ตอนที่ 11 : เศษส่วนความเหงา 10
เศษส่วนความเหงา 10
วงกตที่ไร้ทางออก ทางเดียวที่จะออกคือฝ่าวงล้อมของหนามเถาวัลย์
นิโคตินไม่ช่วยผมเหมือนทุกวัน
ยิ่งอัดมันเข้าปอด ภาพของคนข้างห้องก็ยิ่งเด่นชัด เมื่อวานทั้งวันเราไม่ได้คุยอะไรกัน หมอกทำแต่งานส่วนผมก็วุ่นวายอยู่กับความคิด สมาธิอ่านหนังสือก็แทบไม่มีทั้งที่เขาก็เตือนแล้วว่าอีกไม่นานผมต้องสอบ ผมเม้มปากแน่น พยายามขับไล่เรื่องค้างคาในใจให้หลุดออก
ทำตัวเหมือนปกติไม่ต่างจากที่เขาทำ
“ยังอ่านไม่เสร็จอีกเหรอวะ”
กึก !
“มึงได้อ่านบ้างหรือเปล่า” เสียงของเขาดังขึ้นตอนเปิดประตูเข้ามา ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองผม คิ้วสวยขมวดลงเมื่อเห็นผมค้างอยู่หน้าเดิมตั้งแต่เมื่อเช้าที่เขาเข้ามา “มัวแต่ตอบแชทนะไอ้ชิน”
“เปล่า กูยังไม่ได้เล่นโทรศัพท์เลย”
“แต่มึงอ่านหน้าเดิมมาหลายชั่วโมงแล้ว”
“…”
“ตั้งใจหน่อยดิวะ ขยันหน่อย” ผมพยักหน้าถอนหายใจคล้ายความอึดอัด “จะกินอะไรไหม เดี๋ยวกูทำให้”
“ไม่เป็นไร กูไม่หิว” ผมส่ายหน้าหันกลับมาจดเลคเชอร์ตามเนื้อหาที่อ่าน หมอกเดินเข้ามา พักสะโพกกับโต๊ะหนังสือผม เราสองคนไม่ได้สบตากัน ผมก้มหน้าไล่มองตัวอักษรพวกนั้นแทนที่จะเงยหน้ามองเขา
ผมไม่กล้า
“เหนื่อยเหรอ” เขาถาม ผมเลยยิ้มบางๆ
“นิดหน่อย”
“งั้นพักก่อนไหม ออกไปเที่ยวกัน”
“มึงจะให้กูไปดื่มตั้งแต่หัววันเลยเหรอ เดี๋ยวก็อ่านไม่ทันพอดี”ผมหัวเราะ มันฝืนแต่ผมก็ทำ “เดี๋ยวก็อ่านจบแล้ว อดทนอีกนิดเดียว”
“อ่านจบไม่ได้แปลว่ามึงเข้าใจ”
“…”
“ไปแต่งตัวไป ไปเที่ยวกัน” หมอกไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบกลับ เขาดึงแขนผมให้ลุกขึ้น ฉุดยื้อให้ผมไปแต่งตัวตามคำสั่ง ผมก็นิ่งไปสักพักคิดว่าควรจะทำยังไงดี ผมยังไม่อยากออกไปไหนกับเขา
แต่ถ้าไม่ไปมันก็เหมือนผมไม่ใช่คนเก่า
เพราะถ้าผมคือชินคนเก่า ผมจะไม่อิดออดเลยถ้าเขาชวนไป
และถ้าอยากอยู่เป็นผู้ชนะในเกมนี่ให้ได้...
“เออ เดี๋ยวกูแต่งเอง”
คือต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนกว่าข้างในจะระเบิดออกมา
เสียงหัวเราะและเสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วทุกพื้นที่ ทำให้ผมส่ายหน้ากับความคิดของหมอกที่บอกว่าจะพาผมมาเที่ยวผ่อนคลายอากาศ
สิ่งแรกที่เข้ามาในหัวคือคลับ
แต่ความจริงมันคือ…
“สวนสนุก” ผมพึมพำกอดอกและหันไปมองคนที่ซื้อบัตร “ย้อนวัยเหรอวะ ?”
“ก็ไม่ได้มาตั้งนานแล้วนี่หว่า กูก็อยากเล่นอะไรหวาดเสียวๆ บ้าง” หมอกยิ้มมองเครื่องเล่นมากมายที่เหวี่ยงตัวไปมา จำได้ว่าครั้งล่าสุดที่มาด้วยกันคือก่อนสอบเข้ามหาลัย ตอนนั้นผมเวียนหัวแทบตาย สาบานกับตัวเองว่าจะไม่มีวันมาเล่นอะไรแบบนี้อีก
ผิดกับหมอกที่ชอบของพวกนี้
เขาบอกว่ามันท้าทาย และทำให้หัวโล่งไม่ต่างจากบุหรี่ที่สูบ
“ไปเถอะ เดี๋ยวกูนำเที่ยวเอง”
“มึงตั้งใจฆ่ากูชัดๆ” ผมถอนหายใจมองคนที่ดูสนุกสนาน แม้จะยังไม่เริ่มเล่นเลยก็ตาม มือหนาถือวิสาสะดึงข้อมือผมให้เดินตามไป เราเริ่มด้วยอะไรง่ายๆ เช่นรถบั๊ม
หมอกหัวเราะตอนผมได้รถสีชมพูต่อจากเด็กหกขวบ ส่วนเขาได้คันสีดำที่พอขึ้นไปนั่งแล้วเหมือนรถแข่ง
ผมกลอกตาแรง ถึงอย่างนั้นก็ช่วยอะไรไม่ได้
ปึง !
รถสองคันชนกันไปมา เบี่ยงซ้ายเบี่ยงขวาหลบไปชนคันอื่นบ้าง ตอนแรกๆ มันชวนรำคาญใจ สักพักผมก็เริ่มสนุก อาจเพราะสีสันที่ถูกจัดให้มืด มองเห็นเพียงแค่ไฟหลากสีท้ายรถก็ได้มั้งเลยทำให้ลุ่มหลงไม่ต่างจากไฟดิสโก้ในผับ ผมยกยิ้มขณะที่อีกคนหัวเราะแทบบ้า
เครื่องต่อไปคือทอร์นาโด
ขาผมสั่นเลยตอนลงมาจากมัน
“เชี่ย อย่าเพิ่งตายนะมึง” หมอกยิ้มขำพยุงร่างผมไปนั่งก่อนที่ผมจะล้มลงไปกองกับพื้น “ว่าที่คุณหมอกู หมดสภาพเลยนั่น”
“ก็ดูแม่งเหวี่ยงดิ กูนึกว่าจะลอยออกไปแล้วด้วยซ้ำ”
“จะลอยออกไปได้ไงวะ มันก็มีที่กั้น”
“แต่มันเหมือนสั่น”
“เพราะมือมึงสั่นต่างหาก” เขาผลักหัวผม จับมือที่สั่นไหวของผมแน่น “อีกอย่างกูก็จับมือมึงไว้อยู่ป่ะวะ ถ้ามึงหลุด ก็หลุดด้วยกัน”
“…”
“กูไม่ยอมให้มึงเป็นไรไปหรอกน่า เดี๋ยวพี่มึงมาฆ่ากูพอดี” ร่างสูงขบขันจนตาหยี แทบไม่บ่อยเลยที่เขาสนุกขนาดนี้ มันทำให้ผมนิ่งคิดก่อนจะยิ้มตาม
มือหนากระตุกมือผมให้ลุกขึ้น กระชับแน่นๆเพื่อให้รู้ว่าเราจะอยู่ด้วยกัน
มันทำให้ผมรู้สึกปลอดภัย
“เข้านี่กัน” มันชี้ให้ผมอ่านป้าย
‘บ้านผีสิง’
ผมเลิกคิ้วใส่ นี่ไม่ใช่สถานที่น่ากลัว
“เอาจริง ?”
“เออดิ ไปดูว่ามีผีอะไรบ้าง”
“…”
“เผื่อกูขนเพื่อนมาถ่ายหนังโปรเจคหน้าไง” เขาอ้างทั้งที่ก็แค่อยากสนุก ผมเลยพยักหน้าให้เขาพานำเข้าไป ทุกอย่างมืดสนิทราวกับมีคนปิดตาเราไว้
“กรี๊ดด” กลุ่มผู้หญิงคนก่อนหน้ากรีดร้องตอนผีโผล่ ขณะที่ผมเดินจับมือหมอกไม่ต่างจากเดินเล่นในสวนสาธารณะ เราสองคนไม่กลัวผี ผมถึงไม่อินกับที่มันพามา
ตอนผีออกมาตรงหน้าผมทำแค่...
“อะ”
อุทานเบาๆ จนผียังงง
“ไม่ตกใจหน่อยวะ พี่เสียเซลฟ์หมด”
“กูก็ตกใจแล้วนะเมื่อกี้” ผมตอบหน้าตายเพราะมันคือเรื่องจริง ผมไม่กลัวพี่ ตกใจมากสุดก็แค่นั้น เดี๋ยวปีสี่ก็ต้องขึ้นวอร์ดไปดูงาน คงต้องเจออะไรที่น่ากลัวกว่าผีในบ้านนี้อีกมาก ผมไปกลัวตอนนั้นยังดีซะกว่า
อีกอย่างผีที่นี่ก็ไม่ได้ถูกแต่งให้น่ากลัวขนาดนั้น คนที่กรี๊ดกันก็คงตกใจตามประสา
ก็เสียงเพลงที่ใช้ประกอบมันดังคลออยู่ข้างๆ มันก็บิ้วอารมณ์รอพี่มาไง
“เออะ !” ผมสะดุ้งเพราะสะดุดบางอย่าง ก้มลงไปมองมันคือแขนหุ่น แต่สิ่งที่สนใจคือเชือกรองเท้าที่หลุด ไม่รู้ว่าสะดุดแขนหรือเหยียบเชือกรองเท้าจนเกือบหน้าคว่ำ “แปปมึง กูผูกเชือกรองเท้าก่อน”
“มองเห็นเหรอวะ”
“ก็คลำๆเอา” ผมตอบหยิบโทรศัพท์มาเปิดไฟฉาย ตรงนี้มันมีแต่สีแดงกับเขียวซะส่วนใหญ่ ถึงจะมองเห็นแต่มันก็ทำให้ผมปวดตา “ถือให้หน่อยดิ กูจะผูกเชือก”
“มึงแหละถือไว้”
“อะไร...”ไม่รอให้ผมถามร่างสูงก็เดินมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ปลายนิ้วร้อนดึงเชือกรองเท้าผมขึ้นมา ผูกมันให้กลายเป็นโบว์ในเวลาอันรวดเร็ว ผมชะงักไม่คิดว่าเขาจะทำให้ หมอกตรวจสอบว่าอีกข้างผมยังแน่นอยู่ไหม พอเห็นจะหลุดก็ดึงออกแล้วผูกให้ใหม่
ปล่อยให้ผมนิ่งค้างกับการกระทำเขา
และค้างขึ้นอีกตอนเงยหน้ามายิ้มให้
“เรียบร้อย”
ทำหัวใจผมเต้นผิดจังหวะ
ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตรงนี้เราเคยมาด้วยกัน
‘หมะ...หมอก มึงอยู่ไหนวะ’ ผมตะโกนหาเขาเสียงสั่น ปากเม้มหากันด้วยความกลัว ‘หมอก’
‘แฮร่ !’
‘เชี่ย !’ ผมสบถ ถอยหลังหนีผีที่โผล่มาจนหงายหลังล้ม ความเจ็บจากมือทำให้ผมนิ่วหน้า ถึงอย่างนั้นก็พยายามฝืนกายวิ่งออกไปจากตรงนั้น ผมหลับตา ไม่กล้ามองว่ารอบด้านมีอะไรบ้าง แค่เสียงอย่างเดียวมันก็ทำให้ผมกลัวจนแทบบ้า ผมพยายามเรียกชื่อคนที่พาผมมา อยากตัดพ้อว่าปล่อยผมไว้คนเดียวได้ไง
กระทั่งผมเหยียบเชือกรองเท้าตัวเองล้มหน้าคว่ำ
ผมลืมตาเห็นแขนคนที่วางอยู่ด้านข้าง
‘หมอก !’ ผมถดตัวหนีไปชิดราวกัน เนื้อตัวสั่นไหวแล้วฝังหน้าลงกับเข่า เรียกชื่อเพื่อนรักซ้ำๆ เรี่ยวแรงเหือดหายไม่มีปัญญาลุกขึ้นหนี ‘หมอก มึงอยู่ไหน มารับกูที’
‘ไอ้ชิน...!’
‘อะ...’
‘ชิน !’ ผมได้ยินเสียงแว่วตามด้วยเสียงที่ใกล้เข้ามา ผมคิดว่าตัวเองหลอน บางทีอาจเป็นกลลวงของพวกผีในบ้านนี้ ผมจิกเล็บลงกับมือ เม้มปากแน่นและขอให้ใครสักคนมาช่วยผมที
พลันฝ่ามือร้อนๆ ที่ผมจดจำอุณหภูมินี่ได้ดีก็แตะลงบนบ่า
วินาทีนั้นผมตกใจ ถลึงตาใส่คนที่พุ่งเข้ามาหา เสียงของเขาอืออึงโดนกลบทับด้วยเสียงหัวใจผม ดวงตาสีน้ำตาลทอดมองลง จับหน้าจับตาผมด้วยความห่วงใย
‘หามึงเจอแล้ว’
ผมจำได้ว่าผมมีความสุขแค่ไหน
ความสุขที่เขาเป็นคนเดียวที่ช่วยผมได้จากทุกความกลัว
เราสบตากัน คาดว่าอีกฝ่ายก็น่าจะนึกออก เขากวาดตามองแล้วส่ายหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
“จำได้ใช่ไหม” ผมพยักหน้าอยากหัวเราะให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง “ตอนนั้นมึงร้องไห้”
“กูกลัวนิ นึกว่ามึงทิ้งกูไป”
“แต่มึงรู้ใช่ไหมว่ากูไม่มีวันทำแบบนั้น”
“…”
“กูไม่มีวันทิ้งมึง” คำสัญญาพาให้ก้อนเนื้อด้านซ้ายเต้นแรงไม่เป็นส่ำ มันทำให้ผมหลุบตาต่ำถอนหายใจเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มบางให้กับตัวเอง
ยิ้มให้กับความรู้สึก
ยิ้มให้กับทุกเรื่องราว
และยิ้มให้กับคำสัญญาที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน หมอกก็ยังคงรักษามันไว้เหมือนเดิม
แค่เขาที่เหมือนเดิม
“กูรู้”
เราออกมาจากบ้านผีสิงในช่วงบ่ายกว่า เจ้าตัวแอบบ่นน้อยๆ ว่าผีไม่ได้น่ากลัวกว่าครั้งล่าสุดที่เรามาเลยด้วยซ้ำ บอกอีกว่ารีวิวในพันทิปหลอกเขา ไม่มีผีใหม่ๆ อย่างที่บอก ผมเลยตบบ่าปลอบ คิดว่าความสนุกเขาหมดไปกับเครื่องเล่นซะส่วนใหญ่ พอมาเจออะไรแบบนี้ก็เลยไม่อินเท่าที่ควร
“พักก่อนไหม หรือไปไหนต่อดี ?” เขาหันมาถาม ผมส่ายหน้า
“แล้วแต่มึง”
“ตามใจกู ?” ผมไหวไหล่ ให้เขาเลิกคิ้ว “จริง ?”
“เออ”
“วันนี้หิมะต้องตกเมืองไทยแน่ๆ” เขาทำหน้าเหลือเชื่อให้ผมชกแขนเล่นไปที เวลาผมทำตัวดีละชอบคิดว่ามันเป็นเรื่องโกหก เราสองคนหัวเราะก่อนจะไปหาอะไรกินเพื่อเติมพลัง เดินดูขบวนพาเหรดอีกหน่อย ก็ไปหาอย่างอื่นเล่นกัน ไปยืนอยู่ตรงสะพานที่พอเรือมาน้ำก็จะกระเซ็นไปทั่วตัวเรา
ดีที่มันบอกให้ผมหยิบชุดสำรองติดมาด้วย ไม่งั้นเราคงปอดบวมถ้าต้องขับรถกลับด้วยตัวชื้นๆ
“โคตรเหนื่อย”
“ก็ดูแต่ละอย่างที่มึงเล่นสิ”
“จริง” มันพยักหน้าทิ้งตัวลงนอนบนพื้นหญ้าหน้าๆ ในสวนสาธารณะ ตอนนี้เราออกมาจากสวนสนุกแล้ว แวะมาสูดอากาศในสวนที่มีพวกคุณตาคุณยายวิ่งออกกำลังกายกัน แต่ตรงจุดที่เรานั่งอยู่นั้น มันมีแสงตะวันส่องกระทบ คนส่วนใหญ่หลบร้อนก็เลยไม่ค่อยมานั่ง
รวมถึงตอนนี้มันก็เย็นจนเกือบค่ำ เขาก็กลับกันจะหมดแล้ว
“มึงดูดิ พระอาทิตย์กำลังจะตก” เขาชี้ให้ผมหันไปมองตาม “สวยเนอะ”
ตะวันสีส้มใกล้ลับขอบฟ้า มันกำลังโบกมือลาเพื่อให้เราเตรียมพร้อมสำหรับวันใหม่ ผมยกยิ้มมองคนที่นอนหนุนแขน จ้องมองเจ้าวงกลมดวงใหญ่ลับตาไปพร้อมกัน
เสี้ยวหน้าของเขาถูกแสงส้มไล่เลียคล้ายคำบอกรัก ดวงตาสะท้อนแสงสวยนั้นให้ได้มอง
“มองอะไร ?”
“เปล่า”
“โกหก” ผมยิ้ม ไม่ได้อธิบาย “แอบมองมากๆ เดี๋ยวก็ตกหลุมรักกูหรอก”
“รับไม่ได้” ผมทำหน้าแหยไม่ต่างจากวันนั้นที่เราแกล้งกัน หมอกหัวเราะดึงแขนผมให้ล้มตัวลงนอนข้างๆ ผมขืนตัวไว้ นิ่งอยู่นานก่อนจะยอมตามใจเขา
พื้นหญ้านุ่มๆ ถูกใช้ลองแทนหมอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ไม่ต้องพึ่งบุหรี่เพื่อผ่อนคลาย
จะว่าไปวันนี้ผมยังไม่เห็นเขาดูดบุหรี่เข้าร่าง
“ไม่อยากบุหรี่เหรอวะ ?”
“นิดหน่อย แต่ทนได้”
“…”
“ลงโทษตัวเองที่วันนั้นดูเกินโควต้า” เขาตอบระบายยิ้มบาง แม้ผมจะชะงักไป “กูจะไม่ผิดสัญญาอีก”
“ถ้ามึงอยาก มึงก็สูบไปก็ได้ กูไม่ว่า”
“แต่กูไม่อยากติดค้าง”
“…”
“มันอึดอัด มึงเข้าใจใช่ไหม” ผมไม่ตอบ แค่เม้มปากคิดตามที่เขาพูด ร่างสูงเลื่อนสายตาไปมองดูพระอาทิตย์ ท้องฟ้าตอนนี้กลายเป็นสีส้ม แต้มด้วยสีฟ้าหม่นๆ เนื่องจากความมืดกำลังครอบงำ “เราไม่ได้มานอนดูอาทิตย์ตกดินด้วยกันนานมาก ตั้งแต่ปีหนึ่งป่ะวะ”
“มึงติดกิจกรรม”
“มึงติดเรียน” สวนกลับให้รู้ว่าเราต่างมีเหตุผลที่ทำให้วันเวลาดีๆ หายไป “ตอนนั้นมันอะไรหลายๆอย่าง แต่กูดีใจนะที่วันนี้ได้มาดูกับมึง”
“…”
“มันสวยกว่าตอนดูจากระเบียงเยอะเลย” เขาดูหลงใหล หากแต่ก็เลื่อนลอยไปพร้อมกัน ผมคิดว่ามันเป็นเสน่ห์ที่ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเวลาอยู่กับเขา
เพราะเขาไม่เคยแสดงมันออกมา
“มึงมีความสุขไหมวะ ที่มากับกูวันนี้”
“มากเลย” หมอกหันมาทันทีที่ผมตอบ “กูคงเศร้าถ้าปฏิเสธมึงเมื่อเช้า”
“มึงทำท่าเหมือนไม่อยากมาตอนกูชวน”
“…”
“ยังคิดเรื่องวันนั้นใช่ไหม” หัวใจผมกระตุกวูบ หลุบตาต่ำมองดูผืนหนาที่กั้นกลางเราไว้ นั่นเป็นคำตอบโดยที่ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยอะไร
ใช่ ผมไม่อยากมา เพราะผมยังติดใจเรื่องนั้นอยู่
“กูขอโทษ”
“เรื่องอะไร ?”
“ที่ทำให้มึงอึดอัด”
“…”
“เพราะกู มึงเลยรู้สึกว่าเรา...กำลังเปลี่ยนไป”เสียงของเขาแผ่ว ตลกที่มันมีอิทธิพลกับผม “ถ้ากูห้ามใจหรือทำอะไรที่มันรับผิดชอบสักหน่อย มึงคงไม่เป็นแบบนี้”
“กูแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงปล่อยให้มันเกิดขึ้น”
“…”
“เราเหงากันเหรอวะ” สบตาให้ลมหายใจแลกเปลี่ยนโดยมีสายลมเป็นสื่อกลาง ภาพของเขาฉายชัดอยู่ในดวงตาผม สะท้อนภาพผมในดวงตาของเขา หากมีคำโกหกอะไรที่สามารถเปลี่ยนแปลงตอนนี้ได้ ผมก็คงเลือกที่จะทำ
แต่สมองผมกลับคิดอะไรไม่ออก นอกจากใบหน้าของเขาที่เคลื่อนเข้ามา
ปลายจมูกแนบชิด ปรับเปลี่ยนลงองศา หมอกขยับตัวขึ้นมา มือข้างหนึ่งทาบแก้มผมไว้ขณะที่กดมอบจุมพิตชวนฝัน
ตอนนั้นหัวผมขาวโพลน โล่งหมดไม่เหลืออะไร
สิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงแค่ความรุ่มร้อนที่มอบให้
และกลิ่นบุหรี่มวนแรกของวัน
“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก”
นั่นคือคำโกหกเหรอวะ
ติดแท็ก #เศษส่วน52Hz
ทวิต ael_2543
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ

หน่วง ซึน อารมณ์ของคนเหงาเหรอ!!!!
ความสัมพันธ์แบบแต่ก่อนของพวกแกคงจะดีมากๆ จนถึงขนาดที่ว่าอะไรเปลี่ยนไปนิดเดียวพวกแกก็ไม่เหมือนเดิมกันแล้ว
เปราะบางกันขนาดนั้น แต่งงานกันเถ------