ตอนที่ 26 : บทส่งท้าย
บทส่งท้าย
เศษส่วนความเหงา
4 ปี
1,460 วัน
35,040 ชั่วโมง
2,102,400 นาที
126,144,000 วินาที
นี่คือตัวเลขการรอคอย
กดกากบาทปฏิทินในโทรศัพท์ จับตาดูนาฬิกาไปด้วยเพื่อดูว่าเหลือเวลาอีกนานแค่ไหน วันนี้ผมลางานเพราะมีเหตุด่วนจำเป็นที่ต้องไป ไม่ลืมไปขอโทษคนไข้ที่นัดไว้ แต่ธุระนี่ผมไม่มาไม่ได้ ต่อให้เป็นตายร้ายดียังไงก็ต้องมา ไม่ลืมบอกให้หมอปันเขาช่วยงานไปก่อน เดี๋ยวจะไปแลกเวรทีหลัง
ผมเรียนจบหมอแล้วครับ ตอนนี้กำลังต่อสาขาศัลยกรรม
เข้าทำงานในโรงพยาบาลเครือเดียวกับมหาลัยที่จบ ถือว่าหนักเอาการสำหรับหมอจบใหม่ หนำซ้ำยังต้องเรียนไปด้วยเลยไม่ค่อยมีเวลาดูแลร่างกาย
ถึงอย่างนั้นผมก็มีความสุขดี
และวันนี้ความสุขผมกำลังจะเพิ่มขึ้นอีก
“เมื่อไหร่จะมาเนี่ย” ผมเลียปาก เป็นนิสัยแก้ไม่หายสักที ชะโงกหน้ามองทางออกสลับกับมองนาฬิกาที่ข้อมือขาว ผมผอมลงกว่าแต่ก่อนค่อนข้างมาก แถมตัวยังสูงขึ้นนิดหน่อย หลังๆ ก็ไปออกกำลังกายฟิตหุ่นเล็กน้อย ทว่าส่วนใหญ่ก็หมดไปกับเวลานอนที่ไม่ค่อยมีเท่าไหร่
ออกจากบ้านแต่เช้ากลับก็ดึกบางทีก็นอนโรงพยาบาล
เดี๋ยวนี้นอนมากสุดก็4-5ชั่วโมงเองมั้ง มันต้องวิ่งเคสเยอะเอาเรื่องเลย
ก็หวังว่าจะไม่มีคนทักว่าหน้าผมโทรมจัง
“มาตรวจใครคะคุณหมอ”
“อะ...” ผมหันไปมองคุณป้าท่านหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างผมมาพักใหญ่ ท่าทางเธอดูเหมือนจะมารอใครเหมือนกัน “เปล่าครับ ผมมารอเพื่อน”
“จริงเหรอ ป้าก็มารอลูกชายเหมือนกัน” เธอทำหน้าตกใจ ก่อนจะยิ้มหวาน “ลูกชายป้าไปเรียนอเมกา นี่เพิ่งจะเรียนจบก็เลยกลับบ้าน”
“เพื่อนผมก็ไปเรียนต่อเมกาเหมือนกันครับ”
“บังเอิญจัง” คุณป้าเบิกตากว้าง หัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ “ถ้ารู้จักลูกชายป้านี่คงเป็นพรหมลิขิต”
“ผมว่าผมไม่น่าจะรู้จักนะครับ” ผมตอบกลับอย่างมีมารยาท มั่นใจมากว่าคนด้านข้างไม่ใช่แม่ของคนที่ผมมารอตั้งแต่หัววัน จริงๆ ผมจะมาเลทกว่านี้ก็ได้ แต่ผมเคลียร์งานเสร็จไวก็เลยมาก่อน ไม่ลืมแวะซื้อช่อดอกไม้ติดมือมาด้วย
ก็แค่ช่อดอกไม้ทั่วไปที่ท็อปพอยท์ของมันคือดอกไฮเดรนเยีย
ความหมายของมันคือหัวใจที่ด้านชา ใช้ตัดพ้อกับคนที่เรารู้สึกว่าใจของเขาช่างด้านชาเหลือเกิน
หรืออีกนัยนึง...
มันคือคำขอบคุณ
ขอบคุณที่เข้าใจ
ขอบคุณที่หลงรัก
และขอบคุณที่กลับมา
‘สายการบิน XXX มาถึงแล้วค่ะ’
เสียงประกาศออกไมค์ทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ จับจ้องไปที่ทางออก เลียปากเบาๆ ตอนลุ้นว่าใครจะออกมาเป็นคนแรก หลายวันแล้วที่ผมไม่ส่งข้อความหาเขา มัวแต่ติดงาน ติดเคสด่วน ติดเรียนบทยาก มีเวลาหายใจและจำได้ว่าเขากลับมาวันไหนก็ดีเท่าไหร่แล้ว
แต่ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรผิดแผน ถ้าเกิดเขาไม่เลื่อนไฟท์บินแล้วเราไม่ได้คุยกัน
ผู้คนเริ่มทยอยออกมาจากทางเข้า ป้าคนสวยปรี่เข้าไปหาลูกชายที่ผมไม่รู้จัก ใบหน้าคมคายเต็มไปด้วยความหล่อเหลา ผมยกยิ้มให้ตามมารยาทขณะที่ป้าลากลูกชายมาแนะนำให้รู้จัก
“นี่ลูกชายป้า แดนดิน จบสถาปัยต์ที่อเมริกา”
“อ่า ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันครับคุณหมอ” เขายกยิ้มผมเลยพยักหน้าตอบ ผมเพิ่งสังเกตว่าตัวเองไม่ได้ถอดกาวน์ออก สงสัยจะรีบมากไปหน่อยเลยมาทั้งอย่างนี้ อีกส่วนนึงคือผมอยากโชว์ให้คนที่มารอเห็นว่าสี่ปีที่เขาหายไป ผมโตขึ้นเร็วขนาดไหน
ผมมีชีวิตอย่างที่เขาขอไว้ ดำเนินมันไปในแต่ละวันอย่างพอเหมาะ
ช่วงไหนเหงาก็แค่ไปหาตัวน้อย ตอนนี้ชิชากับพี่ซันมีลูกแล้ว
“แล้วนี่เพื่อนของคุณหมอยังไม่มาอีกเหรอคะ ?”
“น่าจะใกล้แล้วครับ” ผมตอบกลับชะโงกหน้ามองคนที่ทยอยออกมา คนเริ่มเบาบางแล้วแต่ผมยังไม่เห็นเจ้าของใบหน้าที่อยู่ในความทรงจำ “อยู่ไหนนะ ทำไมไม่ออกมา”
“ช่วยหมอเขาหาสิลูก”
“แล้วผมจะรู้ไหมครับว่าคนไหน”
“ไม่เป็นไรครับ อีกสักพักคงออกมา คุณป้าไปเลยก็ได้นะครับ ผมอยู่คนเดียวได้”
“ไม่เป็นไรๆ ป้าไม่รีบเท่าไหร่ แดนดินชวนหมอเขาคุยหน่อยสิลูกเผื่อคอเดียวกัน”ผมยิ้มเจื่อนให้เขา ดูออกเลยว่าแม่เขาพยายามขายลูกชายให้ แดนดินทำหน้าหน่ายใจถึงอย่างนั้นก็ขยับเข้ามาใกล้ ชวนผมคุยตามที่แม่เขาสั่ง ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้างก็แล้วแต่ได้ยินคำถาม
หลังๆ ก็เริ่มเงียบหายเพราะคนออกมาจนจะหมดแล้วผมก็ยังไม่เห็นเขา
“ผมว่าเขาน่าจะมาไฟท์อื่นนะครับ”
“อะ” ผมชะงักตอนแดนดินพูดแบบนั้น เขาช่วยผมมองหาคนอยู่นานแล้วเหมือนกัน กระทั่งคนซาลงเนี่ยแหละ
“ถ้ามาถึงแล้วก็น่าจะออกมาแล้วนะครับ ไม่น่าจะนานขนาดนี้”
“...”
“คุณหมอไม่ลองโทรเช็คกับเขาอีกทีล่ะครับเผื่อว่าเขาจะเลื่อนไฟท์บิน” แดนดินแนะนำ ผมเลยเตรียมหยิบโทรศัพท์ พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นผู้ชายคนนึงเดินออกมาจากตรงนั้น
ใบหน้าคมคายติดนิ่งงันซ้อนทับกับคนในความทรงจำ เจ้าตัวกำลังกวาดตามองหาใครสักคน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าใช่ผมไหม แต่ความคิดถึงทำให้ผมเดินเข้าไป
ผมหยุดยืนอยู่ตรงหน้า สบตากับคนที่นิ่งใส่
ผมไม่รู้ว่าเขาจำผมได้ไหม ผมตัดผมสั้นลงนิดหน่อย แล้วผมก็ย้อมผมจากดำเป็นน้ำตาล เปลี่ยนแปลงตัวเองหลายๆ อย่างตอนที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน
ตัวของผมสั่น อยากจะกระโดดกอดเขาแทบขาดใจ แต่พอเห็นว่าเขานิ่งไม่พูดอะไร
หัวใจผมก็วูบโหวงพิกล
“ใส่กาวน์มารับกูเหรอ”
“กูรีบไปหน่อยเลยลืมถอด”
“มึงผอมลงไปเยอะนะ ไม่ค่อยได้พักผ่อนหรือไง”
“นิดหน่อย”
“การที่กูบอกให้มึงหัดใช้ชีวิตที่ไม่มีกู ไม่ได้แปลว่ามึงจะละเลยตัวเองนะชิน” รอยยิ้มของผมถอนลงตอนเขาว่าอย่างจริงจัง ผมรู้สึกว่าหมอกดูโตขึ้นกว่าแตกก่อนมาก เสียงของเขาก็เปลี่ยนไปหน่อยๆ ด้วย มันก็คงเป็นเรื่องปกติที่เราจะก้าวเข้าสู่วัยทำงาน
ผมเม้มปากหลุบตาต่ำ ไม่แน่ใจว่าควรจะให้ดอกไม้กับเขาดีไหม
“มึงตัดผมใหม่ เปลี่ยนสีผมด้วย ?”
“สะ...สังเกตด้วยเหรอ”
“ก็มันเห็นชัด” เขาตอบ มองหัวผมที่มีแต่คนชมว่าทำผมสีนี้แล้วขาวขึ้นเป็นกอง ดูผ่องไม่มืดมน “ก็โอเค ไม่ได้แย่เท่าไหร่”
“มึงก็หล่อขึ้นนะ ดูโตขึ้นมาก”
“ไม่มีใครติดอยู่กับอะไรเดิมๆ ตลอดเวลาหรอก”
“อะ...”
“กูก็เรียนรู้ที่จะไม่มีมึง”ถ้อยคำนั้นจึกลงกลางใจ ให้ผมรู้สึกเจ็บอกจนต้องกัดปากแน่น ผมรู้ว่านั่นคือสิ่งที่เขาพูดตั้งแต่วันที่จะไป ว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่โดยไม่มีผมให้ได้
“แล้วมันดีไหม”
“…”
“ดีกว่าการกลับมาเจอกูหรือเปล่า”ผมถามเสียงสั่น หยาดใสไหลมาคลอเบ้า หัวใจผมเต้นแรงไม่เป็นส่ำกลัวว่าคำตอบที่ได้มากจะทำให้หัวใจแตกร้าวไม่ต่างจากเมื่อก่อน
หมอกไม่รู้หรอกกว่าผมจะประกอบหัวใจขึ้นใหม่ได้ ผมใช้เวลานานแค่ไหน
หลังจากวันที่เขาไป ผมต้องเริ่มใช้ชีวิตที่แตกต่าง ทุกความเคยชินเปลี่ยนเป็นแปรผัน อะไรที่เขาเคยทำให้ผมต้องทำเองหมด มันทำให้ผมรู้ว่าเขาเก่งมากที่ทนได้ขนาดนี้
แค่ใช้ชีวิตคนเดียวก็เหนื่อยจะแย่ ยังต้องมาดูแลอีกชีวิตอีก
ก็เลยเคยคิดว่าพอห่างกัน บางทีเขาอาจจะอยากตัดผมออกไปจากชีวิตจริงๆ
“มีความสุขใช่ไหม”
“แล้วมึงมีความสุขไหมตอนไม่มีกู”
“…”
“คำตอบของมึงยังเหมือนเดิมหรือเปล่า” ผมเงยหน้า สบตากับเขาผ่านม่านน้ำตาที่ไหลอาบแก้มทั้งสองข้าง พยายามฝืนยิ้มขณะที่อีกคนทำเพียงแค่เบิกตากว้างนิดเดียว ก่อนจะกลับมาปกติอย่างเก่า
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน กูก็ยังยืนยันคำเดิมว่าชีวิตที่ไม่มีมึง มันไม่ดี”
“…”
“กูรอมึงกลับมา ทุกวัน ทุกชั่วโมง รอเหมือนคนโง่ที่ไม่รู้ว่ามึงจะกลับมาตามที่พูดจริงไหม”
“…”
“กูขอโทษที่ยังติดอยู่กับอะไรเดิมๆ ทั้งที่มึงบอกให้ใช้ชีวิตใหม่ แต่การมีมึงมันคือความสุขในชีวิตกู”ผมกะพริบตาทีเดียวน้ำตาก็ไหลผ่านใบหน้า ปาดออกลวกๆ อุตส่าห์คิดว่าจะไม่ร้องไห้ ทว่ากลับห้ามไม่อยู่ “มึงยังโกรธเรื่องที่กูทิ้งมึงใช่ไหม ช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยได้ทักไป”
“กูไม่เคยโกรธมึงเลยนะชิน”
“…”
“กูแค่เสียความรู้สึกส่วนนั้นไปแล้ว” เหมือนกับโลกพังทลายจนเกือบทรุด คำพูดของหมอกทำผมกัดปากแน่น เบิกตากว้างกับเข็มนับพันที่พุ่งเข้ามาในจิตใจ ผมหลุบตาต่ำ ยกมือขึ้นปิดปากกลั้นเสียงสะอื้นไว้ ผมรู้สึกว่าผมอยู่ต่อหน้ามันไม่ไหว เลยว่าจะเดินหนีไปสงบสติอารมณ์สักพัก
พลันข้อมือของผมก็ถูกคว้า กระตุกเบาๆ ให้หันกลับไปเผชิญหน้า
“กูเสียความรู้สึกที่โกรธมึงไปแล้วว่ะ”
“อะ...”
“ตอนนี้กูเหลือแต่ความดีใจ กูคิดถึงมึงมากเลยรู้ไหม”ผมหันขวับไปหามัน อ้าปากค้างตกใจกับคำพูดนั้น ก่อนจะตกใจซ้ำสองเมื่อมันยกยิ้มขึ้นมา
ความรักและความอ่อนโยนสะท้อนอยู่ในแววตา เสริมทัพด้วยประโยคที่ว่า
“กอดไหม จะได้หายคิดถึง”
“มึง...”
“กูเหงามากเลยตอนไม่มีมึง”
“…”
“กูกลับมาแล้วนะ ชิน”เหมือนหลอกให้ช้ำแล้วกลับมาซ้ำด้วยความดีใจ เจ้าตัวปล่อยมือผม อ้าแขนออกกว้างเป็นสัญญาณให้ผมพุ่งเข้าไป วินาทีนั้น ผมเบือนหน้าหนี ไม่คิดเลยว่ามันจะลองใจผมแบบนี้ ทว่าด้วยความคิดถึงที่มีทำให้ผมรีบโผเข้ากอดมัน “ฮึบ ฮ่าๆ”
“ไอ้บ้า มึงพูดแบบนั้นได้ไง ใจกูเสียหมดอะ”
“กูแค่หยอกเล่นป่ะวะ ไม่เจอกันตั้งนาน”
“มันใช่ของเล่นไหมอะ มึงก็รู้ว่ากูรอมึงนานแค่ไหน”
“รู้แล้วๆ ก็กลับมาแล้วนี่ไง”
“ฮึก”
“จะไม่ไปไหนแล้ว” ผมฝังหน้าลงกับแผ่นอกปล่อยโฮใส่ไม่อายใครทั้งนั้น ได้ยินเสียงเขาหัวเราะ จูบลงบนกลุ่มผมและขมับ ให้อกแกร่งซับน้ำตา ขณะที่วงแขนแกร่งโอบกอดผมไว้ ตลอดสี่ปีผมคิดมาตลอดว่าเขาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน อยากรู้ว่าจะตัวใหญ่ขึ้นไหม จะใจร้ายขึ้นหรือเปล่า
ตอนนี้ผมได้คำตอบแล้วว่าเขาไม่เปลี่ยนไป แม้เราจะไม่ได้อยู่ในชีวิตของกันและกัน
แต่ระยะเวลาสี่ปี มันลบสิบสามปีที่เรามีให้กันไม่ได้
มันเป็นคลื่นความถี่เดียวกัน ที่ต่อให้ไกลกันแค่ไหนเราก็จะกลับมาเจอกันจนได้
เชื่อมผสานด้วยความเหงาที่กลายเป็นเศษเสี้ยวของความรักที่ให้ไป
เศษส่วนความเหงาที่มีให้ คือคนที่พร้อมจะอยู่เหงาด้วยกัน
“อยู่เหงาด้วยกันตลอดไปนะ ชินJ”
และผมคิด ว่าผมหาเจอแล้ว
#เศษส่วน52Hz
ขอบคุณที่อยู่กับเรื่องนี้จนจบ เป็นดราม่าที่อยากจะสื่ออารมณ์ของความเหงาและความรู้สึกของการไม่มีใคร
ความรู้สึกที่เป็นบ่อเกิดเรื่องต่างๆมากมาย ตอนนี้มันได้สิ้นสุดลงแล้ว และหวังว่ามันจะติดอยู่ในความทรงจำของใครสักคนที่ได้อ่านมัน
มีหลายช่วงที่อาจจะติดขัด แต่ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่าพยายามอย่างมากกับเรื่องนี้จริงๆ ส่วนหนึ่งคือมาจากเรื่องจริงที่เคยพบ
เพราะงั้นขอบคุณมากๆ กับทุกคนที่ยังอยู่ และขอบคุณคนที่เดินจากไปก่อน ทุกคนคือส่วนนึงที่ทำให้มันเดินต่อ
ขอบคุณที่มาเหงาไปด้วยกัน
ขอบคุณที่ทำให้ความเหงามันได้เข้าไปในใจใครสักคน
ขอบคุณมากนะคะ :)
ปล.เรื่องนี้เอลส่งให้สนพนึงพิจารณาอยู่ คาดว่าน่าจะได้ผลเดือนหน้าไม่ก็ปลายเดือนนี้
ถ้าเกิดมันไม่ผ่าน เอลก็จะรีไรท์จนกว่ามันจะดีขึ้น อาจจะมีแพลนทำมือหรือไม่ก็ E-bookออกมา
ยังไงก็ฝากเป็นกำลังใจด้วยนะคะ ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่า
ทวิต ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

อ่านรวดเดียวจบ ทั้งยิ้มทั้งร้องให้ ทุกอารมณ์เลย
ขอบคุณนิยายดีๆอีกเรื่องคะ
ไรท์แกล้งคนอ่านอ่ะ ใจหายใจคว่ำหมด ค่อยหายใจโล่งหน่อย ลุ้นมาทั้งเรื่อง ร้องไห้หนักมาก ไม่เคยอ่านเรื่องไหนแล้วร้องหนักขนาดนี้ อินสุด ขอบคุณนะคะที่ไรท์เขียนนิยายดีๆมาให้ได้อ่าน ต้องไปจัดสักเล่มแล้วล่ะ แล้วเราจะเหงาไปด้วยกัน
โอยยยยยยบยยบบบบบ
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวดีๆนะคะ นำเสนอความรักในแบบของชินที่มันมีจริงๆเราเชื่อ
อ่านมาก็เหงาและหน่วงตลอดเรย งื้อแต่ชอบค่ะ ทีมหมอก ย้าฮู้ ทีนี้ก็มีค.สีขกันจริงๆสะทีเนอะ มองคนข้างๆที่ดูแลเราอย่างดีมาตลอด
อินหนักมากจนร้องไห้555 ก็ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้นะคะ
อ่านไปร้องไห้ไปอินมาก ทั้งบางตอนมันก็ตรงกับชีวิตตัวเองอารมณ์ยิ่งดิ่งไปด้วย ชอบนิยายเรื่องนี้มากๆเลยเป็นกำลังใจให้ไรท์นะคะ
เป็นอะไรที่พาเข้าสู่อารมณ์ของแท้ เจ็บไปกับตัวละครมากๆ
คุณคือไรท์เตอร์ในลิสของเราแล้วนะ รักนะคะ ฮื่ออ ดีอะ ชอบบบ
ยังไงก็ขอบคุณที่ติดตามน้า ฝากติดตามเรื่องอื่นๆด้วยน้า