนเลิกสิบนาที”
“ได้” ผมพยักหน้าจัดการข้าวตรงหน้าต่อ วันนี้ผมเรียนเมเจอร์ มันคงไม่ดีถ้าผมไปสาย ยิ่งตรงนี้เป็นย่านธุรกิจ หากออกเกินแปดโมงรถจะติดจนท้อใจ เราสองคนนั่งกินข้าวกันไปเงียบๆ พอจัดการอะไรเสร็จ ผมก็เก็บไปล้างและผละไปเอาข้าวของในห้อง
ตอบกลับคนที่ส่งสติ๊กเกอร์มาหาตอนที่ผมอยู่ข้างนอก
โดยไม่ทันมองว่ามีคนเดินตามหลังมา
“วันนี้อากาศหนาว”
กึก !
“เอาเสื้อกันหนาวติดไปด้วย” หมอกพูดพร้อมกับถือวิสาสะค้นหาเสื้อกันหนาวตัวบางในตู้เสื้อผ้าผม ผมไม่ได้ว่าอะไรเขา แค่ก้มมองโทรศัพท์มองคนที่ยังไม่อ่านข้อความที่ผมส่งไป
CHIN : อย่าลืมทานข้าวนะครับ
CHIN : ผมเป็นห่วง
ผมคิดว่าเขาน่าจะอาบน้ำไม่ก็ทำอาหาร สักพักเขาคงตอบกลับ ผมเลยหันมาสนใจคนที่คลุมเสื้อกันหนาวกับไหล่ผม เอาคางมาเกยไหล่ขณะที่กอดผมไว้อย่างไร้สาเหตุ
ความอบอุ่นแทนที่ความหนาวเย็นพาให้หัวใจผมเต้น...
ผิดจังหวะ
“ทำอะไร”
“ใส่เสื้อหนาวให้”
“...”
“จะได้อุ่นๆ”ผมยิ้มลูบมือเขาเบาๆ เพราะคิดว่านี่คือการขอกำลังใจ เมื่อคืนเขาคงไม่ได้นอน ถึงอย่างนั้นสภาพก็ไม่ได้อิดโรยหรือโสมเท่าไหร่ เห็นอย่างนี้อีกฝ่ายก็ดูแลตัวเองดีมาก “ตัวมึงเย็นไปหมด”
“ตอนนี้อุ่นแล้ว”
“…”
“ไม่ต้องห่วง”หลากความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดนั้น ซึ่งผมไม่รู้ว่าหมอกจะเข้าใจในแง่ไหน เขากระชับอ้อมกอดใช้ปากที่มีกลิ่นนิโคตินฝังลงไป...
ที่ต้นคอผม
ก่อนจะผละออก ติดกระดุมเสื้อหนาวให้ผมจนหมด ไม่มีถ้อยคำเอื้อนเอ่ย
มีแค่แผ่นหลังที่เดินห่างออกไป...จนลับสายตา พาให้ผมยกมือขึ้นแตะร่องรอยนั้นแล้วพึมพำกับตัวเองว่า
“ทำแบบนี้...อีกแล้วนะ”
ไม่มีการตอบกลับข้อความที่ผมส่งไป ปลายนิ้วสวยเคาะกับโต๊ะ เหม่อมองสไลด์ที่เปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมจดบางอัน แต่มากพอที่จะไม่ทำให้ถูกต่อว่าเหมือนเมื่อวาน ถึงผมจะดูไม่ค่อยตั้งใจเรียนนัก แต่ผมก็กลับไปอ่านหนังสือทุกวัน เพราะถ้าจะเอาจริงทางนี้ มันก็ควรมีมากกว่าความตั้งใจ
มันควรมีความพยายาม
ทะเยอทะยาน
และอื่นๆ อีกมากมาย
ไม่วายผมก็อดสนใจมือถือมากกว่าไม่ได้ นับชั่วโมงที่ผ่านมา ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนใกล้จะสี่โมงเย็น
สิบชั่วโมงนี่ พี่เอสก็ไม่คิดจะสนใจแมสเสจจากผมเลย
ความตลกก็คือ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาหายตัวไปทั้งวัน แถมยังทิ้งร่องรอยไว้เพียงอย่างเดียว
คือการทำให้ข้อความผมขึ้นว่า read
“เป็นอะไรชิน ถอนหายใจบ่อย”เพื่อนที่นั่งด้านข้างเอ่ยถาม รั้งความสนใจให้หันไปสบเข้ากับสายตาเรียบนิ่งของคนหยิ่งอันดับสองของคณะ
หมอสาม แฟนเดือนนิเทศมอเดียวกัน
ก่อนหน้านี้เราเป็นเพื่อนกลุ่มเหล้าเดียวกัน กระทั่งผมค้นพบว่าการไปทำกับคนอื่นนั้น...
มันห่วยแตกสิ้นดี
“ไม่มีอะไร”ผมส่ายหน้ากลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มที่ไม่มีความจริงใจอะไรทั้งนั้น “แค่คิดอะไรนิดหน่อย”
“ดูหนักใจนะ”
“...”
“หาใครสักคนพูดด้วยก็ดี” หมอสามพูดโดยไม่มองหน้าผม สายตาจับจ้องไปที่ด้านหน้า สีหน้าหยิ่งยโสหากแต่เต็มไปด้วยความเรียบนิ่งทำให้ใครหลายคนอ่านเขาไม่ออก
ผมก็เช่นกัน
“มันไม่ใช่เรื่องที่ใครต้องรู้นิ”
“ก็แค่เสนอทางเลือกให้”
“…”
“อยู่ที่ว่าจะรับหรือไม่รับ” จบประโยคนั้นอาจารย์หน้าห้องก็บอกเลิกคลาส หมอสามเลยลากสายตามาสบ ยกยิ้มเล็กน้อยที่ถ้าไม่สังเกตก็อาจจะไม่รู้ มันทำให้ผมนิ่งคิด ไม่บ่อยนักที่เขาจะเสนอตัวเองแบบนี้
เสียดายที่ผมเลือกที่จะไม่รับความหวังดีจากเขา
“ขอบคุณ” กล่าวสั้นๆ เป็นการตัดบท หมอสามก็เลยพยักหน้า เขาปิดเลคเชอร์เก็บของใส่กระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกับนักศึกษาคนอื่น ผมถอนหายใจหยิบมือถือขึ้นมาถือ กวาดของที่มีรถกระเป๋า ส่งข้อความหาหมอกว่าตอนนี้ผมเลิกเรียนแล้ว
ลืมบอกเขาก่อนล่วงหน้าสิบนาที คาดว่าน่าจะโดนด่า
หมอก : กูอยู่ข้างล่างแล้ว
แต่ก็ผิดคาด
ผมเดินลงมากวาดตามองหาร่างสูงที่ตอบกลับข้อความผมในเวลาไม่ถึงสองวิ มันทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อย เพราะเมื่อเช้าหลังจากที่ผมโดนเขาทำแบบนั้น...
เราก็ไม่คุยกันเลยตลอดทาง
ผมพยายามคิดหลายครั้ง หาหลักฐานมายืนยันว่าอะไรที่ทำให้เขาทำอย่างนั้น แต่ทุกคำตอบล้วนเป็นไปไม่ได้ หรือไม่ผมก็เลือกที่จะไม่ยอมรับ
บางอย่างเราก็ต้องเลือกที่จะมองข้ามมันไป
“รอก่อนนะ เดี๋ยวไปส่งเพื่อนก่อน”
“เอาสิ เรารอหมอกได้อยู่แล้ว”ฝีเท้าผมชะงักตอนเห็นหญิงสาวที่ผมจำได้ว่าเป็นดาวอักษรกำลังกอดแขนเพื่อนสนิท หมอกยกยิ้มดูเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากหมาป่า แขนแกร่งก็ยอมให้เธอกอดรัด ไม่มีทีท่าว่าขยะแขยง ผิดกับผมที่รู้สึกแย่
พอๆกับการเห็นแมสเสจจากคนที่รอมาทั้งวัน
S : โทษทีชิน พี่ลืมตอบ
จู่ๆ หัวใจ...
มันก็วูบไหวพิกล
ติดแท็ก #เศษส่วน52Hz
ติดตามนักเขียน ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หม่นๆหน่วงๆมาทุกตอนเลย อ่านละเหงากว่าเดิม แง้ เราจะเหงาเป็นเะื่อนชินเอง
ปล. ไรท์คะ หมอสามนี่เพื่อน&แม่คิวท์ในเรื่องสายฟ้าน่ารักใช่ไหมคะ?
แล้วเอสเป็นใครอีก รู้จักกันแค่สองเดือนผ่านข้อความ ไม่เจอหน้า ไม่รู้จักเอสสักนิดในแง่คนคุยแต่ชินก็รู้สึกไปขนาดนั้น แล้วกับหมอกแสดงอาการแค่ตอนที่หมอกทำอะไรเกินเพื่อนสนิทแค่นั้น
จริงๆเชียร์เพื่อนนะ แง เพราะชินอยู่กับหมอกจนน่าจะไม่มีหมอกคงยากแล้ว อีกประเด็นคือทำไมชินเหงาขนาดนี้มีอดีตแย่เหรอ แก ฉันอินมาก โฮกกก TT