ตอนที่ 18 : เศษส่วนความเหงา 17
เศษส่วนความเหงา 17
แก้วที่หล่นแตก อย่าหวังว่ามันจะย้อนคืนเพียงเพราะคำขอโทษที่พูดมา
ชินไม่ตอบเขาคงจุกจนพูดไม่ออกเลยเอาแต่ร้องไห้อยู่บนตัวผม ผ่านไปสองสามชั่วโมงเจ้าตัวก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้า ผมอุ้มเขาขึ้นไปนอนบนเตียงห่มผ้า ลูบหน้าลูบตาขับไล่หยาดใส ทิ้งตัวลงนั่งด้านข้าง จ้องมองความเสียใจของคนที่เพิ่งผ่านมรสุมชีวิตมา ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้เห็นด้านนี้ของมัน
ด้านที่หมดกำลังของคนที่สูญเสียหัวใจตัวเอง
“ถ้ามึงเลือกกู ป่านนี้มึงคงมีความสุขไปแล้ว ชิน”
“อือ...”
“อย่างน้อยกูก็มั่นใจว่ากูจะไม่ทำให้มึงเจ็บกับเวลาที่เหลืออยู่”ผมเกลี่ยแก้มเบาๆให้มันคุดตัวหนีลงกับผ้าห่ม กดริมฝีปากลงบนแก้มขาว สัมผัสความรุ่มร้อนที่เริ่มจะดีขึ้นมาบ้าง เพราะตอนที่มันมาถึง ตัวมันเปียกมาก กว่าจะยอมเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ใช้เวลาอยู่นาน
มันเสียใจผมก็รู้
แต่มันไม่รู้ว่าผมเสียใจไม่แพ้มัน
สีหน้าของคนที่ดูแลมาตลอด มีอิทธิพลกับหัวใจผมอย่างมาก มันทำให้ผมคิดว่าถ้าวันนั้นเราไม่มีอะไรกัน เราอาจจะตื่นมาแล้วก็เริ่มสานสัมพันธ์กันดีๆ ก็ได้ อย่างน้อยก็น่าจะทำให้มันไม่ไปหาเขา แล้วเจ็บมาแบบนี้
เพราผมไม่อยากทำได้แค่นั่งจับมือมันอยู่อย่างนี้ เฝ้ามองความเสียใจที่แม้หลับไปก็ยังปรากฏอยู่บนใบหน้า
ผมอ้อนวอนและภาวนา ขอให้เรื่องดีๆ เข้ามาในชีวิตมันเถอะ
วาบ !
แสงสว่างที่หน้าจอมือถือชินทำให้ผมหันไปดูโทรศัพท์ ข้อความบางอย่างไหลเข้ามาอยู่สองสามอัน เรียกรั้งให้ผมเอื้อมไปหยิบมาถือไว้
เจ้าตัวปิดเสียงนั่นเลยเป็นสาเหตุว่าทำไมไม่ได้ยินตอนผมโทรไป
แต่หน้าจอที่สว่างวาบทำให้ผมรู้ว่ามีคนพยายามติดต่อเขาอยู่
S : ชิน กลับไปแล้วเหรอ
ผมถอนหายใจ ความกรุ่นโกรธทำให้ผมกำมือถืออีกฝ่ายไว้แน่น หลากข้อความของคนเห็นแก่ตัวถูกส่งมาเป็นข้อแก้ตัว
ที่ยิ่งแก้ปมเท่าไหร่ ปมที่ผูกไว้ยิ่งแก้ยากมากขึ้นเท่านั้น
S : พี่ไม่ได้อยากให้ชินมาเป็นเมียน้อยพี่ เราคุยกันเหมือนเดิมได้
S : ถ้าเหงาก็มาหากันไง แค่นั้นก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ
“นี่มึงคิดว่าชินชอบมึงเพราะมันเหงาเหรอ...” ผมเสยผม ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอคนแบบนี้ในชีวิต พี่อิชิที่ผมเคยรู้จักค่อนข้างเป็นคนดี แต่คนที่ส่งข้อความมานี้เหมือนเป็นคนละคน
ไม่มีเค้าร่างของคนนิสัยดี ที่เห็นใจคนอื่นเลย
“มึงดูถูกหัวใจมันมากไปป่ะวะ” ผมส่ายหน้า เลียปากอย่างหงุดหงิด หันไปมองชินอีกทีก็พบว่าเขาขยับตัวมากอดผมไว้ ได้ยินเสียงสูดน้ำมูกและเสียงสะอื้นเคล้าคลอกันไป เขาคงฝันร้ายไม่ก็ทำใจไม่ได้กับสิ่งที่เกิดขึ้นมา
ผมลูบหัว เปิดแชทนั้นเพื่อกดเมนูบนแถบด้านบน
สัญลักษณ์เดียวปรากฏอยู่ตรงหน้าผม และผมไม่ลังเลเลยที่จะ...
S ถูกบล็อก
“กูจะไม่ยอมให้มึง มาทำร้ายคนของกูอีกแล้ว”
-MOK PART END-
ในความฝันผมนั่งอยู่คนเดียวในความมืด
ไม่มีผู้คน ไม่มีแสงไฟ มีเพียงแค่ความเหน็บหนาวที่โอบกอดผมไว้ ข้างกายเป็นนาฬิกาทรายที่หล่นแตกแสดงให้เห็นว่าเวลาที่เดินไปได้หยุดลงแล้ว
‘นี่ฟาง คู่หมั้นพี่เอง’
‘พี่เคยเปิดโอกาสให้ชินไปแล้วไง’
‘ชินไม่ไปเอง’
คำพูดพวกนั้นลอยอยู่รอบตัวผม เป็นภาพเรื่องราวฉายซ้ำให้รู้ว่าผมเจออะไรมาบ้าง ผมนั่งร้องไห้ มองภาพเหล่านั้นด้วยน้ำตา นาฬิกาทรายด้านข้างกลายเป็นหน้าจอโทรศัพท์ ข้อความที่ไล่ผมคราวนั้นปรากฏ และพาดผ่านด้วยivpแตกร้าว ผมเพิ่งเข้าใจว่ามันคือสัญญาณบอกให้ผมหนีไปจากจุดนั้น
จุดที่เป็นได้แค่คนแก้เหงาของคนคนนึง
“ฮึก…” เพดานขาวเคลือบด้วยหยาดใสที่คลอดวงตาผม การตื่นมาพบกับวันใหม่ไม่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด แสงแดดยามเช้าที่ส่องผ่านมาพอดี ทำให้ผมอยากจะวิ่งหนีออกจากมัน
‘ชินทำให้พี่รู้สึกว่าพี่ต้องตื่นมาเจอใคร’
‘ชินเป็นเหตุผลที่พี่อยากใช้ชีวิตต่อ’
ผมเขยิบตัวหนี ไปนั่งกอดตัวเองอยู่ในมุมมืด ฝังหน้าลงร้องไห้แม้ว่าจะเพิ่งตื่น แต่เหมือนฝันร้ายมันยังไม่จบลง ผมยังได้ยินเสียงเขา ยังจำภาพที่เราคุยกันได้ รอยจูบที่เขาฝากไว้ทำให้ผมอยากกัดปากตัวเองให้ขาดออกไป
เช้าวันใหม่ไม่ต่างจากเมื่อวานนี้เลย
“ฮือ พอสักที” ผมกอดตัวเอง จิกเล็บลงกับแขนปลุกตัวเองให้ตื่นจากห้วงความฝัน ทว่าความเจ็บปวดที่ส่งมานั่นบ่งบอกว่าผมไม่ได้ฝัน แค่อยากให้สิ่งที่เกิดเป็นฝันต่างหาก
มันคงดีถ้าผมตื่นมาแล้วพบว่าทุกอย่างปกติ ผมนอนอยู่ในห้อง ตอบแชทพี่เอสเหมือนทุกวัน
ไม่รู้ว่าเขามีคนอื่น ไม่รู้ว่าเขามีคู่หมั้น
และไม่รู้ว่าตัวเองนั้นกำลังกลายเป็นคนแก้เหงาของใคร
ไม่อยากรับรู้อะไรที่ทำให้หัวใจแหลกสลายไป ถ้าผมรู้ว่านั่นคือกลลวงหลอกผมไปเชือดเฉือนหัวใจ ผมคงอยู่บ้านรอหมอกกลับมา
แล้ววางเดิมพันใหม่กับความสัมพันธ์ของเพื่อนตัวเอง
“ร้องไห้แต่เช้าเลย คุณหมอของกู”
“ฮึก”
“ฝันร้ายเหรอ ?” ผมเงยหน้าจากแขนที่กอดตัวเองอยู่ มาสบตากับหมอกที่ทิ้งตัวลงนั่งด้านหน้า ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยแก้มผมเบาๆ ยกยิ้มบางๆ เป็นกำลังใจ ผมเม้มปากแน่น ปล่อยเขาเช็ดน้ำตา กดจูบเล็กน้อยที่หน้าผากทาบทับรอยผิดบาปที่ผู้ชายคนนั้นทำไว้
แต่มันกลับไม่ทำให้หัวใจผมรู้สึกดีขึ้นเลย
“ฮือ”
“ไม่เป็นไร ตอนแรกมันก็จะเจ็บอย่างนี้ แต่อีกสักพักมันก็จะหาย”
“…”
“มึงจะไม่เป็นไร มึงมีกู ได้ยินไหม”เขายีหัวผม จับโยกไปมาเหมือนเด็กๆ ทว่าผมกลับเห็นเส้นแบ่งเขตที่ตัวเองสร้างเอาไว้ ผมหลุบตาต่ำ คำปลอบใจย้ำเตือนว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไร
ผมกำลังกลายเป็นคนสองจิตสองใจ อยากให้เขาโกหกว่าไปแอบขโมยตัวผมมาจากวงแขนคนที่ผมรัก
ถ้าพูดแบบนั้นมันคงทำให้ผมรู้สึกดีกว่าการบอกว่าผมเป็นคนนั่งแท็กซี่กลับมาด้วยตัวเอง
“พี่เขาทักมาบ้างไหม”
“ชิน”
“เขาถามหรือเปล่าว่ากูไปไหน”
“…”
“เขาบอกให้กูโทรกลับไหม ตอนกูหลับไป เขาโทรมาหากูหรือเปล่า”ผมถามเขา กัดปากแน่นขณะมองอีกฝ่ายทั้งน้ำตา “เขาพูดหรือเปล่าว่าล้อเล่นกับสิ่งที่พูดมา”
“เลิกหลอกตัวเองเถอะนะ”
“ฮึก”
“มึงต้องตื่นจากฝันได้แล้ว”ผมสะอื้นตัวโยน เนื้อตัวสั่นไหวเพราะความเจ็บ ทำไมผมถึงอยากหลอกตัวเองก็ไม่รู้ คงเพราะผมไม่อยากรับรู้ว่าตัวเองโง่แค่ไหน ถ้าเกิดเขาส่งข้อความมาบอกว่ามันคือการหลอกให้ผมตายใจแบบในหนัง เพื่อเซอร์ไพรส์วันเกิดผม ผมก็คงรีบนั่งรถกลับไปหาเขา
ไม่ใช่มานั่งร้องไห้พยายามใช้น้ำตาลบมันไปแบบนี้
“กูไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะโง่ขนาดนี้”
“ชิน...”
“กูอยากลืม อยากลืมให้หมด กูไม่อยากทนกับตัวเองตอนนี้เลยอะมึง กูทนไม่ไหวหรอก” ผมจิกเล็บลงกับแผ่นหลัง กรีดทึ้งมันขณะที่กอดตัวเองเอาไว้ ส่ายหน้าไปมาอย่างคนยอมรับความจริงไม่ได้ รู้สึกอ่อนล้าและคลื่นไส้ แค่คิดว่าอิชิใช้ปากที่จูบผมทำอะไรกับผู้หญิงคนนั้นผมก็สะอิดสะเอียนแทบบ้า
มันคืออิทธิพลของคนที่เราให้ความรักแบบไม่มีข้อแม้ใดๆ
“กะ...กูอยากจะอ้วก อุก !”
“มึง !”
ผมยกมือขึ้นปิดปาก ปัดผ้าห่มออกจากตัวแล้ววิ่งเข้าห้องน้ำไปหาชักโครก อาเจียนสิ่งที่อยู่ในท้องออกมาจนหมด ยิ่งคิดภาพที่เขาจูบคนอื่นนอกจากผม ผมก็ยิ่งอ้วกออกมาหนัก หมอกรีบวิ่งตามมา เขาลูบหลังผมเพื่อช่วยให้ผมคลายกังวล เอาน้ำใส่แก้วมาให้ผมบ้วนปาก พร้อมกับส่งผ้าขนหนูผืนเล็กมาให้
ผมกอดคอห่าน รู้สึกเจ็บร้าวไปทั่วภายใน เสยผมขึ้นไปพร้อมกับหอบหายใจอย่างหนัก
“ไม่เป็นไร ใจเย็นๆ” หมอกปลอบผม เขาไม่รังเกียจที่ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ หนำซ้ำยังกดน้ำให้ ซับหน้าซับตาผมที่เครียดไม่มีหยุด
ผมเหมือนคนติดยา นาทีแรกผมคิดถึงพี่อิชสุดหัวใจ แต่นาทีต่อมาผมก็ร้องไห้นึกถึงว่าเขาทำอะไรไว้กับผม
ผมขยุ้มผมตัวเอง เสยผมอย่างเครียดจัด จากนั้นก็หันไปกอดแขนหมอกแล้วอ้อนวอนเขา
“เอามือถือมาให้กูได้ไหม กูขอโทรหาเขาหน่อย”
“ไอ้ชิน”
“กูอยากคุยกับเขา เขาต้องมีเหตุผลแน่ๆ”
“ไอ้ชิน มึงต้องเลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว”
“ไม่ มึงไม่เข้าใจ เขาบอกว่าเขาชอบกู เขาอยากให้กูเป็นเหตุผลในการใช้ชีวิตของเขา”
“…”
“บางทีเรื่องที่เกิดขึ้นมันอาจจะแค่เป็นการสร้างสถานการณ์ เขาอาจจะมีแพลนเซอร์ไพรส์ขอกูเป็นแฟน” ผมเขย่าตัวหมอกที่ทำท่าจะเข้ามากอดผมไว้ ผมเลียปาก ทำหน้าจริงจังขณะที่อีกคนส่ายหัวใส่ “ขอร้อง เอามือถือมาให้กูเถอะ กูอยากคุยกับเขา”
“ไปกินข้าวเถอะ กูเตรียมข้าวต้มไว้ให้”
“หมอก...!”
“มึงต้องกินข้าวบ้างนะ มึงผอมลงไปเยอะเลย” แทนที่จะทำตามคำขอหมอกกลับเปลี่ยนประเด็น เขาจับตัวผม กวาดตามองร่างกายที่ซ่อนอยู่ในเสื้อผ้า “เดี๋ยวทำไข่น้ำเพิ่มดีกว่า มึงจะได้กินของโปรดแล้วอารมณ์ดี”
“มึงจะมาเปลี่ยนเรื่องแบบนี้ไม่ได้”
“แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้มึงคิดมากจนตาย”
“…”
“ให้กูได้ดูแลมึงเถอะ”เขาหอมหัวผม มอบความอ่อนโยนที่ผมอยากได้มาให้ มือหนารั้งกายให้ลุกขึ้นดึงให้เดินตามที่ประตูเชื่อม ห้องนอนของผมมีกลิ่นบุหรี่ รวมถึงกลิ่นเหล้าที่ผมแปลกใจว่ามันมาจากไหน ผมจำได้ว่าตัวเองไม่ได้นอนในห้องก่อนวันที่จะไป ผมอยู่ห้องหมอกตลอดนั่นแปลว่าจะไม่มีใครเข้ามาได้เว้นแต่...
หมอกคนเดียว
เจ้าตัวกดไหล่ผมให้นั่งลงบนเก้าอี้ เทนมใส่แก้วแบบที่ทำเป็นปกติ แล้วตักข้าวต้มที่ทำไว้มาให้ผม ดวงตาของผมหม่นลง ความอยากสารเสพติดจู่โจมจนต้องเอ่ยขอสิ่งที่เขากำลังจะเอาเข้าปาก
“ขอตัวนึง” ผมแบมือ ขอบุหรี่ในมือมาตกตะกอนเข้าปอดสักนิด หมอกชะงัก ทำท่าจะให้แต่ก็ชักกลับไป “หมอก”
“กินข้าวให้หมดก่อนแล้วกูจะให้”
“…”
“ไม่งั้นก็ไม่ต้องสูบกันทั้งคู่”ผมกลืนน้ำลาย ไล่ตามองตามบุหรี่มวนนั้นที่เก็บเข้าซองไป หมอกเดินไปทิ้งตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม เอาช้อนมาคนข้าวต้มที่ตักให้ เป่านิดหน่อยก่อนจะมาจ่อปาก บังคับให้ผมกินแม้ว่าผมจะไม่อยากเลยสักนิด
แต่ถ้าไม่กินผมก็จะไม่ได้บุหรี่ ผมเลยต้องยอมกิน
ข้าวคำแรกขมเฝื่อนทั้งที่มันควรหวาน
มันเคล้ากับน้ำตาเลยเปลี่ยนน้ำตาลกลายเป็นความขื่นขม
“กูไม่อยากกิน กูอยากสูบบุหรี่”
“อดทนกินหน่อย สักสองสามคำก็ยังดี”
“…”
“จะได้มีอะไรรองท้องบ้าง” ว่าด้วยรอยยิ้มแล้วตักมาป้อนผมอีก คราวนี้เขาลากเก้าอี้มานั่งข้างผม ป้อนข้าว ป้อนนม รวมถึงน้ำที่รินให้ ไม่ยอมไปกินข้าวตัวเองคอยกระตุ้นให้ผมเคี้ยวสิ่งที่ป้อน ผมกลืนมันลงคอ ประจำเขาทำกับข้าวอร่อย ทว่าวันนี้ร่างกายผมกลับให้ความรู้สึกเหมือนกลืนยาพิษลงท้องไป
แอปเปิ้ลอาบยาพิษของแม่มดใจร้ายกำลังทำลายจิตใจผม
หมอกยกยิ้มบางให้ดูว่าตัวเองมีความสุขแค่ไหนที่ผมกินข้าว แต่เขาไม่รู้เลยว่าสายตาที่เขามองผมนั้นมันทำผมเจ็บร้าวแค่ไหน
มันคือแววตาสงสารที่ทำให้ผมสมเพชตัวเอง
“เก่งมาก”
นิโคตินถูกอัดเข้าปอดซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลังกินข้าวหมด ในหัวของผมโล่งขณะที่ตะกอนร่วงหล่นในใจ ความรุ่มร้อนแผดเผาให้มันกลายเป็นจุดด่าง ปล่อยควันสีขาวลอยคลุ้งทั่วห้องน้ำระบายความอึดอัดของจิตใจ ตอนนี้หมอกออกไปข้างนอก เขาบอกว่าจะซื้อของมาทำอาหาร หนำซ้ำยังสั่งให้ผมอาบน้ำ อ้างว่าจะพาไปหาชิชา
เสียดายที่ผมอยากอยู่คนเดียวมากกว่า
อยากจมหายไปกับอ่างน้ำและควันบุหรี่สีเทา ด่ำดิ่งสู่ห้วงความคิด มีภาพของผู้ชายที่เป็นรักแรกเป็นประเด็นหลัก
ผมมองเห็นภาพที่เรายิ้มให้กัน ภาพที่เขาจูบผม ภาพที่จับมือ รวมถึงภาพที่เรากอดกันไว้
ทุกๆ อย่างเลื่อนผ่านไปเหมือนหนังที่ถูกกรอให้ดู
‘พี่ชอบชินจริงๆนะ’
‘พี่อยากรู้ว่าถ้าเราจูบกันมันจะเป็นไง’
‘ชิน หวานชะมัดเลย’
ผมส่ายหน้าขยับตัวขึ้นมาเอาอากาศเข้าปอด ดวงตาสีสวยสะท้อนความเจ็บช้ำ รวดร้าวจนไม่รู้จะลบล้างยังไง ทำไมช่วงเวลาแห่งการเสียใจถึงได้อยู่กับผมนานขนาดนี้
ต่อให้มันจะไม่ถึงวันก็ตาม
ก่อนหน้านี้ผมตามหามือถือ กำลังคิดอยู่ว่าจะโทรไปหาพี่เขาดีไหม แต่หมอกไม่รู้เอาโทรศัพท์ผมไปซ่อนไว้ไหน เขาทิ้งไว้เพียงแค่โกโก้ที่ชงให้ บอกว่าถ้าขึ้นมาแล้วผมยังกินไม่หมด จะจับป้อนด้วยปาก
ถ้าเป็นปกติผมคงหัวเราะให้กับคำพูดนั้น ทว่าพอได้ฟังผมกลับหลุบตาต่ำ ถือมันเข้ามาในห้องน้ำ วางอยู่บนอ่างตรงที่นั่ง ผมไม่ได้ถอดเสื้อผ้าด้วยซ้ำแค่หย่อนตัวลงในน้ำ
รอยบาปที่พี่เขาทำไว้ มันล้างออกไม่ได้ ต่อให้อยากล้างแค่ไหนก็ตาม
“เกลียดตัวเองชะมัด”
ผมลูบหน้าเสยผมอย่างเครียดจัด กำลังจะเอื้อมมือไปหยิบบุหรี่ในซอง แต่มือดันไปปัดแก้วโกโกร้อนหล่นแตก ผมสะดุ้งมองเศษซากของแก้วที่หมอกเป็นคนเพ้นท์ให้ ชื่อของผมถูกตัดขาดไป อาบไล้ด้วยหยาดหวานสีข้น
ทว่าตอนที่กำลังจะเก็บเศษแก้วขึ้นมา ปลายนิ้วผมกลับโดนความคม
“อะ...”เลือดสีแดงสดไหลไปตามเรียวนิ้ว หยดลงบนพื้นย้อมโกโก้น้ำตาลให้กลายเป็นสีแดงหม่น ความเข้มข้นของมันเป็นสิ่งที่ดึงดูดผม
ถ้าเกิดหัวใจคนสามารถย้อมสีได้แบบนี้ก็ดี
แต่การจะย้อมให้มันเปลี่ยนมากกว่านี้ก็ต้องใช้สีที่มากกว่าหยดเดียว
ผมหลุบตา เอื้อมไปหยิบเศษแก้วชิ้นที่ใหญ่ที่สุดขึ้นมาถือไว้ ไล่สายตามองมัน ความแหลมคมสามารถเชือดเฉือนเนื้อผมได้ จู่ๆ ก็อยากรู้ว่าถ้าใช้สีแดงมากๆ สีน้ำตาลจะเปลี่ยนไปแบบไหน
ผมมองข้อมือตัวเอง มันมีเส้นเลือดใหญ่
เจ็บแค่นิดเดียวผมก็จะไขข้อสงสัยของตัวเอง
“อึก”ผมกัดปากตอนกรีดมันลงบนตรงนั้น ความคมทะลุชั้นเนื้อผิว ปาดเพียงนิดเดียวเลือดมากมายก็พรั่งพรู ยิ่งกำข้อมือก็ยิ่งเพิ่มปริมาณให้มากขึ้น ความเจ็บปวดชั่วพริบตากำลังสร้างศิลปะอันใหม่
สีแดงที่หยดลงย้อมสีน้ำตาลให้กลายเป็นสีน้ำตาลแดงไม่ต่างจากสีผม
มันหยดลงบนพื้น เจิ่งนองขณะที่ผมเบียดแก้มลงกับขอบอ่าง วางข้อมือข้างนั้นไว้เหนือน้ำปล่อยมันย้อยลงกับอ่างไปหาโกโก้ที่รออยู่ ผมยกยิ้ม ความเจ็บเริ่มเปลี่ยนเป็นชินชา
ความรู้ที่เรียนมาคล้ายกับหายไปชั่วขณะ ผมกำลังมีความสุข ยิ่งตอนที่ผมเปลี่ยนท่ามานอนลง จมลงในน้ำให้สีแดงของมันเปลี่ยนสีน้ำให้ขุ่นหมองผมก็ยิ่งพอใจ
เพราะพอผมสนใจความเจ็บที่ข้อมือแล้ว...
รอยร้าวที่หัวใจแลดูจะทุเลาลงเยอะเลย
“ดีจัง...เลย”
ผมหลับไปตอนไหนถึงตื่นมาแล้วพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้อง
เพดานสีขาวกับกลิ่นรอบกายเปลี่ยนไป มีแจกันดอกไม้ ด้านข้างมีสายน้ำเกลือ รวมถึงที่ข้อมือข้างขวามีผ้าพันแผลพันไว้ เลือดสีสดซึมน้อยๆ แต่ไม่ได้มากเท่าตอนที่ผมกรีดมันออกมาใหม่ๆ ผมถึงเข้าใจว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน
โรงพยาบาล
“ผมเข้าใจ ผมจะดูแลเขาให้”
“อะ...”
“พี่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ถ้าเกิดเรื่องอะไรอีก ผมจะรีบโทรบอก โอเค แค่นี้ก่อนนะชิชา” เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพร้อมกับบานประตูที่ปิดลง ผมเลื่อนสายตาไปมองหมอกที่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้า สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลก่อนจะเคลื่อนมามองผม
“ชิน !” ดวงตาสวยเบิกกว้างพลันก็รีบพุ่งมากอดผม ความอบอุ่นกำลังทิ่มแทงร่างผม ให้ผมเหม่อลอยใส่เขา “มึงฟื้นสักที กูนึกว่ามึงจะทิ้งกูไปแล้ว”
“กูมาอยู่ที่นี่ได้ไง”
“กูพามาไง รู้ไหมว่าถ้าช้ากว่านี้มึงอาจตาย”
“…”
“มึงจำได้ไหมว่ากรีดข้อมือตัวเอง”ผมไม่ได้ตกใจเพราะนั่นคือสิ่งที่ผมตั้งใจทำ ผิดกับหมอกที่เขาดูเสียขวัญ ผมเพิ่งเห็นว่าเสื้อที่เขาใส่เปื้อนเลือดผมนิดหน่อย “กูแทบบ้าเลยตอนเห็นมึงสลบไป นึกว่ามึงจะไม่รอด ดีที่พามาหาหมอทัน ไม่งั้นกูคงเสียมึงไปแล้ว”
“เหรอ...”
“ชิน”
“กูยังไม่ตายสินะ”
“…”
“ยังมีชีวิตอยู่เลย” ผมมองมือตัวเอง ในหัวคิดแล้วว่ายังไงก็คงไม่รอด ผมจำได้กรีดเข้าที่เส้นเลือดใหญ่นั่นแปลว่าถ้าผมปล่อยตัวเองไว้ ไม่ถึงชั่วโมงผมอาจจะตายเพราะเสียเลือดหนัก แต่ที่ผมรอดเพราะหมอกช่วยผมออกมา
ซึ่งพอได้ยินแบบนั้นเขาก็จับบ่าผมไว้
“บอกกูทีว่ามึงไม่ได้ตั้งใจ”
“หมอก...”
“มึงแค่พลาดใช่ไหมชิน” ผมนิ่ง ไม่ตอบรับให้เขาคิดต่อ “มึงโกหกให้กูรู้สึกดีเหรอ อย่างน้อยก็ทำให้กูรู้สึกว่ามึงไม่ได้พยายามฆ่าตัวตายเพราะอยากหนีเรื่องของพี่เขา”
“แล้วถ้ากูทำแบบนั้น มึงจะทำไรได้”
“…”
“นี่มันชีวิตกู” ผมยิ้มราวกับเพิ่งฟังเรื่องตลก คำพูดของหมอกเมื่อกี้ตอกย้ำถึงความโง่เขลา แต่ช่วงเวลานั้นผมมีความสุขมากที่หัวใจถูกแบ่งเบา ความเจ็บที่กายทำให้ผมก้มหน้ารับกรรม ไม่สนใจหมอกที่จับมือผม
เขาบีบเบาๆระวังข้อมือผมเป็นพิเศษ รั้งสายตาผมให้ขึ้นไปสบ
ปลอบประโลมผมด้วยความห่วงใย และความหวาดกลัว
“มึงจะถนอมใจกูบ้างไม่ได้เหรอ”
“กูแค่อยากให้หัวใจมันหายเจ็บอะมึง”
“ชิน”
“ถ้าความเจ็บไปอยู่ที่อื่น หัวใจกูก็จะได้ปลอดภัยไง”ผมมองบาดแผลที่เวลาเคลื่อนจะเจ็บหน่อยๆ แต่ก็ไม่มากพอเมื่อคิดว่าตอนผมร้องไห้หรือเศร้าใจมีใครเคยปลอบไว้
พี่อิชิเคยบอกว่าเรื่องเลวร้ายจะผ่านไป
แต่เขาไม่บอกว่าตอนที่เขาเป็นเรื่องเลวร้าย ใช้เวลาแค่ไหนมันถึงจะผ่านไปสักที
“มันก็ช่วยได้นะ”
“มันก็แค่อารมณ์ชั่ววูบใช่ไหม”
“อะ...”
“มึงไม่ได้ตั้งใจใช่ไหมชิน”เหมือนกับสคริปที่มีบทให้ต่อตาม ผมหลุบตาต่ำขณะที่หัวใจเต้นช้าลงจนเกือบหยุด ผมไม่อยากโกหกเรื่องที่เกิดขึ้น คำพูดก่อนหน้าก็บอกแล้วว่าผมจงใจทำ
ทว่าพอเห็นสายตาของเขา ผมก็เม้มปาก สิ่งเดียวที่หลุดออกไปมีเพียงแค่คำคำเดียว
“ขอโทษ”
#เศษส่วน52Hz
ชินเป็นคนประเภทที่รักใครแล้วเราทุ่มให้หมดใจ เราไม่เผื่อใจไว้แม้จะโดนเขาทำร้ายซ้ำๆ
มีคนจำนวนไม่น้อยในชีวิตจริงที่เป็นแบบชิน เรารักเขาจนบางครั้งเราหลอกตัวเองว่าเขาจะกลับมา
จนหลงลืมว่ามีคนที่เขารักและรอเราอยู่ มันคือเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้น
และบทสรุปของมันก็เคล้าน้ำตาเหลือเกิน
ทวิต ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

โหห เป็นเรื่องที่อ่านแล้วใจมันปวดหน่วงๆ หวิวๆสุด ไรท์เก่งมาก น้ามตาคลอเลย ฮือออ
อย่าทำแบบนี้อีกเลย อย่าทำร้ายตัวเองเลย
ตอนนี้สงสารทั้งสองคน สงสารตัวเองด้วย
แต่ในความเป็นจริง ไม่อยากเข้าใจชินค่ะ
คิดว่าชินน่าจะเป็นโรคซึมเศร้าอ่อนๆมานานแล้ว....อันนี้จะตอบโจทย์ทั้งหมด
ว่าทำไมแม้นแต่คนเรียนหมอก็ยังเป็นแบบชินได้
เฮ้อออ...คนอ่อนแอก็แพ้ไป...
เขาคือตัวละครที่ขาดความรัก ความอบอุ่น พอมีคนมาทำให้เขารู้สึกดีเขาก็เลยทุ่มให้ทุกอย่าง
คนแบบนี้มีจริงๆในสังคม เพียงแค่บางคนไม่รู้จักก็เลยไม่เข้าใจ
คิดว่าเข้าใจชินนะ เด็กบ้านแตก แตกแบบเหลือแค่พี่สาวคนเดียว ทั้งพ่อ ทั้งแม่ ไม่สนใจ
เด็กบ้านแตกส่วนมาก จะโหยหาความรัก จะหาหลักไว้ยึดเหนี่ยว ซึ่งตอนนี้หลักคือ อีพี่อชิ
ด้วยความรู้สึกว่าหลักที่ยึด หลุดลอยไปแล้ว มันเจ็บจนทนไม่ไหว ประมาณว่าตายซะดีกว่า
มีให้เห็นบ่อย ๆ นะ ฆ่าตัวตายด้วยอารมณ์ชั่ววูบตอนกำลังเจ็บปวดที่สุด คนที่จิตใจอ่อนแอ
ถึงขั้นสุดทนไม่ได้หรอก แต่ก็มีอีกหลาย ๆ คน กลับตัวทัน (อย่างชินคงไม่ไหวแล้ว )
คำที่ว่า ไม่เจอกับตัวไม่รุ้หรอก มันจริงสุด ผู้ชายแบบอชิก็มีอยู่จริง มาก ๆ ในสังคมปัจจุบัน
เราว่าไรท์ เขียนได้สมเหตุสมผลแล้วค่ะ