ตอนที่ 2 : เศษส่วนความเหงา 01
เศษส่วนความเหงา 01
ความเหงาคืออะไร ?
ผมอ่านนิยามมากมายในเว็บไซต์ชื่อดัง มีคนเข้ามาตอบในกระทู้ของผมที่ตั้งไว้เมื่อสองอาทิตย์ก่อน เพื่อค้นหาว่าความเหงาแท้จริงมันคืออะไร และสิ่งที่ผมรับรู้ได้คือ ความเหงาเป็นความรู้สึกที่แม้แต่หาในพันทิปก็หาคำตอบไม่เจอ
ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วความรู้สึกนี้เกิดจากอะไร
เกิดจากความไม่เข้าใจ
เกิดจากความรักที่ไม่เพียงพอ
หรือเกิดจากความไม่มีใครกันแน่ ?
เสียงเพลงคลาสสิคดังคลออยู่ในหูคละเคล้าไปกับควันบุหรี่ ผมละสายตาจับจ้องควันสีขาวที่ถูกพ่นจากริมฝีปากสีแดงสด สลับกับกวาดตามองผู้คนที่เดินผ่านในสวนสาธารณะกลางมหาลัย เป็นภาพชวนให้รู้สึกรำคาญใจ ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคนเราไม่สามารถจะไปสั่งใครให้ทำอะไรได้อย่างที่หวัง
ขนาดบางครั้งตัวเรายังบังคับจิตใจตัวเองไม่ได้เลย
“ชิน”
“หืม ?”
“มึงจะนั่งตรงนี้ไปอีกนานแค่ไหน”
กึก !
“นั่งแล้วก็ทำหน้าไม่พอใจ ทำเหมือนว่าใครๆก็ขัดตามึงไปหมด”ผมลากสายตามาสบกับเพื่อนสนิท ยกยิ้มเล็กน้อยเหมือนว่าที่เขาพูดมามันจริงทุกอย่าง ควันสีขาวถูกพ่นจากปากเขาอีกครั้ง กระจายตัวปกคลุมเราคล้ายกับความฝัน
ความฝันที่ไม่อาจรู้ได้ว่าหลังจากควันนี่หายไปนั้น...
จะปรากฏความจริงหรือหายไปตลอดกาล
เหมือนหมอกจางๆ ในยามเช้า ที่ถ้าแสงตะวันไม่สาดก็คงไม่รู้ว่าภาพตรงหน้าคืออะไร
ไม่ต่างจากความเหงาที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน
รู้ตัวอีกทีก็ถูกกลืนกินไปแล้ว
“มึงก็บ่นทุกครั้งที่มากับกูเลยนะ”
“ก็มึงชอบทำหน้าเหมือนตูด”
“ไว้ให้มึงเสียบ”
“รับไม่ได้”ผมหัวเราะตอนมันทำหน้าแหยใส่ผม เป็นเรื่องตลกที่พูดคุยกันในทุกวัน หมอกอัดนิโคตินเข้าปอดปลดกลุ่มควันทางเรียวปากสีสด เหม่อลอยมองดูมันจนควันนั้นค่อยๆหายไป ดูหลงใหลราวกับมันคือสมบัติล้ำค่า
พาให้นึกถึงวันที่เคยเรียนอยู่ห้องเดียวกัน
‘ไม่ยักรู้ว่าสูบบุหรี่’ ผมถาม ทำหน้าแปลกใจ
‘มันช่วยให้คิดอะไรออก’ เจ้าตัวตอบ ดูไร้เหตุผลหากแต่ยักไหล่ไม่แยแส เสยผมขณะที่สูดพิษร้ายเข้าร่าง ‘อย่างน้อยมันก็ทำให้สมองโล่ง คิดอะไรได้มากขึ้น’
‘แลกกับปอดที่ใกล้ตาย’
‘บางทีคนเราก็ต้องยอมเสียสละ’
‘…’
‘ถ้าแลกกับความสุขเพียงหนึ่งวิ ก็มีค่าให้ลอง’
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจนัยแฝง และหมอกไม่เคยเฉลย ปล่อยผ่านมานับสิบปีที่เป็นเพื่อนกัน
จนถึงวันนี้ คำพูดนั้นก็ยังติดอยู่ในใจผม
และผมก็คล้ายจะรู้คำใบ้นั้นบ้างแล้ว…
“กูมีเรียนต่อ จะกลับเลยไหมเดี๋ยวไปส่ง” เจ้าตัวปล่อยบุหรี่ลง ใช้ปลายเท้าบดขยี้จนมันราบเรียบไปกับพื้นถนน ปรากฏรอยดำจากรองเท้าเขานิดหน่อย
ผมส่ายหน้า เคลื่อนสายตาเลื่อนลอยมาสบอีกครั้ง
“กูยังไม่อยากกลับ”
“กลัวเหงาเหรอวะ”
ไม่มีคำตอบรับราวกับโดนขโมยเสียง
ผมทำเพียงแค่หันกลับมามองโทรศัพท์ มันยังคงค้างในหน้ากระทู้นั้น คำตอบที่ได้มันไม่ใช่ที่ผมคาดไว้ มันไม่ตอบโจทย์ ทั้งยังล่องลอยไปไกล ผมเลยตัดสินใจลบมันออก จะได้ไม่วนเข้ามาดูอีก
และสรุปประเด็นนี้ด้วยความเข้าใจของผมเอง
ความเหงา...
ก็แค่ความรู้สึกที่หาทางออกไม่เจอ
“ถ้ามึงไม่โอเค มึงจะไปเรียนกับกูก็ได้นะ อาจารย์ไม่ว่า”
“ไม่เป็นไร”
“…”
“ให้กูอยู่คนเดียวเถอะ” ไม่ใช่การตัดบทแบบใจร้าย แต่การพูดออกไปตรงๆ มันดีกว่า ดวงตาสีน้ำตาลจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม ไม่มีถ้อยคำเซ้าซี้เอื้อยเอ่ยขณะที่ฝ่ามือหนาเอื้อมมายีหัวเบาๆ
ขับไล่ความเหงาแทนที่ด้วยความอบอุ่น
“เดี๋ยวกูรีบกลับไปเล่นเกมด้วย โอเคไหม”
“กูอยู่ได้ กูไม่ได้เป็นบ้าอะไรนิ”
“แต่กูไม่อยากให้มึงเหงา มึงเข้าใจไหม”
“…”
“ถ้าเบื่อมันยังหาอะไรทำได้”
“...”
“แต่ถ้าเหงาอ่ะ ทำให้ตายก็เหงาอยู่ดี”ความเจ็บแล่นลึกไปทั่วทุกอณูผิว ไม่ชอบเวลาที่มันปลอบผมแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกไม่ดี และเราก็จะจมดิ่งไปด้วยกัน
แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเป็น
“ไปเรียนเถอะ กูไม่เป็นไร”
“ชิน”
“เดี๋ยวกูก็ชิน”เป็นคำตอบที่คนฟังคงรู้สึกเบื่อหน่ายไม่น้อย ไอ้หมอกยีหัวผมอีกรอบถอนหายใจอย่างคนหมดปัญญา ผมตบบ่ามันไปสองสามครั้ง ดันมันให้ลุกเดินออกจากที่นั่ง มองร่างสูงขึ้นรถมาสด้าสีขาว หันมาพยักหน้ากับผมเป็นการบอกลา ผมโบกมือให้รอจนเขาขับรถออกไปแล้วกลับมาเป็นตัวผม
ตัวผมที่นั่งหายใจทิ้งไปวันๆ มองผู้คนที่เดินผ่านด้วยสายตารำคาญ
พลางเฝ้าถามว่าทำไม ทั้งที่อยู่ท่ามกลางคนมากมาย ผมก็ยังสลัดความรู้สึกที่ติดอยู่ในใจนี่ออกไปไม่ได้
ความอบอุ่นที่หมอกฝากไว้ หายไปพร้อมกับเงาเขา เหลือไว้เพียงโกโก้ และหูฟังที่เคยซื้อไว้ให้ ผมมองมันสลับกับปัดป่ายเมฆหมอกในหัวใจ
ขณะที่ข้อความของใครบางคนปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ
S : เหงาเหรอ ชิน
อาจารย์หน้าห้องเลื่อนสไลด์ไปมาตามเนื้อหาที่สอน ผมเหม่อลอย มองสายฝนด้านนอกที่พร่ำตกไม่ยอมหยุด ไม่ได้รุนแรงดั่งพายุ แต่เป็นฝนที่ค่อยๆ ตกทีละนิดให้หงุดหงิดใจสงสัยว่าเมื่อไหร่มันจะหยุด
แม่ของผมเคยบอกว่าฝนตกปรอยๆ จะทำให้เป็นหวัด
ผมไม่เคยเชื่อจนวันนึงไปลองเดินตากฝนดู แล้วถูกพิษไข้เข้าเล่นงานอย่างหนัก แอดมิดเข้าโรงบาล
มันกลายเป็นเรื่องตลกร้ายที่คำพูดของคนชอบโกหกกลายเป็นเรื่องจริง
เป็นเรื่องจริงเพียงเรื่องเดียว
“เวลาคุณทำการผ่าตัด คุณก็ต้องมีสมาธิ ถ้ามัวแต่ใจลอยแบบนี้ คุณอาจลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้” เสียงทุ้มของอาจารย์รั้งสายตาผมให้กลับมาสนใจ
แซะกันได้หน้าตาเฉย
แล้วก็กลับสู่บทเรียนได้อย่างหน้าตาเฉยเหมือนกัน
กว่าจะผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ ผมต้องทนรับแรงกดดันด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง ความเย่อหยิ่งเป็นสิ่งเดียวที่ตราอยู่บนหน้านับแต่เกิดมาบนโลกใบนี้
โลกที่เป็นสีเทา
“ชิตพล”
“ครับ อาจารย์” หันไปมองคนที่เดินถอนหายใจตามมาด้านหลัง หยุดฝีเท้าขณะจ้องมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของช่วงวัย เจ้าตัวมองหน้าผม ส่ายหน้าเบาๆ คล้ายกับหน่ายใจ
“นี่ครั้งที่สามแล้วนะ”
ผมยกยิ้ม ไม่ได้ถามว่าอะไรคือครั้งที่สาม เพราะรู้ตัวอยู่ก่อนหน้า
ผมเหม่อในคลาสเขาเป็นครั้งที่สาม ซึ่งนั่นหมายถึงว่าโควตาผมหมดแล้ว
“ถ้าคุณมีอะไรไม่สบายใจ คุณปรึกษาเพื่อนหรืออาจารย์ได้นะ”
“ผมไม่ได้เป็นไรนิครับอาจารย์”
“...”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมจะไม่ลืมกรรไกรไว้ในท้องคนไข้แน่นอน” ผมตอบกลับ แต่เขาไม่ได้มีสีหน้าที่ดีขึ้น กลับกันเขาดูเอือมระอาจนไม่รู้จะพูดกับผมยังไง
ผมเองก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมไม่เถียงผู้ใหญ่อยู่แล้ว
“หวังว่าคราวหน้า ผมจะไม่เห็นคุณเป็นแบบนี้นะ ไม่งั้นผมคงต้องคุยกับผู้ปกครองคุณสักหน่อย”
“ครับอาจารย์”
“โชคดี” ผมยกมือไหว้เป็นมารยาท มองเขาที่เดินลงบันไดไปพร้อมกับนักศึกษากลุ่มอื่น ปลีกตัวมาที่ระเบียงเหม่อมองท้องฟ้ายามบ่ายที่มืดครึ้มกว่าทุกวัน
เพราะฝน ?
เพราะเหงา ?
หรือเพราะควัน ?
บุหรี่มวนหนึ่งถูกเคาะออกจากซอง ผมคาบมันไว้ในปาก จุดไฟลนให้ควันสีขาวลอยตัวออกมา พ่นออกไปไม่ต่างจากที่หมอกทำ
หัวของผมโล่ง แม้ว่าไม่กี่วิก่อนผมจะคิดหนัก
ในหัวของผมมีเรื่องราวมากมาย
ก่อนจะถูกขัดด้วยข้อความจากเพื่อนสมัยเด็ก
หมอก : เลิกยัง
หมอก : อย่าลืมกินข้าว
หมอก : เลิกแล้วบอกกูด้วย จะได้ไปรับ
หมอก : อย่าอ่านไม่ตอบไอ้สัส กูรู้มึงเห็นแล้ว
ผมยิ้มขำให้กับความกวนประสาท เจ้าตัวรู้เสมอว่าผมติดโทรศัพท์ ก็ไม่เชิงว่าต้องหยิบมันขึ้นมาดูตลอดเวลา แค่ถ้ามันสั่นหรือมีเสียงเมื่อไหร่ ผมจะรีบหยิบมันมาดูราวกับเฝ้ารอใครสักคนตอบกลับ
เมื่อเช้านี่มีใครบางคนส่งข้อความมาหา และผมก็ตอบกลับเข้าไป
CHIN : นิดหน่อยครับ
ใช่ มันคือคำโกหก
แต่เขาคงไม่รู้ บางทีอาจจะไม่ใส่ใจเท่าไหร่ ผมเปิดแชทหมอกขึ้นมาดูก่อนจะส่งสติ๊กเกอร์โอเคกลับไป
มันเป็นจังหวะเดียวกับคนที่ผมรออยู่โทรเข้ามา
S Calling…
หัวใจของผมเต้นแรงไม่เป็นส่ำ ผมกวาดตามองชื่อนั้น ยกยิ้ม พ่นควันสีขาวให้มันอบอวลไปทั่วร่าง เท้าแขนกับราวกันไม่สนใจหยาดฝนที่เปียกแสตนเหล็กสีเงินพวกนั้น มองดูชื่อที่ปรากฏพร้อมกับรูปภาพเต็มหน้าจอ แผ่นหลังของใครบางคนที่ผมไม่รู้ว่ามันกว้างอย่างในรูปไหม
แต่มันช่างน่าเบียดแก้มลงไป คงจะอุ่นเหมือนเตาผิง
และนี่ใช่...คือความลับที่ผมไม่เคยบอกใคร
สาเหตุที่ทำให้ผมเหงาในแต่ละวัน
“ครับ” ผมกดรับ กรอกเสียงให้กับลมหายใจที่แว่วผ่านมา “ผมนึกว่าพี่จะไม่โทรมาแล้ว”
[ต้องโทรสิ พี่คิดถึงเรานิ]
รอยยิ้มฉายชัด หัวใจพองโตต่อให้เวลานี้จะเปียกปอนด้วยหยาดฝน ผมชอบเวลาได้ยินเสียงของอีกคน มันทุ้มต่ำ ชวนฝัน พาให้คิดว่าสีหน้าและท่าทางตอนคุยกับผมนั้นจะเป็นยังไง
ดีใจ ?
รำคาญ ?
หรือว่างเปล่า ?
ที่แน่ๆผมกำลังมีความสุขกับคำพูดของเขา
พี่คิดถึงเรานิ
มันทำให้วันแย่ๆ กลายเป็นวันดีๆ เหมือนหลังควันนี่ที่ปรากฏภาพของทุ่งหญ้าแสนสวย กลิ่นหอมของมันตลบอบอวลไปทั่วตัว ก่อนจะกลายเป็นมายาที่นิโคตินสร้างไว้ในความทรงจำ
มันไม่เคยเกิดขึ้นจริง
“ช่วงนี้พี่ไม่ค่อยว่างเลยนะครับ”
[พี่ถึงถามเราว่าเหงาหรือเปล่าตอนพี่ไม่อยู่]
“ผมคิดว่าพี่มีคำตอบอยู่แล้ว”
[…]
“มันเหงายิ่งกว่าตายซะอีก”ผมอัดควันเข้าปอด ปล่อยออกมาช้าๆแล้วทิ้งเศษซากลงกับแอ่งน้ำด้านล่าง คลุกตัวอยู่กับควันจางๆ ที่ถ้าอาจารย์มาเห็นอาจจะต่อว่าผมอีกรอบก็ได้
เป็นหมอก็ควรจะดูแลร่างกาย
แต่ผมไม่ใช่สิงห์อมควันแบบที่หมอกเป็น
[ขอโทษนะที่ทำให้เหงาขนาดนี้ พี่จะเคลียร์งานให้เสร็จ ตกลงไหม]
“ครับ”
[แล้วถ้าวันไหนว่าง เรามาเจอกันดีไหม]
“…”
[เรายังไม่เคยเจอกันเลยนะ]
คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งไป ไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีความคิดใดๆ ตอนที่ผมปล่อยใจไปกับกลิ่นบุหรี่เหล่านั้น พิษร้ายของมันกำลังกัดกินร่าง ส่วนถ้อยคำก็กัดกินหัวใจ
พี่เขาไม่เคยพูดว่าเรามาเจอกันดีไหม
เพราะเราไม่ได้รู้จักกันมากพอ
[พี่อยากกอดเราให้หายคิดถึง เราจะได้ไม่เหงาอีก]
ผมยิ้มขำตลกกับประโยคนั้น ทั้งที่มันควรจะมีความสุข เพราะนั่นคือสิ่งที่ผมปรารถนามาตลอดสองเดือนที่เราคุยกันผ่านแอพสีเขียวที่ทุกคนใช้กันเกือบทั้งประเทศ ไม่มีคอนแทคอื่น ไม่มีข้อมูลอะไรให้สืบต่อ
เป็นแค่แชทที่ไม่รู้ว่าจะเข้าหรือออกเมื่อไหร่
[ชิน]
“ตกลงครับ” ผมตอบรับหลังจากเงียบไปนาน ไม่มีความจำเป็นที่ต้องสาวความให้ยาวขึ้นอีก “ผมจะรอวันที่พี่มา ถ้าเคลียร์งานเสร็จแล้ว บอกผมด้วยนะครับ”
[ได้เลย งั้นพี่วางก่อนนะ]
“…”
[อย่าลืมคิดถึงพี่นะ ชิน]
ผมหัวเราะ ขณะที่อีกฝ่ายกดวางสาย ผมมองสัญลักษณ์บ่งบอกว่าเราคุยกันไปนานเท่าไหร่ ความอบอุ่นเมื่อกี้แผ่ซ่านอยู่ในใจก่อนจะแทนที่ด้วยความเหน็บหนาว พี่คนนี้มักมาไวไปไวเสมอ แต่การจะมาแต่ละทีช่างเชื่องช้ายิ่งกว่ารถติด มันทำให้ผมคิดว่าบางทีเขาอาจไม่จริงจัง
แต่เรื่องตลกที่ทำให้ผมยิ้มขำ คือ ความคิดถึงของพี่เขา...
เขาโกหกผมอีกแล้ว
TBC
เป็นแนวดราม่า เหงาๆ ที่อยากเขียนมานานแล้ว
ค่อนข้างยากพอสมควรเลยค่ะ พยายามจะปั่นให้ทันจะได้ไม่แบ่งพาร์ทอัพ
อยากให้อารมณ์มันต่อเนื่องกันเนอะ
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยน้า
ติดแท็ก #เศษส่วน52Hz
ติดตามนักเขียน ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

เจ็บปวดคือการที่ชินมีความสุขกับการโกหกของพี่เค้า
เหงา-ห=เงา ที่อยู่เคียงข้างเรา
// ภาษาสวยมากเลยค่ะไรท์เราชอบแบบนี้
สู้ๆ นะคะ ภาษาสวยและดีงามมากเลย ฮือออออ เหมือนนั่งอ่านอยู่ในทุ่งโล่งๆ ที่มีควันหมอกเบาบาง ชวนให้รู้สึกหวิวๆ ในอก...
ทำไมชินถึงคิดว่าพี่เขาโกหก TT
แต่เข้าใจอารมณ์แบบเวลาเหงามากๆ แล้วมีคนโทรมาบอกว่าคิดถึง ประสบการณ์ตรง ณ ตอนนั้นคือ รู้สึกดีมากๆ แม้รู้ว่า เขาก็พูดตามารยาทนั่นแหละ แต่เพราะเราไม่ได้คาดหวังอะไรมั้ง เลยไม่ได้รู้สึกกลับมาเหงาเหมือนกับชิน
อ่านแล้วเศร้าตามเลย ยิ่งฝนตกด้วยยิ่งเหงาหนักกก