ตอนที่ 13 : เศษส่วนความเหงา 12
เศษส่วนความเหงา 12
น้ำตาที่รินไหลไม่อาจลบความเจ็บปวด
มันแค่ทำให้มองเห็นอะไรได้มากขึ้น
หัวใจผม...ไขว่เขว
ผมนั่งหัวเราะกับตัวเองตอนเห็นแมสเสจนั่น เสยผมที่เปียกชื้นด้วยน้ำฝน ไม่สนใจหมอกที่ถือสายรออยู่ ยกมือขึ้นปิดปากขณะที่ให้น้ำตาไหลออกมาชโลมหัวใจที่เจ็บช้ำ
พี่เอสไม่ได้บอกว่าความเข้าใจของเราแตกต่างกัน
ผมนึกว่าไอ้คำว่าช้าหน่อยนะ หมายถึงการมาเจอกันแต่เลทเวลา
ไม่ได้นึกว่ามันหมายถึงคำบอกลาให้ผมกลับบ้านไปซะ
“แล้วที่ให้รอคืออะไร”ผมถามเสียงสั่น ฝืนยิ้มโดยไม่ได้ตอบกลับ “แล้วพี่ให้ผมรออะไรวะ ฮึก”
ผมสะอื้น เนื้อตัวสั่นไหวตามแรงร้องไห้ ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะยอมให้ตัวเองเจ็บได้ขนาดนี้ ตอนนั้นที่พี่เขาบอกว่าจะไปก็ไปสิ ผมก็เขวไปรอบนึงแล้ว แต่ผมก็ตั้งหลักกลับมาได้ เพราะมีเรื่องของหมอกมาลบล้างจิตใจ
แต่ครั้งนี้...ผมจะเอาเรื่องอะไร
จะเอาเรื่องไหนมาลบความเจ็บปวดนี่ออกไปสักที
“ฮือ” ผมปิดหน้าร้องไห้ให้สายฝนโอบกอดร่างเอาไว้ ผมโง่ที่เชื่อคำโกหกเขาหมดหัวใจ เชื่อว่าเขาจะทำให้ความฝันของผมเป็นจริงได้โดยไม่หลอกลวง
เสียดายที่ผมมองโลกในแง่ดีเกินไป
คิดในแง่ดีว่าเขาจะจริงจังกับผมเหมือนที่ผมทำ
(ชิน มึงร้องไห้ทำไม)
“หมอก...”
(เป็นอะไรคนเก่งของกู)
เสียงของหมอกทำให้ผมร้องไห้หนักขึ้น โดยไม่โต้ตอบ ผมคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ว่าควรจะบอกยังไงดี ผมอยากพูดว่าอยากให้เขาอยู่ตรงนี้ ทว่าเสียงที่ส่งผ่านไปมีแค่เสียงร้องไห้และเสียงสะอื้นจากความเสียใจเท่านั้น
ผมลูบหน้าตัวเองให้น้ำตาเคล้ากับหยาดฝน บอกตัวเองว่าโง่จนไม่น่าเรียนหมอ
มีคนบอกว่าถ้าเรียนหมอ แปลว่าสมองต้องอัจฉริยะ ผมคิดว่าคำนั้นคงใช้ไม่ได้
เพราะถ้าผมฉลาดจริง ผมจะไม่นั่งรอเขานานขนาดนี้เลย
(ชิน)
“ชิน” เสียงทุ้มต่ำที่เล็ดรอดจาดปลายสายดังเทียบเท่ากับเจ้าของรองเท้าที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้า ผมกะพริบตา ไล่หยาดใสที่บังจอภาพให้ร่วงผล็อยลงไป ก่อนจะแปลกใจเพราะสายฝนตรงผมเป็นจุดเดียวที่หยุดลง
วินาทีนั้นผมรู้แล้วว่ามีใครสักคนสงสารผม
แบ่งปันร่มสีดำที่เคยใช้ร่วมกันตอนปีหนึ่ง
ผมเงยหน้า มองเจ้าของดวงตาสีน้ำตาลที่กางร่มมาบังฝนให้ เขาไม่ได้บอกว่าอยู่ใกล้เพียงเอื้อมมือ ไม่ได้บอกว่าจะมารับทันทีที่ได้ยินเสียงร้องไห้
เขาไม่ได้บอกอะไรเลยว่าจะมารับผมกลับไปตอนไหน
แต่เขาก็มา
มาในช่วงเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด
“กลับบ้านกัน”
แล้วน้ำตามันก็รื้นเพราะเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า...ชั่วนิรันดร์
ผมไม่รู้ว่าหมอกหาผมเจอได้ไง ผมยังไม่ได้บอกเขาด้วยซ้ำว่าผมเจอกับพี่เอสที่ไหน หนำซ้ำก่อนหน้านี้เขาก็ยังเล่นเกมอยู่ที่ห้อง ไม่มีวี่แววว่าจะออกมารับผม
และผมก็มาพบว่าภาพนั้นเขาก็เคยส่งมา
เขาหลอกผมว่าติดงาน
“อาบน้ำ เดี๋ยวไม่สบาย”
“…”
“ชิน”ร่างสูงเรียกผมเสียงแผ่วตอนพาผมกลับมาที่หอ ผมเคลื่อนสายตามองเขา ความเจ็บช้ำและเหนื่อยล้ายังปรากฏทั่วนัยน์ตา มือหนาส่งผ้าขนหนูในห้องเขามาให้ พยักหน้าให้ไปอาบน้ำซะจะได้มานอนพัก ผมหลุบตาต่ำ ก้มมองมือเขาแล้วจับมือไว้
มือของหมอกอุ่นเสมอแม้อากาศรอบข้างจะหนาวสักแค่ไหน
หรือไม่ก็คงเป็นมือผมเองที่เย็นจับใจเกินทัดทาน
“ชิน”
“มึงสมเพชกูไหมวะ”
“…”
“ตลกไหมที่มีเพื่อนโง่ขนาดนี้”ผมถามเขาเสียงสั่น น้ำตากำลังจะไหลมากองรวมกันอีกครั้ง “รำคาญไหมที่กูเชื่อในสิ่งที่ไม่มีวันเป็นจริง ทั้งที่ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมายว่ารักทางไกลมัน...”
“ไปอาบน้ำ” หมอกขัดคำพูด เขาสั่งผมเสียงเข้ม “ไปอาบน้ำได้แล้ว ถ้ามึงป่วย ชิชาได้มาฆ่ากูพอดี”
“หมอก”
“มันไม่ใช่เรื่องที่มึงจะมาคุยกับกูตอนนี้”
“…”
“พอได้แล้ว”ปลายนิ้วร้อนเกลี่ยเส้นผมที่ลงมาปรกหน้าไปทัดหูให้ เชยคางเบาๆ ให้เราเงยหน้ามาสบตากัน ผมเห็นภาพตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้น
หมอกไม่มีวี่แววของความรำคาญ มีแต่ความห่วงใยและอ่อนโยน
เหมือนทุกครั้งที่มองมา
“อาบน้ำนะ ชิน” ผมเม้มปากแน่น พยักหน้าทำตามสั่ง หมอกเอาเสื้อผ้าของเขาให้ผมยืมใส่ ขณะที่ผมปล่อยใจไปกับสายน้ำเย็นชืด ผมหลุบตา มองความเสียใจที่ไหลลงท่อไป จมดิ่งอยู่กับห้วงความคิด และเฝ้าถามตัวเองว่าทำไมครั้งนี้มันถึงได้ทรมานกว่าครั้งที่แล้วมาก
เพราะผมเชื่อมั่น เพราะผมจริงจัง ?
เพราะผมยึดติดคำโกหกเหล่านั้นมาบั่นทอนตัวเอง
“ชิน” ผมหลุดจากภวังค์ตอนได้ยินเสียงกระซิบ หมอกยืนซ้อนทับผมจากด้านหลัง เขายังอยู่ในชุดเดิม ไม่มีท่าทางของคนที่จะอาบน้ำพร้อมกัน วงแขนแกร่งเอื้อมมากอดรัด รั้งกายผมสู่อ้อมกอดที่ฝันหา
ผมนิ่งงัน ไม่ผลักหรือดีดดิ้นให้เป็นอิสระ
กลับกันผมทาบมือลงกับแขนนั้น กระชับมันให้กอดผมไว้แน่นกว่าเดิม
“กูเจ็บเหลือเกิน หมอก”
“กูรู้”
“เขาไม่น่าโกหกกูเลย”
“อืม”
“ถ้าบอกความจริงตั้งแต่แรก บางทีกูคงไม่เจ็บขนาดนี้”
“…”
“กูเหมือนคนโง่เลย” ผมพูดตามความคิด เลื่อนลอยขณะที่เอนตัวพิงกับบ่าแกร่ง สัมผัสแผ่นอกที่ซ่อนอยู่ในเสื้อเชิ้ตที่เขาใส่ไปรับผม มันเปียกชื้นเพราะน้ำจากฝักบัวที่เปิดอยู่ ตัวของผมสั่น หัวใจเหน็บหนาวยิ่งกว่ายืนอยู่บนที่สูง “เขาทำให้กู...เหงากว่าเดิมเป็นพันเท่า”
“กูก็เหงาตอนมึงไม่อยู่เหมือนกัน”
“…”
“มึงไม่ได้เหงาคนเดียวหรอก”คำปลอบประโลมทำให้ผมหันไปเผชิญหน้ากับมัน สองมือโอบรอบคอขณะที่ดวงตาสอดประสานกันเป็นหนึ่ง หมอกทาบหน้าผากลงมา หลับตาลงเพื่อซึมซับลมหายใจของกันและกัน ความรุ่มร้อนจากอากาศที่ถ่ายทอดมานั้นทำให้หัวใจที่เต้นช้าแลดูจะปกติขึ้น
และรัวเร็วขึ้นยามมองริมฝีปากที่มีกลิ่นบุหรี่ลอยมา
“กูอยากจูบมึงจัง”
“ชิน...”
“แต่กูกลัวว่าเราจะไม่เหมือนเดิม” ปลายนิ้วโป้งกดปากเขา บังคับให้เปิดออกจนเห็นฟันขาวและลิ้นชื้นที่ซ่อนอยู่ภายใน “กลัวว่าคำว่าเพื่อนมันจะหายไป กลัวทำให้มึงเหงากว่าเดิม”
“…”
“แค่นี้กูก็ทำพลาดมาแล้วพอใช่ไหมหมอก กูทำให้มึงเหงาไม่ต่างจากที่กูเป็น” ผมยกยิ้ม แต่มันอ่อนล้าเหนือสิ่งใด “มึงเองก็เหนื่อยเหมือนกูใช่ไหม”
“ไม่เลย”
“อะ...”
“กูไม่เคยเหนื่อยเรื่องมึงเลย ชิน”ดวงตาสบกันอีก ร่องรอยแห่งความอ่อนโยนฉายชัดทั่วใบหน้า “การได้ดูแลมึงคือความสุขที่กูหาที่ไหนไม่ได้ มันคือสิ่งเดียวที่มีค่าพอจะยืนยันว่ากูมีชีวิตอยู่เพื่อใคร”
“หมอก”
“กูอยู่ได้ก็เพราะมึง” เขายิ้มกดจูบบนหน้าผากผมเบาๆ มันตลกที่คำพูดของใครสักคนมันเยียวยาจิตใจตอนนี้ได้ ราวกับช่วยโอกาส เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวที่มาช่วยให้เจ้าหญิงพ้นภัย
แล้วถ้าเกิดสโนว์ไวท์จะขอกินแอปเปิ้ลลูกนี้ แม้จะรู้ดีว่ามันมียาพิษจะผิดไหม
ถ้าเกิดเธอยอมตายเพียงเพราะจะได้จุมพิตจากเจ้าชายเพียงสักครั้ง จะผิดไหม
ถ้าไม่ผมก็คงตัดสินใจกินแอปเปิ้ลอาบยาพิษเพื่อฆ่าตัวตาย
และหวังให้เจ้าชายจุมพิตผมเพื่อตื่นขึ้นมา
ริมฝีปากสีสดเคลื่อนเข้าหาก่อนที่ผมจะได้ตัดสินใจ ความรุ่มร้อนโอบกอดผมไว้ ขับเคลื่อนช้าๆ ละเลียดชิมความหวานของยาพิษ หมอกประคองใบหน้าผม ปรับองศาให้เราใกล้กันมากขึ้น เช่นเดียวกับผมที่คล้องคอเขาไว้แน่น บังคับให้โน้มตัวลงมาอีก
ดื่มด่ำกับสารพิษ ลองชิมทุกความหวาน
สัมผัสอ่อนโยนตราตรึงอยู่ได้ไม่นาน ความเร่าร้อนก็แทรกทับคล้ายกระชากให้ลงนรกไปด้วยกัน
หมอกกัดปากผมราวกับลงโทษที่ปล่อยให้เหงา เรียวลิ้นร้อนสอดเข้ามาในปาก กวาดต้อนเอาทุกอย่างแลกด้วยลมหายใจ อันเป็นสัญลักษณ์ของการมีชีวิต เราสองคนปล่อยใจไปกับความผิด
ให้ความเหงาวันนี้กอดเราไว้
แผ่นหลังปะทะเข้ากับเตียงนอน หยาดใสยังพร่างไปทั่วตัว หมอกถอดเสื้อผ้าที่เปียกชื้นออกตั้งแต่อยู่ในห้องน้ำ เราสองคนเปลือยเปล่า คลอเคลียเข้าหากันเหมือนโดนแม่เหล็กดูด
ริมฝีปากร้อนทิ้งรอยไว้ทุกที แม้แต่หยดน้ำบนตัวก็ระงับความร้อนนี่ไม่ได้
ผมหอบหายใจ ครวญครางยามเขาย้ำกายดุ
ตัวตนที่ผมเคยสัมผัสมาครั้งหนึ่งแทรกเข้ามาในช่องทางที่ปิดสนิท มันโอบรัด ดูดกลืน ทำให้เขารู้สึกดี ความอึดอัดเป็นสิ่งแรกที่เกิดขึ้นตอนใส่เข้ามา
“ใจเย็นๆ” เขาพึมพำขบกัดเข้าที่ใบหู ไล่ต่ำลงมาสำรวจดูแผ่นอกตรงส่วนไวต่อความรู้สึก มือหนาเค้นคลึงที่สะโพก ค่อยๆ สอนผมถึงวิธีผ่อนคลายให้กายร้อนเข้าไปจนสุดได้
น้ำตาผมไหล เสียดเสียวแทบขาดใจ
หมอกจูบซับมันให้คล้ายกับรับความเสียใจไปแบกรับไว้จนหมด
ฝ่ามือร้อนลูบไล้ไปทั่วกายผม โน้มตัวลงมาให้ผมเกาะบ่าแกร่งใช้เป็นตัวยึดยามเขากระแทกกระทั้น ผมครางหวิว เผลอกัดปากจนห้อเลือด รู้สึกดียิ่งกว่าอะไรทั้งมวลที่เคยได้รับ
เสียงเนื้อกระทบเนื้อทำให้ใบหน้าผมร้อนฉ่า ภาพคืนวันที่เราเคนกอดกันย้อนคืนเข้ามา
ตอนนั้นผมอยากห้าม แต่ทำไม่ได้เพราะฤทธิ์เหล้า
แต่ตอนนี้ผมไม่ได้เมา ทว่าผมกลับไม่ห้ามเขาซะเอง
“อื้อ”กายผมสะท้าน บิดเร่าตามแรงอารมณ์ หมอบยึดเอวผม สอบกายหนักหน่วงให้ร้องไห้ เขากัดปาก ครางต่ำในลำคออย่างพอใจ ก้มลงมาจูบปากผมอีกครั้ง สอดลิ้นมาลิมลองความหวานด้านในจนกว่าความอยากนี่จะทุเลาลง
เสียดายที่มันเหมือนเร่งเร้าอารมณ์
เรากอดกันแน่นขึ้น ไม่นานนักหยาดข้นก็อาบเลอะไปทั่วร่าง
หมอกพลิกกายผม สอดกายลึกอย่างดุดัน เขาเสยผมที่ลงมาปรกหน้า โถมกายมากอดผมไว้ให้ส่วนนั้นมันเข้าไปลึกอีก
“อ๊า”ผมครางลั่นอย่างทนไม่ไหว ดีแค่ไหนที่ห้องข้างๆ คือห้องของผมและมันไม่มีใคร เพราะถ้ามีคนได้ยินเสียงหรือรู้ว่าเราทำอะไรกัน คงอับอายน่าดู
“เสียงมึงน่ารัก”
“หมะ...หมอก บะ...เบาหน่อย”
“อื้ม”
“ระ...แรงไปแล้ว” ผมบอกเขาเสียงหอบ จิกผ้าปูที่นอนแน่นตอนกายแกร่งสอบเข้าหา ลมหายใจของเรากลายเป็นหนึ่งเดียวกัน แลกเปลี่ยนหยาดน้ำ และอื่นๆ อีกมากที่ผมพรรณนาไม่ไหว
ปลายนิ้วร้อนบดขยี้ยอดอกที่ชูชันตามแรงอารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นไป
เขาปลดปล่อยเข้ามาในร่างกาย เช่นเดียวกับผมที่เสร็จคามือเขา
แต่มันไม่จบเมื่อเขาพลิกกายผมกลับมากอดกัน นั่งอยู่ตัก สวนร่างเข้าหาหนักหน่วงให้ผมสะอื้นฮัก ผมประคองใบหน้าคมคาย กดจูบอีกครั้งอย่างไม่เบื่อหน่าย
เราตระกองกอดกันหนักขึ้นไป แล้วผมก็พูดดักคอเขาไว้ก่อน
“กูไม่ได้เมา”
มันจะไม่ถูกใช้เป็นข้อแก้ตัวในครั้งนี้
กลิ่นบุหรี่
กลิ่นที่บ่งบอกความเป็นหมอกได้ดีกว่าน้ำหอมยี่ห้อดัง มันปลุกผมให้หลุดจากความฝัน เหม่อมองคนที่นั่งสูบบุหรี่อยู่ข้างเตียง
เขาเลื่อนลอย คิดอะไรไปเรื่อย ปากคาบบุหรี่แล้วพ่นควันออกมาซ้ำๆ
มองแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยรอยเล็บยาว อันเกิดจากฝีมือผมเมื่อคืนนี้
“มึงตื่นเร็ว” ผมเปิดหัวข้อให้เขาเลื่อนสายตามามอง เบิกตานิดหน่อยก่อนจะหรี่ลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “นอนไม่หลับเหรอ”
“กูฝันร้าย”
“…”
“ฝันว่าที่ตรงนี้ไม่มีมึง” เขาตอบอย่างไม่ปิดบัง ส่งผ่านความกังวลผ่านนัยน์ตาที่ว่างเปล่า พร้อมกับสูบสารพิษเข้าร่าง เคาะส่วนที่มอดดับลงกับที่เขี่ยข้างหัวเตียง “เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นแค่เรื่องโกหกที่กูแต่งมาหลอกตัวเอง”
“หมอก”
“กูไม่มีมึงตั้งแต่แรก” น้ำเสียงของเขาบีบคั้นหัวใจผมให้เจ็บเสียด มันทำให้ผมนิ่งก่อนจะตัดสินใจขยับไปหาเขา ฝ่ามือเล็บทาบลงบนแผ่นหลัง ขยับกายขึ้นไปกอดอีกฝ่ายไว้
หมอกส่ายหน้าเขาเหมือนไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเท่าไหร่
ผมเลยปลอบเขาทำให้เข้าใจ
“ตัวกูอุ่นไหม”
“ชิน”
“ถ้าอุ่นแปลว่ามึงไม่ได้ฝัน”
“…”
“มึงมีกูอยู่ข้างๆ”
“…”
“เหมือนที่มึงอยู่ข้างกู” ผมกดเรียวปากลงบ่าแกร่งให้เขาจับมือผม ปลายนิ้วโป้งถูไถเบาๆ ย้ำเตือนถึงอุณหภูมิในร่างที่บ่งบอกถึงการมีชีวิต ผมดึงบุหรี่ในมือเขามาสูบต่อ พ่นควันสีขาวคล้ายขับกล่อมคนตรงหน้า สลับเปลี่ยนให้เขาดูดมันเข้าไปบ้าง แล้วปล่อยออกมาตอนเราจูบกัน
ควันมากมายพรั่งพรูออกจากปาก ตลบอบอวลทั่วร่างเช่นเดียวกับรสขมปร่าที่แทรกซึม ผมบี้บุหรี่ที่เหลืออีกครึ่งลงกับที่เขี่ย ดึงร่างสูงให้โน้มตัวลงมา ขณะที่หงายหลังไปนอนราบบนเตียงหนา หมอกจูบผม แลกเปลี่ยนหยาดหวานภายในปาก ทำให้เขารู้สึกถึงผมทุกทาง
ให้เขารู้ว่าผมนี่แหละของจริง
“ชิน มึงยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหมวะ”
กลายเป็นเขาที่หวาดกลัวต่อการจางหาย
“กูอยู่ตรงนี้”
เป็นเขาที่กลัวผมหายไป
“กูอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมึง”
เป็นเขาที่เฉลยคำใบ้
“กูรู้ว่ามึงไม่คิด”
และเป็นเขาที่แพ้ราบคาบให้กับเกมแห่งพระเจ้าโดยสมบูรณ์
“แต่กูรักมึง ชิน”
ผมมาหาชิชา คนเดียวที่ให้คำตอบกับผมได้
หมอกไปมหาลัย มีงานด่วนที่อาจารย์เรียกผมกะทันหัน ผมเลยอาศัยช่วงเวลานั้นมาหาพี่สาวที่ที่ทำงาน ชิชากำลังคุยงานกับลูกค้า ผมเลยต้องนั่งรอแม้จะมีเรื่องร้อนใจ
ผมได้คำตอบของทุกคำถามที่ค้างคาใจ
อะไรที่ทำให้หมอกกอดผม
อะไรที่ทำให้เขายอมทนเหงาเป็นเพื่อนกัน
อะไรที่ทำให้เขากลัวว่าจะเสียผมไปเข้าสักวัน
เขารักผม นั่นคือคำตอบที่หามานาน
ผมเลียปาก อยากบุหรี่แต่ก็ต้องอดทนไว้ นั่งกอดตัวเองเพื่อให้ความอบอุ่นแทนที่ความหนาวจากแอร์ตรงหน้า ปลายเท้าเคาะกับพื้น ภาวนาให้พี่สาวคุยงานให้เสร็จไวๆ เธอหันมาเห็นผม ย่นคิ้วด้วยความแปลกใจ ทำมือเป็นเชิงว่าให้คอยก่อนแล้วจะออกมาหา
ผมพยักหน้า ไม่เรียกร้องแต่ขอให้รีบเร่ง ผมต้องการให้เธอรู้คำตอบเช่นเดียวกัน
“เกิดอะไรขึ้น ไม่เห็นโทรบอกว่าจะมา”
“ผมมีเรื่องอยากปรึกษา”
“หืม ?”
“ผมรู้คำตอบเรื่องนั้นแล้ว”ผมทำหน้าจริงจังขณะที่ชิชางุนงงใส่ เธอไปขออนุญาตเจ้านายเพื่อมาคุยกับผมก่อนจะกลับไปทำงานต่อ เราเข้ามาคุยในห้องประชุมที่ปลอดผู้คน ใบหน้าของเธอแสดงถึงความสงสัย ผิดกับผมที่ร้อนใจแทบบ้า
“ไหน เล่ามาสิ”
“หมอกรักผม”
“!!!!”
“ที่เขากอดผมก็เพราะเขารักผม ชิชา” เธอเบิกตากว้างอ้าปากค้างอย่างตกใจ “เขาพูดกับผมเมื่อเช้า เขาสารภาพเพราะกลัวว่าผมจะหายไป”
“…”
“เขากลัวว่าผมจะทิ้งเขาไป” เสียงของผมสั่น เสยผมขึ้นอย่างคิดหนัก นี่คือสิ่งที่ผมกลัวมาตลอด ผมกลัวว่าความรู้สึกของเราจะเปลี่ยนไป และเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้
ผมรักเขา แต่ไม่ได้รักในแบบที่เขารัก
รักเพราะเขาดูแลผมมาตลอด รักแบบพี่น้องเพราะเราอยู่ด้วยกัน
แต่เขากลับรักอย่างจริงจัง สายตาที่บ่งบอกว่าตัวเองให้ใจมาแค่ไหนยังติดอยู่ในสมองของผม
ตอนนั้นผมนิ่งงัน ไม่โต้ตอบและไม่แสดงอารมณ์ ผมกำลังช็อคขณะปล่อยให้เขาละเลียดชิมความหวานจากปากอย่างที่เขาต้องการ มันทำให้ผมคิดมาก ผมนึกว่าเราเหงาเหมือนกันก็เลยทำเรื่องแบบนั้นซ้ำสอง
เขาเป็นคนบอกเองว่าเขาก็เหงาตอนไม่มีผม
แต่เขาไม่ได้บอกว่าเขารักจนเสียผมไปไม่ได้
เขามาบอกตอนที่หัวใจผมกำลังจะสูญเสียใครบางคนไป และถ้าผมไม่ตอบรับหรือรั้งเขาไว้...
“ผมจะเสียเขาไปใช่ไหม”ผมถามพี่ตัวเอง แววตาฉายชัดถึงความกังวล “ผมเสียเขาไปไม่ได้ แต่ผม...ผมก็ไม่ได้รักเขาในแง่นั้น”
“ใจเย็นๆนะ พี่ว่าหมอกมีเหตุผลพอที่จะรับฟังชิน”
“…”
“ถ้าชินไม่รักก็แค่บอกเขา หรืออีกทางคือเปิดใจ”
“แต่เราเป็นเพื่อนกัน”
“แล้วใจชินยังคิดว่าเป็นเพื่อนอีกเหรอ”
“อะ...”
“พี่ว่าถ้าปล่อยให้เรื่องนั้นมันเกิดซ้ำสอง ลึกๆในใจชินอาจจะไม่ได้คิดกับหมอกแค่เพื่อนแล้วนะ” เสียงของผมหายไปในลำคอ เช่นเดียวกับคำพูดที่ถูกกลืนลงท้อง “ชินค่อยๆคิดนะว่าเพราะอะไรถึงยอมให้มันเกิดขึ้น หมอกเฉลยแล้วว่าทำไมเขาถึงทำ ตอนนี้อยู่ที่ชินแล้วว่าจะรับมันได้ไหม”
“ชิชา…”
“เป็นชินแล้วที่จะตัดสินใจ ถ้าเลือกรับไว้ก็ตัดเรื่องกวนใจออก แต่ถ้าเลือกไม่รับ…”
“…”
“บางอย่างก็ต้องได้อย่างเสียอย่างนะชิน” ผมกัดปากแน่นไม่ชอบคำคมนั้นที่เคยได้ยินหลายครั้ง ไม่มีใครที่ได้ทั้งสองอย่างหรือเสียทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกัน
เรื่องเมื่อวานเกิดขึ้นเพราะผมเหงา และผิดหวังจากพี่เอส เลยยอมให้เขาเข้ามาในส่วนต้องห้าม ลุกล้ำอาณาเขตที่ปิดตายเอาไว้
เพื่อทดแทนส่วนที่ขาดหาย เติมเต็มมันจนสมบูรณ์
ทว่าพอถึงคราวเขาเรียกร้องผมกลับเห็นแก่ตัวกว่า
พลันเรื่องตลกร้ายก็ปรากฏขึ้นมา
S : มาเจอกันไหม
ติดแท็ก #เศษส่วน52Hz
ทวิต ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

จะเล่นอะไร รอบนี้ ปล่อยไปเลยได้ไหมT T
เอาอิพี่เอสไปทิ้งง ภาวนาให้หมอกชินได้รักกันสักที น้องรู้ใจตัวเองสักที แต่ก้เข้าใจแหละมันยากตรงเพื่อนเลื่อนเป็นแฟน อึดอัดดด //ไรท์เก่งมากๆ
ไม่รักหมอกก็รักตัวเองบ้างเถอะ อย่างน้อยก็ตัดใจจากเอสไปหาคนใหม่คุยดีกว่าไหม
ไม่รู้อ่ะ